ร้านเสริมสวยครบวงจรที่ขวัญชีวาตามผู้เป็นเพื่อนเข้าไปนั้นอยู่ย่านสุขุมวิท เป็นร้านที่นอกจากจะมีแผนกเสริมความงามด้านทรงผมแล้ว ยังมีสปาสำหรับใบหน้าและอะโรมาสำหรับนวดตัวเพื่อผ่อนคลายด้วย
“ร้านที่แกพาฉันมานี่ไม่แพงไปหรือยายนก” ขวัญชีวากระซิบถามขณะตามอีกฝ่ายเข้ามานั่งตรงโซฟานุ่มซึ่งมีไว้สำหรับให้ลูกค้านั่งรอ
“เอาน่า จะทำทั้งทีต้องทำกับร้านระดับมืออาชีพสิหนูวา อย่างแกน่ะเขาเรียกมาเพิ่มความสวยไม่ใช่มาเสริมให้สวยย่ะ แล้วร้านนี้นะแม้จะแพงแต่ฝีมือของช่างในร้านรับรองว่ากินขาด เจ้าของร้านเป็นเพื่อนกับน้าฉัน ดังนั้นเรื่องราคาแกไม่ต้องห่วง ลดพิเศษอยู่แล้ว” พูดพลางก็มองคนบ่นอย่างขวางๆ ระคนหมั่นไส้ “แกนะชอบพูดให้ฉันเขวคิดว่าแกเป็นพวกเบี้ยน้อยหอยน้อยอยู่เรื่อย เบื่อจริงพวกคนรวยชอบทำตัวเป็นคนจนเนี่ย แกนั่งรอฉันอยู่ตรงนี้แป๊บนะ เดี๋ยวฉันเข้าไปหาน้าเหมียวก่อน” จบคำพูดกรวรรณก็ก้าวฉับๆ เข้าไปด้านในอย่างคุ้นเคย
ขวัญชีวากวาดตามองภายในร้านตามประสาคนช่างสังเกต ร้านนี้ค่อนข้างกว้างขวางสมกับเป็นร้านเสริมสวยแบบครบวงจร ลูกค้าแต่ละคนที่เข้ามาใช้บริการล้วนแต่งกายสวยงาม จากเสื้อผ้าและเครื่องประดับบนร่างกายมองดูก็รู้ว่าเป็นคนอยู่ในสังคมชั้นสูง ช่างเสริมสวยในชุดฟอร์มเรียบร้อยกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ไม่ว่อกแว่กเหมือนช่างตามร้านเสริมสวยทั่วไปที่มักจะทำแล้วพูดนินทาคนโน้นคนนี้ไปด้วย
ถัดจากแผนกผมเป็นแผนกหน้าที่มีลูกค้านอนนวดหน้า เคาะหน้ากันอยู่บนเตียง ส่วนในสุดคาดว่าจะเป็นแผนกนวดตัวเพราะมีผ้าม่านปิดบังไว้อย่างมิดชิด หญิงสาวก้มลงหยิบนิตยสารที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กขึ้นมาอ่านพลางคิดในใจอย่างขำๆ เพราะแม้แต่นิตยสารที่มีไว้ให้ลูกค้าอ่านก็ยังเป็นนิตยสารชื่อดังของต่างประเทศ ไม่ใช่ คู่สร้างคู่รัก หรือนิตยสารดาราที่ชอบล้วงลึกสอดรู้สอดเห็นเอาเรื่องส่วนตัวของคนโน้นคนนี้มาแฉ
“หนูวา”
เสียงเรียกของกรวรรณทำเอาคนกำลังคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจ้าของเสียงเดินยิ้มร่าเข้ามาโดยมีสุภาพสตรีในชุดจั๊มสูทสีดำ ดวงหน้านั้นตกแต่งอย่างงดงาม ขวัญชีวาเดาว่าน่าจะเป็นเจ้าของร้านที่ชื่อน้าเหมียว ซึ่งก็เดาไม่ผิดเมื่อได้ยินผู้เป็นเพื่อนเอ่ยแนะนำ
“หนูวา นี่น้ามิราหรือน้าเหมียว เป็นเจ้าของร้าน”
คนถูกแนะนำยกมือขึ้นไหว้พร้อมด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะน้าเหมียว”
