2
ตอนที่ 1...หมอดูแม่นๆ
ขวัญชีวาขับรถยนต์คันเล็กรุ่นยอดนิยมที่เธอเก็บเงินซื้อเองโดยไม่พึ่งทางบ้านแม้แต่สตางค์แดงเดียวเข้าไปในซอยลึกตามคำบอกของคนนำทาง ก่อนจะจอดหน้าเรือนไม้ซึ่งอยู่หลังสุดท้ายในซอย ภายในรั้วไม้ระแนงสีน้ำตาลเข้มท่ามกลางความครึ้มของร่มไม้ใหญ่ บรรยากาศโดยรวมดูวังเวงอย่างบอกไม่ถูกจนต้องหันไปถามผู้เป็นเพื่อน “แกจะมาทำไมที่นี่หรือยายนก”
“เอาน่าเดี๋ยวแกก็รู้เอง” กรวรรณพูดกำกวมต่อ
ขวัญชีวาลดกระจกลงแล้วเหลียวมองไปรอบๆ จึงเห็นต้นลั่นทมปลูกอยู่สองข้างทาง ถึงแม้จะออกดอกขาวพราวสวยอยู่เต็มต้น ทว่าด้วยรูปร่างของลำต้นที่ไร้ใบของมันกับกลิ่นหอมเอียนๆ ที่โชยมาเข้าจมูก บวกกับบรรยากาศวังเวงของยามแดดร่มลมตก เรียกให้ขนอ่อนที่แขนของหญิงสาวลุกชันขึ้นมาทันที และคนไวต่อความรู้สึกอย่างเธอก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงหันขวับไปจ้องหน้าผู้เป็นเพื่อนตาเขม็ง
“แกชวนฉันมาเป็นเพื่อนเพื่อมาหาหมอดูใช่ไหมยายนก”
รอยยิ้มแหยๆ บนใบหน้าของผู้เป็นเพื่อนคือคำตอบได้เป็นอย่างดี
“อาจารย์จันทร์ทิพย์ไม่ใช่หมอดู แต่เป็นผู้ที่หยั่งรู้อนาคต”
“แกหมายถึงอาจารย์จันทร์ทิพย์ที่เคยมาออกทีวีรายการสัมผัสที่หกน่ะเหรอ”
คราวนี้ดวงหน้าเล็กๆ ของกรวรรณปรากฏรอยยิ้มกว้างเกิดขึ้น “แกรู้จักอาจารย์ด้วยเหรอหนูวา”
คนถูกถามส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่า เผอิญแม่ฉันนั่งดูกับป้าสายแล้วฉันเดินผ่านเลยเห็น เฮ้อ...แกนะแก อุตส่าห์ดั้นด้นพาฉันมาซะไกลเพื่อมาดูหมอนี่นะ”
“ฉันบอกแล้วไงว่าอาจารย์ไม่ใช่หมอดู แล้วที่ต้องมาเพราะฉันนัดอาจารย์ล่วงหน้าไว้แล้วไง” กรวรรณพูดน้ำเสียงอ้อมแอ้ม “แกรู้ไหมหนูวา ตั้งแต่อาจารย์ไปออกทีวีวันนั้นก็กลายเป็นคนดัง ใครต่อใครก็อยากให้อาจารย์ดูดวงให้ทั้งนั้น ฉันต้องจองคิวตั้งสองเดือนกว่าจะนัดดูได้”
“จองคิวสองเดือนเนี่ยนะ” ขวัญชีวาอุทานเสียงสูงพลางมองหน้าเพื่อนอย่างระอา “แกช่างมีความมานะพยายามกับเรื่องแบบนี้จังนะยายนก แล้วที่แกเรียกอาจารย์อะไรนี่ว่าเป็นผู้หยั่งรู้อนาคตความจริงก็คือหมอดูดีๆ นี่เอง”
คนเชื่อและศรัทธาเรื่องแบบนี้ขึ้นสมองค้อนผู้เป็นเพื่อนตาแทบกลับ “แกไม่รู้อะไรนังหนูวา อาจารย์คนนี้นะ ดูแม่นยังกับตาเห็น สมกับชื่อผู้หยั่งรู้อนาคต ตามที่ฉันรู้คนมาหาล้วนแล้วแต่เป็นคนดังแทบทั้งนั้น มีทุกสาขาอาชีพเลยก็ว่าได้ ทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ คนในแวดวงไฮโซ พวกดาราระดับพระเอกนางเอกรวมทั้งนักร้องดังด้วยนะ”
