1

บทนำ


บทนำ

 

ช่วงนี้คงไม่มีใครมีความสุขล้ำและน่าอิจฉาเท่าเจ้าสาวคนสวยอย่าง กนกลดา ทวิคุปต์ อีกแล้ว นอกจากจะ Lucky in game เพราะเพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรงสดๆ ร้อนๆ กับกิจการของครอบครัว ยัง Lucky in love กับเจ้าบ่าวรูปหล่อ ปกรณ์ ทวีชัย และยังได้ข่าวแว่วๆ ว่าทั้งคู่จะพากันบินไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ต่างประเทศ แต่จะเป็นที่ไหนคงต้องถ่างตาร้อนๆ รอติดตามกันนะคะ

 

ข้อความและภาพของเจ้าบ่าวหน้าตาหล่อเหลา ซึ่งกำลังจ้องดวงหน้าของเจ้าสาวคนสวยด้วยสายตาอันเปี่ยมไปด้วยความรัก บนหน้าข่าวสังคมของนิตยสารกอสซิปชื่อดัง ขวัญชีวามองแล้วต้องเม้มริมฝีปากแน่น นัยน์ตาคู่สวยพลันเอ่อล้นด้วยน้ำตา

ทว่าเป็นน้ำตาแห่งความคับแค้นใจมากกว่าจะเป็นความเจ็บช้ำอย่างที่ควรเป็น

“ไอ้ผู้ชายเส็งเคร็ง ไอ้คนสองหน้า ใครอยากจะไปติดตาม ขอให้หัวใจวายตายคาอกเถิดเจ้าประคู้น!” หญิงสาวส่งเสียงสาปแช่งออกไปดังๆ และเพราะความโมโห ทำให้เกือบเผลอเขวี้ยงนิตยสารในมือทิ้ง ถ้าไม่หวนนึกถึงคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ที่เคยบอกไว้ว่า หนังสือทุกเล่มไม่ว่าจะเป็นหนังสืออะไรก็แล้วแต่เปรียบประดุจเป็นครูของเรา ด้วยทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้และแง่คิดต่างๆ เหมือนกับที่เราได้รับเวลาครูสอน จึงยั้งมือไว้ได้ทัน

ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูค่อนข้างดังทำให้คนตกอยู่ในอารมณ์กรุ่นโกรธหันขวับไปมองก่อนจะส่ายหน้าไปมา รู้เลยว่าการเคาะเสียงดังแบบนี้ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากกรวรรณเพื่อนผู้แสนจะมือหนักของเธอ สมกับชื่อที่แปลว่ามือทองจริงๆ ไม่ถึงอึดใจต่อมาประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออกพร้อมด้วยเสียงที่มาก่อนตัว

“หนูวา หนูวา”

คนถูกเรียกจ้องเพื่อนตัวเล็กของเธอตาเขียว “แกจะเคาะทำไมนักหนายายนก รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่ได้ล็อกห้อง”

“ฉันก็เคาะตามมารยาท เกิดแกกำลังโป๊ขึ้นมาจะว่าไง” คนเคาะเถียงคอเป็นเอ็น ดวงหน้าประดับด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินไปทรุดนั่งลงที่สตูลหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ล้วงหยิบกล้วยทอดจากถุงที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย ครั้นเห็นนิตยสารที่ผู้เป็นเพื่อนถืออยู่และดวงหน้าเปื้อนคราบน้ำตาก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“ฉันไม่เข้าใจเลยว่าแกจะเอานิตยสารฉบับนี้มาดูทำไมนักหนา ดูเสร็จแล้วก็นั่งร้องไห้ จะร้องทำไมให้เสียน้ำตา”

คนร้องไห้ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำตาก่อนจะพูดน้ำเสียงเกรี้ยว “ที่ร้องไม่ได้หมายความว่าฉันเสียใจนะยายนกกระเต็น แต่เป็นเพราะเจ็บใจตัวเองต่างหากเล่าว่าไปหลงมัวเมาชอบผู้ชายเส็งเคร็งแบบตาปกรณ์นั่นได้ยังไง”

