ฌอนพูดแล้วแกล้งหยุดอยู่แค่นั้น มองไปยังขวัญชีวาตาเขม็ง
ทั้งยังเผยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างมีเลศนัย ทำเอาคนถูกมองใจเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ
นึกก่นด่าอีกฝ่ายอยู่ในใจ เพราะถ้าเจ้าตัวบอกออกไปว่าเผ็ด
รับรองน้าแขต้องไปถามกับแม่ครัวอย่างแน่นอน ความจริงก็จะถูกเปิดเผย
เธอไม่ได้กลัวอะไรหรอกนอกจากเสียหน้าและโดนกล่าวหาว่าเล่นเป็นเด็ก
“อ้าว...พูดไทยได้ด้วย เก่งจัง”
แขไขเอ่ยชมชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอย่างเอ็นดู
“คุณแม่ผมเป็นคนไทยครับ”
หนุ่มลูกครึ่งบอกน้ำเสียงสุภาพ
“เหรอจ๊ะ
แล้วเมื่อกี้จะบอกว่ารสชาติของต้มยำกุ้งเป็นยังไงหรือคะ
ถ้าเผ็ดไปจะได้ไปต่อว่าแม่ครัว เพราะปกติอาหารของที่นี่จะเน้นรสชาติกลางๆ
นอกจากคนสั่งต้องการเผ็ดเท่านั้น”
“ผมกำลังจะบอกว่ารสชาติอร่อยมากครับ”
คนที่รอฟังลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
อีตาบ้า...ชอบพูดกำกวมให้คิดไปไกล
“ขอบคุณค่ะ อย่างที่บอก ถ้าต้องการรสจัดบอกได้
เราจัดให้ตามใจลูกค้า ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอตัวก่อนนะคะ ต้องการอะไรเพิ่มเติมบอกเด็กได้เลยค่ะ”
เจ้าของร้านบอกยิ้มๆ ก่อนจะหันไปทางลูกสาวของเพื่อนสนิท
“ก่อนกลับแวะไปหาน้าด้วยนะหนูวา”
“ค่ะ น้าแข”
หลังจากเจ้าของร้านเดินผละไปแล้วกนกลดาก็หันไปพูดกับขวัญชีวา
“ไม่ยักรู้ว่าคุณขวัญชีวารู้จักคุณแขด้วยนะคะ”
“นั่นสิคะคุณลดา ไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างหนูวาจะรู้จักคนระดับคุณแข”
ลูกขุนพลอยพยักอย่างมลทิพย์พูดเสริมทันควัน
“อ้อ...ไม่ยักรู้กับไม่อยากเชื่อ”
ขวัญชีวาเน้นคำพูดพลางยิ้มแต่ดวงตาวาววับ “ทำไมหรือคะ
คนที่รู้จักกับคุณแขไขต้องเป็นคนระดับคุณลดาหรือพี่มลทิพย์เท่านั้น?
ระดับหนูวารู้จักไม่ได้?” ขวัญชีวาพูดย้อนอย่างไม่ต้องมีความเกรงใจกันแล้ว
เพราะไหนๆ เธอก็จะไม่อยู่บริษัทนี้อีกแล้ว เกลียดนักเชียวกับคนที่ชอบพูดจาดูถูก
คิดว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งคนถูกย้อนทั้งคู่ก็ถึงกับพูดไม่ออก
โดยเฉพาะกนกลดาที่ถือว่าตัวเองเป็นผู้บริหารของบริษัทรู้สึกอับอายคนนอกอย่างฌอนกับเดฟเป็นยิ่งนัก