คนไม่เชื่อและศรัทธาเรื่องแบบนี้มองหน้าคนเชื่อพลางส่ายหน้าอย่างปลงๆ “แกนะแก จะจริงจังอะไรนักหนากับเรื่องแบบนี้ ฉันบอกแล้วไงว่าหมอดูคู่กับหมอเดาที่ใช้หลักจิตวิทยาเป็นส่วนประกอบในการดู อย่างผู้หญิงเวลาไปดูหมอส่วนใหญ่จะมีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แค่ดูจากหน้าตาอมทุกข์ก็คาดเดาได้อยู่แล้ว ต่อให้คนไม่ใช่หมอดูอย่างฉันยังเดาออกได้เลย”
“มันไม่จริงเสมอไปหรอกหนูวา” คนเชื่อถือหมอดูเถียงออกไปทันควันอย่างไม่ยอมแพ้
“ไม่จริงยังไง ไหนแกลองพูดมา”
“แกจำไม่ได้หรือตอนฉันใกล้จะจบ ฉันมาดูดวงกับอาจารย์คนนี้ กะจะถามถึงเรื่องงานที่ฉันสมัครไปเท่านั้น แต่จู่ๆ อาจารย์ดันทักขึ้นมาว่าฉันจะพบกับความสูญเสีย หลังจากนั้นไม่นานปู่ฉันก็เป็นลมตายทั้งๆ ที่ร่างกายท่านแข็งแรงแถมไม่มีโรคประจำตัวด้วย แล้วจะไม่ให้ฉันเชื่อได้ยังไง อย่างนิตยสาร คู่สร้างคู่รัก ที่ดูดวงแม่นนั่นฉันเห็นด้วยที่แกว่าเป็นภาพรวม แต่เรื่องการทักทายต่อหน้าแล้วเป็นจริงตามนั้นไม่ได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ นะเพราะเหมือนแช่ง”
คนฟังเกือบจะพูดท้วงออกไปแล้วว่าเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าเพราะปู่ของอีกฝ่ายอายุมากแล้ว แต่ยั้งปากไว้ได้ทันเพราะพูดไปตอนนี้คงไม่มีประโยชน์อะไร ในเมื่อปักใจเชื่อไปแล้ว ซึ่งครั้งนั้นเธอไม่ได้มาด้วยเพราะติดธุระ
“เอาละไหนๆ ก็มาแล้ว ฉันอยากรู้นักว่าที่แกอุตส่าห์รอคิวตั้งสองเดือนจะแม่นขนาดไหน”
พูดจบคนไม่เชื่อเรื่องหมอดูก็เปิดประตูก้าวลงจากรถเดินนำไปยังรั้วบ้าน แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะหันไปถามเพื่อนด้วยความสงสัย “ไหนแกบอกว่าอาจารย์คนนี้ดูดวงแม่นนักไงล่ะ แล้วยังเคยออกทีวีด้วย แต่ไม่ยักเห็นมีคนมาหาเลย เงียบยังกับไม่มีใครอยู่เลยด้วยซ้ำ”
ที่ขวัญชีวาถามออกไปเพราะสงสัยจริงๆ ปกติบ้านของหมอดูหรือที่หลายคนเรียกว่าตำหนัก ตามที่เคยเห็นผ่านตาจากหนังสือพิมพ์หรือในโทรทัศน์มักจะพลุกพล่านและวุ่นวายจากผู้คนที่แวะเวียนมาหา ต่างกับบ้านที่เธอกำลังยืนอยู่ในขณะนี้ซึ่งดูเงียบเชียบราวกับไม่มีคนอยู่ แม้แต่สุนัขสักตัวก็ยังไม่เห็น
