2

บทสวดที่ ๒

บทสวดที่ ๒

 

“เด็กนั่นยังยืนตากฝนอยู่อีกเหรอ โง่หรือเปล่า”

“ก็คงอยากเรียกร้องความสนใจเหมือนนังแม่คนไทยของมันนั่นละ เป็นแค่เมียเก็บแท้ๆ มาทำเป็นร้องห่มร้องไห้ขอเข้าร่วมพิธีฝังศพด้วย มาดามเลอบลองก์ก็ใจดีมากแล้วนะที่ยอมอนุญาตให้นังคนลูกเข้าร่วมได้แค่คนเดียว เป็นฉันไล่ตะเพิดไปทั้งคู่นั่นละ”

บทสนทนาภาษาฝรั่งเศสที่เทียนหลางได้ยินจากผู้หญิงชุดดำสองคนที่กางร่มเดินสวนกันถ่วงถมหัวใจของเขาให้รู้สึกหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก เมื่อสักหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขาได้รับโทรศัพท์จากปู่เรื่องที่พรประภาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธีฝังศพของดอกเตอร์แบร์นาร์ น้ำเสียงของปู่เกรี้ยวกราดและเจ็บปวดอย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะนั่นหมายความว่าชาช่าต้องอยู่ที่งานศพเพียงลำพังท่ามกลางสมาชิกครอบครัวเลอบลองก์ที่เกลียดชังเธอกับแม่ราวกับเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดในโลก

ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแต่อย่างใดที่ มารี เลอบลองก์ กับลูกชายจะเกลียดเมียเก็บกับลูกนอกสมรสของสามี ไม่มีมนุษย์คนไหนทนรับเรื่องการนอกใจได้ และยิ่งเพิ่งมารู้หลังจากสามีเสียชีวิตแล้วว่าเขามีอีกครอบครัวซ่อนอยู่ในเงามืดมาตลอดเช่นนี้ ยิ่งเป็นเรื่องที่ทำให้ใจสลายไม่เป็นชิ้นดี เทียนหลางไม่รู้รายละเอียดปลีกย่อยอันละเอียดอ่อนในครอบครัวของแบร์นาร์นักจึงไม่กล้าตัดสินใดๆ ต่อให้รู้จักสนิทสนมกันมานานเพียงไหน เขาก็ยังเป็นคนนอกอยู่ดี ห่วงก็แต่ชาช่าที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร แต่กลับต้องถูกรังเกียจเดียดฉันท์เพียงเพราะเป็นผลพวงจากความสัมพันธ์อันแสนยุ่งเหยิงของพ่อกับแม่

แค่คิดว่าใบหน้าเปื้อนยิ้มของเด็กน้อยวัย ๔ ขวบในความทรงจำต้องหมองหม่น ชายหนุ่มก็รู้สึกปวดมวนในท้องไปหมด

เทียนหลางสาวเท้าไปตามทางเดินแคบๆ ที่ปูด้วยหินก้อนเล็กๆ ซึ่งอยู่มาตั้งแต่สมัยโรมัน ตะไคร่สีเขียวที่เกาะอยู่ตามก้อนหินทำให้พื้นลื่นกว่าปกติ ยิ่งมีสายฝนจากเบื้องบนโปรยปรายลงมาเช่นนี้ด้วยแล้ว เขายิ่งต้องชะลอฝีเท้าและเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น กลิ่นชื้นของดินและกลิ่นตะไคร่ที่ถูกน้ำชะลอยขึ้นมาเตะจมูก เขาเกลียดกลิ่นที่มากับฝนแบบนี้ที่สุด เพราะมันมักมาพร้อมกับความรู้สึกหดหู่ที่พาให้หัวใจดำดิ่งลงสู่อารมณ์หม่นเศร้า

แต่ตอนนี้เขามีเหตุผลให้เกลียดฝนเพิ่มขึ้นอีกอย่างแล้ว...

เหตุผลนั้นก็คือ...เธอ...ชาช่า...

มือของชายหนุ่มกระชับด้ามร่มแน่นเข้าเมื่อเห็นร่างผอมบางยืนนิ่งอยู่หน้าหลุมศพที่เพิ่งกลบฝังหมาดๆ หยาดฝนที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้ามืดครึ้มเบื้องบนชโลมชุดเดรสผ้าฝ้ายสีดำยาวกรอมเข่าของเธอจนเปียกลู่แนบไปกับเนื้อตัว เผยให้เห็นรูปรอยของเรือนร่างที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความเป็นเด็กกับหญิงสาวแรกรุ่นรางๆ ไหล่เล็กๆ ของเธอสั่นสะท้านอยู่เป็นระยะ ไม่รู้เพราะความหนาวเหน็บหรือเพราะกลั้นสะอื้นไม่อยู่กันแน่ ซึ่งเขาเดาว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง 

เธอกำลัง...ร้องไห้...

วูบหนึ่ง เทียนหลางคิดจะพุ่งตรงเข้าไปคว้าเธอมากอดเอาไว้แนบแน่น แล้วกระซิบบอกว่าไม่ต้องร้องไห้ เขาอยู่ตรงนี้ เหมือนที่เธอเคยปลอบขวัญเขาเมื่อครั้งยังเยาว์วัย แต่เขารู้ดีว่าถ้าทำเช่นนั้น สายใยที่เคยเชื่อมโยงถึงกันจะไม่มีวันตัดขาดอย่างหมดจด ซึ่งเขายอมให้อารมณ์อ่อนไหวชั่ววูบนั้นพาเธอกลับมาสู่วิถีชีวิตที่เธอไม่มีโอกาสได้เลือกอีกไม่ได้ เธอควรได้เติบโตขึ้นอย่างอิสรเสรี ได้คบหาเพื่อนฝูง ได้ไปเที่ยวเล่นแบบเด็กวัยรุ่นทั่วไป และอาจได้พบใครสักคนที่เธอรักและสร้างครอบครัวแบบคนปกติทั่วไป การถอนหมั้นและทิ้งเธอให้เผชิญความทุกข์เพียงลำพังอาจดูโหดร้าย แต่เธอจะต้องขอบคุณเขาทีหลังแน่หากได้รู้ว่าเขาช่วยปลดปล่อยเธอไปจากพันธนาการที่เขาเองไม่มีวันดิ้นรนให้หลุดพ้นได้ ไม่ว่าจะทรมานเพียงไหนก็จำต้องยอมรับลิขิตนี้ไว้ตราบจนลมหายใจสุดท้าย