ที่ถูกพนักงานในบริษัทพูดย้อนอย่างไม่เกรงใจ
แต่ยังไม่ทันพูดว่าอะไรออกไป
มลทิพย์ก็ชิงพูดแทนออกไปก่อนด้วยน้ำเสียงเยาะๆ เพราะอยากพูดเอาหน้า
กระทั่งลืมมารยาทว่าไม่ควรถามออกไปเช่นนั้น
“คนระดับอย่างคุณลดารู้จักคุณแขไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่เธอล่ะหนูวา จัดอยู่ระดับไหนไม่ทราบ”
คนไม่เคยพูดจาโอ้อวดใครถึงฐานะตัวเองมาก่อนอย่างขวัญชีวา
จากที่ยิ้มอยู่กลายเป็นหัวเราะออกมาเบาๆ
ที่เคยมองว่าพวกชอบโอ้อวดนามสกุลกันช่างไร้สาระ แต่ตอนนี้ขอทำตัวแบบนั้นบ้างเถอะ
“คนนามสกุลอริยะสัตย์เนี่ยจัดอยู่ระดับไหนได้บ้างล่ะคะพี่มลทิพย์”
มลทิพย์หัวเราะออกมาอย่างขบขันแบบคนที่ไม่รู้อะไรจริง
“นามสกุลอริยะสัตย์เหรอ พี่ไม่ยักเคยได้ยินมาก่อนเลย
ไม่รู้ว่าจะจัดให้อยู่ระดับไหน”
ปกรณ์ที่กำลังพาตัวเองเข้าสู่วงสังคมชั้นสูงมองไปยังขวัญชีวาด้วยสายตาตื่นตะลึง
“คุณขวัญชีวานามสกุลอริยะสัตย์หรือครับ”
“ใช่ค่ะ” ขวัญชีวาตอบน้ำเสียงเรียบ
“ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ
แต่จะว่าไปแล้วคุณปกรณ์เป็นผู้จัดการแผนกยังไม่รู้แล้วใครจะรู้ล่ะคะ”
คนพูดพูดประชดออกไปเพื่อความสะใจ หาได้มีความรู้สึกอย่างอื่นปะปนไม่
“แล้วคุณปกรณ์รู้จักคนนามสกุลนี้ด้วยหรือคะ”
“เอ้อ...ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอกครับ
แค่เคยได้ยินชื่อ”
“ใครหรือคะคุณกรณ์” กนกลดาเอ่ยถาม
เธอเคยได้ยินเหมือนกันแต่นึกไม่ออกเท่านั้น
“คุณเอกดนัย อริยะสัตย์ ไงครับลดา
ที่เป็นเจ้าของอริยะสัตย์กรุ๊ป เจ้าพ่อวงการก่อสร้างอันดับต้นๆ ของประเทศ”
ปกรณ์บอกน้ำเสียงแหบแห้ง ทั้งบังเกิดความเสียดายขึ้นมาอย่างท่วมท้น
คนที่นั่งฟังคำสนทนาทั้งจับสังเกตคนรอบข้างไปด้วยอย่างฌอนมองไปยังขวัญชีวาแล้วลอบยิ้ม
เขามองออกแต่แรกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ความเป็นมาไม่ธรรมดาหรอก ฟังจากคำพูด
เจ้าตัวเป็นคนเก็บงำประกายได้อย่างมิดชิดจริงๆ จนสามารถหลอกตาคนอื่นได้
“หนูวา นั่นพี่ชายแกเดินตรงรี่มาโน่นแน่ะ” กรวรรณสะกิดบอกเพื่อน
ขวัญชีวาหันขวับไปมองตามสายตาเพื่อนจึงเห็นชายหนุ่มร่างสูงผิวขาวในชุดกางเกงสแล็กส์สีเทาดำ
เสื้อเชิ้ตสีฟ้าริ้วขาวพับครึ่งศอกกำลังเดินตรงรี่มาหาเธอ
กฤตนัยพี่ชายคนโตของเธอนั่นเอง
“น้องหนู...”
