9

ยังไม่พ้นขีดอันตราย

๙ 

ยังไม่พ้นขีดอันตราย

            

เป็นช่วงเย็นแล้วที่แดนเหนือมาถึงบ้านเกียรติวิริยะ แน่นอนว่าเขามาที่นี่เพียงลำพัง เพราะเกื้อกูลยังคงยืนยันว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะไม่มาที่นี่...ไม่ใช่ตอนที่สุกดารากำลังทะเลาะกับแดนเหนือ 

และในฐานะพี่ แดนเหนือก็ไม่บังคับเกื้อกูลให้กลับมาที่บ้านกับเขาวันนี้ด้วย ปล่อยให้อยู่เล่นกับเด็กๆ ไปนั่นแหละดีแล้ว ดีกว่าให้เพียงรักเลี้ยงลูกคนเดียว ต่อให้มีพี่จิ๊บอยู่ช่วย แต่ชายหนุ่มก็ห่วงเพียงรักว่าเธอจะเหนื่อยเกินไป

พูดถึงเพียงรัก...หญิงสาวเองแม้จะไม่ได้เอ่ยถามว่า เขาแน่ใจแล้วหรือที่จะกลับบ้าน แต่ความเป็นห่วงในแววตาของเธอก็ทำให้แดนเหนือมีกำลังใจในการเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามที่รอคอยเขาอยู่ที่บ้าน ยิ่งได้อ้อมกอดจากดวินและรฉัตรก่อนออกมา เขาก็ฮึกเหิมยิ่งกว่าเดิม และตกปากรับคำเด็กทั้งสองว่าเขาจะกลับไปร่วมมื้อเย็นด้วยอย่างแน่นอน

แดนเหนือตั้งใจจะทำอย่างที่รับปากเด็กๆ เอาไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะกลับไปหาพวกแก แม้นั่นจะหมายความว่า เขาจะต้องหนีออกมาจากบ้านของตัวเองก็ตามที

วันนี้บ้านของชายหนุ่มเงียบกว่าทุกวัน คงเพราะว่าสุกดารายังไม่กลับจากโรงพยาบาล และเขาเองก็ไม่มีความคิดที่จะไปเยี่ยมท่านในเร็วๆ นี้เช่นกัน อันที่จริงนั้นแดนเหนือคิดว่าไม่มีใครอยู่บ้านแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เขาเก็บข้าวของเสร็จแล้วจะได้รีบกลับไปหาสองแฝดเลย...ไม่แน่ว่าถ้ารีบไป รถอาจจะไม่ติดมากก็ได้

ทว่าแดนเหนือกลับคิดผิดเรื่องที่ไม่มีใครอยู่บ้าน เพราะผดุงธรรมนั่งนิ่งคล้ายรอเขาอยู่แล้วภายในห้องนั่งเล่น คนเป็นลูกเหลือบมองหน้าพ่อตัวเอง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อ มุ่งหน้าไปที่ห้องนอนของตนด้วยฝีเท้าสม่ำเสมอ 

คนที่นั่งรอบุตรชายคนโตอยู่นานแล้วถึงกับชักสีหน้า อยากจะปาไม้เท้าในมือใส่ไอ้ลูกไม่รักดี โทษฐานที่มันกล้าเมิน แสร้งไม่เห็นว่าเขานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ แต่สุดท้ายแล้วผดุงธรรมก็ไม่ได้เล่นงานแดนเหนือ ใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวในการลุกขึ้นแทน โดยมีพี่เลี้ยงของลูกชายปรี่เข้ามาช่วยอีกแรง แล้วตะโกนตามหลังร่างสูงที่กำลังเดินขึ้นชั้นสอง

“ไอ้เหนือ แกไม่เห็นหรือไงว่าฉันนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้”

“เห็นสิป๊า แต่ผมกำลังรีบไง” แดนเหนือตอบเสียงเบื่อ เรื่องที่พ่อแอบติดต่อเพียงรักลับหลังเขามาตลอดนั้น ชายหนุ่มเพิ่งรู้หลังเค้นคอน้องชายกระทั่งเกื้อกูลยอมสารภาพกับเขา ใจจริงอยากจะโกรธ แต่ก็รู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์อะไรไปโกรธผู้เป็นพ่อ แดนเหนือจึงทำได้แค่กล้ำกลืนความไม่พอใจของตัวเองแล้วเงียบเอาไว้ 

“เพิ่งกลับบ้านมายังไม่ทันนั่ง แกจะไปไหนอีกล่ะ” ผดุงธรรมกระแทกเสียงถาม ลูกชายเขานี่ช่างอกตัญญู หนีเอาตัวรอดกันไปทั้งพี่ทั้งน้อง ทิ้งเขาให้รับกรรมคอยฟังเสียงด่าของสุกดาราอยู่ที่นี่คนเดียว ครั้นเขาจะหนีไปอีกคนหรือก็กระไรอยู่...นี่ถ้าพวกมันเอาเขาไปด้วยตั้งแต่แรกก็ดี “เจ็กเหวิ่นเขาโทร.มาถามเรื่องสองแฝด ตกลงว่ายังไง”

“ก็ไม่ยังไงนี่ป๊า” แดนเหนือเหลือบมองหน้าบิดาที่เดินตามเขาขึ้นมาชั้นบน แล้วว่าต่อด้วยท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจหรือเห็นว่าเรื่องนี้จะเป็นปัญหาใหญ่แต่อย่างใด “เจ็กจะอยากรู้เรื่องผมไปทำไม”

“แกยังง้อหนูเพียงไม่ได้เหรอ” ผดุงธรรมถามบุตรชายเสียงขึ้นจมูก ก้าวเร็วๆ เข้าไปประชิดตัวแดนเหนือ แล้วหวดไม้เท้าเข้าไปที่น่องของแดนเหนือแรงๆ ทีหนึ่ง ให้สมกับความขัดใจแล้วบ่นอุบ “หายไปอยู่บ้านเขาทั้งวันทั้งคืน ทำไมถึงไม่ได้เรื่องแบบนี้!”

“โอ๊ย! ป๊าตีผมทำไมเนี่ย!” แดนเหนือกระโดดหลบไม้เท้าของพ่อพัลวัน 

“ก็แกมันไม่ได้เรื่องไงเล่า” ผดุงธรรมกระแทกลมหายใจ แสดงออกว่าอะไรที่ทำให้เขาโกรธแดนเหนือ “ทำไมถึงไม่รีบๆ ง้อเขา หนูเพียงให้แกนอนที่บ้านเขาได้ เขาคงไม่ได้โกรธแกเท่าไหร่แล้วละ รีบง้อเขาให้ได้แล้วพาลูกกลับมาอยู่บ้านเราสิ”
     

“ผมไม่ให้ลูกผมมาอยู่นี่หรอก” 

ว่าแล้วแดนเหนือก็เงยหน้าสบตากับพ่อของตน คำพูดของเขาทำให้ผดุงธรรมนิ่งไปอย่างคาดไม่ถึง 

“เพราะผมก็จะไม่อยู่ที่นี่เหมือนกัน”

“นะ...นี่แก”

“ผมจะออกไปอยู่เอง” แดนเหนือไม่รอให้พ่อได้เป็นคนถาม เขาบอกแผนการของตนให้ผดุงธรรมฟังด้วยสีหน้าและน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ผมให้ลูกผมมาอยู่นี่ไม่ได้หรอก”

“ทำไมจะไม่ได้” ผู้เป็นปู่ที่มีความหวังว่าจะได้หลานๆ มาอยู่ห้อมล้อมนั้นได้ยินแล้วก็ไม่พอใจขึ้นมาทันควัน “นี่ใจคอแกจะไม่ให้ฉันเจอหลานเลยหรือไง หนูเพียงเขาไม่กีดกันฉันหรอกนะไอ้เหนือ”

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าผมจะกีดกันป๊านี่” 

แดนเหนือยักไหล่ ก้าวไปยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สุดที่เขามีลงมาจากหลังตู้ แล้วเริ่มลงมือเก็บข้าวของที่ตั้งใจจะนำติดตัวไปด้วยลงกระเป๋าทันที เริ่มต้นด้วยนาฬิกาข้อมือราคาแพงแสนแพงที่เขาเคยกว้านซื้อเอาไว้หลายสิบเรือนเมื่อไม่กี่ปีก่อน โดยมีแผนจะนำมันไปขายในอนาคต หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นว่าเขาถูกตัดออกจากกองมรดกขึ้นมาจริงๆ 

“แต่ผมก็ไม่ยอมให้ลูกผมมาอยู่ที่นี่เหมือนกัน...เพียงเองก็คงไม่ยอม”

“แกถามหนูเพียงเขาแล้วหรือ” ท่าทางของผดุงธรรมอ่อนลง เมื่อแดนเหนืออ้างถึงเพียงรัก ผู้เป็นแม่ของหลานทั้งสองของเขา “แกถามหนูเพียงดูแล้วหรือยังว่าเขาอยากมาอยู่ที่นี่ไหม”