ชายหนุ่มมองร่างบอบบางที่ยืนตากฝน ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนด้วยความรู้สึกหน่วงๆ อยู่ในอกครู่ใหญ่ เขาเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะหุบร่มในมือแล้ววางพิงไว้กับโคนต้นไม้ด้านข้างแล้วรวบรวมความกล้าก้าวขายาวๆ ตรงไปหยุดยืนอยู่ทางด้านขวาของเธอ เสี้ยวหน้าที่เปียกปอนไปด้วยน้ำฝนนั้นขาวซีดราวกระดาษแต่กลับดูจิ้มลิ้มน่ารักเสียจนเขาแทบหักใจเบนสายตาไปทางอื่นไม่ได้ เธอไม่ใช่แม่ตัวจ้อยที่เขาเคยอุ้มขึ้นหลังม้าแล้วพาควบขี่ในทุ่งหญ้าอีกแล้ว แต่กำลังจะก้าวสู่วัยสาวแรกแย้มราวกุหลาบที่ค่อยๆ คลี่บานรับน้ำค้างยามเช้า

อีกไม่กี่ปีเธอจะงามจับตา และไม่ใช่ชาช่าของเขาอีกต่อไป...

เขาจะไม่มีโอกาสได้ร่วมทุกข์ ร่วมสุข หรือได้เห็นการเติบโตของเธออีกแล้ว ดังนั้นขอแค่ตอนนี้...เวลานี้เท่านั้น ขอให้เขาได้มีโอกาสแบ่งปันช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศกกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย 

ก่อนจะต้อง...จากกัน...

 

“ถึงแล้วครับ คุณเป้า”

เสียงเรียกพร้อมกับประตูรถที่เปิดออกดึงเทียนหลางกลับจากห้วงความคิดที่ล่องลอยไปสู่อดีต เขาผงกศีรษะเป็นเชิงรับรู้แล้วก้าวลงจากลีมูซีนสีดำ ดวงตายาวเรียวเหลือบมองโชเฟอร์ที่สวมชุดเครื่องแบบสีดำขลิบทองและสวมหมวกเต็มยศครู่หนึ่งก่อนจะลอบเบ้ปาก

รสนิยมของหลินเจิ้งหู่ยังคงน่าสมเพชเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ชอบให้คนขับรถกับพวกคนรับใช้แต่งตัวเหมือนพนักงานในขบวนพาเหรดของดิสนีย์แลนด์ไม่มีผิด สงสัยตอนเด็กๆ จะมีปมในใจพ่อแม่ไม่พาไปเที่ยวสวนสนุกกระมัง

ชายหนุ่มพยายามสลัดความคิดอันสับสนวุ่นวายก่อนหน้านี้ทิ้งไป แล้วก้าวเท้าขึ้นบันไดหินอ่อนด้านหน้าคฤหาสน์หลังงามด้วยสีหน้าซังกะตาย หลังจากอัลตันสั่งการสารพัดสารพันจบก็กลับไป โดยทิ้งให้เขานั่งเซ่อเหมือนคนบ้าใบ้อยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ตั้งแต่ดอกเตอร์แบร์นาร์เสียชีวิตไปเมื่อ ๗ ปีก่อน เขาก็ไม่เคยย่างกรายไปเคารพหลุมศพที่ปารีสอีกเลย ช่วงสองสามปีแรกเขายังพออ้างกับปู่ได้ว่าเป็นการยึดตามธรรมเนียมแบบมองโกเลียที่จะไม่เฉียดไปใกล้หลุมศพของผู้วายชนม์ที่เพิ่งฝังไป เพราะเชื่อกันว่าน้ำตาและความโศกเศร้าเสียใจจะทำให้ดวงวิญญาณไม่สงบได้ แต่ที่จริงแล้ว...เขารู้สึกผิดต่อทั้งดอกเตอร์เลอบลองก์ผู้ล่วงลับและสาวน้อยที่เขาตัดสินใจผลักออกไปจากชีวิต

เออ...ยอมรับอย่างหน้าด้านๆ เลยก็ได้ว่าเขามันเป็นคนเลวบัดซบ แถมยังขี้ขลาด ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับเธอด้วยซ้ำไป

“เชิญทางนี้เลยครับคุณเป้า ไม่เจอกันนานเลยนะครับ” พ่อบ้านของตระกูลหลินโค้งคำนับอย่างนอบน้อมทันทีที่เห็นหน้าแขกผู้มาเยือน “นายท่านหลินดีใจมากเลยนะครับที่ในที่สุดท่านอัลตันยอมตอบรับคำเชิญแล้วยังส่งทายาทสายตรงอย่างคุณมาเป็นตัวแทนอีก ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”

“อย่าเพิ่งรู้สึกเป็นเกียรติอะไรเลยพ่อบ้านเหริน ผมแค่มาตามคำสั่งของปู่ ส่วนจะรับงานหรือไม่รับ ปู่เป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่ผม”

เทียนหลางปรายตามองใบหน้ายิ้มแย้มของเหรินฮ่าวอย่างเย็นชา...พ่อบ้านของตระกูลหลินเป็นชายวัยสี่สิบปีปลายๆ มีรูปร่างสูงโปร่ง และเป็นคนเดียวในคฤหาสน์นี้ที่เลือกสวมชุดสูทแบบคนปกติธรรมดาทั่วไปได้ ไม่ต้องสวมชุดน่าขันเหมือนคนอื่นๆ ชายหนุ่มเคยพบหน้าพ่อบ้านผู้นี้ที่บ้านสกุลเป้าที่เขตปกครองตนเองมองโกเลียในอยู่สองสามครั้ง แต่ไม่เคยพูดคุยกันเกินสิบประโยค ส่วนใหญ่แล้วเหรินฮ่าวจะพูดคุยกับเป้าเทียนมิ่งบิดาของเขาเสียมากกว่า

เรื่องอะไรน่ะหรือ...