“พี่กฤต มายังไงคะ” คนเป็นน้องทักอย่างดีใจ
“พี่กฤตมาได้ไงไม่สำคัญ
แต่น้องหนูล่ะมายังไงแล้วมากับใคร นี่ก็ค่ำแล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีกหือ”
พี่ชายผู้หวงน้องสาวยิ่งชีวิตยิงคำถามรัวใส่ทันที
น้องสาวยังไม่ทันตอบคำถามที่พรั่งพรูออกมาก็เจอคำพูดเป็นเชิงคำสั่งตามมาติดๆ
“เดี๋ยวกลับพร้อมพี่กฤตเลยแล้วกัน”
ขวัญชีวาทำหน้าเมื่อยก่อนจะบอกน้ำเสียงออดอ้อนที่เธอใช้ได้ผลเสมอกับทุกคนในครอบครัว
“พี่กฤตขา หนูมากับที่บริษัทค่ะ เดี๋ยวยังต้องขับรถไปส่งยายนกที่บ้านอีก”
กรวรรณยกมือขึ้นไหว้พี่ชายของเพื่อน
“สวัสดีค่ะพี่กฤต”
กฤตนัยยกมือรับไหว้แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นฌอน
เขารู้สึกว่าหน้าตาแบบนี้เขาเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน
เพียงแต่ตอนนี้นึกไม่ออกเท่านั้น
ครั้นหันไปทางเรือนไทยหลังที่ลูกค้าของเขานั่งอยู่และกำลังมองมาก็เกิดอาการละล้าละลังทันที
ขวัญชีวาเห็นดังนั้นจึงยิ้มตาใสบอกพี่ชาย
“พี่กฤตมากับลูกค้าไม่ใช่หรือคะ ไปเถอะค่ะไม่ต้องห่วง เดี๋ยวหนูก็กลับแล้ว”
“รีบกลับจริงๆ นะ” พี่ชายถามย้ำ
“แน่สิคะ พี่กฤตไปเถอะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่กฤตไปก่อน แล้วเจอกันที่บ้าน” พูดจบกฤตนัยก็หันไปมองฌอนอีกครั้ง
นึกหงุดหงิดที่นึกไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นใครก่อนจะเดินผละไป
“คนที่คุยกับคุณขวัญชีวาใช่คุณกฤตนัยหรือเปล่าครับ”
“ใช่ค่ะ พี่กฤตเป็นพี่ชายคนโตของหนูวาเอง” ขวัญชีวาบอกออกไปเพราะความหมั่นไส้
ทั้งที่ไม่ได้นึกอยากโอ้อวดใครเลยสักนิด
กนกลดาที่อึ้งตั้งแต่ได้ยินคนเป็นสามีบอกแล้ว
กฤตนัยคือสิ่งยืนยันว่าคำพูดดังกล่าวเป็นความจริง เพราะเธอเคยเห็นชายหนุ่มผู้นี้ตามงานสังคมมาหลายครั้ง
ตอนนี้ความอับอายที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้ากลับกลายเป็นความเสียหน้า
ผู้หญิงที่ตัวเองเคยนึกดูถูกดูหมิ่นตั้งแต่รู้ว่าสามีเคยไปเกี้ยวพา
ทว่าความเป็นจริงกลับมีความเป็นมาที่เหนือกว่าตัวเธอ
ต้องเรียกกว่าเหนือกว่ามากมายด้วยซ้ำ
มลทิพย์มีอาการไม่ต่างกันและดูเหมือนจะยิ่งกว่ากนกลดา
เพราะเธอเคยพูดจาดูถูกดูแคลนขวัญชีวาเอาไว้เยอะ
ไม่นึกเลยว่าผู้หญิงที่แต่งตัวแสนจะธรรมดาไม่ได้มีอะไรหรูหราเท่าเธอ
กระเป๋าที่ใช้ก็มีขายดาษดื่นทั่วไป เครื่องประดับสักชิ้นก็ไม่มีติดตัว
ขับรถก็เป็นอีโกคาร์คันเล็กๆ
“คนเมื่อกี้พี่ชายเธอจริงๆ หรือหนูวา”
มลทิพย์เอ่ยถามเสียงสั่นทั้งที่รู้ว่าเป็นคำถามไม่น่าถามออกไป