มิรามองหญิงสาวในชุดกางเกงยีนสี่ส่วนเสื้อคอจีนสีดำลายจุดขาวตัวยาวคลุมสะโพก ที่หลานสาวของผู้เป็นเพื่อนบอกกับเธอว่าให้ช่วยเพิ่มความสวยให้อย่างพินิจพิจารณา แม้อีกฝ่ายจะแต่งกายเรียบง่าย เครื่องประดับสักชิ้นก็ไม่มีติดกาย แต่น่าแปลกที่เธอรู้สึกว่าเจ้าตัวไม่ธรรมดา อีกทั้งหน้าตาก็สะสวยตามธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรมแต่อย่างใด
“สวัสดีจ้ะ” แล้วจึงหันไปทางหลานสาวเพื่อน “เพื่อนของนกก็สวยอยู่แล้ว จะให้น้าเหมียวเพิ่มตรงไหนล่ะจ๊ะ”
“แล้วแต่น้าเหมียวจะเห็นควรค่ะ” กรวรรณพูดพลางอมยิ้ม
มิรามองไปทางหญิงสาวอีกครั้ง “ไหนยืนให้ดูหน่อยสิจ๊ะ”
คนถูกบอกให้ยืนลุกขึ้นตามคำสั่งพลางคิดในใจ นี่ถ้าบอกให้หมุนตัวด้วยต้องคิดว่าอีกฝ่ายจะส่งเธอเข้าประกวดนางงามอย่างแน่นอน
“สูงจัง รูปร่างก็ดี มีอก มีเอว สะโพกสวยเชียว ไม่ผอมแห้งเหมือนสาวๆ สมัยนี้ หุ่นอย่างนี้น่าส่งเข้าประกวดนางงามจริงๆ หนูสนใจจะประกวดไหมเดี๋ยวน้าเหมียวเป็นสปอนเซอร์ให้เองจ้ะ”
คำพูดของเจ้าของร้านทำให้กรวรรณหัวเราะคิกออกมาอย่างขบขัน ยิ่งเห็นสีหน้าปั้นยากของผู้เป็นเพื่อนก็ขันมากขึ้น เพราะเจ้าตัวมักจะถูกทักและชักชวนแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วก็ว่าได้ นี่ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่ลูกสาวเจ้าของธุรกิจก่อสร้างอันดับต้นๆ ของประเทศ เธอยุให้ประกวดไปนานแล้ว
“ไม่หรอกค่ะ หนูไม่ชอบ” คนชื่อเล่นว่าหนูวาแต่ชอบแทนตัวเองว่าหนูส่ายหน้าจนผมกระจาย ก่อนจะทรุดนั่งลงบนโซฟาเหมือนเดิม
“อ้าว ทำไมล่ะ รับรองว่าหนูต้องได้เข้ารอบแน่นอน หน้าตาถือว่าผ่านแล้วเพราะนางงามสมัยนี้ส่วนใหญ่สวยด้วยศัลยกรรมแทบทั้งนั้น แต่หนูสวยตามธรรมชาติ...” คนพูดพูดยังไม่ทันจบประโยคกรวรรณก็เดินเข้าไปกระซิบที่ข้างหู ทำให้สีหน้าฉายแววตื่นเต้นของมิราเปลี่ยนเป็นเสียดายขึ้นมาทันที ก่อนจะมองสำรวจหญิงสาวอีกครั้ง
“น่าเสียดายจริงๆ แต่เอาละ เรื่องเพิ่มความสวยน้าเหมียวรู้แล้วจะเพิ่มตรงไหน หนูวาไปนั่งตรงเก้าอี้นั่นได้เลย รับรองว่าจากที่สวยอยู่แล้วจะสวยมากกว่าเก่าแน่นอน”
ขวัญชีวาถึงกับถอนหายใจดังเฮือกหลังกรรมวิธีและขั้นตอนเสริมความงามต่างๆ นานาที่ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงสิ้นสุดลง หญิงสาวหลายคนอาจโปรดปรานและชื่นชอบในเรื่องดังกล่าว แต่สำหรับตัวเธอช่างเป็นเวลาอันแสนจะทรมานจากความเมื่อยที่ต้องนั่งและนอนนิ่งๆ ดวงตาคู่สวยมองกระจกเงาที่กำลังสะท้อนภาพผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดูสวยผิดตาขึ้นจนเห็นได้ชัด กระทั่งเจ้าของดวงหน้ายังอดตกตะลึงไม่ได้
