4

บทสวดที่ ๔

บทสวดที่ ๔

 

พัดพารัดชาไม่ไว้ใจเทียนหลาง แต่ไม่มีทางเลือกอื่น

“ถ้า...ถ้าจะปกป้องฉันอย่างที่ปากว่า อย่างน้อยคุณก็ควรอธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อยได้ไหมว่ามันเรื่องอะไรกันแน่”

หญิงสาวเบือนหน้าหลบสัมผัสจากปลายนิ้วของชายหนุ่มทันควัน ไอร้อนที่เขาทิ้งไว้บนผิวแก้มให้ความรู้สึกวูบวาบแปลกๆ พิกล คลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนเคยเห็นภาพเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้มาก่อนทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้ นอกจากพ่อกับแม่แล้ว ยังจะมีใครอื่นเคยเช็ดน้ำตาให้เธออีกหรือ

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีเวลา” เทียนหลางตีหน้าขรึมกลบเกลื่อนความรู้สึก “พ่อเธอมาโน่นแล้ว ไม่เห็นเรอะ ขืนยังอ้อยส้อยอยู่แบบนี้ได้ตายก่อนพอดี”

เขาพยักพเยิดไปทางหน้าต่างห้องนอน พัดพารัดชามองตามไปก็เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ราวสี่หรือห้าคนกระโดดข้ามรั้วไม้เตี้ยๆ เข้ามาในเขตบ้านอย่างเงียบเชียบ พวกเขาแต่ละคนตัวใหญ่บึกบึนและหน้าตาถมึงทึงเอาเรื่อง

“คนพวกนี้เป็นใครคะ”

หญิงสาวหน้าซีด ถึงแม่กับเธอไม่ได้ร่ำรวยอะไรนัก แต่ก็มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่เคยเป็นหนี้นอกระบบจนต้องมีนักเลงมาคอยทวงเงินแน่ อีกทั้งยังพยายามอยู่กันอย่างสงบ ไม่มีเรื่องมีราวทะเลาะเบาะแว้งกับใครที่ไหน ดังนั้นจึงไม่น่ามีใครตามมาหาเรื่องถึงบ้านเช่นนี้

“คนเลว”

เทียนหลางตอบสั้นๆ ไม่ให้ความกระจ่างใดๆ อีกเช่นเคย เขาคว้าข้อมือของพัดพารัดชาแล้วดึงให้เดินออกจากห้องไปพร้อมกัน

“คะ...คนเลว?” หญิงสาวทำหน้างุนงง “แล้ว...แล้วพวกเขามาที่นี่ทำไม”

“มาพาตัวเธอไป”

ชายหนุ่มขบกรามแน่น โชคดีเท่าไหร่แล้วที่เขามาถึงที่นี่ทันเวลาก่อนที่พวกมันจะได้ตัวเธอไป ถ้าพวกมันกล้าแตะต้องแม่น้องน้อยของเขาแม้แต่ปลายก้อย เขาจะบดขยี้กระดูกนิ้วของพวกมันให้แตกละเอียด!

“หา? พา...พาตัวฉันไป? พาไปไหน ฉันไม่รู้จักคนพวกนี้เสียหน่อย เขาจะมาพาตัวฉันไปทำไม”

“เลิกถามเซ้าซี้เสียทีได้ไหม บอกแล้วไงว่าจะอธิบายให้ฟังทีหลัง” เทียนหลางแยกเขี้ยวอย่างหงุดหงิดเต็มแก่ “คูคัลเต!”

เขาส่งเสียงเรียกขณะก้าวขาลงบันไดอย่างรวดเร็วจนทำเอาหญิงสาวที่ถูกลากไปด้วยก้าวขาตามแทบไม่ทัน หากใบหน้าไม่กระแทกเข้ากับแผ่นหลังกว้างของคนข้างหน้าก็คงล้มคะมำไปแล้ว แต่เหมือนพระเจ้ายังเห็นว่าเธอตกใจไม่พอ จึงส่งเจ้าตุ๊กตาผีให้วิ่งกระดุ๊กกระดิ๊กมากระโดดเกาะขาเอาไว้อีก

“มะ...มะ...มัน...ปีนขึ้นมาบน...บนตัวฉันแล้วค่ะ!”