ก็เลียบๆ เคียงๆ พยายามผูกสัมพันธ์กับท่านอัลตันผู้ยิ่งใหญ่ผ่านลูกชายคนเดียวนั่นละ ซึ่ง...เป็นการกระทำที่โง่มาก เพราะพ่อของเขาตัดขาดกับปู่ตั้งแต่เขาเพิ่งลืมตาดูโลกเสียด้วยซ้ำไป จนบัดนี้ยังไม่มองหน้ากันเลย ดังนั้นเรื่องที่จะใช้พ่อของเขาเป็นสะพานข้ามไปหาปู่ละก็ลืมไปได้เลย

แต่เขาก็พอเข้าใจความรู้สึกของปู่อยู่หรอก อยู่ดีๆ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวที่มีก็หอบเมียที่กำลังท้องแก่หนีข้ามไปพึ่งพาญาติทางฝั่งมองโกเลียในเพราะกลัวว่าต้องสืบทอด ‘หน้าที่’ ที่ส่งต่อกันมาหลายชั่วอายุคนแบบนั้น ปู่จะไม่โกรธอย่างไรไหว ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจเหตุผลที่พ่อต้องตัดสินใจพาเขาระหกระเหินจากบ้านเกิดไปเช่นกัน พ่อแค่ต้องการจะปกป้องเขาจากชะตากรรมอันโหดร้าย...น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ สุดท้ายแล้วเขาก็ยังต้องเดินตามลิขิตที่เทงกรี หรือเทพเจ้าแห่งฟ้านิรันดร์ขีดไว้ให้อยู่ดี

“จะยังไงก็เถอะครับ แค่คุณมาก็ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว”

เหรินฮ่าวผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มเดินไปตามโถงทางเดินที่ปูด้วยพรมสีแดงเลือดนกอย่างสุภาพ เขารู้ดีว่าเป้าเทียนหลางไม่ใช่เพียงหลานชายที่อัลตันหมายมั่นปั้นมือให้เป็นผู้นำกลุ่มชาแมนรุ่นใหม่ แต่ยังเป็นชาแมนที่ได้รับการยอมรับจากชาแมนรุ่นอาวุโสทั่วทั้งมองโกเลียและเกาะโอลคอนซึ่งถือกันว่าเป็นที่มั่นสุดท้ายของเหล่าชาแมนในแถบไซบีเรียอีกด้วย ถึงเหรินฮ่าวไม่เคยเห็นความร้ายกาจอันเป็นที่เลื่องลือด้วยสองตาของตนเอง เขาก็ฉลาดพอที่จะรู้ดีว่าไม่ควรดูเบาเทียนหลางเพราะอายุยังน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายหนุ่มผู้นี้สืบเชื้อสายมาจากซารันเกเรล ชาแมนหญิงผู้เป็นตำนานของมองโกเลียเมื่อ ๖๖๖ ปีก่อน

หลายคนหัวเราะกับตำนานซารันเกเรล ชาแมนหญิงผู้สละชีวิตสยบกิเลนฟ้า บอกว่าเป็นเพียงนิทานหลอกเด็กที่ทางตระกูลของอัลตันแต่งขึ้นเพื่อยกหางพวกของตนเอง สัตว์เทพอย่างกิเลนหาได้มีอยู่จริงไม่ ถึงมีก็คงไม่เหาะเหินเดินอากาศมาไกลถึงมองโกเลียหรอก น่าจะอยู่ที่จีนเสียมากกว่า เหรินฮ่าวเองก็คงจะเชื่อเช่นนั้นหากไม่เคยเห็นบรรดาคลิปวิดีโอที่เคยเป็นไวรัลอยู่ช่วงหนึ่งในโลกโซเชียลเมื่อหลายเดือนก่อน 

ในคลิปเหล่านั้นมีกิเลนตัวมหึมาออกอาละวาดอยู่เหนือฟากฟ้าของอูลานบาตอร์จนเกิดพายุลูกโตพัดถล่มทั้งเมืองจนแทบยับเยิน เรื่องลมพายุกับความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องจริง ทว่าไม่มีใครเชื่อว่าภาพของกิเลนที่สมจริงเหลือเชื่อในคลิปพวกนั้นเป็นของจริง เพียงไม่นานคลิปที่ถูกส่งต่อกันไปทั่วนั้นก็หายไปจากระบบ และไม่หลงเหลือร่องรอยอยู่เลยเหมือนจงใจซ่อนเร้นบางอย่างจากสายตาชาวโลก เหรินฮ่าวรู้สึกแปลกๆ จึงสั่งให้แฮกเกอร์มือดีที่สุดตามหาที่มาของคลิปและตรวจสอบอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่าพวกมันไม่ได้ผ่านการปรับแต่งหรือใช้เทคนิคพิเศษใดๆ สร้างภาพขึ้นมาทั้งสิ้น เจ้าของคลิปทุกคนใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกวิดีโอไว้แล้วอัปโหลดเข้าสู่โซเชียลเน็ตเวิร์กโดยตรง

สรุปง่ายๆ ก็คือคลิปกิเลนอาละวาดนั้นจริงเสียยิ่งกว่าจริง!

มีข่าวลือเล็ดลอดออกมาว่าคนที่สยบสัตว์เทพในวันนั้นก็คือเป้าเทียนหลางผู้นี้นี่เอง

เหรินฮ่าวลอบมองเสี้ยวหน้างดงามปานภาพศิลป์ของชายหนุ่มที่เดินเคียงข้างกันครู่สั้นๆ...ดูเผินๆ เทียนหลางไม่มีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าเป็น ‘ชาแมน’ เลยสักนิด ยิ่งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้ามีราคาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าเช่นนี้ด้วยแล้ว ยิ่งดูเหมือนพวกลูกเศรษฐีในเซี่ยงไฮ้ที่ถูกพ่อแม่โอ๋จนเสียคนไม่มีผิด 

ที่จริงเทียนหลางก็นับเป็นลูกหลานเศรษฐีจริงๆ นั่นละ นอกจากเป้าเทียนมิ่งบิดาของเขาจะร่ำรวยมหาศาลจากการเคยร่วมหุ้นทำสัมปทานเหมืองทองในอดีตแล้ว ธุรกิจส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปและแฟรนไชส์อาหารฟาสต์ฟูดที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ก็ไปได้สวย ยังไม่นับธุรกิจโรงแรมระดับห้าดาวที่ทางอัลตันครอบครองอยู่อีก ถึงจะเทียบกับสกุลหลินไม่ได้ แต่ก็นับว่าไม่น้อยหน้าใครทั้งในเซี่ยงไฮ้และมองโกเลียทีเดียว และแน่นอนว่านามูนา มารดาของเขาขึ้นชื่อเรื่องโอ๋ลูกชายคนเดียวคนนี้อย่างที่สุด