“ใครจะอยากอยู่กับม้าล่ะป๊า” แดนเหนือตอบผู้เป็นพ่อด้วยคำถาม หยุดมือที่กำลังกวาดชุดทำงานของตนจากตู้ แล้วหันหน้ากลับมามองผดุงธรรม ยิ้มมุมปากนิดๆ อย่างเย้ยหยันตนเอง “ขนาดผมเองยังไม่อยากอยู่เลย”

“นี่แกคงไม่ได้จะย้ายออกเพราะเรื่องที่ม้าแกเขาขู่แกหรอกใช่ไหม”

“ผมไม่เคยอยากจะอยู่ที่นี่เลยป๊า” ร่างสูงก้มมองกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเอง ซ่อนสายตาหม่นเศร้าจากบิดา ก่อนจะพยายามฝืนยิ้ม แต่ก็ทำได้ยากลำบากเต็มที “ผมไม่เคยอยากอยู่นี่...แต่ที่อยู่ เพราะผมไม่มีที่ไปเฉยๆ” 

ชายหนุ่มก้าวไปเปิดลิ้นชักที่เก็บพวกเอกสารสำคัญ และสมุดบัญชีธนาคารต่างๆ ของตนเองออกมา นำมันใส่กระเป๋าเป้อีกใบขณะที่ปากก็พูดต่อ “แต่ตอนนี้ผมเป็นคนมีลูก ผมจะทำเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว...ผมอยู่กับม้าต่อไปไม่ได้แล้วป๊า”

“พูดอะไรของแกไอ้เหนือ”

“ป๊า...” แดนเหนือที่ปิดกระเป๋าเดินทางของตนเรียบร้อยสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนตัดสินใจถามผู้เป็นพ่อด้วยคำถามที่เขาได้แต่คิดสงสัยเงียบๆ อยู่คนเดียวมานาน แต่ไม่เคยมีความกล้าจะเอ่ยถามท่านกระทั่งวันนี้ 

“ป๊าเคยคิดไหมว่าตัวเองแต่งงานกับผู้หญิงผิดคน”

คำถามของแดนเหนือทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ พ่อลูกต่างมองหน้ากันและกันโดยปราศจากคำพูดใดๆ เพราะว่าทั้งสองต่างกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง...

สิ่งที่แดนเหนือถามมานั้นผดุงธรรมไม่เคยคิดสงสัย หรือถามตัวเองมาก่อนเลย ตลอดระยะเวลาที่เขาใช้ชีวิตคู่กับสุกดารา เขาไม่เคยสงสัยเลย จนเมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี้ที่แดนเหนือได้จุดประกายความสงสัยของเขา ทำให้ผดุงธรรมถามตัวเองว่า เขานั้นเลือกคู่ชีวิตผิดหรือไม่...แล้วหากเขาตัดสินใจต่างไปจากนี้ มันจะเปลี่ยนอะไรได้หรือเปล่า...

“ออกไปก่อนไป...” ผู้นำของเกียรติวิริยะหันไปบอกแม่บ้านที่ช่วยพยุงเขาขึ้นมาชั้นบน ผดุงธรรมรอกระทั่งภายในห้องนั้นเหลือเพียงเขากับแดนเหนือแค่สองคน จึงเอ่ยขึ้นว่า “แกนั่งลงไอ้เหนือ”

น้ำเสียงเด็ดขาดของบิดาทำให้แดนเหนือไม่มีทางเลือกอื่น เว้นแต่ยอมนั่งลงบนโซฟายาวที่ตั้งอยู่ปลายเตียงนอนของตนเอง นึกเสียใจว่าเขาไม่น่าถามอะไรสิ้นคิดออกไปเลย หากเขาเงียบแล้วรีบขนของไปขึ้นรถ ป่านนี้คงได้ออกไปพ้นจากบ้านหลังนี้แล้ว เขามันปากไม่มีหูรูดจริงๆ เลย...

“ทำไมแกถึงถามฉันอย่างนั้น” ผดุงธรรมเป็นฝ่ายถามก่อน เหลือบมองหน้าคมคายของบุตรชายแล้วถอนหายใจเสียงดังเฮ้อ “ผีเข้าหรือไง”

“ไม่รู้สิป๊า” แดนเหนือไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาถามคำถามไม่เข้าท่าแบบนั้นออกไป “ก็แค่อยากรู้...ว่าป๊าเคยเสียใจบ้างไหม”

“แกอยากรู้ว่าฉันเสียใจหรือเปล่าที่แต่งงานกับม้าแก หรือว่าแกเองเสียใจหรือเปล่าที่เกิดมาเป็นลูกเขา” 

คราวนี้เป็นคำถามของผดุงธรรมที่ทำให้แดนเหนือหันขวับ มองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างคาดไม่ถึงบ้าง 

คนที่นานๆ ทีจะได้มีโอกาสเห็นสีหน้าชวนขบขันของลูกชายถึงกับยิ้มกริ่ม หัวเราะหึๆ แล้วเลิกคิ้ว “ทำไม คิดว่าฉันจะไม่รู้หรือไงว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่”

“ไม่หรอกครับ...” ชายหนุ่มตอบเสียงเบา หลังจากสรุปกับตัวเองได้ว่าเขาเป็นพวกที่เดาความคิดง่าย จึงไม่แปลกที่พ่อและเพียงรักจะรู้ทันความคิดของเขา “ผมแค่ไม่เข้าใจ...ตอนนี้ผมเป็นพ่อคนแล้ว ผมยังคิดภาพไม่ออกเลย ว่าผมจะทำแบบที่ป๊ากับม้าเคยทำกับผมได้ยังไง”

“ไอ้เหนือ...”

“ผมไม่โกรธป๊าหรอกครับ” แดนเหนือสั่นศีรษะ เรื่องที่เคยเกิดกับเขาในวัยเด็กนั้นแดนเหนือรู้ดี ว่าเขาไม่สามารถถือโทษโกรธใครได้ “ผมไม่โกรธม้าเหมือนกัน...ก็แค่สงสัย ว่าถ้าตอนนั้นผมตายไปเลย...ทุกอย่างจะดีกว่านี้ไหม”

“ไม่เคยมีใครอยากให้แกเป็นอะไรไปทั้งนั้นแหละ เลิกพูดแบบนั้นเสียที!” มือที่กุมไม้เท้าของผดุงธรรมสั่นระริก เมื่อหวนคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับแดนเหนือในอดีต “ฉันบอกแกกี่ครั้งแล้วว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครตั้งใจให้มันเกิดขึ้นหรอกนะ”

“ผมรู้ครับ...” ชายหนุ่มหายใจยาวเหยียด “ป๊าไม่เคยสงสัยเลยเหรอว่าถ้าผมไม่อยู่ตรงนี้วันนี้ มันจะเป็นยังไง”

“บ้านนี้มันเลวร้ายจนแกคิดว่าการหายไปมันดีกว่าเหรอ” คราวนี้น้ำเสียงของผู้เป็นพ่อนั้นแฝงด้วยความตระหนก พอๆ กับสายตาที่เขาใช้มองบุตรชายคนโต “ฉันเป็นพ่อที่แย่ขนาดนั้นเลยหรือไอ้เหนือ...แกถึงได้อยากรู้ว่าถ้าตายไปมันจะดีกว่าอยู่ตรงนี้หรือเปล่า”

“ผมไม่รู้หรอกว่าป๊าเป็นพ่อที่แย่หรือดี” แดนเหนือเอ่ย สายตามองออกไปนอกหน้าต่างแล้วหวนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ ตั้งแต่ที่เขาจำความได้จนวินาทีนี้ “แต่ผมคิดว่าผมจะไม่เป็นพ่อเหมือนป๊า...ผมจะไม่หายไปตอนที่ลูกของผมต้องการพ่อที่สุด ผมจะเลือกลูกของผมก่อนทุกอย่าง...ผมจะไม่ทำเหมือนป๊า”

“...”        

“แล้วผมก็ดีใจมากที่แม่ของลูกผมเป็นเพียงรัก ผมโชคดีกว่าป๊าเยอะเลย”

“แกโชคดี” ผดุงธรรมหลุดยิ้มกับคำพูดสุดท้ายของลูกชาย แน่นอนว่าเขาเห็นด้วยกับแดนเหนือในเรื่องนี้ 

เพียงรักที่เขาเคยเจอตอนที่เธอยังสวมชุดนักศึกษานั้นนับว่าเป็นเด็กที่เด็ดเดี่ยวและเอาจริงมาก แต่ก็ยังสู้เพียงรักในปัจจุบันที่เป็นแม่และเป็นผู้ใหญ่ที่โตขึ้นไม่ได้อยู่ดี ในความรู้สึกของคนที่ได้เพียงรักมาเป็นแม่ของหลานนั้น ผดุงธรรมคิดว่าเขาชอบเพียงรักในปัจจุบันมากกว่า 

“แกโชคดีกว่าฉันเยอะเลย แต่มีแค่โชคมันไม่พอหรอกนะ แกรู้ไหม”

“ครับ?”