คนถูกเรียกยายนกกระเต็นฟังคำพูดของเพื่อนแล้วค่อยยิ้มออก “ฉันดีใจที่แกคิดแบบนี้ได้ ผู้ชายอย่างคุณปกรณ์ไม่มีคุณค่าและสำคัญเพียงพอสำหรับคนอย่างแกหรอกนังหนูวา จำได้ไหมฉันเคยเตือนแกแล้วว่า เขาไม่ได้คิดจริงจังกับผู้หญิงคนไหน เป้าหมายสำคัญที่เขาเล็งไว้แต่แรกคือคุณกนกลดาลูกสาวเจ้าของบริษัท”

คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงเจือแววเจ็บแค้นแทนพลางมองดวงหน้ารูปหัวใจของผู้เป็นเพื่อน ที่ตอนนี้หลงเหลือเพียงคราบน้ำตาจางๆ ทิ้งไว้เท่านั้น

“นั่นสินะ...ฉันมันแค่พนักงานต๊อกต๋อย ไม่ใช่ลูกสาวเจ้าของบริษัทอย่างคุณกนกลดา หน้าตาก็ไม่สวยเข้าขั้น” คำพูดดังกล่าวราวประชดประชันทว่าดวงตากลมโตนั้นวาวโรจน์

“แหม...คุณขวัญชีวาขา คำว่าพนักงานต๊อกต๋อยน่ะเป็นเพราะตัวแกทำตัวเองต่างหากล่ะ ฉันอยากรู้นักว่าใครหนอจะมีความคิดอะไรแผลงๆ พิลึกพิลั่นเหมือนแกบ้าง หรือที่ผ่านมาแกคิดว่ากำลังสวมบทบาทเป็นนางเอกละครหลังข่าว ที่ต้องปลอมตัวเป็นหญิงสาวผู้ยากจนข้นแค้นเพื่อแสวงหารักแท้หรือไง”

กรวรรณพูดน้ำเสียงสูงพลางมองผู้เป็นเพื่อนอย่างขวางๆ ระคนหมั่นไส้ เจ้าตัวเป็นถึงบุตรสาวคนเล็กของตระกูลอริยะสัตย์ ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับการก่อสร้างรายใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ ที่มุ่งเน้นไปทางด้านสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ อย่างพวกโรงพยาบาลหรือโรงงานอุตสาหกรรมมากกว่าที่อยู่อาศัย

แต่ขวัญชีวาไม่อยากทำงานกับครอบครัว ขอออกมาทำงานข้างนอก และเจ้าตัวเป็นคนที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักนักเพราะไม่ชอบออกงานสังคม มักจะทำตัวติดดิน กินข้าวแกงริมถนน ขึ้นรถเมล์มาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว คงมีเธอซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่รู้ตื้นลึกหนาบางว่าอีกฝ่ายชอบทำตัวธรรมดาทั้งที่ไม่ธรรมดา

ขวัญชีวาถูกเพื่อนค่อนว่าแทนที่จะสลดกลับหัวเราะคิกอย่างชอบอกชอบใจ เพราะอดขำคำพูดที่ว่าเธอปลอมตัวเพื่อแสวงหาหารักแท้ไม่ได้ ซึ่งคำพูดดังกล่าวไม่ได้ฟังครั้งแรกแต่ฟังมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

“รักแท้ที่แกว่าคงมีแต่ในนิยายหรือละครเท่านั้นแหละยายนก ชอบเอาแต่เรื่องเดิมๆ มาพูดไม่รู้จักเบื่อบ้างหรือไงนะ อย่างเรื่องที่แกค่อนขอดหาว่าความคิดฉันแผลง พิลึกพิลั่น ฉันบอกแกไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าไม่อยากทำงานกับที่บ้าน ถ้าทำป่านนี้คงถูกคุณพี่ชายทั้งสามควบคุมจนกระดิกตัวไปไหนไม่ได้เหมือนตอนนี้หรอก”