เป้าเทียนหลางถึงได้จองหองเสียจนอัลตันเองก็แทบเอาไม่อยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า

พ่อบ้านประจำตระกูลหลินพาชาแมนหนุ่มมาถึงห้องชมภาพยนตร์ซึ่งเป็นโรงหนังขนาดย่อม จุคนได้ราว ๘๐ คน...หลินเจิ้งหู่นิยมชมชอบภาพยนตร์แทบทุกประเภท แต่กลับไม่ชอบที่ต้องไปนั่งรวมกับคนหมู่มากจึงตัดสินใจสร้างโรงภาพยนตร์ขึ้นในบ้านเสียเลย และมักเชื้อเชิญคนใกล้ชิดมานั่งสังสรรค์ชมหนังฟอร์มยักษ์ที่ค่ายต่างๆ ส่งมาให้ก่อนที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วไป แม้การตกแต่งจะดูคร่ำครึตกยุคไปสักหน่อย ทว่ามีทุกอย่างครบครันไม่ต่างอะไรกับโรงภาพยนตร์จริงๆ เลยสักนิด มีกระทั่งซุ้มขายขนมและป๊อปคอร์นเสียด้วย

“เฮ้ ช็อน”

เสียงร้องทักดังขึ้นทันทีที่เทียนหลางก้าวเท้าเข้าไปในห้อง เขาทำหน้าเมื่อยเมื่อเห็นว่าคนที่โบกไม้โบกมือมาให้อย่างเป็นมิตรนั้นคือใคร

“ไง อเล็กไซ ยังไม่ตายอีกเหรอ”

เจ้าของชื่อเป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับเทียนหลาง แต่มีรูปร่างกำยำกว่ามาก อีกทั้งยังมีผิวคล้ำแดดและไว้ผมยาวถึงกลางหลัง ปอยผมด้านหน้าถักเป็นเปียเล็กๆ สามถึงสี่สายประดับด้วยเม็ดเงินจิ๋วประหนึ่งหลุดออกมาจากภาพยนตร์เกี่ยวกับชนเผ่ามองโกลโบราณไม่มีผิด ถ้าไม่บอกว่ามาจากยาคุตสค์เมืองของรัสเซียที่ได้ชื่อว่าหนาวที่สุดในโลก ใครๆ ก็คงคิดว่าเป็นชาวมองโกลแท้ๆ ทั้งนั้น

“ไม่คิดว่าแกจะมา”

อเล็กไซเอ่ยเป็นภาษารัสเซีย เขาลุกขึ้นยืนพลางยื่นมือมาทักทายแบบตะวันตก เทียนหลางหลุบตามองมือของอีกฝ่ายอย่างเย็นชาแล้วเลือกเดินไปนั่งที่เก้าอี้แถวหลังซึ่งว่างอยู่ทั้งแถวโดยไม่คิดรักษามารยาทแม้แต่นิด เขาลอบมองไปรอบๆ ก็เห็นว่ามีผู้คนราวๆ ๒๐ คน นั่งกระจายกันอยู่ตามที่นั่งที่จำลองมาจากโรงภาพยนตร์ บางคนก็เลือกที่จะนั่งเพียงลำพัง บางคนก็จับกลุ่มพูดคุยกันเสียงเบา บางคนก็เลือกที่จะหันมามองเขาตรงๆ ด้วยสายตาคล้ายกำลังประเมินคู่ต่อสู้อยู่

เขารู้จักคนพวกนี้ ถึงไม่สนิทสนม แต่ก็พอคุ้นหน้าคุ้นตากันดีในฐานะคนร่วมอาชีพเดียวกัน ใช่แล้ว...พวกเขาเป็นจอมขมังเวทระดับแถวหน้าของวงการ!

หลินเจิ้งหู่คิดจะทำอะไรกันแน่ ถึงได้ออกเทียบเชิญพ่อมดหมอผีชื่อดังมาจากทั่วสารทิศแบบนี้ ไม่สิ...เท่าที่เห็นน่าจะมาจากทั่วทุกมุมโลกเชียวละ

“ยังสันดานเสียเหมือนเดิม” อเล็กไซเสยผมแก้เก้อ เขาชินกับความไร้มารยาทชนิดนี้ของเทียนหลางแล้วจึงไม่ถือสาหรือเก็บมาเป็นอารมณ์แต่อย่างใด “ช่วงนี้ร้อนเงินหรือไงถึงได้ออกมารับงานนอกเขตมองโกเลียได้”

เขารู้ว่าคู่สนทนาพูดคล่องทั้งรัสเซียและฝรั่งเศสจึงพ่นภาษารัสเซียใส่ไม่ยั้ง

“อย่าเอาฉันไปเทียบกับแก ระดับฉันไม่เคยร้อนเงิน” เทียนหลางตวัดขาไขว่ห้างบนเก้าอี้สีแดงเลือดนกอย่างน่าหมั่นไส้ในสายตาคนมอง เขาเอื้อมมือไปรับซองเอกสารสีน้ำตาลจากเหรินฮ่าวแล้วดึงกระดาษเอสี่ปึกบางๆ ออกมาเปิดดู ก่อนจะต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าบนกระดาษพวกนั้นมีรูปถ่ายพอร์เทรตของผู้คนหลากหลายสัญชาติเหน็บไว้คู่กับประวัติคร่าวๆ “แล้วรูปถ่ายกับประวัติพวกนี้คืออะไรกัน”

“ก็งานที่หลินเจิ้งหู่อยากจ้างให้พวกเราไปทำไง” อเล็กไซทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม เขาเอี้ยวตัวหันกลับมาฉีกยิ้มกว้างให้ชายหนุ่ม “คนพวกนี้คือ ‘เครื่องรางมนุษย์’ ที่หลินเจิ้งหู่ต้องการตัว มีสาวๆ สวยๆ หน้าตาแจ่มๆ ด้วยนะ ฉันชอบคนนี้ที่สุดเลย สวยสะเด็ด อายุเพิ่งยี่สิบเองมั้ง”

หนุ่มชาวยาคูเทียพลิกหน้ากระดาษที่ตนเองมีไปที่หน้าสุดท้ายแล้วยกขึ้นสูง เทียนหลางตวัดตามองรูปที่ติดอยู่บนเอกสารในมือของอีกฝ่ายอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนที่หัวใจของเขาจะหล่นวูบลงไปกองที่พื้นทั้งดวง

นี่มัน...ชาช่า!