“แหม...นังหนูวา คนที่มาดูอาจจะกลับไปช่วงก่อนหน้าที่เราจะมาก็ได้ แกเดินตามฉันมาแล้วกัน”
กรวรรณบอกพลางเปลี่ยนจากผู้ตามเป็นก้าวนำตรงไปยังรั้วบ้านแล้วเอื้อมมือจะกดกริ่ง ทว่ายังไม่ทันได้กด ประตูรั้วก็ถูกเปิดออกโดยหญิงวัยกลางคนร่างผอมบาง แต่งกายในชุดผ้าซิ่นสีเข้มกับเสื้อสีขาวเรียบๆ ดวงหน้าเฉยชานั้นติดจะบึ้งตึง ทำเอาขวัญชีวาที่ยืนอยู่ด้านหลังเกือบร้องกรี๊ดด้วยความตกใจที่อีกฝ่ายจู่ๆ ก็โผล่ออกมา
“เชิญข้างในค่ะ” น้ำเสียงเยือกเย็นไม่ต่างกับหน้าของหญิงวัยกลางคนบอกก่อนจะยืนคอยเพื่อปิดประตู
“ขอบคุณมากค่ะป้าเยื้อน”
กรวรรณบอกแล้วเดินนำเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย แต่คนที่เดินตามหลังอดพูดออกมาเบาๆ ไม่ได้เมื่อเห็นเจ้าของร่างผอมบางเดินลับหายจากสายตาไปแล้ว
“ถ้ามาตอนมืดๆ ฉันต้องนึกว่าไม่ใช่คนแน่ นอกจากหน้าตายังกับคนโบราณ ชื่อก็ยังไม่ต่างกันอีก”
“ป้าเยื้อนเป็นแม่บ้านของอาจารย์ หน้าตาแกเป็นแบบนี้แหละ ตอนฉันเห็นครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนแกนั่นแหละ” กรวรรณอธิบายให้เพื่อนฟังยิ้มๆ แล้วเดินนำเข้าไปภายในบ้านอย่างคุ้นเคย ก่อนจะทรุดนั่งลงบนชุดเก้าอี้ไม้รับแขกบุด้วยเบาะสีแดงซึ่งตั้งอยู่ริมหน้าต่าง
แม่บ้านเจ้าของใบหน้าเฉยชาไร้ความรู้สึกเดินถือถาดน้ำเย็นสองแก้วมาวางให้ตรงหน้าแล้วก็เดินจากไป ขวัญชีวายกแก้วน้ำที่มีกลิ่นของดอกมะลิจางๆ ขึ้นดื่มอย่างชื่นใจ ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ อย่างนึกประหลาดใจ เพราะถ้าไม่บอกว่าเจ้าของบ้านเป็นหมอดูหรือที่ผู้เป็นเพื่อนเรียกว่าผู้หยั่งรู้อนาคต บ้านหลังนี้ก็เหมือนบ้านโดยทั่วไปและดูน่าอยู่กว่าบ้านตึกสูงๆ ใจกลางกรุงเสียด้วยซ้ำ
ทางมุมด้านขวามือของตัวห้องมีโต๊ะหมู่บูชาซึ่งมีพระพุทธรูปหลายองค์วางตั้งลดหลั่นกัน กระถางธูปที่วางอยู่ด้านหน้ามีธูปที่ถูกจุดแล้วปักอยู่หลายสิบดอก บ่งบอกให้รู้ว่าก่อนหน้ามีคนมาที่นี่ กลิ่นของธูปยังลอยอบอวลอยู่ในอากาศแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะหน้าต่างยาวเกือบจดพื้นที่เปิดกว้างอยู่ช่วยระบายออกไป พวงมาลัยมะลิสดที่วางอยู่บนพานทองส่งกลิ่นหอมรวยริน ช่วยทำให้บรรยากาศของห้องดูผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น บวกกับสายลมยามเย็นพัดโชยมากระทบผ้าม่านสีขาวผืนบางจนปลิวไสว กระทั่งมากระทบกับผิวกายจนเย็นฉ่ำโดยไม่ต้องพึ่งแอร์คอนดิชันเลยสักนิด บนผนังด้านซ้ายมือของห้องมีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงและพระราชินีประดับอยู่
“ยายนก...” ขณะขวัญชีวากำลังจะเอ่ยถามผู้เป็นเพื่อนถึงเจ้าของบ้านก็พลันสะดุ้งสุดตัวเมื่อเหลือบเห็นหญิงวัยกลางคนผิวขาว หน้าตางดงามสมวัยในชุดผ้าซิ่นสีน้ำตาลเข้มลายขวางกับเสื้อลูกไม้คอปิดแขนสี่ส่วนสีขาว เดินออกมาจากหลังกระถางต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างประตู มีกรรไกรอันเล็กๆ ถืออยู่ในมือ หญิงสาวลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก นึกในใจว่าดีนะที่เธอไม่ได้พูดอะไรถึงอีกฝ่ายออกไป
“ขอโทษที่ทำให้รอ” หญิงวัยกลางคนพูดขอโทษด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแล้วจึงเดินมาทรุดนั่งลงฝั่งตรงกันข้าม
“สวัสดีค่ะอาจารย์ ไม่ได้รออะไรนานหรอกค่ะ” กรวรรณยกมือขึ้นไหว้แล้วจึงหันไปพูดแนะนำกับผู้เป็นเพื่อน “หนูวา นี่อาจารย์จันทร์ทิพย์”
ขวัญชีวายกมือขึ้นไหว้ “สวัสดีค่ะ”
ดวงตาคมกริบของคนที่ถูกเรียกว่าผู้หยั่งรู้อนาคตจ้องไปยังหญิงสาวผู้นั่งอยู่ตรงข้ามเขม็งแล้วยิ้มจางๆ ออกมา “ความเชื่อและความศรัทธาเป็นสิ่งที่บังคับใจกันไม่ได้ ฉะนั้นบางสิ่งบางอย่างต้องเกิดกับตัวเองถึงจะรู้แจ้งเห็นจริง ใช่ไหมจ๊ะหนู”
คำถามสุดท้ายแม้จะเอ่ยขึ้นมาโดยไม่เจาะจงถามใคร แต่ขวัญชีวารู้โดยสัญชาตญาณว่าอีกฝ่ายถามเธอ “ค่ะ”
คำตอบรับของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มให้เกิดบนใบหน้าคนถาม “มากันตั้งนานแล้วทำไมถึงเพิ่งเข้ามากันล่ะ”
คำถามดังกล่าวทำเอาขวัญชีวาอดสะดุ้งระคนประหลาดใจไม่ได้ เพราะตรงที่รถจอดซึ่งอยู่นอกรั้วกับตัวบ้านห่างกันไม่ใช่น้อย ไฉนอีกฝ่ายจึงรู้ว่ามีคนมาและยังรู้อีกว่ามากันนานแล้ว
กรวรรณเป็นฝ่ายตอบออกมายิ้มๆ ว่า “อ๋อ พอดีเพื่อนหนูชอบต้นไม้ค่ะอาจารย์ เลยหยุดคุยกันเรื่องนี้”
“อ๋อ ชอบต้นไม้” เจ้าของบ้านพูดพลางยิ้มกริ่ม ดวงตาฉายแววบางอย่างออกมาราวกับรู้เท่าทัน “แล้วครั้งนี้หนูจะมาดูเรื่องอะไรหรือ”
คนถูกถามฉีกยิ้มกว้างพลางชำเลืองไปทางผู้เป็นเพื่อนแวบหนึ่ง “ที่หนูนัดครั้งนี้ไม่ได้มาดูเองหรอกค่ะแต่จะให้อาจารย์ดูให้เพื่อน”