จากคำสนทนาเมื่อกี้ถ้าไม่โง่จนเกินไปย่อมฟังออกถึงความสัมพันธ์
อีกทั้งหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกันอีก
“พี่มลทิพย์ถามแบบนี้คงฟังจากคำพูดไม่เข้าใจหรือไม่ก็ดูหน้าตาไม่ออก
ตกลงแกล้งโง่หรือว่าโง่จริงๆ คะ” ขวัญชีวาพูดตอกกลับทันควัน
คนถูกว่าสะอึกแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไปอีก
ฌอนมองหน้าจืดเจื่อนของแต่ละคนที่ดูท่าทางแล้วบางคนคงจะกลืนอะไรลงคอยากด้วยความขบขันระคนสะใจ
เขาเองก็ถูกสั่งสอนมาแต่เล็กแต่น้อยว่าไม่ให้ดูถูกคนที่ด้อยกว่าเป็นอันขาด
ตอนนี้คนที่ดูมีความสุขกับการกินที่สุดคงเป็นหญิงสาวอีกคนที่เขาสังเกตเห็นว่ากินไม่ได้หยุดปาก
รวมทั้งคนสนิทของเขาด้วยที่ดูจะเจริญอาหารมากกว่าปกติ
ชายหนุ่มหันไปทางกนกลดากับปกรณ์แล้วถามเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
“คุณปกรณ์กับคุณกนกลดามีอาหารอะไรแนะนำอีกไหมครับ”
“ขอแนะนำทอดมันปลากรายค่ะ
ทอดมันของที่นี่จะทั้งเหนียวและนุ่มมากค่ะ และอีกอย่างคือหลนกุ้งสดกับผักสดค่ะ
รับรองว่าคุณฌอนต้องติดใจแน่ๆ”
กนกลดาที่ตอนนี้สีหน้าคืนกลับมาเป็นปกติแล้วอย่างคนเจนสังคมบอกยิ้มๆ
“ถ้าอย่างนั้นสั่งมาเลยครับ
รับรองว่าผมกินได้ทุกอย่าง” ฌอนบอกแล้วหันไปทางกรวรรณ
“อยากกินอะไรอีกก็สั่งมาได้เลยนะครับ”
คนถูกทักสะดุ้งเล็กน้อยพลางยิ้มอายๆ
แล้วจึงหันไปทางผู้เป็นเพื่อน
“หนูวา
ฉันยังไม่เห็นแกกินอะไรเลยนะนอกจากน้ำต้มยำ”
ขวัญชีวาหันไปมองค้อนเพื่อนที่พูดถึงเรื่องแสลงใจ
เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าตั้งแต่ชิมน้ำต้มยำยังไม่มีอาหารอะไรตกถึงท้องเลย
เพราะมัวแต่เผชิญกับเรื่องไร้สาระ ครั้นพอถูกถามความหิวจึงเริ่มบังเกิด
หันไปมองอาหารบนโต๊ะก็เห็นแต่ละจานพร่องลงไปแทบทุกอย่าง
คนที่จัดการคงไม่ใช่ใครนอกจากเพื่อนของเธอ
ขณะกำลังนึกว่าจะสั่งอะไรมากินดีคนเป็นเจ้าภาพก็พูดขึ้น
“อยากกินอะไรสั่งได้เลยนะครับ
นึกเสียว่าไถ่โทษที่ให้คุณชิมน้ำต้มยำเมื่อกี้”
หญิงสาวชำเลืองมองสีหน้าเรียบสนิทของคนพูดซึ่งฟังแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการไถ่โทษเลยสักนิด
จากที่ตอนแรกตั้งใจจะสั่งอาหารเกทับอีกฝ่ายให้สิ้นเปลืองเพื่อแก้แค้น
ตอนนี้ความคิดนั้นไม่ได้อยู่ในหัวอีกแล้ว เพราะทำอย่างนั้นไปก็ไม่มีประโยชน์
คนระดับนี้ค่าอาหารแพงแค่ไหนไม่ระคายเขาหรอก
ดูเหมือนว่าจะคิดทำอะไรกับเขาก็ไม่สำเร็จสักอย่าง แพ้ไปหมด
ถึงขั้นให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวเลยด้วยซ้ำ