“เฮ้ย ช็อน ทำอะไรของแกเนี่ย!” อเล็กไซอ้าปากค้างเมื่อจู่ๆ เทียนหลางก็กระชากกระดาษในมือของเขาไปถือไว้ “ของแกก็มีไม่ใช่หรือไง มาแย่งของฉันไปทำไมวะ”

เทียนหลางไม่ตอบ ดวงตาเต้นระริกยามกวาดมองไปบนรูปถ่าย ไม่ผิดแน่...สาวน้อยในรูปนี้คือชาช่าของเขาอย่างแน่นอน ถึงเธอจะดูโตเป็นสาวผิดหูผิดตาแตกต่างจากแม่เด็กผมเปียตัวผอมบางในความทรงจำของเขามาก แต่ดวงตากลมโต ขนตางอนเช้งแบบนี้ จมูก ปาก คิ้วคางแบบนี้ จะเป็นคนอื่นไปได้อย่างไรเล่า นอกจาก...ชาช่า!

“สวัสดีครับทุกท่าน”

เสียงทักทายแบบเซนเซอร์ราวนด์ดังออกมาจากลำโพงติดผนังรอบทิศพร้อมๆ กับไฟในห้องดับมืดลง จอฉายภาพเบื้องหน้าสว่างวาบและปรากฏภาพชายชาวจีนอายุราว ๗๐ ปี นั่งอยู่บนรถเข็น ร่างกายท่อนล่างห่มคลุมด้วยผ้าห่มขนสัตว์เนื้อหนาจนมองไม่เห็นขาทั้งสองข้าง ใบหน้าของเขากว่าครึ่งมีหน้ากากออกซิเจนแบบใสครอบทับอยู่จึงมองเห็นริมฝีปากของเขาขยับพูดอย่างเลือนราง ด้านข้างมีถังออกซิเจนตั้งอยู่ให้เห็นเด่นชัด

หลินเจิ้งหู่ป่วยอย่างนั้นหรือ ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินข่าวนี้เลย

ชาแมนหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนบนจอด้วยแววตาแข็งกร้าว อเล็กไซอาศัยจังหวะที่เทียนหลางละสายตาจากเอกสารในมือดึงกระดาษกลับคืนไปอย่างว่องไวแล้วหันกลับไปสนใจ ‘ว่าที่ผู้ว่าจ้าง’ แทน

“ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณทุกท่านที่ยอมตอบรับคำเชิญของผมนะครับ แล้วก็ต้องขอโทษทุกท่านด้วยที่ผมมาต้อนรับทุกท่านในสภาพไม่น่าดูแบบนี้ ใจจริงผมอยากไปพบปะกับทุกท่านด้วยตนเอง แต่แพทย์ประจำตัวแจ้งว่าร่างกายของผมอ่อนแอเกินกว่าจะออกไปจากห้องนี้ได้ ก็เลยต้องให้เหรินฮ่าวทำหน้าที่ดูแลทุกท่านแทนผม หากขาดตกบกพร่องประการใด ผมต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ” หลินเจิ้งหู่พูดปนหอบ เสียงลมหายใจหนักๆ และขาดห้วงเป็นระยะนั้นดังลอดผ่านลำโพงออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ฟ้องว่าสภาพร่างกายของเขาน่าจะมีปัญหาจริงๆ “เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ผมมีเวลาไม่มากแล้ว ผม...กำลังจะตาย...”

ประโยคล่าสุดที่เพิ่งได้ยินทำเอาทุกคนในห้องหันมาสบตากันโดยไม่ได้นัดหมาย เทียนหลางเงยหน้าขึ้นมองเหรินฮ่าว แต่เขากลับอันตรธานไปจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่เสียแล้ว มีเพียงคนรับใช้ในชุดยูนิฟอร์มไร้รสนิยมของหลินเจิ้งหู่เดินชักแถวถือถาดเครื่องดื่มมาให้บริการกับแขกเหรื่อทุกคนอย่างเงียบๆ 

“อย่าเพิ่งตกใจกันไปครับ ผมยังไม่ตายในวันสองวันนี้แน่ และอาจจะมีโอกาสรอดถ้าทุกท่านให้ความช่วยเหลือผม”

เทียนหลางกำหมัดแน่น เขาเดาเจตนาของมหาเศรษฐีเฒ่าออกทันทีว่าเหตุใดจึงต้องการเครื่องรางมนุษย์แบบที่อเล็กไซเพิ่งพูดไป เพราะเครื่องรางมนุษย์ หรือตุ๊กตามนุษย์ คือสิ่งเดียวที่จะพลิกฟื้นชะตาคนใกล้ตายให้กลับคืนมาได้ พิธีกรรมนี้เป็นศาสตร์มืดที่แทบจะสาบสูญสาบสูญไปแล้ว เพราะวิธีการช่างโหดร้ายทารุณและผิดศีลธรรมอย่างที่สุด

ว่าง่ายๆ ก็คือชีวิตแลกชีวิต สังเวยชีวิตคนอื่นเพื่อต่ออายุขัยให้ตนเองนั่นละ

ดูท่าหลินเจิ้งหู่คงจนตรอกจริงๆ ถึงได้เลือกใช้วิธีชั่วช้าเช่นนี้

ชายหนุ่มพยายามสะกดใจไม่ลุกพรวดพราดเดินออกจากห้องไปเสียเดี๋ยวนั้น หากเขาทำอะไรบุ่มบ่ามไปตอนนี้ เขาอาจไม่มีทางรู้ว่าหลินเจิ้งหู่วางแผนจะทำอะไรกับชาช่า และเขาคงไม่อาจหาหนทางช่วยเหลือเธอได้ 

“ทุกท่านคงได้รับเอกสารจากเหรินฮ่าวกันครบแล้ว ในนั้นจะมีรายชื่อและข้อมูลส่วนตัวของคนที่ผมอยากให้พวกคุณช่วยกันตามหาตัวให้พบแล้วพามาหาผมที่นี่”

“ถ้าแค่ตามหาคนธรรมดา นายท่านหลินคงไม่ต้องเรียกใช้พวกเรากระมัง” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากมุมมืด “คุณแค่ไม่อยากมือเปื้อนเลือดเองมากกว่า คิดว่าพวกเราไม่รู้เหรอว่าคุณต้องการเครื่องรางมนุษย์มาทำอะไร เรื่องสกปรกแบบนี้ ผมไม่ขอยุ่งเกี่ยวด้วยหรอกนะ”