“หมายถึงหนูคนนี้น่ะหรือจ๊ะ” คนถามเบือนหน้ามองไปยังหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่นั่งนิ่งๆ อยู่พลางอมยิ้ม
“ใช่แล้วค่ะอาจารย์” กรวรรณตอบแล้วหันไปพูดกับเพื่อนด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้กับสายตาขวางๆ ของอีกฝ่ายที่มองอยู่ “แกอยากรู้เรื่องอะไรถามอาจารย์ไปเลยหนูวา”
คนถูกมัดมือชกมองหน้าคนถามอย่างขุ่นเคือง ที่นอกจากจะให้ขับรถพามาแล้วยังมัดมือชกให้เธอดูสิ่งที่ไม่เชื่อถืออีก แล้วตอนนี้จะให้เธอทำอย่างไรได้ จะปฏิเสธก็จะเป็นการเสียมารยาท ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือยอมตกกระไดพลอยโจนตามน้ำ
แล้วคนไม่เชื่อเรื่องหมอดูอย่างเธอจะถามเรื่องอะไรออกไปดีล่ะ มันน่าจับแม่เพื่อนตัวดีมาทุบเสียให้น่วมนัก! จะถามถึงเรื่องงานก็ผ่านไปได้เลยเพราะเธอจะลาออกอยู่แล้ว จะถามเรื่องความรัก เชอะ...ผู้ชายในโลกล้วนแล้วแต่นิสัยเลวๆ ทั้งนั้น ยกเว้นคนในครอบครัว ดังนั้นต่อไปนี้อย่าหวังว่าเธอจะเปิดใจให้ใครง่ายๆ อีกเลย
จะถามเรื่องโชคลาภก็ไม่เคยซื้อหวย แล้วจะมีโชคได้อย่างไร
ยังไม่ทันที่ขวัญชีวาจะนึกสรรหาคำถามยอดฮิตที่กำลังคิดอยู่ในใจออกไป เสียงของหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าก็ดังกังวานขึ้นทำลายความคิดคำนึงของเธอขึ้นมาเสียก่อน ราวกับเข้ามานั่งอยู่ในใจของเธอกระนั้น
“ที่ไม่รู้จะถามอะไรเป็นเพราะใจไม่เชื่อเรื่องแบบนี้อยู่แล้วใช่ไหมจ๊ะ”
คนถูกถามนิ่งอึ้ง นี่นอกจากจะหยั่งรู้อนาคต ยังหยั่งรู้ความในใจของเธอด้วยหรือ
“เอาละ เดี๋ยวอาจารย์จะดูให้เองโดยไม่ต้องถาม เพราะบางสิ่งหนูไม่ได้อยากรู้แต่อาจารย์อยากจะบอก”
หลังจบคำพูดพร้อมรอยยิ้มนิดๆ แฝงเลศนัยแล้ว เจ้าของคำพูดจึงลุกขึ้นเดินไปยังหน้าโต๊ะหมู่บูชาที่อยู่มุมห้องเพื่อจุดธูป กลิ่นของธูปหอมที่ลอยอวลอยู่ในอากาศสร้างความรู้สึกแปลกๆ ให้เกิดขึ้นกับขวัญชีวาไม่น้อย จนต้องเบือนหน้าไปมองสบตากับเพื่อนที่บังเอิญหันมาพอดี ทว่ายังไม่ทันได้พูดอะไรคนที่ลุกไปจุดธูปก็เดินกลับมานั่งยังที่เดิมเสียก่อน
“ขอมือด้วย”
คนถูกขอมือนึกสงสัยอยู่ในใจ เพราะตามที่รู้มาก็จากเพื่อนของเธอนี่แหละ ส่วนใหญ่เวลาไปดูหมอมักจะต้องบอกวันเดือนปีเกิดของตัวเองออกไป แต่นี่กลับขอมือ แล้วคนปากไวเท่าความคิดก็ถามโพล่งออกไป “ไม่ต้องบอกวันเดือนปีเกิดหรือคะ”