“การเป็นพ่อคนน่ะใช้แค่โชคดีอย่างเดียวไม่ได้หรอก ยิ่งการที่จะมีชีวิตครอบครัวที่ดีด้วยแล้ว แกยังต้องพยายามอีกเยอะ...แต่ฉันคงบอกแกไม่ได้ว่าต้องทำยังไง เพราะถ้าฉันรู้...ลูกของฉันคงไม่อยากตายมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้หรอก”

“แต่ผมบอกป๊าได้นะว่าป๊าพลาดตรงไหน” 

แดนเหนือยักคิ้วกวนๆ ใส่ผู้เป็นพ่อ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ช่วยกลบความเศร้าในดวงตาของชายหนุ่มไปได้พอสมควร และทำให้ผดุงธรรมนึกสงสัยขึ้นมา ว่าคนไร้น้ำยาอย่างแดนเหนือนั้นมีอะไรจะแนะนำเขา 

“อยากรู้ไหมว่าป๊าต้องทำยังไง”

“ยังไง”

“อย่างแรกเลย...ป๊าต้องเลือกรักผู้หญิงให้ถูกคนก่อน” ว่าแล้วแดนเหนือกระตุกยิ้ม “แต่ป๊าเลือกผิดตั้งแต่ต้น ทุกอย่างมันเลยผิดไปหมด”

“อย่าพลาดเหมือนฉันก็แล้วกัน” คนฟังได้แต่ยิ้มขมขื่นให้ตัวเอง สำหรับเขาตอนนี้มันคงสายเกินกว่าที่จะกลับไปแก้ไขอะไรแล้ว ทว่าไม่ใช่สำหรับแดนเหนือและเกื้อกูล “บ้านนี้คงทำให้แกความสุขไม่ได้แล้ว แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าแกจะมีความสุขไม่ได้อีก จำไว้นะไอ้เหนือ”

“ครับป๊า”

“ถ้าอยู่บ้านนี้มันไม่ความสุข ก็ออกไปสร้างบ้านที่มีความสุขให้ตัวเองเถอะเหนือ...ฉันขอโทษแล้วกันที่ไม่เคยทำหน้าที่พ่อดีแบบที่แกต้องการได้”

“ครับ”

“แล้วก็อย่าโกรธม้าแกเลย เขาเองก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าการเป็นแม่ที่ดีมันต้องทำยังไง”


“ผมไม่โกรธหรอกครับ...เพราะถ้าม้าไม่เป็นแบบนี้ หรือว่าทำแบบที่เคยทำกับผม ผมก็คงไม่รู้ว่าเพียงน่ะดีกับผมแค่ไหน” แดนเหนือพึมพำ “ยิ่งผมเจอเรื่องแย่ๆ มามากเท่าไหร่ ผมยิ่งเข้าใจว่าเพียงเขาแสนดีแค่ไหน”

 

สุดท้ายแล้วแดนเหนือก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับสองแฝดไม่ได้ แม้เขาจะพยายามเหยียบคันเร่งสุดชีวิตแล้ว แต่การจราจรในช่วงเย็นก็ยังทำให้เขาเสียเวลาในการเดินทางได้เป็นชั่วโมงๆ อยู่ดี จึงเป็นเวลาเกือบสองทุ่มที่แดนเหนือหิ้วกระเป๋าเป้กลับเข้าไปในคอนโดของเพียงรัก โดยมีเกื้อกูลอำนวยความสะดวกเปิดประตูให้เขา

“เฮียเจอม้าหรือเปล่า” นั่นคือคำพูดแรกที่เกื้อกูลพูดเมื่อเจอหน้าพี่ชาย

“ไม่เจอ” แดนเหนือตอบเสียงเบื่อ ถอดรองเท้าทิ้งไว้หน้าประตูแล้วเดินเข้าไปด้านใน สายตาสอดส่องหาเด็กๆ ด้วยความกังวล กลัวทั้งคู่จะโกรธที่เขาผิดสัญญากลับมาไม่ทันมื้อเย็น “วินกับฉัตรหลับไปแล้วเหรอ”

“ยังหรอก ดูทีวีอยู่กับพี่เพียง” คนที่เพิ่งลุกออกจากโซฟาเพื่อเปิดประตูให้พี่ชายนั้นพยักพเยิดไปทางห้องนั่งเล่น ที่ตอนนี้เพียงรักและหลานๆ ของเขากำลังดูสารคดีเกี่ยวกับฉลามวาฬอยู่ “กับข้าวอยู่ในครัวนะ ถ้าจะกินก็อุ่นเอา”

แดนเหนือไม่คิดว่าคนทางนี้จะยังนึกถึงเขา แม้เขาจะกลับมาไม่ทันมื้อเย็นก็ยังเก็บกับข้าวเอาไว้ให้ ทำให้หัวใจที่เหน็ดเหนื่อยของแดนเหนือกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ที่ปรากฏให้เห็นบนหน้าคมคร้าม

“เดี๋ยวค่อยกิน” แดนเหนือพึมพำระหว่างเดินตามเกื้อกูลเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มวางกระเป๋าเป้ลงบนโต๊ะข้างแจกันดอกไม้ ไม่สนใจไยดีว่าข้างในนั้นจะมีเอกสารสำคัญของตัวเองอยู่ เพราะตอนนี้ดวินและรฉัตรที่นอนเอกเขนกอยู่บนตัวเพียงรักนั้นสำคัญกว่ามาก 

ร่างสูงเดินไปหาทั้งสามคนด้วยหัวใจตุ๊มๆ ต้อมๆ กลัวว่าดวินและรฉัตรจะโกรธเขาที่ผิดสัญญา กลับมาไม่ทันมื้อเย็นจนมือเย็นเฉียบ แดนเหนือถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลายหนืดลงคออึกใหญ่ ก่อนที่จะค่อยๆ เดินเข้าไปหาเด็กทั้งสอง

“วินครับ ฉัตรครับ...ลุงแดนขอโทษที่กลับมาไม่ทันมื้อเย็นตามที่สัญญานะ”

เพียงรักละสายตาจากโทรทัศน์มามองใบหน้าไม่สู้ดีของแดนเหนือเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะหันกลับไปสนใจสารคดีโปรดของลูกต่อ ผิดกับสองแฝดที่ไม่แม้แต่จะเสียเวลามองแดนเหนือ 

ทั้งดวินและรฉัตรต่างจดจ่ออยู่กับภาพของเจ้าฉลามวาฬตัวยักษ์ ดวงตาของทั้งคู่เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น ยังไม่รับรู้ถึงการมาของชายหนุ่ม เท่านั้นสีหน้าของแดนเหนือก็ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม 

เพียงรักเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงกลัวว่าเด็กๆ จะโกรธถึงได้มีสีหน้าแบบนั้น เธอถอนหายใจออกมายาวเหยียด แดนเหนือคงยังไม่รู้ว่าลูกๆ ของเธอนั้นสนิทกับคนง่ายก็จริง แต่พวกเขาก็ลืมความสำคัญของคนพวกนั้นได้ง่ายพอกัน หากไม่ได้อยู่ด้วยกันเป็นประจำแล้ว ดวินและรฉัตรมีหรือจะสนใจไยดี 

เคยสนิทกัน รักกันมากแค่ไหน แต่เด็กก็ยังเป็นเด็ก พอแดนเหนือออกไปข้างนอกแล้ว กลับมาอีกครั้งก็ย่อมกลายเป็นคนอื่นไป หากอยากเป็นคนสำคัญอีกก็ต้องเริ่มสร้างความไว้ใจใหม่อีกครั้ง

“วิน ฉัตร...ลุงแดนเขาพูดด้วยได้ยินไหม” เป็นเพียงรักที่กระตุ้นลูกๆ ที่นอนทับตัวเธออยู่ให้พวกเขารู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาทอยู่ “ยังเฉยอีก”


“คุณแม่...” รฉัตรถึงกับหน้าง้ำเมื่อโดนเพียงรักรบกวนสมาธิ ระหว่างฟังเรื่องวิธีการล่าเหยื่อของฉลามวาฬ ก่อนจะหันมาค้อนต้นเหตุอย่างแดนเหนือ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด จนชายหนุ่มเห็นภาพเพียงรักฉบับมินิซ้อนทับตัวลูกสาวขึ้นมา “หลบ”