“ความจริงเราก็สวยเป็นหนึ่งไม่เป็นสองเหมือนกันนะเนี่ย” เพราะเส้นผมรุ่ยร่ายไม่เป็นทรงถูกซอยออกลดหลั่นระดับกันจนกลายเป็นทรงสวยทันสมัย อีกทั้งใบหน้ายังถูกเคาะ ตบ ขัด นวด และพอกจนดูใสกระจ่างขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“โอ้โห สวยขึ้นอีกจมเลยหนูวา” กรวรรณอุทานเสียงดังหลังเงยหน้าจากจอแท็บเล็ตในมือ แล้วลุกขึ้นจากโซฟาเดินมาหาผู้เป็นเพื่อนตรงหน้ากระจก
“ถ้าสวยจมแกสวยไปคนเดียวเถอะ”
กรวรรณอดหัวเราะคิกกับคำพูดของตัวเองไม่ได้ “ความจริงตัวแกน่ะสวยอยู่แล้วหนูวา แต่ตอนนี้สวยขึ้นกว่าเก่า”
ก่อนจะก้มลงให้ความสนใจกับแท็บเล็ตที่ถืออยู่ในมือต่อ จนคนถูกชมว่าสวยต้องถามอย่างสงสัย
“แล้วนั่นดูแกอะไรนักหนาหือยายนก”
คำตอบของเพื่อนคือเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดตื่นเต้น “ตายแล้ว ตายแล้วนังหนูวาแกดูผู้ชายคนนี้สิ นอกจากจะล้อหล่อแล้วยังเป็นคนดีอีก”
“ผู้ชายอะไรของแกอีกล่ะ เอะอะโวยวายเสียจริงยายคนนี้” ขวัญชีวาต่อว่าพลางเหลียวมองไปรอบๆ ตัวเพราะกลัวจะก่อความรำคาญให้ลูกค้าคนอื่น แล้วก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเพราะเวลานี้ภายในร้านมีแค่ช่างที่กำลังทำความสะอาดพื้นอยู่เท่านั้น ส่วนลูกค้าในร้านไม่เหลือใครแล้วนอกจากเธอและผู้เป็นเพื่อนที่กำลังดูหน้าจอแท็บเล็ตแล้วส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดอยู่ข้างๆ หู
“ก็ผู้ชายคนนี้ไง” กรวรรณยื่นแท็บเล็ตในมือให้ดู “จูงมือคนตาบอดเดินข้ามถนนขณะฝนกำลังตกแล้วมีคนตาดีเห็นเลยถ่ายรูปโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก หน้าตาในภาพก็เห็นชัดเจนมากแถมมีคลิปด้วยนะ คนอะไรหล่อแล้วยังมีน้ำใจอีก ผู้ชายในฝันของฉันจริงๆ ตอนนี้นะภาพที่ว่ากลายเป็นถูกกล่าวขวัญกันในโซเชียลเน็ตเวิร์กเลยนะหนูวา คนเข้าไปกดไลก์ภาพร่วมแสนแล้วมั้ง ภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที หลายคนเข้าไปคอมเมนต์ว่าหน้าตาผู้ชายคนนี้คล้าย เอ็ดดี้ เผิง พระเอกไต้หวันสุดหล่อของฉันด้วยนะ แต่ฉันว่าคนนี้ดูสูงกว่าแล้วก็หล่อกว่า”
“ใครคือ เอ็ดดี้ เผิง”
นอกจากจะไม่ให้ความสนใจกับสิ่งที่ผู้เป็นเพื่อนให้ดูแล้วยังไม่รู้จักคนที่ถูกพูดถึงว่าเป็นใครอีก ทำให้คนที่นอกจากจะบ้าดูหมอแล้วยังบ้าดารามองค้อนคนถามตาแทบกลับพลางส่ายหน้าไปมา
“แกนี่จะเชยจริงๆ เอ็ดดี้ เผิง เป็นพระเอกเรื่อง ลำนำรักทะเลทราย ไงล่ะ แหม...คนรู้จักดาราคนนี้กันทั่วบ้านทั่วเมือง ตอนนี้ก็เป็นดาราที่ถูกสาวๆ ในเมืองไทยพูดถึง แกไปอยู่ตรงซอกหลืบไหนมาหรือนังหนูวาถึงไม่รู้จัก”