เสียงหัวเราะเบาๆ คือสิ่งที่คนถามได้ยิน แล้วจึงตามด้วยคำพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบจากผู้ที่เพื่อนของเธอเรียกว่าผู้หยั่งรู้อนาคต
“วันเดือนปีเกิดสำหรับผู้ต้องการอยากมาดูดวงจริงๆ จะมีไว้เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจหรือใช้ดูเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัวนั่นก็แล้วแต่จะคิด แต่ครั้งนี้อาจารย์จะดูให้เป็นกรณีพิเศษโดยไม่ต้องถาม จะพูดไปเรื่อยๆ ตรงหรือไม่ก็แล้วแต่ใจจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ เพราะตัวหนูไม่ได้เชื่อเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว...ใช่ไหม”
คำพูดคล้ายหยอกเย้าท้ายประโยคทำให้คนไม่เชื่อในศาสตร์ที่ว่ารู้สึกอึดอัดขึ้นมาครามครัน เพราะคำพูดนั่นเน้นย้ำเป็นครั้งที่สองแล้ว จะให้บอกออกไปตามตรงก็ดูกระไรอยู่จึงยื่นมือออกไป
แล้วก็พลันสะดุ้งเฮือก รู้สึกร้อนวูบวาบราวกับถูกของร้อนๆ นาบเมื่อถูกมือของอีกฝ่ายที่เวลานี้เจ้าตัวกำลังหลับตาอยู่ยื่นมาสัมผัส
ทว่าความรู้สึกดังกล่าวก็หายไปกลายเป็นปกติในชั่วระยะเวลาไม่นาน สร้างความประหลาดใจให้เกิดกับหญิงสาวไม่น้อย ครั้นมองไปยังคนหลับตานิ่งราวกับทำสมาธิก็ต้องตกสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ ดวงตาที่หลับอยู่ก็พลันลืมขึ้นมาพร้อมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ บนดวงหน้าที่ตอนนี้มีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่หน้าผากทั้งที่อากาศรอบกายไม่ได้ร้อนอบอ้าวแต่อย่างใด แถมยังเย็นสบายด้วยซ้ำ
“หนูน่ะเป็นคนมีบุคลิกลักษณะภายนอกเรียบร้อย แต่ตัวตนที่แท้จริงนั้นตรงกันข้าม”
แค่คำพูดประโยคแรก คนที่มีบุคลิกเช่นนั้นจริงๆ ฟังแล้วก็เกิดอาการอึ้ง
“เป็นคนไม่ยอมคน ค่อนข้างดื้อด้วยซ้ำ มักจะต่อต้านสิ่งที่ตัวเองไม่พอใจอยู่เงียบๆ ไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง เป็นคนความรู้สึกไว ไม่ยอมปล่อยให้สิ่งที่ตัวเองสงสัยผ่านเลยไปได้ง่ายๆ แต่เป็นคนมีน้ำใจกับคนรอบข้าง โดยเฉพาะกับคนสูงอายุ”
คนถูกทายอุปนิสัยออกมาได้ถูกต้องตรงเผงๆ นั่งตัวแข็งทื่อเพราะคนรู้นิสัยของเธอนอกจากคนในครอบครัวและกรวรรณผู้เป็นเพื่อนสนิทแล้วแทบไม่มี แค่อีกฝ่ายจับมือเธอแล้วนั่งหลับตาเนี่ยนะ รู้ถึงเพียงนี้...