ขวัญชีวาคิดอย่างเคืองขุ่นใจแล้วก็เรียกพนักงานมาหาแล้วสั่งอาหารประชด
“ขอไข่เจียวทรงเครื่องด้วยค่ะ”
กรวรรณได้ยินเพื่อนสั่งอาหารแล้วอดขำไม่ได้
“แกสั่งไข่เจียวทรงเครื่องเนี่ยนะ แทนที่จะสั่งอาหารแปลกๆ มากิน”
“แล้วแกจะให้ฉันสั่งต้มยำเครื่องในกุ้งหรือหัวใจกบมากินหรือไง
จะได้แปลกสมใจแก”
เดฟที่กำลังตักแสร้งว่าเข้าปากถึงกับสะดุ้ง
พลางก้มลงมองกุ้งในช้อนก่อนจะเอ่ยถาม “มีด้วยหรือครับเครื่องในกุ้ง”
“ไม่มีหรอกค่ะฉันแกล้งพูดออกไปอย่างนั้นเอง
เอ้อ...เค้กชาเขียวของที่นี่อร่อยมาก คุณเดฟไม่สั่งมากินล่ะคะ
รับรองว่าอร่อยกว่าที่ซื้อมาวันนี้อีกค่ะ”
คนถูกถามเกือบจะทำช้อนหลุดจากมือก่อนจะยิ้มแห้งๆ
“ผมกินอาหารไปเยอะคงกินขนมไม่ไหวแล้วครับ”
พูดจบก็มองไปยังคนเป็นนายพลางส่งค้อน
ซึ่งคนถูกค้อนก็อดยิ้มขำไม่ได้เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายเกลียดอะไรที่เป็นชาเขียวที่สุด
“อ้าว...นั่นไข่เจียวของแกมาแล้วหนูวา
มาเร็วทันใจดีแท้ แต่น่ากินชะมัดเลย”
ขวัญชีวามองไข่เจียวทรงเครื่องหน้าตาน่ากินที่พนักงานเอามาวางบนโต๊ะอย่างทึ่งๆ
เพราะจานที่ใส่นั้นทำมาจากฟักทองสีเหลืองแกะสลักเป็นรูปดอกไม้อย่างสวยงาม
กลิ่นหอมที่อวลขึ้นจมูกเรียกให้หญิงสาวตักใส่ปากเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย
ทว่ากินไปได้แค่คำเดียวเท่านั้นสีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเหยเก พลางยกมือขึ้นกุมท้องก่อนจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“โอย...”
สีหน้าเหยเกของหญิงสาวพร้อมกับเสียงร้องโอดโอยด้วยท่าทางเจ็บปวดทำเอากรวรรณที่กำลังจะตักไข่เจียวทรงเครื่องเข้าปากชะงักจนต้องวางช้อนลง
ก่อนจะหันไปถามอย่างตกใจ
“แกเป็นอะไรไปหนูวา”
“ฉัน...ปวดท้อง” ขวัญชีวาบอกเพื่อนพลางนั่งตัวงอยกมือขึ้นกุมท้อง
“ปวดท้อง! เป็นเพราะกินน้ำต้มยำเมื่อกี้เข้าไปหรือเปล่า”
คนเป็นเพื่อนสันนิษฐาน
ทำเอาสีหน้าของฌอนเริ่มเสีย
มองคนนั่งกุมท้องร้องโอดโอยด้วยความรู้สึกผิดที่ถาโถมขึ้นภายในใจ
เป็นเพราะเขาให้เธอชิมน้ำต้มยำนั่นแน่เลย
“คุณเป็นโรคกระเพาะอยู่หรือเปล่า”
“เคย...เป็นค่ะ” ขวัญชีวาตอบเสียงสั่น
คำตอบของหญิงสาวทำให้นักธุรกิจหนุ่มยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น
นี่เขาแกล้งเธอเกินกว่าเหตุไปหรือเปล่า
อาจเป็นเพราะเจ้าตัวกินเผ็ดเข้าไปโดยที่ยังไม่มีอาหารอะไรตกถึงท้อง
พอมากินอาหารเข้าจึงทำให้เกิดอาการเช่นนี้ “ผมขอโทษ...”