คนถูกค่อนว่าเชยส่ายหน้าไปมา “ฉันไม่ได้บ้าดาราเหมือนแกนี่ แหม...แม้แต่ดาราไทยยังไม่ค่อยรู้จักแล้วจะไปรู้จักดาราไต้หวันเนี่ยนะ” พูดพลางก็ชำเลืองมองภาพที่ผู้เป็นเพื่อนยื่นให้ดูแวบหนึ่งจึงเห็นชายหนุ่มตัวสูงมากกำลังจูงหญิงวัยกลางคนซึ่งในมือถือไม้เท้าข้ามถนนขณะฝนกำลังตก “เป็นพวกอยากดังหรือเปล่า แกก็รู้ว่าภาพในเฟซบุ๊กมีทั้งเรื่องจริงเรื่องเท็จ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเท็จมากกว่าจริง แกอย่าหลงเชื่อระบบโซเชียลเน็ตเวิร์กให้มากนัก เดี๋ยวนี้ใครอยากดังก็โพสต์ภาพลงในยูทูบแล้วแชร์ทั้งนั้น”
“แหม...นังหนูวาแกก็พูดเกินไป” กรวรรณพูดพลางก็ส่งค้อนให้เพื่อนตาแทบกลับอีกครั้ง “ใครจะลงทุนเดินข้ามถนนทั้งๆ ที่ฝนกำลังตก ไม่ใช่พระเอกเอ็มวีสมัยก่อนนี่ยะ คนอะไรหล่อแล้วยังนิสัยดีมีน้ำใจอีก ไม่อยากเชื่อว่านอกจากในนิตยสารหรือในละครแล้วยังมีคนแบบนี้อยู่อีก”
“เฮ้อ...” คนถูกหาว่าพูดเกินไปส่ายหน้าอย่างระอา “ถ้าอยากรู้ว่ายังมีคนอย่างที่แกพูดถึงอยู่อีกไหมก็อธิษฐานเข้าสิ ไม่แน่อาจจะเจอคนในภาพตัวเป็นๆ ก็ได้นะ”
“แหม เรื่องแบบนี้ไม่แน่หรอกนังหนูวา แกอย่าลืมว่าเรื่องจริงๆ น่ะยิ่งกว่านิยายเสียอีก” กรวรรณพูดแล้วก้มลงมองหน้าจอแท็บเล็ตอีกครั้งพลางยิ้มกริ่ม “บางครั้งเรื่องบางเรื่องอาจเกิดขึ้นโดยที่เราไม่คาดคิด ดังนั้นฉันจะขออธิษฐานให้คนที่ไม่เชื่อในเรื่องแบบนี้อย่างแกแล้วกัน” พูดจบก็ยกมือขึ้นไหว้ “เจ้าประคู้น! ขอให้ผู้ชายในภาพได้พบเจอกับเพื่อนข้าพเจ้าที่ชื่อ ขวัญชีวา อริยะสัตย์ ด้วยเถิด”
คนถูกดึงชื่อไปอธิษฐานมองเพื่อนอย่างปลงๆ “เอาที่สบายใจเลยเพื่อน แล้วทำไมแกไม่ขอให้เป็นแฟนของฉันไปเลยล่ะ”
ขวัญชีวาพูดออกไปโดยไม่คิดอะไร แล้วมีหรือคนเป็นเพื่อนจะพูดปฏิเสธ
“แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ” กรวรรณยกมือขึ้นไหว้อีกครั้งแล้วพูดออกมาดังๆ “ขอให้ผู้ชายในภาพเป็นเนื้อคู่ของเพื่อนข้าพเจ้าที่ชื่อ ขวัญชีวา อริยะสัตย์ ด้วยเถิด โอมเพี้ยง”
“แกนี่บ้าเข้าขั้นจริงๆ เลิกพูดเรื่องคนอื่นแล้วหันมาสนใจฉันบ้างยายนก”
กรวรรณยิ้มกว้างกับคำค่อนขอดดังกล่าวก่อนเก็บแท็บเล็ตใส่กระเป๋าแล้วเอียงคอจ้องหน้าผู้เป็นเพื่อนนิ่ง “ฉันก็บอกแล้วว่าแกสวยขึ้นกว่าเก่าจมไง สำนวนไทยที่ว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งนี่เป็นเรื่องจริง สำหรับผู้หญิงที่เกือบสวยจึงต้องแต่งตัว แต่ของแกนี่เรียกว่าสวยอยู่แล้วแต่ไม่รู้จักแต่งจนเกือบเสียของ”
ขวัญชีวาฟังแล้วก็หัวเราะอย่างอดขำไม่ได้ ทำให้ลืมเรื่องที่คุยกันไปก่อนหน้านั้นทันที “แกนี่ช่างสรรหาคำพูดมาเปรียบเปรยจริงๆ”