“ชีวิตของหนูที่ผ่านมาแม้จะเกิดในครอบครัวที่อบอุ่น สุขสบาย ร่ำรวยเหลือล้น แต่ตัวเองกลับชอบทำตัวซอมซ่อติดดิน เก็บงำประกายมิดชิด”
คำพูดดังกล่าวทำให้ขวัญชีวาหันขวับไปมองหน้าเพื่อนเขม็งจนคนถูกมองรีบส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงบอกว่า ‘ฉันไม่ได้บอก ไม่เกี่ยวกับฉัน อาจารย์รู้ด้วยจิตสัมผัสเอง’
จากนั้นคำพูดหลายสิ่งหลายอย่างที่ออกมาจากปากของผู้ถูกเรียกว่าหยั่งรู้อนาคตก็ทำเอาคนถูกทำนายฟังแล้วตกอยู่ในอาการประหลาดใจ เพราะล้วนตรงกับตัวเธอทั้งสิ้นจนอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร ความไม่เชื่อถือที่เคยเกิดขึ้นเริ่มคลอนแคลน กระทั่งมาถึงประโยคสุดท้าย
“โชคชะตาหรือจะเรียกว่าพรหมลิขิตกำลังจะเกิดขึ้นกับหนูในไม่ช้านี้”
“สิ่งที่อาจารย์พูดออกมาหมายถึงอะไรหรือคะ” หญิงสาวเพิ่งจะหาเสียงตัวเองพบหลังจากเป็นฝ่ายฟังเพียงอย่างเดียวมาตลอด
“บางสิ่งบางอย่างเป็นลิขิตของฟ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถอาจเอื้อมเอามาพูดได้ จงจำไว้เถอะว่าต่อไปนี้หนูจะต้องพบกับสิ่งดีๆ มาสู่ชีวิต ส่วนจะเป็นอะไรให้รอดูต่อไป อาจารย์บอกได้แค่นี้แหละ แล้วดวงของหนูแข็งมาก ใครที่มีจิตคิดทำร้ายมักจะแพ้ภัยตนเอง ตอนนี้อาจารย์คงต้องขอตัวก่อน”
“แล้วค่าดูล่ะคะ”
ดวงหน้างามสมวัยของอาจารย์จันทร์ทิพย์ยิ้มนุ่มนวล “ไม่ต้องหรอก อาจารย์ดูให้ฟรี”
“ขอบพระคุณค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูกับเพื่อนขอตัวลาก่อนนะคะ”
หญิงวัยกลางคนมองตามหลังหญิงสาวสองคนที่เดินออกไปจากประตู โดยเฉพาะเจ้าของร่างสูงระหงที่เดินรั้งท้ายด้วยสายตาคมกริบ กว่าจะขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเปิดดวงต้องใช้เวลาไม่ใช่น้อย นับเป็นคนแรกที่เรียกเหงื่อให้เกิดบนใบหน้าได้
“เป็นไงล่ะ ทีนี้แกเชื่อหรือยังว่าอาจารย์น่ะดูแม่นขนาดไหน” กรวรรณเอ่ยถามขึ้นหลังจากผู้เป็นเพื่อนพารถแล่นออกมาจากซอยสู่ถนนใหญ่แล้ว
“แกบอกเรื่องของฉันให้อาจารย์รู้ล่วงหน้าหรือเปล่าล่ะยายนก” ขวัญชีวาย้อนถามอย่างกังขาโดยไม่ได้ตอบว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ
“เปล่านะ ฉันไม่ได้พูด” กรวรรณส่ายหน้าก่อนจะอธิบาย “ครั้งก่อนตอนที่อาจารย์ทำนายว่าฉันจะเสียญาติผู้ใหญ่ก็จับมือฉันแล้วหลับตาแบบนี้แหละ อาจารย์พูดถึงขนาดนี้แล้วแกยังไม่เชื่ออีกหรือนังหนูวา”
ขวัญชีวานิ่งเงียบ ใช่ว่าเธอจะไม่เชื่อ แต่ไม่อยากพูดให้อีกฝ่ายได้ใจต่างหาก
“ฉันอยากรู้นักว่าที่อาจารย์พูดว่าโชคชะตาหรือพรหมลิขิตนั่นหมายถึงอะไร เอ..หรือจะหมายถึงเนื้อคู่ของแก” คนพูดพูดด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม
“แกไม่ต้องมาเดาเลยยายนก” ขวัญชีวาใช่ว่าจะไม่อยากรู้ความหมาย แต่เรื่องอะไรจะให้ผู้เป็นเพื่อนรู้ล่ะว่าตัวเธอก็อยากรู้เช่นกัน “แล้วแกจะไปไหนอีก ถ้าไม่ไปฉันจะได้ไปส่งแกที่คอนโดฯ แล้วจะได้กลับบ้าน”
“ฉันจะไปตัดผม แกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
ขวัญชีวามองผมของเพื่อนแล้วส่ายหน้า “ผมแกหยิกๆ แบบนี้ก็สวยดีอยู่แล้วจะไปตัดทำไม”
“เอ้อ...”