ประโยคท้ายสุดคนพูดพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย กว่าเธอจะขอออกมาทำงานข้างนอกได้ก็ต้องพูดชักแม่น้ำทั้งห้าอ้อนวอนบิดากับบรรดาพี่ๆ ของเธอนานนับเดือนจนน้ำลายบูดแล้วบูดอีก โชคดีที่มารดาช่วยพูด ไม่งั้นคงไม่สำเร็จอย่างแน่นอน

กรวรรณฟังแล้วก็หัวเราะเสียงดังเพราะเรื่องที่อีกฝ่ายพูดไม่ได้เกินความจริง ขวัญชีวานั้นเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวและเป็นน้องเล็กสุดของพี่ชายอีกสามคน ที่หวงน้องสาวราวกับจงอางหวงไข่ก็ไม่ปาน

“ที่ฉันพูดซ้ำซากก็เพราะหมั่นไส้คนรวยที่ชอบทำตัวเป็นคนจนอย่างแกต่างหากเล่านังหนูวา แหม...ฉันเห็นมีแต่คนจนชอบทำตัวเป็นคนรวย ยกตัวอย่างก็ยายน้ำหวานไง ชอบอวดร่ำอวดรวยใช้กระเป๋าต้องแบรนด์เนม ใบหนึ่งเป็นแสน บินไปชอปปิงเสื้อผ้าที่ฮ่องกงหรือเวเนเชียนในมาเก๊า ต้องใส่เสื้อยี่ห้อพราด้า คริสเตียนดิออร์ รองเท้าคู่ละหลายหมื่น กินของข้างถนนไม่ได้ต้องเข้าแต่ร้านอาหารมีชื่อ โธ่...แกรวยกว่ายายนั่นตั้งเท่าไหร่ไม่เห็นจะต้องโอ้อวดใคร ฉันอยากรู้นักว่าถ้าเกิดคุณปกรณ์รู้ว่าแกเป็นลูกใครจะทำหน้ายังไง คนอะไรตาต่ำเป็นตาตุ่มเชียว มองคนแค่ที่ภาพลักษณ์ภายนอก แล้วที่แกพูดว่าหน้าตาสวยไม่เข้าขั้นน่ะเป็นเพราะไม่รู้จักแต่งเองต่างหาก”

กรวรรณพูดจนแทบลืมหายใจพลางมองดวงหน้ารูปหัวใจของคนที่บอกสวยไม่เข้าขั้นซึ่งประกอบไปด้วยดวงตาคู่โตภายใต้คิ้วเรียวโค้งจดหางตา ที่ไม่ต้องไปสักคิ้วสารพัดมิติอย่างที่หญิงสาวสมัยนี้นิยมทำกัน ทั้งสองอย่างนับเป็นจุดเด่นสุดของใบหน้าเลยก็ว่าได้ จมูกโด่งสวยปลายเชิดเล็กน้อยที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนดื้อรั้นไม่ยอมใคร ขัดกับบุคลิกลักษณะเรียบร้อยที่มักแสดงออกให้ผู้อื่นเห็น

เพื่อนของเธอไม่ได้เป็นคนสวยเลอเลิศจนใครเห็นต่างพากันมองเหลียวหลัง แต่จัดเป็นคนที่ใครมองแล้วต้องหันกลับมามองซ้ำมากกว่า จากผิวเนียนสวยแปลกตาจะขาวก็ไม่ใช่จะเหลืองก็ไม่เชิง ถ้าปัดผมยาวๆ ที่เจ้าตัวชอบนำมาปิดบังใบหน้าตัวเองไว้ออก หรือไม่ก็เลิกเกล้ามวยผมเป็นคนแก่คงเป็นจุดสนใจมากกว่านี้

ฉับพลันความคิดอะไรบางอย่างก็วาบเข้ามาในหัวสมองของกรวรรณจนต้องกลั้นยิ้มเอาไว้ เมื่อนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา

“ถ้าฉันไม่ทำตัวซอมซ่อก็คงไม่รู้หรอกว่าคนสมัยนี้มองคนที่ภาพลักษณ์ และยังพลอยได้เห็นสันดานของมนุษย์ผู้ชายด้วย”

“แกอย่าเหมารวมอย่างนั้นสิหนูวา ต้องบอกว่ามนุษย์ผู้ชายบางคนเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคน ผู้ชายดีๆ ไม่ใช่มีแต่ในนิยายหรือละครหรอกน่า แกจำไม่ได้หรือที่ใครต่อใครมักจะบอกว่าชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย แล้วฉันคิดว่าที่แกบอกว่าชอบคุณปกรณ์น่าจะเป็นแค่หลงมากกว่า เพราะถ้าชอบจริงอาการของแกน่าจะหนักหนากว่านี้ ฉันพูดถูกไหมล่ะ”

คนถูกว่าหลงมากกว่ารักคิดใคร่ครวญตามแล้วก็เริ่มไม่แน่ใจตัวเอง นั่นสินะ...อาจจะเป็นอย่างที่ผู้เป็นเพื่อนพูดก็ได้ เพราะความรู้สึกของเธอเวลานี้ไม่ใช่อาการของคนอกหัก แต่เป็นคับแค้นใจมากกว่า

ปกรณ์ที่กำลังตกอยู่ในหัวข้อของการสนทนาเป็นผู้จัดการบริษัทจัดจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เธอและกรวรรณทำงานอยู่ โดยผู้เป็นเพื่อนทำงานที่บริษัทแห่งนี้มาก่อนแล้วจึงชักชวนเธอมาทำด้วย

“ก็คงจริงอย่างที่แกพูด เลิกพูดถึงผู้ชายคนนี้กันเถอะ แล้วนั่นแกถือนิตยสารอะไรมาด้วยยายนก” ขวัญชีวาเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นในมือของเพื่อนนอกจากจะมีถุงกล้วยทอดที่เจ้าตัวกำลังหยิบกินไม่หยุดปากแล้ว ยังถือนิตยสารติดมือมาด้วย

“อ๋อ นิตยสาร คู่สร้างคู่รัก น่ะ” คนถูกถามตอบพลางก้มลงมองสิ่งที่ถืออยู่ “มีหลายคนบอกฉันว่าคอลัมน์ดูดวงในนี้น่ะโคตรแม่นเลย เรียกว่าเป็นจุดเด่นของนิตยสารหัวนี้เลยก็ว่าได้” คนพูดพูดน้ำเสียงตื่นเต้นเพราะตัวเองเชื่อเรื่องพวกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่คนฟังอย่างขวัญชีวาฟังแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เชื่อถือ

“ยายนกแกนี่งมงายไม่เข้าเรื่อง ฉันเคยบอกแกหลายหนแล้วว่านิตยสารดูดวงน่ะส่วนใหญ่จะทำนายแบบครอบคลุมหรือโดยภาพรวม ใครเข้าข่ายก็เชื่อเป็นตุเป็นตะว่าเป็นเรื่องจริง แต่ในทางกลับกันบางคนดูตามดวงบอกว่าจะโชคดีอย่างนั้นอย่างนี้แต่ก็ไม่เห็นเป็นจริง”

“เรื่องแบบนี้ถ้าแกไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่” คนเชื่อสวนทันควัน “แล้วดูไปก็ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนนี่นา มา...เดี๋ยวฉันดูให้ แกเกิดราศีธนูนี่นา” พูดพลางก็เปิดนิตยสารที่หน้าปกเป็นรูปพระเอกนางเอกจากละครเรื่องดังที่กำลังออกอากาศอยู่ในขณะนี้ จากนั้นก็พลิกไปยังหน้าดูดวงแล้วมองหน้าเพื่อน “เรื่องงานกับการเงินฉันขอข้ามนะเพราะคนอย่างแกไม่มีปัญหาด้วยเรื่องสองเรื่องนี้อยู่แล้ว”