พัดพารัดชากลัวจนขนอ่อนบนหลังคอลุกชัน เธอเผลอโผเข้ากอดแขนของชายหนุ่มเอาไว้แน่น 

“ไม่ต้องกลัว คูคัลเตไม่ทำร้ายเธอแน่ มันจะคอยปกป้องเธอระหว่างที่ฉันจัดการกับไอ้พวกข้างนอกนั่น”

เทียนหลางดึงตุ๊กตาที่เกาะอยู่บนต้นขาเล็กเพรียวของหญิงสาวแล้วยัดมันลงไปในกระเป๋าของเธอ เขาต้องพยายามเบนสายตาไปจากผิวขาวเนียนที่ปลายนิ้วสัมผัสถูกไปเมื่อครู่อย่างสุดความสามารถ 

เธอสวยไปทั้งเนื้อทั้งตัว แถมยังมีกลิ่นหอมที่ทำเอาเขาแทบตั้งสมาธิไม่ได้เลย ให้ตายเถอะวะ!

“คู...คู...อะไรนะคะ”

พัดพารัดชาเหมือนสติหลุดไปแล้ว เธอนึกอยากโยนกระเป๋าย่ามใบโปรดทิ้งไปเสียเดี๋ยวนั้น...นี่เขาจะให้ไอ้ตัวประหลาดนี่ปกป้องเธอเนี่ยนะ!

“คูคัลเต เป็นภาษามองโกเลีย แปลว่าตุ๊กตา”

“คุณตั้งชื่อตุ๊กตาว่าตุ๊กตาเหรอคะ”

หญิงสาวหัวเราะเสียงแห้ง เห็นเขาดูสำอางแบบนี้ แต่กลับขาดความละเอียดอ่อนผิดคาดแฮะ

“ก็มันเป็นตุ๊กตา จะให้เรียกว่าอะไร คนมองโกลก็เป็นกันแบบนี้ เรียกม้าว่าม้า เรียกแพะว่าแพะ แปลกตรงไหน” เทียนหลางกลอกตา “นี่มันใช่เวลามาถามเรื่องแบบนี้เรอะ มานี่เลย”

ชายหนุ่มรุนหลังของพัดพารัดชาไปยังประตูบ้านที่เขาห้ามเธอเปิดก่อนหน้านี้ 

“เดี๋ยวพอฉันนับหนึ่งถึงสาม เธอก็เปิดประตูแล้ววิ่งให้สุดฝีเท้าเลยนะ รถฉันจอดอยู่ในตรอกห่างไปอีกสามซอย โฟร์วีลสีดำ กุญแจอยู่นี่ เข้าไปรอฉันอยู่ในรถ อย่าออกมาเด็ดขาด”

“หา? แต่...แต่คนพวกนั้นอยู่ที่สวนด้านหน้านะคะ” หญิงสาวหน้าตื่นขณะรับกุญแจรีโมตที่เขาส่งให้ “เปิดประตูออกไปก็ถูกหิ้วคอแล้ว”

แม้จะไม่รู้ว่ากลุ่มคนด้านนอกเป็นใคร แต่ดูจากที่พวกเขาลอบปีนข้ามรั้วบ้านของเธอเข้ามาแล้ว ต้องไม่ได้มาดีแน่

“ไม่ต้องกลัว คูคัลเตจะกำบังกายเธอไว้เอง เธอแค่วิ่งให้เร็วที่สุดก็พอ แล้วจำที่ฉันบอกให้ดี รออยู่เฉยๆ อย่าทำอะไรโง่ๆ เข้าใจไหม”

“กำบังกาย? คุณพูดอย่างกับคุณมีเวทมนตร์หรือไม่ก็เป็นหมอผีอย่างนั้นละค่ะ”

หญิงสาวไม่เข้าใจสักนิดว่าเขาพูดเรื่องอะไร คูคัลเตอะไรนั่นดูประหลาดก็จริงอยู่ แต่มันก็...น่าจะเป็นแค่หุ่นยนต์ใส่ถ่านหรืออะไรสักอย่าง หรือ...หรือไม่ใช่?