เจ้าของร้านที่เพิ่งกลับจากรับโทรศัพท์ได้ยินที่ทั้งคู่คุยกันพอดีจึงเดินยิ้มเข้ามาหา “น้าเหมียวเห็นด้วยกับนกนะที่ว่าหนูเกือบปล่อยให้ความสวยของหนูเสียของ” พูดพลางก็เชยคางมนของขวัญชีวาขึ้นมอง “หน้าของหนูวาไม่ต้องแต่งอะไรมากก็สวยแล้ว อย่างผมที่น้าเหมียวตัดให้หลังหากสระเสร็จใหม่ๆ เช็ดผมไม่ต้องแรงมาก แล้วค่อยๆ หวีให้เข้าทรง แค่นี้ก็สวยแล้วจ้ะ”
“ขอบคุณน้าเหมียวมากค่ะ แล้วทั้งหมดเท่าไหร่คะ”
เมื่อรู้ราคาค่าเสริมสวยคนถามก็อึ้งไปชั่วเสี้ยววินาที เพราะแม้จะได้ลดราคาเป็นพิเศษแล้วแต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เสียเงินกับเรื่องแบบนี้อย่างขวัญชีวาถึงอย่างไรก็มองว่ายังแพงอยู่ดี แต่เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่ได้หญิงสาวก็ตัดใจ หลังจ่ายเงินเสร็จก็หันไปถามผู้เป็นเพื่อน “แล้วแกจะไปไหนอีกหรือเปล่า”
คนถูกถามพูดโดยไม่ต้องคิดนาน “ไปเดินห้างกันเถอะ เผื่อเจอเสื้อผ้าสวยๆ ต่อจากนั้นก็ไปกินอาหารญี่ปุ่น”
“ตกลงตามนั้น”
ภายในรถยนต์สีขาวคันหรูสมรรถนะเยี่ยมที่จอดอยู่ริมถนนย่านสุขุมวิท ชายหนุ่มในชุดกางเกงยีนสีดำกับเสื้อยืดแขนยาวสีขาว หน้าตามองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนไทย จากนัยน์ตายาวรี คิ้วเข้มพาดเฉียง รวมทั้งผิวขาวจัดซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ขับรถ เจ้าตัวกำลังหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจจนเสียงดังลั่นตามมาด้วยคำพูดเป็นภาษาจีนเร็วปรื๋อ
“รู้ไหมครับว่าตอนนี้นายกลายเป็นคนดังภายในชั่วพริบตาจริงๆ มีคนบอกว่าหน้านายเหมือน เอ็ดดี้ เผิง”
คำพูดดังกล่าวทำเอาร่างชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างสูงสวมกางเกงยีนสีเข้ม เสื้อยืดแขนยาวสีขาวปกลายสกอตยี่ห้อดังจากเมืองผู้ดี ซึ่งเอนตัวเหยียดยาวราวกับเกียจคร้านอยู่บนเบาะโดยสารข้างคนขับ มีหมวกสีขาวปิดอยู่บนใบหน้าส่งเสียงจึ๊กจั๊กออกมาอย่างขัดใจ
“แกอย่าลืมสิเดฟ เวลาอยู่กับฉันสองต่อสองต้องพูดภาษาไทยเท่านั้น จำใส่ใจเอาไว้” พูดจบคนพูดก็ปรับเบาะเปลี่ยนจากเอนนอนเป็นตั้งขึ้นนั่ง หมวกที่คลุมหน้าอยู่จึงเลื่อนหลุดหล่นลงบนพื้นรถ เผยให้เห็นดวงหน้าขาวจัดค่อนไปทางรูปไข่ซึ่งผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความอ่อนช้อยของมารดาชาวไทยกับเชื้อสายจีนจากบิดาชาวไต้หวัน ผมดำสนิทหยักศกน้อยๆ ปรกอยู่บนหน้าผาก
นัยน์ตาดำจัดค่อนข้างดุภายใต้คิ้วเข้มโค้งจดหางตา จมูกโด่งคมเหนือเรียวปากหยักแดงจัด ดวงหน้าที่เห็นเพียงผิวเผินครั้งแรกอาจดูคล้ายผู้หญิง ถ้ารูปร่างไม่เพรียวแกร่งกับมีรอยเคราเขียวๆ บนใบหน้า ใครต่อใครคงมองว่าเจ้าตัวเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน
“ครับนาย ต่อไปผมจะพยายามไม่ลืม”