“รฉัตร” เพียงรักปรามลูกสาวเสียงเข้ม การเรียกชื่อเต็มทำให้สองแฝดลุกขึ้นนั่งหลังตรงแน่วพร้อมกัน รู้ดีว่าหากพวกเขายังทำตัวไม่น่ารักอีก ต้องโดนคุณแม่สั่งให้เข้านอนแน่ 

“ขอโทษค่ะ” ท่าทางเป็นศัตรูกับแดนเหนือของรฉัตรหายไปทันทีทันควัน พร้อมกับเสียงอ่อยๆ ที่เจ้าตัวกระซิบขอโทษมารดา เด็กหญิงลอบมองหน้าเพียงรักสลับกับแดนเหนือ หาร่องรอยความโกรธจากใบหน้าของมารดาแล้วจึงหันไปหาแดนเหนืออีกครั้ง พูดกับคนที่เธอเพิ่งออกคำสั่งไปเมื่อครู่ด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิมเล็กน้อย “ฉัตรขอโทษค่ะ”

“ไม่เป็นไรๆ” แดนเหนือรีบขยับตัวเข้าไปหาเด็กหญิง ยิ้มกว้างขณะเอื้อมมือไปลูบต้นแขนเล็กๆ ของรฉัตรอย่างปลอบขวัญ เข้าใจว่าเด็กหญิงคงตกใจที่โดนเพียงรักเอ็ด ขนาดเขาเองก็หวาดหวั่นเพียงรักอยู่ไม่น้อย “ลุงต่างหากที่เป็นคนผิด ฉัตรไม่โกรธลุงใช่ไหมที่ผิดสัญญา”

“โกรธสิคะ” รฉัตรเชิดคาง จำได้แล้วว่าแดนเหนือเคยสัญญาอะไรกับเธอและพี่ชายไว้ “ลุงแดนไม่กลับมา ฉัตรหิวมาก”

“ฉัตรยังไม่ได้ทานอะไรหรือลูก” แดนเหนือรุดเข้าไปหาลูกสาวด้วยความเป็นห่วง ดวงตาคมคริบของเขาตวัดมองหน้าเพียงรักด้วยความไม่พอใจเป็นครั้งแรก ซึ่งนั่นทำให้เพียงรักถึงกับต้องเลิกคิ้วสูงอย่างคาดไม่ถึงว่า แดนเหนือจะกล้าดีมองเธอด้วยสายตาแบบเมื่อครู่  “ทำไมถึงปล่อยให้ฉัตรหิวล่ะเพียง เดี๋ยวลูกก็ปวดท้องหรอก”

“ไม่ต้องมาสอนเราหรอก นี่ลูกเรา...เรารู้ว่าต้องเลี้ยงยังไง” 

เพียงรักตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา เท่านั้นแดนเหนือก็ต้องกลืนคำพูดและความรู้สึกไม่พอใจของตัวเองทั้งหมดลงไว้ในลำคอ พร้อมก้มหน้าต่ำด้วยความน้อยอกน้อยใจ 

“พวกเรากินข้าวแล้ว” ดวินแทรกขึ้นมา ทำให้แดนเหนือผงกศีรษะมองหน้าเขาด้วยสายตาชื่นชมรักใคร่ เด็กชายพูดจบก็หันไปมองหน้าน้องสาวที่เกิดหลังเขาสองนาที แล้วดุ “ฉัตรอย่าโกหกลุงแดน”

“ฉัตรเปล่าโกหกสักหน่อย” รฉัตรค้อนพี่ชายวงใหญ่ โทษฐานที่เขาปรักปรำว่าเธอโกหกแดนเหนือ “ก็ฉัตรหิวมากจริงๆ รอตั้งนานลุงแดนก็ไม่มาสักทีนี่”

“ไม่เอาๆ อย่าทะเลาะกัน” เพียงรักแยกสองแฝดออกจากกัน รู้ว่าถ้าทั้งคู่พูดกันด้วยน้ำเสียงหาเรื่องอย่างนี้ อีกไม่นานต้องมีการลงไม้ลงมือกันแน่ “เป็นพี่น้องกันต้องรักกันนะ”
             “ก็วินว่าฉัตร” เด็กหญิงหน้าง้ำ เหลือบมองหน้าผู้เป็นแม่แล้วเบะหน้าเตรียมเรียกน้ำตาออกมาเรียกคะแนนสงสาร 

ทว่าผู้เป็นแม่กลับไม่หลงกล เพียงรักปรายตามองหน้าเธอด้วยสายตารู้ทัน รฉัตรจึงต้องหันไปหาเหยื่อรายใหม่ที่กำลังทำหน้าเหมือนหัวใจสลายที่เห็นน้ำตาของเธอ 

“ลุงแดนขา...”

“ขา...” แดนเหนือกลายเป็นคนกระจอกยิ่งกว่าที่เคยเป็นกับเพียงรัก ร่างสูงประคองกอดเด็กหญิงขึ้นมานั่งบนตัก โอบรฉัตรแน่นพลางโยกตัวไปมาอย่างปลอบประโลม “ลุงแดนอยู่นี่แล้วค่ะ ฉัตรไม่ร้องไห้นะคะ”

เพียงรักถึงกับกลอกตาขึ้นฟ้าด้วยความเบื่อหน่ายและสิ้นหวังกับภาพตรงหน้า ในใจก็ค่อนขอดแดนเหนือที่ตกหลุมพรางของรฉัตรอย่างง่ายดาย เห็นหน้าตาซื่อๆ อย่างนี้ ลูกสาวของเธอเจ้าเล่ห์นักแหละ รู้ว่าต้องทำอย่างไร คนรอบตัวถึงจะตามใจ...ตีหน้าเศร้า บีบน้ำตานิดหน่อย เท่านี้ทุกคนก็สยบอยู่ใต้เท้าเล็กๆ ของรฉัตรแล้ว ร้ายนัก!

“บอกว่าอย่าโกหกไง” พี่ชายฝาแฝดที่รู้ถึงลูกไม้ของน้องสาวดีนั้นดุ ดวินจ้องรฉัตรด้วยสายตาเข้มงวดแบบเดียวกับผู้เป็นแม่ “โกหกไม่ดีนะ”

“ถ้าทะเลาะกัน แม่จะพาเข้านอนเลยนะ” เพียงรักขู่เสียงเฉียบ เท่านั้นศึกสายเลือดระหว่างสองแฝดจึงยุติลง แม้ทั้งคู่จะยังจ้องหน้าอย่างคาดโทษกันและกันอยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาอีก โดยเฉพาะรฉัตรที่เห็นว่าการมีแดนเหนือเป็นกองหนุนนั้นช่างไร้ประโยชน์ หยาดน้ำตาที่เคยเอ่อคลอหน่วยตาก็ค่อยๆ แห้งเหือดไป 

เมื่อเด็กหญิงดันอกกว้างเพื่อที่จะปีนกลับไปซบอกเพียงรัก แดนเหนือจึงตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้เขาโดนลูกหลอก รฉัตรไม่ได้เสียใจ และไม่ได้ร้องไห้เพราะกลัวดวิน แต่เด็กหญิงเพียงแสร้งทำเป็นว่าจะร้องไห้ เพื่อเรียกคะแนนสงสารเท่านั้น 

“วินขยับไปหน่อยสิ แบ่งคุณแม่กันไง จำไม่ได้เหรอ” รฉัตรที่ผละจากอ้อมอกเพียงรักไปก่อนหน้านี้ชะโงกหน้ามามองพี่ชายที่กำลังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ และไม่ยอมขยับคืนพื้นที่ให้น้องสาว เมื่อดวินยังนิ่ง รฉัตรจึงต้องขอความช่วยเหลือจากเพียงรัก “คุณแม่ขา วินแกล้งฉัตร”

“ฉัตรกอดลุงแดนไปสิ” ดวินพยักพเยิดไปยังตัวแถมด้านหลังที่แฝดน้องเพิ่งออดอ้อนไปหยกๆ ขณะที่อ้อมแขนเล็กโอบรอบเอวบางของมารดาเข้าหาตัวอย่างหวงแหน “แล้วเงียบๆ ด้วย”

“วิน!” ใจจริงรฉัตรอยากจะลงไปดิ้นเป็นการประท้วง หากไม่ติดว่าถูกสายตาคมกริบของผู้เป็นแม่จับจ้องอยู่ตลอด “วินขี้โกง นิสัยไม่ดีเหมือนกันแหละ”

“ฉัตรลุกไปก่อนเองนะ” ดวินตีหน้าซื่อ ไม่สนใจว่ารฉัตรจะต่อว่าเขาอย่างไร เพราะเด็กชายยังคงกอดเพียงรักแน่น ละสายตาจากใบหน้าอันบูดบึ้งเพราะขัดใจของรฉัตรไปที่จอโทรทัศน์ต่อ 

“คุณแม่ขา...คุณแม่ดูวินสิ” 