กฤตนัยที่คอยใช้สายตาเมียงๆ มองๆ มา
เพราะเรือนที่เขานั่งไม่ได้อยู่ห่างจากที่น้องสาวนั่งนัก
ทำให้สังเกตเห็นอากัปกิริยาผิดปกติได้ จึงรีบลุกขึ้นแล้วก้าวพรวดเข้ามาหาในทันใด
“น้องหนูเป็นอะไร”
ขวัญชีวาเงยหน้ามองพี่ชายพูดเสียงแผ่ว
“หนู...ปวดท้องค่ะพี่กฤต”
ท่าทางเจ็บปวดของน้องสาวสุดที่รักทำให้พี่ชายแทบอยากจะเจ็บแทนเสียเอง
ครั้นเห็นชามต้มยำบนโต๊ะก็นิ่วหน้าก่อนจะถามเสียงเครียด
“เพราะน้องหนูกินต้มยำนั่นหรือเปล่าถึงทำให้ปวดท้อง”
“ใช่...ค่ะ แค่ชิมคำเดียวเท่านั้น” คนเป็นน้องตอบเสียงอ่อย
“โธ่...รู้ว่ากินเผ็ดไม่ได้แล้วกินเข้าไปทำไมนะน้องหนู
ดูสิ น้ำแดงขนาดนั้นมองดูก็รู้ว่าเผ็ดมาก” กฤตนัยต่อว่า
ครั้นเห็นมือที่กุมท้องของน้องสาวตกลงก็ถามด้วยสีหน้าที่ดีขึ้น
“แล้วนั่นหายปวดแล้วหรือจ๊ะ”
“มันปวดๆ หายๆ ค่ะพี่กฤต แต่ตอนนี้ปวดอีกแล้ว”
คนพูดยกมือขึ้นมากุมท้องอีกครั้ง เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นจนเต็มหน้า
กฤตนัยหันกลับไปมองที่โต๊ะด้วยท่าทางละล้าละลัง
เพราะลูกค้าที่นั่งอยู่ก็สำคัญมาก กว่าจะหาโอกาสนัดหมายได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
ห่วงน้องสาวก็แสนห่วง ครั้นกวาดสายตามองคนบนโต๊ะ
ไม่มีใครที่เขาจะรู้จักและพอจะไว้ใจได้เท่ากรวรรณ
“นก พาน้องหนูไปโรงพยาบาลแทนพี่หน่อยนะ
พี่คุยกับลูกค้าเสร็จเรียบร้อยแล้วจะรีบตามไป”
คนถูกฝากฝังยังไม่ทันเอ่ยปากรับคำเพราะถูกฌอนชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ให้ผมเป็นคนพาไปโรงพยาบาลเถอะครับ
เพราะต้นเหตุมาจากผมที่ขอให้คุณขวัญชีวาเป็นคนชิมน้ำต้มยำจนต้องเป็นแบบนี้เอง
ผมชื่อ ฌอน เผิง หรือพชรครับ”
แม้จะอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน
ทว่ากฤตนัยก็พลันนึกออกว่าเคยเห็นและได้ยินชื่อชายหนุ่มผู้นี้มาจากไหน
ที่แท้เคยเห็นหน้าอีกฝ่ายจากในนิตยสารและได้ยินชื่อจากที่บิดาพูดถึงนั่นเอง
และไม่รู้เป็นเพราะอะไรทำให้เขายอมรับปากออกไปโดยไม่ต้องนึกไตร่ตรอง
ทั้งที่ไม่รู้จักอีกฝ่ายเป็นการส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ
“ถ้าอย่างนั้นผมฝากน้องสาวกับคุณด้วยแล้วกัน”
คนเป็นพี่ชายมองน้องสาวอีกครั้งอย่างห่วงกังวล
ทว่าเมื่อนึกว่ากรวรรณต้องไปด้วยอยู่แล้ว
ความรู้สึกดังกล่าวจึงค่อยคลายลงก่อนจะเดินผละกลับไปที่โต๊ะ
ฌอนหันไปมองสองสามีภรรยาที่ยังอยู่ในอาการตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ผมขอพาคุณขวัญชีวาไปโรงพยาบาลก่อนนะครับ”
“เชิญเลยค่ะ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง
ฝากคุณหนูวาด้วยนะครับคุณฌอน”
“ไม่ต้องฝากหรอกครับ