จางซี่โม่วหรือเดฟตอบเป็นภาษาไทย แม้จะไม่ถึงกับชัดเจนมากแต่ก็ฟังรู้เรื่อง พลางมองเผิงอวี้เยี่ยหรือฌอนผู้เป็นเจ้านายซึ่งมีชื่อเป็นภาษาไทยว่าพชรด้วยสายตาขบขัน ทำให้คนถูกมองเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาในทันควัน
“แล้วใครวะ เอ็ดดี้ เผิง ที่แกพูดถึง”
หลังจากกลั้นอาการหัวเราะเอาไว้อย่างยากเย็น เดฟที่นอกจากจะทำหน้าที่ขับรถแล้วยังเป็นองครักษ์ฝีมือฉกาจรวมทั้งทำหน้าที่เลขาฯ ก็กดแท็บเล็ตที่ถืออยู่ในมือหาอะไรอยู่ครู่หนึ่งจึงยื่นให้ผู้เป็นนายดู “คนนี้ไงครับที่ใครต่อใครบอกว่านายหน้าเหมือน ตอนนี้เป็นดาราที่กำลังโด่งดังมากในไต้หวัน”
ฌอนยื่นมือรับเจ้าแท็บเล็ตพลางมองภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ แล้วคิ้วเข้มก็พลันขมวดเข้าหากัน ตามมาด้วยนัยน์ตาคมที่ฉายแววไม่ยินยอมพร้อมใจก่อนจะส่งคืนให้ “ฉันดูดีกว่านะ หรือแกคิดว่าไงเดฟ”
ดวงหน้าของคนถูกถามเรียบสนิททว่าดวงตาที่เห็นไหวระริก “นายตัวสูงกว่าครับ”
คนถูกว่าแค่ตัวสูงกว่ามองคนพูดที่เขาไม่เคยมองอีกฝ่ายเป็นคนอื่นไกลนอกจากคนในครอบครัวแล้วก็อดนึกขันในใจไม่ได้ เพราะปกติยามเจ้าตัวอยู่ต่อหน้าคนอื่นหรือคนแปลกหน้าจะเป็นคนไม่ค่อยยิ้มค่อยพูดนัก บิดาของเขาเล่าให้ฟังว่าเจอเดฟขณะอายุเพียงห้าขวบกำลังนั่งกอดศพผู้เป็นแม่ที่ถูกรถชนร้องไห้อยู่ข้างถนนจึงลงไปช่วยนำส่งโรงพยาบาล แต่คนเจ็บทนพิษบาดแผลไม่ไหวสิ้นใจตายเสียก่อน หลังจากจัดการเรื่องศพเรียบร้อยผู้เป็นบิดาจึงพาเด็กชายที่กลายเป็นเด็กกำพร้ามาเลี้ยงดูคู่กับเขาซึ่งตอนนั้นอายุได้สามขวบ ให้การศึกษาเท่าเทียมกับเขาทุกประการ ประหนึ่งเป็นคนในครอบครัว ทำให้เดฟรักและเทิดทูนในตัวบิดา ความรู้สึกที่ว่าก็พลอยมาถึงตัวเขาด้วย กระทั่งปัจจุบันเดฟทำหน้าที่ติดตามตัวเขาดุจเงาตามตัว เรียกว่าสามารถตายแทนเลยก็ว่าได้ เรียกเขาว่านายน้อยจนติดปาก จะห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เป็นผล จนต้องปล่อยเลยตามเลย แต่ต่อมาก็ขอตัดคำว่าน้อยออกไปเหลือแค่นายเท่านั้น
“ทำไมเงียบไปล่ะครับ”
คนกำลังคิดถึงเรื่องในอดีตผุดยิ้มที่มุมปากนิดหนึ่งแล้ววกกลับมาพูดเรื่องเดิม “แกว่าฉันแค่สูงกว่า แต่ฉันว่าฉันหล่อและดูดีกว่าเป็นไหนๆ”
คนสนิทฟังเจ้านายและเป็นลูกชายของผู้มีพระคุณพูดก็หัวเราะออกมาเบาๆ พลางเบือนหน้ามองคนพูดแวบหนึ่ง ถ้าจะพูดกันโดยไม่คิดเข้าข้าง อีกฝ่ายหน้าตาดีกว่าอยู่หลายขุมจริงๆ “ผมว่าถ้าตอนนั้นแมวมองมาเห็นนายก่อนรับรองว่าเผิงอวี้เยี่ยนไม่ได้เกิดหรอกครับ”
“ดาราที่แกว่าชื่ออะไรนะเดฟ” คนได้ยินไม่ถนัดเอ่ยถาม
“เผิงอวี้เยี่ยนครับ” คนตอบตอบชัดถ้อยชัดคำ