เมื่อลูกของเธอทำท่าว่าจะตีกันอีกรอบ เพียงรักถึงกับต้องกระแทกลมหายใจ เหนื่อยอกเหนื่อยใจกับเจ้าสองแสบนี่จริงๆ ตีกันตั้งแต่อยู่ในท้องของเธอ คลอดมาจนโตขนาดนี้ ก็ยังหาเรื่องตีกันได้อีก ไม่เหนื่อยหรือไง....เธอที่เป็นแค่คนคอยห้ามยังทั้งเหนื่อยทั้งระอาเลย

“ฉัตรมานั่งกับลุงแดนก็ได้นะคะ ตัวลุงแดนนิ่มกว่าแม่เพียงอีกนะ” แดนเหนือเข้ามาช่วยเพียงรัก เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทำท่าคล้ายถอดวิญญาณไปแล้ว ก็เพียงรักผอมออกปานนั้น นั่งทับนานๆ คงโดนกระดูกทิ่มแย่

“ไม่เอา! ฉัตรจะกอดคุณแม่”

และก่อนที่ดวินและรฉัตรจะได้ลงไม้ลงมือกัน เสียงมือถือของเพียงรักก็ดังขึ้นเสียก่อน เธอจึงดันตัวดวินออกแล้วหยิบมือถือขึ้นมาพลิกดู ชื่อของผู้ที่ถือสายรออยู่นั้นทำให้สีหน้าของเพียงรักเปลี่ยนไป 

สำหรับคนอื่นคงไม่ได้สังเกต แต่สำหรับแดนเหนือนั้น เขาพอจะเดาได้ว่าเพียงรักคงไม่ได้อยากรับสายนี้เท่าไหร่นัก ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ตามแต่...แต่แล้วแดนเหนือก็เข้าใจได้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ว่า

“คุณยายโทร. มาแน่ะ” เพียงรักกระซิบบอกดวินและรฉัตร เท่านั้นสองแฝดก็ตื่นเต้น พยายามเบียดตัวเข้าไปอยู่ในรัศมีของกล้องมือถือ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้มองเห็นคุณยายของพวกเขา 

“ว่าไงคะแม่”
             “คุณยาย!”

เมื่อคนที่อยู่ปลายสายเป็นแม่ของเพียงรัก แดนเหนือไม่มีทางเลือกอื่น เว้นเสียแต่ยอมถอยออกมาแล้วปล่อยให้หญิงสาวได้มีเวลาส่วนตัวกับครอบครัวของเธอ อีกอย่างแดนเหนือไม่รู้ว่าเพียงรักได้บอกเรื่องที่เขามาพักที่นี่ชั่วคราวกับคุณยายของสองแฝดหรือไม่ แต่ถ้าเขาเป็นเพียงรักเขาคงไม่บอกหรอก 

ก็นะ...เขาสร้างปัญหาไว้ตั้งเท่าไหร่ แม้จะไม่ได้ใจและไม่รู้เรื่องที่เพียงรักตั้งท้องก่อนย้ายกลับไปอังกฤษ แต่เขาก็มีความผิดอยู่ดี เพราะเป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายทั้งหมด ทั้งเรื่องที่ทำให้เพียงรักตั้งท้องทั้งที่ยังเรียนไม่จบ และเรื่องที่มีคนอื่นจนเธอต้องระเห็จตัวเองและลูกๆ กลับไปหาแม่ ไม่แน่ว่าแม่ของเพียงรักอาจจะเกลียดเขาเข้ากระดูกดำไปแล้วก็ได้

ตอนนี้ลำพังแค่เพียงรัก แดนเหนือยังทำให้เธอหายโกรธไม่ได้ อย่าเพิ่งคิดเรื่องที่จะทำให้แม่ยายรักเลย ดีไม่ดีแม่ของหญิงสาวอาจจะยื่นคำขาดให้เพียงรักไล่เขาออกจากบ้านก็ได้ ดังนั้นทางที่ดีเขาไม่ควรจะสร้างปัญหาเพิ่ม 

นึกๆ ดูแล้วก็น่าขำ...ตอนที่คบหากับเพียงรักสมัยเรียน ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนิทกับแม่ของเธอ เคยคุยโทรศัพท์ทางไกลกับท่านเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ตอนเลิกกับเพียงรัก แดนเหนือเคยพยายามติดต่อหาท่านอยู่หลายครั้ง แต่ก็ติดต่อใครไม่ได้ เพราะคนกลางอย่างเพียงรักไม่เคยทิ้งเบอร์ติดต่อของท่านไว้ 

พอถามเพื่อนสนิทของหญิงสาวก็ไม่มีใครปริปากบอกเขาว่าเธอหายไปไหน หรือจะติดต่อแม่ของเพียงรักได้ยังไง ปัทมาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของอีกฝ่ายบอกเพียงแค่ว่า เพียงรักสบายดีและไม่ต้องการติดต่อกับเขาอีกต่อไป เมื่อมาถึงทางตันแดนเหนือจึงทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมรับความพ่ายแพ้

ทว่าพอมาคิดทบทวนดูอีกทีตอนนี้ การที่เขาติดต่อคนรอบตัวของเพียงรักไม่ได้เลย คงจะเป็นเพราะว่าฝั่งครอบครัวของหญิงสาวตั้งใจไม่ให้เขาติดต่อได้มากกว่า ที่เป็นอย่างนั้นคงเพราะว่าท่านรู้เรื่องที่เกิดขึ้นผ่านทางเพียงรัก และคงไม่อยากให้บุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านมาเสียเวลากับคนอย่างเขาอีก ก็ถือว่าสมควรแล้วกับสิ่งที่เขาเคยทำไว้กับเธอ

แดนเหนือคิดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นหลายเรื่อง ล้วนเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยฉุกใจคิดมาก่อนเลย เพราะมัวแต่โกรธเพียงรักที่จู่ๆ ก็ทิ้งเขาไป ยิ่งไปกว่านั้นคือความตกใจและคาดไม่ถึงว่า แฟนสาวที่ไม่เคยปริปากบ่น ไม่แม้แต่จะแสดงความไม่พอใจอะไรออกมาให้เขาได้รับรู้เลยสักครั้งจะลุกขึ้นมาสะบั้นความสัมพันธ์และทิ้งเขาได้อย่างง่ายได้ 

แม้ว่าเขาเองเป็นฝ่ายที่เคยพยายามหาเรื่องทะเลาะกับเพียงรักก่อน เคยแม้แต่คิดหาเหตุผลมาบอกเลิก แต่พอโดนทิ้งเข้าจริงๆ แดนเหนือกลับไม่รู้สึกยินดี...ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว 

ภาพแผ่นหลังของเพียงหลังที่ค่อยๆ เดินไปจากเขานั้นแดนเหนือยังจำได้ไม่ลืม เพราะนับแต่วันนั้นมา ชีวิตชายหนุ่มก็พังไม่เป็นท่า สุดท้ายก็รู้ตัวว่าเขาที่ไม่มีเพียงรักก็เป็นได้แค่คนโง่ไร้สมองคนหนึ่งเท่านั้น

“ไหนบอกว่าไม่เจอม้าไง ทำไมเฮียทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”

“หือ” แดนเหนือผงกศีรษะขึ้นมองหน้าเกื้อกูลที่นั่งกินขนมอยู่บนโต๊ะ โดยมีพี่จิ๊บเตรียมเมนูอาหารสำหรับวันพรุ่งนี้อยู่ในครัว เขายิ้มทักพี่เลี้ยงคนเก่งพอเป็นพิธีก่อนจะทรุดตัวนั่งข้างน้องชาย “ไม่ได้ทำหน้าอะไรสักหน่อย แค่คิดอะไรเพลินๆ”

“สรุปว่าเฮียไม่เจอม้าจริงเหรอ” เกื้อกูลไม่ค่อยแน่ใจ ปกติแล้วสุกดาราไม่มีทางพลาดโอกาสแบบนี้แน่ “ผมนึกว่าเฮียโดนม้าจับขังไว้เสียอีก ถึงกลับมากินข้าวเย็นไม่ทัน”

“เปล่าหรอก ไม่ได้เจอ” 

แดนเหนือตอบ ก่อนดวงตาจะเหลือบไปเห็นจานครัวซองต์และกระดาษโน้ตที่มีตัวหนังสือตัวโตๆ เขียนไว้ว่า ‘ของลุงแดน’ แม้ว่าจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่กลับทำให้แดนเหนือจุกในลำคอ ขอบตาร้อนผ่าวเพราะความรู้สึกตื้นตันที่อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ 

“นี่ของฉันเหรอ”

“อ้อ ใช่”เกื้อกูลยื่นหน้ามาดูครัวซองต์จากร้านดังที่เพียงรักพาเด็กๆ ออกไปซื้อมาเมื่อเย็นแล้วพูดต่อ “วินแบ่งเอาไว้ให้เฮีย คงกลัวว่าเฮียจะหิวมั้ง”