พูดจบเจ้าของเสียงก็ลุกขึ้นยืนทันที แสงสว่างจากหน้าจอส่องให้เห็นโฉมหน้าของชายหนุ่มวัยสามสิบปีตอนต้นรางๆ เขาตัวโตเกือบสองเมตรและตัดผมทรงสกินเฮด เผยโครงหน้าและกะโหลกศีรษะทุยสวยสมบูรณ์แบบชวนมอง เทียนหลางกระตุกยิ้มชืดชาเมื่อมองฝ่าความมืดไปแล้วเห็นหน้าโจทก์เก่าเต็มตา 

อ้าปากทีไรเป็นได้พูดเรื่องคุณธรรมจอมปลอมแบบนี้ มีแค่คูรันเดรูจากบราซิลอย่างไอ้เวรมาเตอูเท่านั้นละ!

“ดูเหมือนอาจจะมีหลายท่านเข้าใจจุดประสงค์ของผมผิดไปนะครับ” หลินเจิ้งหู่ที่อยู่ในจอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความอ่อนล้า “เป็นเรื่องจริงที่ผมต้องการให้พวกคุณตามหาตุ๊กตามนุษย์ให้ผม แต่ผมรับรองได้ว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับใครทั้งสิ้น”

“ไม่มีอันตราย? นี่คิดว่ากำลังหลอกใครอยู่ไม่ทราบ” เสียงของมาเตอูไม่เบาเลย ทำเอาทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นพากันทำหน้าไม่ถูก “ทุกคนในที่นี้รู้กันทั้งนั้นละว่าชะตาชีวิตของเครื่องรางมนุษย์ต้องจบลงอย่างสยดสยองแค่ไหน”

“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้สักสี่หรือห้าปีสิ่งที่คุณพูดคงไม่ผิด แต่ด้วยสังขารตอนนี้ของผม ต่อให้ใช้เครื่องรางมนุษย์เป็นร้อยคนก็คงรั้งชีวิตไว้ได้อีกไม่นาน ผมแค่อยากมีโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสามสี่เดือนเท่านั้น”

หลินเจิ้งหู่ตอบกลับแทบจะในทันที เทียนหลางเดาว่าในโรงภาพยนตร์ขนาดย่อมนี้คงมีไมโครโฟนติดตั้งอยู่หลายที่ และต้องเป็นไมโครโฟนที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมทีเดียว คนในจอถึงได้ยินเสียงคนที่อยู่ในห้องนี้ชัดเจนและรวดเร็วพอทีจะโต้ตอบกันอย่างทันทีทันใด 

ไม่สิ...เผลอๆ อาจจะมีเครื่องดักฟังติดอยู่ทุกที่ในคฤหาสน์ก็เป็นได้ 

คนระดับหลินเจิ้งหู่ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เขาต้องเตรียมการมาล่วงหน้าเป็นอย่างดี ดังนั้นนั่งสังเกตการณ์เงียบๆ โดยไม่ออกความคิดเห็นคือทางเลือกที่เหมาะสมและดีที่สุด ณ เวลานี้ อย่างน้อย...ก็จนกว่าจะเข้าใจจุดประสงค์ของไอ้เศรษฐีเฒ่าทั้งหมดเสียก่อน

“ในเมื่อรู้แล้วว่าเครื่องรางมนุษย์ใช้ไม่ได้ผล แล้วยังจะตามหาพวกเขาทำไม” มาเตอูถามสิ่งที่ทุกคนสงสัยอยู่ในใจ แต่ไม่กล้าพูดออกไปตรงๆ เพราะเกรงอิทธิพลของหลินเจิ้งหู่ “เท่าที่ผมรู้ วิธีการใช้เครื่องรางมนุษย์มีเพียงวิธีเดียว”

ชายหนุ่มลากนิ้วโป้งจากลำคอด้านซ้ายไปยังด้านขวาเป็นสัญลักษณ์แทนคำว่า ‘เชือด’ บรรยากาศในห้องพลันเงียบงันและอึดอัดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ...ทุกคนในที่นี้รู้ดีว่าพิธีกรรม ‘ชีวิตแลกชีวิต’ นี้มีขั้นตอนน่าสะพรึงเพียงไร ถึงได้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามในหมู่ผู้ใช้ไสยเวทมายาวนานหลายร้อยปี เพียงแค่เอ่ยถึงมันก็ถือว่าเป็นความผิดอย่างร้ายแรงแล้ว

“ผิดแล้ว ที่จริง...มีอีกวิธีหนึ่ง” หลินเจิ้งหู่ไอโขลกๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “จากตำราโบราณที่ซินแสมู่ทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิต ยังมีวิธีการดูดซับไอชีวิตของเครื่องรางมนุษย์โดยไม่จำเป็นต้องแลกชีวิตกัน ขอแค่ให้อยู่ใกล้ๆ กันในรัศมีที่กำหนดไว้เพียงพอแล้ว เมื่อครบกำหนดเวลา ผมจะส่งเครื่องรางมนุษย์กลับบ้านอย่างปลอดภัยทุกคน”

“ดูดซับไอ? วิธีนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ะ”

อเล็กไซผินหน้ากลับมาหาเทียนหลางที่นั่งเงียบเชียบไม่ตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น ปลายนิ้วเรียวยาวจิกกระดาษเอกสารที่วางบนตักโดยไม่รู้ตัว เขารู้จักซินแสมู่อิงที่หลินเจิ้งหู่เพิ่งกล่าวอ้างถึงเป็นอย่างดีพอที่จะรู้ว่าคนหวงวิชายิ่งชีพอย่างไอ้เฒ่านั่นไม่มีทางทิ้งตำราล้ำค่าใดๆ ไว้ให้ใครทั้งสิ้น มู่อิงยินดีที่จะกลืนตำราลงท้องแล้วลงหลุมไปด้วยกันดีกว่าแพร่งพรายวิชาให้คนอื่นรู้ ต่อให้เอาเงินมากองตรงหน้าก็ซื้อเขาไม่ได้

คำถามคือ...หลินเจิ้งหู่ได้ตำราที่อ้างถึงนั้นมาด้วยวิธีใด เกี่ยวข้องกับการตายอย่างปริศนาของมู่อิงที่ใครๆ ลือกันมากน้อยแค่ไหน