ผมต้องรับผิดชอบในตัวคุณขวัญชีวาอยู่แล้ว” พูดจบก็หันไปมองทางขวัญชีวา
“คุณพอจะเดินไหวไหม”
“พอไหวค่ะ”
“เดี๋ยวนกช่วยประคองเองค่ะคุณฌอน”
กรวรรณบอกชายหนุ่มตาใส
รู้สึกดีใจนักหนาที่จะได้ใกล้ชิดกับไอดอลแม้จะอยู่ในช่วงที่เพื่อนรักป่วยก็ตามที
“ผมอุ้มน่าจะดีกว่า”
คนพูดพูดจบก็ตวัดแขนอุ้มหญิงสาวที่ยังนั่งกุมท้องตัวเองอยู่แล้วเดินจ้ำพรวดๆ
ตรงไปยังรถที่จอด โดยมีกรวรรณที่ยังตกอยู่ในอาการตกตะลึงปนอึ้งอยู่กับที่
ซึ่งก็ไม่แพ้หลายคนที่นั่งมองอยู่เช่นกัน
คงมีเพียงเดฟเท่านั้นที่ไม่ได้นึกแปลกใจอะไร
ครั้นหันไปเห็นหญิงสาวที่ยังยืนอึ้งอยู่ก็เอ่ยถาม “ตกลงคุณจะไปด้วยกันไหม”
“ไป...ไปด้วยสิ”
คนถูกอุ้มโดยไม่ทันตั้งตัวได้แต่เกร็งตัวแข็งทื่อไม่กล้ากระดุกกระดิกแทบลืมหายใจ
ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบสามปีนอกจากบิดากับพี่ชายเธอไม่เคยใกล้ชิดใครมากเท่านี้มาก่อน
กลิ่นหอมจางๆ จากตัวเขาที่จมูกเธอสัมผัสอยู่สร้างความรู้สึกแปลกๆ
ที่ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรถูก กระทั่งเจ้าของอ้อมแขนเดินถึงรถแล้วเปิดประตูวางเธอลงบนเบาะนั่นแหละจึงค่อยคืนสติ
จะดิ้นรนขัดขืนตอนนี้ก็คงสายไปเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าพี่ชายของเธอเห็นไหม ไม่อยากจะคิดถึงผลลัพธ์
เพราะถ้าเห็นรับรองกลับไปถึงบ้านมีหวังได้ถูกตั้งกรรมการสอบสวนเป็นแน่
ตัวเธอไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่อีกฝ่ายกลับยกเธอขึ้นอุ้มอย่างสบาย
ท่าทางจะชำนาญเรื่องนี้ คงอุ้มใครอยู่บ่อยๆ เป็นแน่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ภายในใจก็เกิดความรู้สึกหมั่นไส้ระคนเคืองขุ่นขึ้นมาทันที
คนบ้า...ออกความเห็นปุ๊บก็ทำตามนั้นปั๊บ
ถามเธอสักคำสิว่าอยากให้อุ้มไหม!
แต่ถ้าเขาถามจริงๆ แล้วเธอจะตอบว่าไงล่ะ
ครั้นหันไปมองเพื่อนสนิทที่ตามเข้ามานั่งที่เบาะข้างๆ
ก็เห็นเจ้าตัวขยิบตาเจ้าเล่ห์ส่งมาให้
ขวัญชีวาจะทำยังไงได้นอกจากถลึงตาใส่กลบเกลื่อน
“อ้าว แกหายปวดท้องแล้วเหรอหนูวา”
เป็นเพราะมัวแต่คิดโน่นนี่จึงทำให้ขวัญชีวาลืมอาการปวดท้องไปชั่วขณะ
ขณะกำลังจะตอบเพื่อนหูก็ได้ยินฌอนบอกกับเดฟซึ่งเป็นคนขับว่า
“เดฟแกขับไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดนะ”
หญิงสาวสาวรีบบอกออกไปว่า
“ไปส่งที่โรงพยาบาลตรงซอยนานาดีกว่าค่ะเพราะมีบัตรคนไข้อยู่ที่นั่น
จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก”
ฌอนเหลียวไปมองคนพูดแล้วนึกในใจอย่างขบขันระคนเบิกบาน
ขนาดปวดท้องยังจะเลือกโรงพยาบาลอีกนะ แต่ก็เบือนหน้าบอกคนสนิท
“ไปตามที่คุณขวัญชีวาบอก”
ความคิดเห็น |
---|