“น่ารักจังวะ” แดนเหนือยิ้มกว้าง เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ตั้งแต่เพียงรักจากไปที่เขายิ้มได้กว้างขนาดนี้ 

รอยยิ้มของชายหนุ่มทำให้เกื้อกูลและจิ๊บต่างแปลกใจ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าแดนเหนือนั้นไม่ได้มีดีแค่หน้าโหด บทจะสดใสอ่อนโยนก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน 

“กินข้าวก่อนนะคะ ค่อยทานครัวซองต์ทีหลัง จะได้อิ่มๆ” จิ๊บเตือนหลังวางจานอาหารเย็นที่เธอแบ่งไว้ให้แดนเหนือลงตรงหน้าร่างสูง ควันที่ลอยกรุ่นและกลิ่นหอมของอาหารที่เพิ่งผ่านการอบมาหมาดๆ เรียกท้องไส้แดนเหนือให้ส่งเสียงร้องโครกครากได้ดี
             “ขอบคุณครับ” แดนเหนือพึมพำพลางลงมือรับประทานอาหารเย็น โดยมีเกื้อกูลนั่งอยู่เป็นเพื่อนระหว่างที่จิ๊บกลับไปง่วนอยู่กับงานในครัว เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญและน่าจะมีแขกมาบ้านเยอะเป็นพิเศษ

“เฮียเจอใครบ้างล่ะ” เกื้อกูลยังสงสัยว่าการกลับไปที่บ้านใหญ่ของพี่ชายนั้น แดนเหนือเอาชีวิตรอดกลับมาได้อย่างไร “อย่าบอกนะว่าไม่เจอใครเลยน่ะ”

“เจอแค่ป๊า” แดนเหนือตอบ แม้จะยังเคี้ยวข้าวไม่ละเอียดดี แต่อีกฝ่ายถามเขาเอง จะมาว่าเขาเสียมารยาทไม่ได้ แต่ต่อให้เกื้อกูลไม่พอใจก็ใช่ว่าแดนเหนือจะสน “คุยกันนิดหน่อยตอนที่ฉันเก็บของ ส่วนของที่แกฝากให้หยิบมายังอยู่ในรถ รีบใช้ก็ลงไปเอาเองแล้วกัน” 

ว่าแล้วแดนเหนือก็โยนกุญแจรถแลนด์โรเวอร์ที่เขาใช้แทบจะนับครั้งได้ให้น้องชาย

“คิดยังไงเลือกคันนี้มา” เกื้อกูลเลิกคิ้วสูง ถามพลางพิเคราะห์กุญแจรถในมือไปพลาง “ไม่ค่อยเห็นเฮียขับคันนี้ ไหนว่าใหญ่เทอะทะไง”

“อย่าถามมากได้ไหม” แดนเหนือชักสีหน้า ในใจก็คิดว่านับวันเกื้อกูลยิ่งทำตัวเหมือนเป็นพ่อของเขาเข้าไปใหญ่ ทั้งที่เขาเกิดก่อนมันตั้งหลายปี “ฉันจะขับรถคันไหนก็เรื่องของฉันไหมไอ้เกื้อ เอาเรื่องตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ค่อยมาจุ้นจ้านเรื่องคนอื่นเขา”
             “เฮียไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย” เกื้อกูลเบะปาก แดนเหนือคงลืมไปแล้วว่าถ้าไม่มีเขาสักคน ป่านนี้มีมือดีฉกเพียงรักไปจากแดนเหนือตั้งนานแล้ว เหอะ! “เรื่องของเฮียก็เหมือนเรื่องผมแหละ ถ้าพี่เพียงแต่งงานกับคนอื่นแล้วผมจะไปหาพี่สะใภ้ทั้งสวยทั้งรวย แล้วก็แสนดีแบบนี้จากที่ไหน”

แดนเหนือถึงกับตวัดสายตามองหน้าน้องชายอย่างคาดโทษ เนื่องจากกล้าดีที่พูดว่าเพียงรักจะลงหลักปักฐานกับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อของลูกอย่างเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่แดนเหนือกลัวมาตลอดว่าจะเป็นจริงขึ้นมาสักวัน 

“แถมกว่าจะเจอคนอย่างพี่จิ๊บก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สักหน่อย ใช่ไหมครับพี่” ประโยคหลังนั้นเกื้อกูลหันไปหาแนวร่วมที่ก้มหน้าก้มตา ทำตัวประหนึ่งอากาศธาตุ โดยแสร้งว่าไม่ได้ยินเรื่องที่สองพี่น้องกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติเลยสักนิด 

“อย่าถามพี่เลยค่ะ พี่ไม่รู้หรอก” จิ๊บฉลาดพอที่จะไม่ออกความเห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เพียงรักอาจจะตกลงใจกับคนอื่นที่ไม่ใช่แดนเหนือหรือเรื่องอื่นๆ 

เกื้อกูลและแดนเหนือต่างพร้อมใจกันกลอกตาและถอนหายใจกับคำตอบเขินๆ ของผู้เป็นพี่เลี้ยง จิ๊บถึงกับหลุดขำออกมา เมื่อภาพตรงหน้านั้นทำให้เธอนึกถึงดวินและรฉัตร ยามที่โดนกดดันให้กินผักหรือไม่ก็ถูกเพียงรักปราม

“คุณเหนือกับคุณเกื้อเหมือนฉัตรกับวินเปี๊ยบเลยค่ะ” พี่เลี้ยงคนเก่งหัวเราะร่วน คิดว่าสองแฝดโตไปก็คงจะเหมือนแดนเหนือและเกื้อกูลนี่แหละ “ถ้าโดนคุณเพียงเอ็ดเข้าหน่อยก็จะถอนหายใจแรงๆ แบบนี้ทุกที”

“เลือดพ่อแรงก็แบบนี้แหละครับ” เกื้อกูลย่นจมูกพลางเอ่ย สำหรับเขานั้นนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกทีเดียวที่หลานๆทั้งสองคนมีนิสัยบางอย่างเหมือนแดนเหนือ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอหรืออยู่ใกล้ชิดกันมาก่อนด้วยซ้ำ ความจริงดวินและรฉัตรควรจะมีนิสัยเหมือนเพียงรักที่เลี้ยงดูมากกว่า “แต่ยังดีที่บ้านพี่เพียงเขาเป็นคนเลี้ยง ไม่งั้นนะ...”

“ไม่งั้นจะทำไมหรือคะ” จิ๊บเลิกคิ้ว คำพูดของเกื้อกูลนั้นทำให้เธออยากรู้เข้าไปใหญ่ว่า หากคนที่เลี้ยงดวินและรฉัตรไม่ใช่เพียงรัก แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับสองแฝด

“ก็จะเป็นแบบนี้ไงครับพี่” เกื้อกูลว่าแล้วก็ตวัดสายตาไปยังแดนเหนือที่กำลังกินอาหารเย็นอยู่ เท่านั้นจิ๊บก็เข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่เกื้อกูลต้องการจะบอกคืออะไร ทว่าพอพี่ชายแยกเขี้ยวใส่น้องชายอย่างคาดโทษ จิ๊บจึงต้องรีบเอ่ยแทรกหวังแก้ไขสถานการณ์

“คุณเหนือเลี้ยงเด็กเก่งกว่าคุณเกื้ออีกนะคะ ถ้าวินกับฉัตรเป็นแบบคุณเหนือก็ไม่แย่หรอกค่ะ”

“อย่าให้เหมือนผมมากเลยครับ ให้เหมือนแม่เขาบ้างนั่นแหละถึงจะดี” แดนเหนือรู้ตัวดีว่าเขาไม่ใช่คนดีเด่อะไร อันที่จริงนิสัยของเขานั้นติดลบอยู่หลายอย่างทีเดียว “เกิดเหมือนผมมากเกินไป เดี๋ยวเขาจะโดนเพียงทิ้งเหมือนผม”

“เราไม่ทิ้งลูกหรอก ทิ้งแค่พ่อก็พอ” 

เพียงรักที่ฟังการสนทนาของทั้งสามคนมาได้พักใหญ่นั้นเอ่ยเสียงเขียว ทำให้มือไม้ของแดนเหนือพลันอ่อนแรง เกือบเผลอปล่อยช้อนลงกระแทกปากชาม แต่เรียกสติของตัวเองกลับมาได้เสียก่อน อีกอย่างเพียงรักก็ไม่ได้น่ากลัวจนต้องมือไม้อ่อนแรงขนาดนั้น 

“ทีหลังจะพูดอะไรก็ระวังปากหน่อย เกิดวินกับฉัตรมาได้ยินเดี๋ยวจะเป็นเรื่อง เด็กกำลังจำไม่รู้เหรอ”
             “เหนือขอโทษ” 