“อะไรนะ” คราวนี้คนได้ยินชัดอุทาน “นอกจากจะหาว่าหน้าฉันคล้าย ชื่อยังคล้าย แถมแซ่เดียวกันอีก เป็นญาติกับฉันหรือเปล่าวะเนี่ย” คนมีชื่อแซ่คล้ายดาราดังพูดน้ำเสียงขันๆ
“เรื่องแซ่เดียวกันเป็นเรื่องปกติครับ แต่หน้าตามีส่วนคล้ายกันนี่สิแปลก ป่านนี้ชื่อของนายคงดังเป็นพลุแตกไปแล้วมั้งครับ แต่เรื่องความดังนายยังไม่ชินอีกหรือครับ” ที่เขาพูดเช่นนี้เพราะตัวคนเป็นนายในไต้หวันนั้นมีชื่อเสียงไม่ธรรมดา
“ชินบ้าอะไรของแก” ฌอนพูดพลางส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจ เขาแค่ลงไปช่วยจูงคนแก่ที่ตาบอดข้ามถนนเพราะความสงสาร ไม่ได้คิดอยากจะดังสักหน่อย แต่ดันมีคนถ่ายภาพเขาโพสต์ลงในเฟซบุ๊ก ซึ่งปัจจุบันเรื่องราวในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กมักจะเป็นจุดสนใจและเป็นกระแสของผู้คนอยู่แล้ว ที่สำคัญเผอิญหน้าเขาดันไปละม้ายคล้ายกับดาราดังเข้าเลยเป็นกระแส
“ฉันแค่ลงไปช่วยคนแก่ตาบอดเดินข้ามถนน ไม่ได้อยากดังเป็นข่าวสักหน่อย คนเรานี่ก็บ้ากันจริงๆ”
“ผมว่าลำพังนายลงไปช่วยก็เป็นจุดสนใจแล้วครับ แต่เผอิญไปหน้าตาละม้ายดาราดังเข้าเลยเป็นกระแส ไม่นานยอดไลก์คงเป็นแสนแน่ครับ” คนที่ปกติไม่ค่อยพูดนักทว่าตอนนี้กลับพูดเป็นต่อยหอย
“คนเรานี่ก็แปลกกันจริง นั่งอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องทำมาหากินกันหรือไงนะ แล้ววันนี้ผีเจาะปากแกมาพูดหรือเดฟ พูดมากจริง”
“ถ้าผมจะพูดมากก็คงพูดเฉพาะกับคนในครอบครัวนายเท่านั้นแหละครับ เพราะถ้าไม่ได้พบพ่อของนายวันนั้น ป่านนี้ชีวิตผมคงเร่ร่อนเป็นคนจรจัดอยู่ข้างถนนไปแล้วครับ” สีหน้าขณะพูดของเดฟฉายแววซาบซึ้งในบุญคุณ
คนฟังส่ายหน้าไปมา “แกนี่ชอบเอาเรื่องนี้มาพูดอีกแล้วนะเดฟ เลิกพูดได้แล้ว เปลี่ยนมาพูดเรื่องงานกันดีกว่า พรุ่งนี้หลังจากประชุมเรียบร้อยเราต้องไปที่ไหนกันบ้าง”
น้ำเสียงตอนท้ายของซีอีโอหนุ่มเปลี่ยนเป็นจริงจังไร้ซึ่งแววล้อเล่นดังเช่นก่อนหน้า เขากับเดฟเดินทางมาถึงเมืองไทยตั้งแต่บ่ายแล้วเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องเข้าร่วมประชุมกับผู้ประกอบการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทยที่โรงแรมดังย่านลาดพร้าว ซึ่งจะเป็นที่พักของเขาในค่ำคืนนี้ด้วยเพื่อความสะดวก โดยมาในฐานะตัวแทนของบริษัทหงอี้ พรีซิชัน อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวและเป็นผู้ผลิตรายใหญ่แห่งเกาะไต้หวัน
เลขานุการกึ่งองครักษ์แจกแจงแพลนงานต่างๆ จากหน้าจอโน้ตบุ๊กเครื่องบางที่ไว้ใช้สำหรับทำงานโดยเฉพาะให้คนเป็นเจ้านายฟังแล้วตบท้ายด้วย...