คนถูกชวนมองท่าทีอึกอักของคนชวนแล้วก็ผุดยิ้มที่มุมปากอย่างรู้เท่าทัน “ที่แกจะไปร้านทำผมเนี่ยไม่ได้เพื่อตัดเอง แต่จะพาฉันไปตัด”
การนิ่งเงียบพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ คือคำตอบ
“ใช่ไหม” คนถามถามย้ำ
“ใช่” กรวรรณยอมรับแต่โดยดี “แกลืมหรือไงว่าตัวเองเป็นคนสวย ผมแกทำให้มันเป็นรูปทรงหน่อยไม่ใช่ปล่อยสะเปะสะปะแบบนี้ คิ้วของแกก็หัดกันออกซะบ้าง มันเยอะเกิน จมูกก็โด่งจนน่าอิจฉา หรือแกจะปล่อยให้ความสวยของแกเสียของร่วงโรยไปตามกาลเวลา บอกตรงๆ ว่าฉันเสียดายแทน”
คนถูกหาว่าสวยเสียของนั่งนิ่งๆ ไปครู่ใหญ่แล้วพูดออกมายิ้มๆ ว่า “แกก็รู้ว่าคนอย่างฉันต่อให้พูดชักแม่น้ำสารพัดสายมาโน้มน้าว ถ้าไม่อยากทำแกคิดว่าจะทำอะไรฉันได้ ยกเว้นเมื่อกี้ที่แกมัดมือชกฉัน”
“แกพูดอย่างนี้หมายความว่าแกจะทำหรือหนูวา” กรวรรณพูดน้ำเสียงตื่นเต้น
“ที่ผ่านมาฉันแค่อยากลองพิสูจน์อะไรบางอย่างเท่านั้น อยากรู้ว่าถ้าไม่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าทันสมัย ใช้กระเป๋าราคาแพงลิบ ใช้โทรศัพท์ยี่ห้อดัง จะมีใครสนใจอยากมาเป็นเพื่อนไหม” คนพูดพูดน้ำเสียงเข้มนัยน์ตาวาวจ้า “การทำงานที่นี่แค่ปีกว่าๆ ทำให้ฉันรู้ว่าคนสมัยนี้ส่วนใหญ่คบกันที่ภาพลักษณ์มากกว่าตัวตนที่แท้จริง”
“มันก็จริงของแก” กรวรรณพยักหน้าเห็นด้วย “พนักงานที่นี่เป็นอย่างที่แกว่าจริงๆ บางคนใช้กระเป๋าใบละหลายหมื่นแต่มีเงินในกระเป๋าไม่เท่าไหร่ แต่เดี๋ยวแกก็จะลาออกจากที่นี่แล้วนี่นา เลิกพูดถึงได้แล้ว ตอนนี้เราไปเพิ่มความสวยกันดีกว่า ร้านที่ฉันจะพาแกไปเป็นร้านเสริมสวยครบวงจรเลยละหนูวา”