คนที่พลั้งปากพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดเข้านั้นก้มหน้างุด ไม่กล้าสู้สายตาคมกริบของเพียงรักต่อ ทำให้อีกฝ่ายจำต้องปล่อยเขาไป แต่ก็มิวายคาดโทษร่างสูงเอาไว้ในใจ คิดว่าหากแดนเหนือพูดอะไรไม่เข้าท่าใกล้ๆ ลูกอีก เธอเล่นงานเขาแน่

“พี่จิ๊บคะ คุณแม่อยากคุยด้วย” บอกกับพี่เลี้ยงของลูกๆ แล้วเพียงรักก็ผละไป แต่กระนั้นก็มิวายปรายตามองแดนเหนือที่มองเธออยู่ก่อนแล้ว เตือนชายหนุ่มผ่านสายตาเอาจริง เท่านั้นแดนเหนือก็รู้ตัวว่าเขาได้ทำพลาดอีกครั้งแล้ว 

จิ๊บที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างได้แต่ส่งกำลังใจให้แดนเหนือทางสายตา รู้ได้ว่าชายหนุ่มคงไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวหาว่าเพียงรักจะทิ้งลูก แต่ที่พูดมาคงเพราะความน้อยใจเท่านั้น แม้จะผิดที่ผิดเวลาไปบ้าง แต่เธอก็คิดว่าชายหนุ่มไม่สมควรจะโดนเพียงรักมองด้วยสายตาแบบเมื่อครู่

พ้นหลังเพียงรักและจิ๊บแล้ว สองหนุ่มบ้านเกียรติวิริยะจึงกลับมาหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง โดยเฉพาะเกื้อกูลที่กลั้นหายใจไว้ตั้งแต่ที่ได้ยินเพียงรักถึงกับต้องรีบคว้าแก้วน้ำเย็นของตัวเองขึ้นมากระดกรวดเดียวหมดแก้วเลยทีเดียว เสร็จแล้วก็หันไปเอาเรื่องพี่ชายที่พูดจาอะไรไม่รู้ตาม้าตาเรือ

“เฮียพูดอะไรของเฮียเนี่ย! เกือบซวยกันหมดแล้วเห็นไหม!”

“ก็ไม่รู้ว่าเพียงจะได้ยินนี่หว่า” แดนเหนือกระแทกเสียงตอบ ถ้าเขารู้ว่าหญิงสาวจะเดินออกมาเรียกพี่จิ๊บไปพูดสายกับแม่ของเธอ คงไม่พูดอะไรโง่ๆ แบบเมื่อกี้นี้ออกไปหรอก “เซ็งว่ะเกื้อ...”
             “เฮียก็ใจเย็นๆ ก่อน...” เกื้อกูลที่เห็นสีหน้าของผู้เป็นพี่ก็รู้ตัวว่าเขาอาจจะพูดแรงเกินไป “พี่เพียงเขาเตือนเพราะกลัวหลานจะจำ แล้วคิดว่าแม่ไม่รักก็ได้ ไม่ได้หาเรื่องมาด่าเฮียเพราะเกลียดเฮียหรอกน่า”

“นี่แกตกลงกำลังปลอบ หรือว่าหลอกด่ากันแน่วะ” แดนเหนือชักไม่แน่ใจ คำพูดของน้องชายแรกๆ ก็เหมือนหวังดี แต่ตอนท้ายเหมือนกำลังจะด่าเขาแปลกๆ

“เฮียอย่ามาหาเรื่องกันได้ไหม ถ้าไม่มีผมก็ไม่มีใครเชียร์เฮียให้คืนดีกับพี่เพียงแล้วนะ”

“คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าแกหวังผล” คราวนี้แดนเหนือเป็นฝ่ายตวัดตามองน้องชายคืน “คนอย่างแกไม่เคยทำอะไรให้ใครฟรีๆ หรอกไอ้เกื้อ คราวนี้อยากได้อะไรจากเพียงล่ะ ถึงได้กระตือรือร้นเสนอตัวมาคอยช่วยคอยเชียร์ฉันขนาดนี้”

“ก็...” คนที่พึ่งพาเพียงรักมากกว่าพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองนั้นชะงักคำพูด ประมวลข้อดีข้อเสียหากบอกความจริงแก่พี่ชายว่าเขาจะได้อะไร หากแดนเหนือเอาชนะใจเพียงรักได้อีกครั้ง คิดเสร็จแล้วเกื้อกูลก็ปิดปากฉับ เมื่อผลลัพธ์ของการถกเถียงกับตัวเองนั้นคือ เขาควรหุบปากเอาไว้จะดีกับทุกฝ่ายที่สุด “ไม่มีอะไรนี่เฮีย ผมก็แค่คิดว่านอกจากพี่เพียงแล้วจะมีใครหน้ามืดมารักเฮียได้อีก”

คำตอบของน้องชายทำให้แดนเหนือเงียบไป ชายหนุ่มคิดตามคำพูดเมื่อครู่เงียบๆ แล้วก็เห็นว่าเป็นจริงอย่างที่เกื้อกูลว่า

“ก็จริง...”
             “ใช่ไหมล่ะ!” เกื้อกูลตบเข่าฉาด เห็นไหมล่ะว่าการเบี่ยงเบนความสนใจของแดนเหนือนั้นไม่ใช่เรื่องยาก “พี่เพียงทั้งเก่ง ทั้งรวย นี่ถ้าเฮียจับพี่เพียงได้อยู่หมัด เราสองคนก็มีแต่ได้กับได้” 

พูดจบเกื้อกูลก็หยุดสังเกตสีหน้าของแดนเหนือ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพี่เชื่อเขาทุกอย่าง ชายหนุ่มก็ถึงกับลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

เรื่องที่ว่าแดนเหนือเป็นคนโง่นั้นเขาพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่เพียงข่าวลือ

“เพราะแบบนี้ไงผมถึงได้ช่วยเฮีย ผมน่ะอยากให้เฮียลงเอยกับคนดีๆ ผมทำทุกอย่างก็เพื่อเฮียเลยนะ”

“ไม่เสียแรงที่มีแกเป็นน้องว่ะเกื้อ” แดนเหนือพยักหน้าให้น้องชายด้วยความภาคภูมิใจ ที่สุดท้ายแม้ในยามที่เขาลำบากที่สุด ก็ยังมีเกื้อกูลที่ไม่ทิ้งเขา 

 

คืนนี้เพียงรักเป็นคนรับหน้าที่พาเด็กๆ นอน แม้รฉัตรและดวินจะโยเยต่อรองเวลาเข้านอนไปดึกกว่านี้ โดยอ้างว่ายังอยากคุยกับคุณยายต่อ แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะอย่างนั้นเรื่องจึงลงท้ายด้วยน้ำหูน้ำตากันนิดหน่อย ก่อนเพียงรักส่งทั้งคู่ขึ้นเตียง แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้อ่านนิทานก่อนนอนจบ ทั้งดวินและรฉัตรก็สลบเหมือดไปเรียบร้อย สงสัยเมื่อกลางวันเล่นสนุกกันจนหมดแรง

ยามที่ฝาแฝดนอนหลับสนิท หายใจเบาๆ อย่างเปี่ยมสุขเช่นนี้ ในความรู้สึกเพียงรักนั้นลูกๆ ของเธอช่างน่ารักเหลือเกิน ผิดกับเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ทะเลาะกันเสียใหญ่โต แถมตอนที่คุยกับแม่ของเธอยังแย่งกันฟ้องคุณยายอีกต่างหาก เธอที่เป็นลูกแท้ๆ แทบจะไม่ได้พูดอะไรเลย ยังดีที่แดนเหนือยังมีมารยาทพอที่จะแยกตัวออกไป เพราะหากแม่ของเพียงรักรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในบ้านของเธอ ไม่อยากคิดเลยว่าเธอจะโดนแม่ตำหนิอย่างไรบ้าง

เรื่องนี้เพียงรักไม่คิดที่จะบอกให้แม่รู้ ด้วยคิดว่าแดนเหนือไม่ได้จะมาอาศัยอยู่กับเธอถาวร อีกทั้งเขาก็รับปากเธอแล้วว่าจะย้ายออกไป ที่มารบกวนเธอเพราะมันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ซึ่งเพียงรักก็เข้าใจเหตุผลของชายหนุ่ม คนเราเวลาเดือดร้อนมันเดือดร้อนจริงๆ 

เธอเองก็เจอกับตัวมาก่อน เพียงแต่ตอนนั้นคนที่ช่วยเหลือเธอคือ เพื่อนสนิทและครอบครัวใหม่ของแม่ที่อยู่ประเทศอังกฤษ แน่นอนว่าหญิงสาวรู้สึกผิดกับพวกท่านมาก ที่โตขนาดนี้แล้วยังทำให้พวกท่านเป็นห่วงเธอไม่หยุด เพียงรักหมายถึงสามีใหม่ของแม่ที่เลี้ยงดูเธอและช่วยเหลือเธอทุกอย่าง ตั้งแต่วันแรกที่บากหน้าเข้าไปขอความช่วยเหลือจากท่าน 