“ก็ถ้าทำแค่นั้นจะเชิญพวกเรามาทำไมกันเล่า จ้างนักสืบเอกชนให้ไปเชิญคนพวกนั้นมาก็ได้ มหาเศรษฐีระดับคุณยื่นข้อเสนองามๆ ให้พวกเขา มีหรือจะกล้าปฏิเสธ”    

เทียนหลางฟังมาเตอูพูดถึงตรงนี้แล้วอดทึ่งไม่ได้ที่ภาษาจีนของไอ้หมอนี่พัฒนาไปจากครั้งสุดท้ายที่พบหน้ากันเมื่อหลายปีก่อนมาก แถมยังชัดเจนแจ๋วชนิดถ้าไม่เห็นหน้าก็คงคิดว่าเจ้าตัวเป็นคนจีนแท้ๆ ด้วยซ้ำไป

“ตรงนี้ละครับที่ผมคงต้องขอพึ่งนักไสยเวทชื่อดังอย่างทุกท่าน” หลินเจิ้งหู่เค้นเสียงพูดจนเส้นเลือดบนลำคอปูดโปน เขาดูป่วยหนักมากจนเหมือนพร้อมจะสิ้นลมได้ทุกวินาที “รายชื่อที่ทุกท่านมีในมือล้วนต่างเพศ ต่างอายุ ต่างเชื้อชาติ สิ่งเดียวที่ทุกคนเหมือนกันคือมีสภาวะธาตุในร่างกายพิเศษกว่าคนทั่วไป และความพิเศษนั้นจะช่วยยืดอายุของผมได้ชั่วระยะเวลาสั้นๆ พอให้จัดการเรื่องสำคัญได้”

“เดี๋ยวก่อนนะครับ ไม่ใช่ว่าเครื่องรางมนุษย์จะต้องมีวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากสมพงศ์กันกับคนที่ต้องการทำพิธีเปลี่ยนชะตาหรอกหรือครับ สภาวะธาตุต่างๆ ไม่เกี่ยวข้องกับพิธีนี้เลย”

อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากมุมห้อง เจ้าของเสียงไม่ได้ยืนขึ้น เทียนหลางจึงมองไม่เห็นว่าเขาเป็นใคร รู้เพียงแต่เขาพูดถูกเรื่องของเครื่องรางมนุษย์ว่าจะต้องมีการคำนวณอย่างละเอียดว่าพื้นดวงของเครื่องรางมนุษย์หรือ ‘ตุ๊กตา’ ที่จะนำมารับเคราะห์และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ไปจากผู้ต้องการทำพิธีสลับดวงชะตา เป็นพิธีที่ทั้งโหดร้ายและอันตราย ในชีวิตของคนหนึ่งคนจะทำพิธีได้เพียงครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาคนที่ชะตาเหมือนกันจนแทบจะเป็นหนึ่งเดียว และที่ยากไปกว่านั้นก็คือคนที่ใจคอโหดเหี้ยมพอที่จะยอมประกอบพิธีให้ได้

“รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านั้น ผมจะแจ้งให้กับคนที่ยอมรับทำงานนี้ทราบเท่านั้น”

คนบนรถเข็นโบกมือเบาๆ ภาพบนหน้าจอก็เปลี่ยนเป็นรูปถ่ายของบุคคลต่างๆ ที่อยู่ในเอกสารที่ได้รับแจกมาตอนแรกวนเวียนสลับกันไปทีละรูป เทียนหลางขบกรามแน่นเมื่อรูปของสาวน้อยลูกครึ่งปรากฏขึ้นพร้อมๆ กับที่เสียงผิวปากของผู้มีอาคมรุ่นหนุ่มดังขึ้น

หน็อย...ไอ้พวกเวร!

แต่เขาก็พอเข้าใจความรู้สึกของผู้ชายด้วยกันอยู่หรอก ภาพใบหน้างามหยาดเยิ้มของสาวน้อยวัย ๒๐ ปีผู้นี้น่าดูน้อยอยู่เมื่อไหร่กันเล่า ยิ่งเป็นภาพขยายใหญ่เต็มจอแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งเห็นความเปล่งปลั่งของวัยสาวชัดถนัดตา

ให้ตายเถอะวะ ถ้ายังไม่ได้ถอนหมั้นกัน ทุกอย่างที่ก่อร่างสร้างรูปขึ้นมาเป็นเธอก็คง...จะเป็นของเขาทั้งหมด!

เทียนหลางเบนสายตาไปทางอื่นพลางสลัดความรู้สึกหวงแหนเหมือนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเธอทิ้งไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้นละน่า เขาตัดสินใจผลักเธอออกจากวงจรชีวิตไปแล้วและเขาไม่เปลี่ยนใจแน่

“ผมต้องการให้พวกคุณหาทางพิสูจน์เรื่องธาตุพิเศษของคนที่อยู่ในรายชื่อให้ผมหน่อย ถ้าหากคนไหนมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ผมต้องการจริงๆ และพวกคุณพาตัวมาส่งให้ผมที่นี่ได้ ผมจะมีค่าเหนื่อยให้พวกคุณคนละ ๑๐๐ ล้านดอลลาร์ ผมหมายถึงหากพามาให้ผมหนึ่งคนก็รับไป ๑๐๐ ล้านดอลลาร์ สองคนก็ ๒๐๐ ล้านดอลลาร์”

สิ้นเสียงพูดของหลินเจิ้งหู่ เหล่านักไสยเวทก็พากันส่งเสียงฮือฮาดังลั่นห้อง แม้จะรู้ว่ามหาเศรษฐีระดับหลินเจิ้งหู่ร่ำรวยล้นฟ้า แต่ไม่คิดว่าจะยอมจ่ายไม่อั้นถึงขนาดนี้

“ยอมทุ่มเงินขนาดนี้แสดงว่าในรายชื่อเหล่านี้อาจจะมีคนที่มีธาตุพิเศษที่ว่าอยู่ไม่กี่คนสินะครับ” มาเตอูที่ยังคงยืนกอดอกมองจอฉายภาพยนตร์อยู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ซึ่งหมายความว่าคนที่รับงานนี้อาจจะต้องแข่งขันกัน”