“ก็ทำนองนั้น” เขาตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่กลับยิ่งทำให้เธองุนงงมากขึ้นไปอีก “เลิกถามเสียที ไม่มีเวลาแล้ว หนึ่ง สอง...”

“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนค่ะ” พัดพารัดชาพูดแทรก “ถ้า...ถ้าคูคัลเตทำให้คนมองไม่เห็นฉันได้จริงอย่างที่คุณว่า มันก็น่าจะทำให้คนมองไม่เห็นเราทั้งสองคนพร้อมกันได้ไม่ใช่เหรอคะ เรา...เราควรไปด้วยกันสิ”

ถึงจะไม่ไว้ใจเขา แต่หากมีเขาอยู่ด้วยก็ยังอุ่นใจกว่าไม่ใช่หรือ

“ตัวมันเล็ก พลังอ่อน ถ้าอยู่ในสถานที่ปิดอย่างในบ้านก็พอช่วยพรางตัวเราสองคนได้อยู่หรอก แต่ถ้าออกไปข้างนอกเป็นที่โล่งแจ้ง มันดูแลได้แค่คนเดียว และฉันก็สั่งให้มันดูแลเธอ จบ พอแล้ว ห้ามถามต่อ”

นี่เขาลืมไปได้อย่างไรกันว่าแม่น้องน้อยของเขาเป็นเด็กร้อยคำถาม ตอน ๔ ขวบเคยถามโน่นถามนี่เจื้อยแจ้วอย่างไร โตขึ้นมาจนอายุ ๒๐ ปีก็ยังเจ้าปัญหาเหมือนเดิมอย่างนั้น เพิ่มเติมขึ้นมาตรงที่ริมฝีปากอิ่มของแม่คนช่างจำนรรจาขยับขึ้นลงอย่างล่อตาล่อใจเป็นที่สุด

บ้าเอ๊ย! ตั้งสมาธิสิวะ ตั้งสมาธิ!

“พลังอ่อน? คุณหมายถึงถ่านอ่อนใช่...”

“หุบปาก ก่อนที่จะไม่มีปากให้หุบ” ชายหนุ่มขู่ฟ่อด้วยน้ำเสียงดุดัน หญิงสาวสะดุ้ง รีบหุบปากฉับโดยไม่ต้องหยุดคิดแม้แต่วินาทีเดียว “เธอนี่มัน...”

ปัง!

เสียงบางอย่างกระแทกประตูดังลั่นทำเอาพัดพารัดชาต้องรีบกระโดดแผล็วไปหลบอยู่ด้านหลังเทียนหลาง

“เดินวนดูหลายรอบแล้ว ในบ้านไม่มีคนอยู่ หรือมันจะไหวตัวทันเลยหนีไปแล้ว”

คนด้านนอกพูดเป็นภาษาไทยชัดแจ๋ว หญิงสาวเห็นบางคนใช้มือป้องแสงแล้วโน้มใบหน้ามาชิดกระจกเพื่อมองเข้ามาในตัวบ้าน น่าประหลาดนักทั้งที่เธอกับเทียนหลางยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่เขากลับทำเหมือนมองไม่เห็นพวกเธอเสียอย่างนั้น

“คนข้างนอกนั่น...”