ตอนเพียงรักคลอดสองแฝดก็เป็นพ่อเลี้ยงที่เจรจาและยื่นข้อเสนอกับผดุงธรรมว่า จะให้เด็กๆ ใช้นามสกุลของใครจึงจะเหมาะสม ขณะที่แม่ของเพียงรักยืนยันว่า หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะตัดขาดกับครอบครัวของแดนเหนือ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก เรื่องนี้เพียงรักอยากขอบคุณพ่อเลี้ยงของเธอมากที่ทำให้แม่อยู่ในความสงบได้จนถึงตอนนี้ รวมทั้งทำให้คุณปู่ของหลานยอมลงให้และยกสิทธิ์ให้เธอเป็นคนเลี้ยงดูหลานๆ ของท่านได้เต็มที่ ขอเพียงให้ท่านได้จ่ายค่าเลี้ยงดูบางส่วนและเจอหลานๆ ตามสมควร 

ข้อเรียกร้องของผดุงธรรมเป็นสิ่งที่เพียงรักยอมรับได้ อีกทั้งหญิงสาวก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำพอที่จะกีดกันไม่ให้ปู่เจอกับหลาน ผดุงธรรมเองก็ไม่เคยใจร้ายหรือทำไม่ดีกับเธอ เพียงรักจึงไม่มีเหตุผลที่จะทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจ ตอนนี้ท่านเองก็แก่มากแล้ว หากจะยังยึดมั่นถือมั่น ไม่ยอมให้ท่านได้เจอหลานเลย เพียงรักก็กลัวว่าจะเป็นการทรมานหัวใจของคนแก่

ตอนนี้เพียงรักรู้สึกเหมือนเธอกำลังอยู่กลางทางแยก...ไม่รู้ว่าการที่ยอมให้แดนเหนือเข้ามาในชีวิตของลูกนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือไม่ ชายหนุ่มทำตัวดีมากก็จริง แต่เรื่องที่เพียงรักเคยเจอมากับตัวก็ทำให้เธอไม่อาจไว้ใจชายหนุ่มได้หมดหัวใจ 

เพียงรักคิดว่าเธอยังต้องการเวลา เวลาสำหรับการดูท่าทีและสภาวะอารมณ์ของแดนเหนือ ว่าเขาเหมาะที่จะอยู่ใกล้เด็กเล็กหรือเปล่า หรือว่าถ้าเขายังมีปัญหาอยู่ จะต้องทำอย่างไรให้เขากลับมาอยู่กับร่องกับรอย

แม้ระหว่างที่เธอกับแดนเหนือเลิกรากันไป เพื่อนๆ รอบตัวจะคอยเล่าเรื่องของอีกฝ่ายให้เธอฟังอยู่เป็นระยะ ว่าเขาเป็นอย่างไรและมีปัญหากับใครบ้าน แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครบอกเพียงรักได้ว่าตอนนี้แดนเหนือเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ขนาดเกื้อกูลที่เป็นน้องแท้ๆ ยังบอกเพียงรักไม่ได้เลยว่า พี่ชายตัวเองอารมณ์เย็นลงหรือว่าอารมณ์ร้อนกว่าสมัยเป็นแฟนกับเธอ 

เต็มที่ทุกคนก็บอกว่าแดนเหนือกลายเป็นคนผีเข้าผีออก ดีร้ายแล้วแต่อารมณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยนั่นคือ แสนยานุภาพในการทำลายล้างของเจ้าตัวที่ยังคงเต็มเปี่ยม ไม่เคยลดน้อยถอยลง 

ปัญหาที่พ่วงมากับแดนเหนือนั้นมีมากมายหลายข้อ จนเพียงรักไม่รู้ว่าเธอจะให้เขาไปแก้ไขอะไรก่อน แก้ตรงนั้นก็ติดตรงนี้ เมื่อก่อนเธอก็เคยพยายาม อีกทั้งยังเคยทุ่มเทเวลาทุกอย่างให้ชายหนุ่ม ด้วยหวังว่าจะช่วยคนรักของเธอให้กลับมาอยู่ในร่องในรอยได้ เพียงรักอยากให้เขาแก้ปัญหาด้วยสติได้โดยไม่ต้องต่อยตีกับคนอื่นๆ ไปเสียทุกครั้ง

ทว่าตอนนี้เพียงรักรู้ว่าเธอจะทำแบบที่เคยทำไม่ได้อีกแล้ว เธอมีลูกเล็กอีกสองคนที่ต้องการความใส่ใจและเวลาจากเธอมากๆ มากกว่าที่เธอเคยทุ่มเทให้แดนเหนือในอดีตด้วยซ้ำ ไหนจะงานอีก...เพียงรักรู้ตัวว่าเธอแบกแดนเหนืออีกคนไม่ไหว และเธอไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องเงิน

พอคิดถึงปัญหาต่างๆ ที่รอคอยอยู่แล้ว เพียงรักก็หายใจออกมายาวเหยียดอย่างจนปัญญา แต่ในวินาทีถัดมาที่ รฉัตรพลิกตัว ยื่นมือออกมาคว้าหาเธอทั้งๆ ที่ยังสะลึมสะลืออยู่ ความรู้สึกหนักใจที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ของเพียงรักก็ถูกปัดเป่า ราวกับมีมนตร์วิเศษมาขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่มองไม่เห็น

“แม่อยู่นี่ค่ะฉัตร แม่อยู่นี่” เพียงรักกระซิบบอกลูกสาวเสียงแผ่ว ก่อนลูบศีรษะทุยของเด็กหญิง กล่อมรฉัตรหวังให้เด็กหญิงหลับอีกครั้งพลางพึมพำ “ไม่ต้องกลัวนะ...”

เท่านั้นเด็กน้อยที่นอนผวาเป็นปกติก็หลับลงได้อย่างสบายใจ จากตัวแสบประจำบ้านกลายเป็นนางฟ้าตัวน้อยไป เมื่ออยู่ในห้วงนิทรา เพียงรักยิ้มกว้าง เหลือบมองดวินที่นอนหลับอยู่ไม่ไกล แล้วโน้มตัวไปหอมแก้มเล็กของเด็กชายอีกครั้งเพื่อที่เขาจะได้ไม่น้อยใจ คิดว่าเธอหอมรฉัตร แต่ลืมหอมเขา

 การได้มีเด็กทั้งสองอยู่ข้างกายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ช่วงแรกเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเพียงรักมาก ทั้งการตั้งท้องและการเลี้ยงลูกแฝดทั้งที่เธออายุยังน้อยมาก ความเครียดหลังคลอดทำให้หญิงสาวป่วยพอสมควร หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากมารดาและครอบครัวใหม่ของท่าน เพียงรักคิดว่าเธอคงต้องตายแน่ๆ ทว่าเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เธอก็ประคับประคองจิตใจของตัวเองให้กลับมามั่นคงได้อีกครั้ง ซึ่งไม่ใช่ว่าทุกคนที่ตั้งท้องทั้งที่ไม่พร้อมแบบเธอจะทำได้ทุกคน 

แน่นอนว่าการเป็นแม่คนนั้นเปลี่ยนชีวิตของเพียงรักจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งสัญชาตญาณความเป็นแม่และความรู้สึกรักที่ท่วมท้นเมื่อได้เห็นหน้าลูก เธอจึงได้เข้าใจว่าไอ้ความเป็นแม่ที่เขาพูดกันมันคืออย่างนี้ ไอ้คำว่ารักที่สามารถตายแทนได้แท้จริงแล้วมันคือแบบนี้ เด็กสองคนนี้คือรักแท้ของเธอ...

เท่านั้นความกังวลที่ถ่วงอยู่ในอกของเพียงรักก็ถูกวางลง หญิงสาวเลื่อนมือไปลูบซีกหน้าของดวินและรฉัตรเบาๆ ในใจก็ภาวนาให้ลูกของเธอนั้นฝันดี...ตอนนี้เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าลูกของเธออีกแล้ว เพียงรักไม่ยอมให้ปัญหาของผู้ใหญ่กระทบมาถึงลูกอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นเธอ แดนเหนือ หรือว่าครอบครัวของเขา ในฐานะแม่เพียงรักจะต้องปกป้องลูกของเธอด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มี

เพื่อที่ลูกของเธอจะได้เติบโตไปอย่างมีความสุข นั่นหมายความว่าเธอต้องจัดการสิ่งแวดล้อมรอบตัวของลูกเป็นอย่างแรก โดยสิ่งที่ต้องรีบจัดการอย่างเร่งด่วนเลยก็คือ พ่อของลูกอย่างแดนเหนือ และปัญหาที่พ่วงมากับเขานั่นแหละ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น