และอาจจะ ‘เปิดศึก’ ฆ่าแกงกันเพื่อแย่งตุ๊กตามนุษย์ด้วย

“ผมไม่เคยคิดอยากให้พวกคุณต้องมาแข่งขันกันเลย แต่อย่างที่บอก เวลาของผมเหลือน้อยมาก หากไม่ใช้วิธีนี้ ผมอาจจะไม่มีวาสนาได้เห็นหน้าลูกชายที่กำลังจะเกิดในเดือนหน้า”

คำว่า ‘ลูกชาย’ ที่เพิ่งหลุดพ้นริมฝีปากของเศรษฐีเฒ่าออกมานั้นสยบเสียงพูดคุยในห้องให้เงียบกริบได้แทบจะในทันที ใครๆ ในแวดวงสังคมชั้นสูงของเซี่ยงไฮ้ล้วนรู้ดีว่าหลินเจิ้งหู่เป็นมหาเศรษฐีไร้ทายาท ถึงเขาจะแต่งงานมาแล้ว ๔ ครั้งและมีบรรดาสาวงามที่เลี้ยงดูไว้อย่างลับๆ อยู่หลายคน แต่เขาไม่เคยมีบุตรกับผู้หญิงคนไหนทั้งสิ้น ถึงขนาดมีคนเล่าลือกันไปทั่วว่าตระกูลหลินถูกสาปแช่งให้ไร้ทายาทสืบสกุลด้วยซ้ำ แล้วจู่ๆ ก็มีลูกที่กำลังจะลืมตาดูโลกโผล่มาเสียเฉยๆ แบบนี้ ไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือไร

“พวกคุณคงประหลาดใจเรื่องลูกชายของผม” หลินเจิ้งหู่กลับมาปรากฏตัวที่หน้าจออีกครั้ง “ตอนที่ผมรู้ว่าเขาอยู่ในท้องแม่ของเขา อาการป่วยของผมก็เริ่มแย่ลงทุกที ผมลองรักษามาทุกวิธี ทั้งกับแพทย์เฉพาะทางชื่อดังระดับโลก ทั้งใช้วิทยาการทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุด ไม่มีวิธีไหนได้ผลทั้งสิ้น ความหวังเดียวของผมในตอนนี้คือเครื่องรางมนุษย์ อย่างที่ผมเพิ่งพูดไป ผมขอเวลาสั้นๆ แค่สามหรือสี่เดือนเท่านั้น ขอแค่...ได้เห็นหน้าลูกแล้วก็จัดการเรื่องมรดกต่างๆ ให้เรียบร้อย”

“ขอโทษที่ต้องขัดจังหวะเรื่องซาบซึ้งกินใจของคุณนะครับคุณหลิน แต่ผมก็ยังไม่อยากมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้อยู่ดี ผมไม่เชื่อว่าตุ๊กตามนุษย์จะไม่ได้รับอันตรายใดๆ อย่างที่คุณว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ได้มาโดยไม่มีการแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อหรอก การที่คุณร้องขออายุขัยเพิ่ม ทั้งที่ควรจะจบลงไปแล้ว ก็เท่ากับว่าคนอื่นก็จะต้องเสียอายุขัยของตัวเองให้คุณ”

“ผมไม่ได้ขออายุขัยสี่เดือนของพวกเขาเปล่าๆ ผมยินดีจ่ายให้อย่างงาม” หลินเจิ้งหู่ตอบมาเตอูโดยไม่แสดงอาการขุ่นเคืองใดๆ ทั้งสิ้น “นอกจากนี้ผมยังมีค่าเหนื่อยล่วงหน้าให้พวกคุณทุกคน คนละ ๑๐ ล้านดอลลาร์ ไม่ว่างานครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ถือเสียว่าเป็นสินน้ำใจจากคนใกล้ตายอย่างผมก็ได้”

“สินน้ำใจจากคนใกล้ตายงั้นเหรอ” มาเตอูหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ “คุณเป็นคนใจกว้างมากจริงๆ คุณหลิน แต่น่าเสียดายที่ผมคงต้องปฏิเสธที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เงินของคุณซื้อผมไม่ได้”

“แต่เงินของคุณซื้อผมได้นะ” เทียนหลางพูดทะลุขึ้นกลางปล้องเพราะรำคาญท่าทางเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมของไอ้หนุ่มบราซิลเต็มแก่ ขืนปล่อยให้เถียงกันอยู่แบบนี้ เขาคงไม่รู้กันพอดีว่าต้องหาทางช่วยชาช่าอย่างไร “ผมรับงานนี้”

เมื่อมีคนเปิดฉากรับข้อเสนอ คนอื่นๆ ก็เลิกกระมิดกระเมี้ยน แล้วทยอยกันยกมือขึ้นแสดงตนว่าพร้อมรับทั้งเงินและงาน อเล็กไซหันกลับมามองเทียนหลางแล้วหัวเราะก่อนจะยกมือเช่นกัน มีเพียงมาเตอูเท่านั้นที่ยืนยันในเจตนารมณ์เดิม เขาหันหลังให้ทุกคนแล้วเดินย้อนกลับไปยังประตูทางเข้า-ออกก่อนจะชะงักฝีเท้าเมื่อสบสายตากับเทียนหลางที่ยังนั่งไขว่ห้างตีสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่

“ฉันผิดหวังในตัวแกจริงๆ ช็อน ฉันนึกว่าแกจะเป็นคนที่มีคุณธรรมมากกว่านี้”

“มาพูดเรื่องคุณธรรมกับฉันเนี่ยนะมาเตอู แกน่าจะรู้ว่าฉันสะกดคำที่ว่านี่ไม่เป็นด้วยซ้ำไป” เทียนหลางลอยหน้าลอยตารวนกลับ “พอดีฉันหิวเงินว่ะ ตั้งร้อยล้าน ใครบ้างไม่อยากได้”

“แกมันทุเรศเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”

ดวงตาคมกล้าของมาเตอูจ้องโจทก์เก่าเขม็งอยู่ครู่สั้นๆ ก่อนที่เขาจะกระแทกเท้าปึงปังเดินออกจากห้องไป เทียนหลางไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองไอ้ยักษ์เจ้าอารมณ์ จิตใจของเขาจดจ่ออยู่แต่สาวน้อยในรูปถ่าย

ใครจะด่าเขาอย่างไรก็ช่าง เขาจะต้องหาทางกันชาช่าของเขาออกไปจากเรื่องบ้าๆ ทั้งหมดนี้ให้ได้!

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น