คนไม่เชื่อเรื่องดวงถอนหายใจเฮือกใหญ่ คร้านที่จะเถียงจึงพยักหน้าออกไปอย่างแกนๆ “เออ ตามใจแกเหอะ”

กรวรรณยิ้มกว้างถูกใจแล้วอ่านคำทำนายในนิตยสารให้ฟังด้วยน้ำเสียงอันดังฟังชัด “คนเกิดราศีธนูเป็นคนรักใครยาก ดังนั้นความรักที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจึงเป็นแค่สายลมพัดผ่านมาแล้วก็พัดผ่านไป” คนอ่านละสายตาจากนิตยสารมองหน้าเพื่อน “แค่ขึ้นต้นก็แม่นแล้วนะหนูวา แกเป็นคนรักใครยากอย่างที่นิตยสารบอกจริงๆ”

ขวัญชีวาฟังแล้วอึ้งเล็กน้อย เพราะความจริงเธอก็เป็นคนรักใครยากจริงๆ ที่ผ่านมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยใช่ว่าจะไม่มีใครมาจีบ แต่เธอไม่เคยสนใจเองต่างหาก กระทั่งมาเจอปกรณ์ที่ไม่รู้อะไรดลใจให้เธอหวั่นไหวไปกับคำพูดหวานๆ ของอีกฝ่าย ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายจะแต่งงานทั้งๆ ที่ปากบอกว่าชอบเธอ หญิงสาวจึงรู้สึกแค้นใจนักหนา

“อย่างที่ฉันบอกแกเมื่อกี้นั่นแหละ ที่แกคิดว่ารักคุณปกรณ์อาจเพียงแค่หวั่นไหวเท่านั้น เพราะผู้ชายคนนี้เป็นคนพูดจาไพเราะอ่อนหวานจนคนฟังเคลิ้มมานักต่อนักแล้ว” กรวรรณพูดราวกับล่วงรู้ว่าภายในใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่

“เอาละ แล้วยังไงต่อ” คนเกิดราศีธนูถาม ไม่ใช่เพราะอยากรู้แต่จะได้จบๆ แล้วเลิกพูดเรื่องนี้เสียที

คนถูกเร่งเร้ากวาดตามองตัวอักษรตรงหน้าแล้วยิ้มกว้างราวกับถูกอกถูกใจคำทำนายที่กำลังจะอ่าน “ภายในเดือนนี้สาวราศีธนูบางคนจะพบกับรักแท้ จงเตรียมตัวเตรียมใจของท่านเอาไว้ให้พร้อม”

ขวัญชีวาฟังแล้วถึงกับส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เชื่อถือ “เฮ้อ...หลงฟังอยู่ตั้งนาน รักแท้บ้าบอที่ไหนกันล่ะ แกก็รู้ว่าฉันเพิ่งจะอกหักมาหยกๆ”

คนพูดว่าเพิ่งอกหักมาหยกๆ ดวงตาที่เห็นไม่ได้ฉายแววหรือบ่งบอกถึงความเศร้าโศกเสียใจเลยสักนิด จนกรวรรณฟังแล้วอดหัวเราะคิกออกมาไม่ได้

“ฉันเพิ่งรู้ว่าคนอกหักหน้าตาเป็นแบบแก ส่วนเรื่องคำทำนายในนิตยสารถ้าแกไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดในโลกนี้บางเรื่องเหลือเชื่อจะตาย ทุกอย่างอยู่ที่โชคชะตากับฟ้าลิขิต” กรวรรณพูดยิ้มๆ “เดี๋ยวฉันจะไปธุระแถวๆ บางจาก แกไปเป็นเพื่อนหน่อยสิหนูวา”

“แกจะไปทำไมที่นั่น”

คนถูกถามยิ้มกริ่ม “เอาน่า แกแค่ไปเป็นเพื่อนฉันเท่านั้นก็พอ”
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น