“สุดท้ายเราจะแวะไปบริษัททีเคที่เพลินจิตครับนาย”
“ทีเค...ที่เพิ่งสั่งของจากเราลอตใหญ่เมื่อต้นเดือนน่ะเหรอเดฟ”
“ครับ” เดฟรับคำก่อนจะพารถคันงามเคลื่อนไปข้างหน้าหลังจากจอดนิ่งอยู่พักใหญ่
“อืม เดี๋ยวเย็นๆ ต้องแวะไปเยี่ยมคุณยายที่บ้านสวนเมืองนนท์ด้วย ไม่รู้ว่าฉันจะถูกบ่นหรือเปล่าที่ไม่ยอมพักที่บ้าน”
สุพรรณิการ์มารดาของเขาพูดกำชับนักหนาให้เอาของฝากจากไต้หวันไปให้ผู้เป็นยาย ในตอนแรกเขาตั้งใจจะนอนที่บ้านสวน แต่เมื่อคิดตรึกตรองดูแล้วด้วยการจราจรค่อนข้างจะติดขัดที่ขึ้นชื่อลือชาในเมืองไทย ซ้ำยังเป็นวันจันทร์อีก จึงตัดสินใจนอนที่โรงแรมสะดวกกว่า
“ถูกบ่นแน่นอนครับ” เดฟตอบยิ้มๆ
“เอาอย่างนี้ดีกว่า เราเลื่อนกลับไต้หวันไปอีกสามสี่วันดีกว่าจะได้อยู่กับคุณยาย เพราะกว่าจะหาเวลาปลีกตัวมาได้คงอีกหลายเดือน” ฌอนตัดสินใจเปลี่ยนเวลาเดินทางกลับ
“ผมเห็นด้วยครับ ผมชอบบรรยากาศที่บ้านสวนเมืองนนท์ ชอบวิถีชีวิตของคนแถวนั้น เอ้อ...แล้วนายจำคำพูดของซินแสที่นายหญิงพามาดูฮวงจุ้ยที่บริษัทได้ไหมครับ”
“ซินแส?” คนถูกถามทวนคำถามด้วยสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ผมว่านายรู้ว่าผมหมายถึงอะไร ซินแสคนนี้เป็นลูกหลานของซินแสคนดังที่เคยดูฮวงจุ้ยและทำนายโรงแรมเอ็มไพร์ในมาเก๊าว่าจะเจริญรุ่งเรือง และคำทำนายก็เป็นจริงตามที่ปากพูด ดังนั้นสิ่งที่ซินแสทำนายดวงของนายย่อมเป็นจริงด้วยครับ”
ซีอีโอหนุ่มหล่อหัวเราะเสียงดังก้องรถแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงแสดงอาการไม่เชื่อถือ “แกเชื่อที่ซินแสคนนั้นทำนายว่าฉันจะพบคู่เวรคู่กรรมแต่ชาติปางก่อนในไม่ช้านี้หรือเดฟ เรื่องฮวงจุ้ยน่ะฉันเชื่อถือ แต่คำทำนายน่ะบอกแกตรงๆ เลยว่าฉันเชื่อสำนวนไทยที่ว่า หมอดูคู่กับหมอเดามากกว่า”
ความคิดเห็น |
---|