“ก็เพราะเธอมัวแต่ชักช้าร่ำไรไงเล่า เรื่องมันถึงได้ยากแบบนี้” เทียนหลางดันหญิงสาวให้เดินถอยออกห่างจากประตู “คูคัลเต ใช้พลังทั้งหมดปกป้องเธอด้วย ถ้าเธอเป็นอะไรไป ฉันจะฉีกแกเป็นพันชิ้น”

ชายหนุ่มจงใจเค้นเสียงพูดในประโยคหลังเป็นภาษามองโกเลียเพราะไม่อยากให้เธอเข้าใจ 

“คุณว่าอะไรนะคะ” พัดพารัดชาทำหน้างง

“ฉันบอกว่าให้เธอหุบปาก ห้ามส่งเสียง”

คำพูดกระด้างเป็นมะนาวไม่มีน้ำทำเอาคนฟังหน้าเจื่อน รีบปล่อยมือจากชายเสื้อของเขาที่ยึดไว้เป็นที่พึ่งแทบไม่ทัน 

“ทำตามแผนเดิม พอประตูเปิดก็วิ่งออกไปเลย ไม่ต้องสนว่าเกิดอะไรขึ้นในนี้ เข้าใจไหม”

“คะ?” เธออยากตอบออกไปว่า ‘ไม่เข้าใจ’ แต่ก็กลัวว่าจะถูกเอ็ดเอาอีก 

“หนึ่ง สอง” เขาเริ่มต้นนับเลขหน้าตาเฉยโดยไม่สนใจสีหน้าเหลอหลาของพัดพารัดชา “สาม! วิ่ง!”

โครม!

สิ้นเสียงของเทียนหลาง ประตูไม้ก็ถูกกระแทกจากด้านนอกจนหลุดกระเด็นลงมากองกับพื้นทั้งบานพร้อมๆ กับที่กลุ่มผู้บุกรุกกรูกันเข้ามาในบ้าน ยิ่งเห็นในระยะใกล้แบบนี้ พวกเขายิ่งดูตัวใหญ่โตน่าเกรงขาม เทียบกันแล้วชายหนุ่มชาวมองโกเลียที่ยืนอยู่กับเธอตัวบางกว่าตั้งเกือบครึ่ง จะเอาอะไรไปสู้กันได้เล่า

“แกเป็นใคร!”

ชายที่ตัวโตที่สุดตะโกนเป็นภาษาไทยชัดแจ๋ว เสียงของเขาดังมากจนพัดพารัดชาต้องย่นคอ ส่วนคนอื่นๆ ก็กรูกันเข้ามาล้อมพวกเธอเอาไว้

“บอกให้วิ่งยังไม่วิ่งอีก โง่หรือไง” เทียนหลางพูดเสียงเรียบ ดวงตาของเขามองตรงไปที่กลุ่มชายฉกรรจ์ทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังพูดกับคนพวกนั้นด้วยภาษาฝรั่งเศส ทั้งที่จริงๆ แล้วเขากำลังพูดกับพัดพารัดชาอยู่ “ยายตัวยุ่งเอ๊ย ตอนเด็กๆ เผ่นไวอย่างกับม้าป่า ไล่จับไม่เคยทัน โตขึ้นมาดันอืดอาดเป็นจามรีแก่เสียอย่างนั้น”

“มันพูดภาษาอะไรของมันวะพี่” คนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยถามขึ้นในขณะที่คนอื่นๆ พากันส่ายหน้า

“จะพูดภาษาอะไรก็ช่าง ไม่ต้องเสียเวลาเจรจากับมัน ล็อกตัวมันไว้ แล้วไปลากตัวนังเด็กผู้หญิงออกมา”

คนตัวใหญ่ที่หญิงสาวพอเดาได้ว่าเป็นลูกพี่ใหญ่ร้องสั่งลูกน้อง พลางเลิกเสื้อขึ้นอวดปืนกระบอกโตที่เหน็บไว้ด้านในขอบกางเกงเป็นการข่มขู่กลายๆ ‘ภาษาปืน’ เป็นภาษาสากล ไม่ต้องใช้ล่ามช่วยก็รู้ได้ว่ามันแปลว่า ถ้าขยับ เจอไข้โป้ง!

เป็นอย่างที่เทียนหลางว่าไม่มีผิด คนพวกนี้คิดมาจับตัวเธอจริงๆ

“คุณเทียนหลาง ระวังนะ พวกเขาบอกว่าจะจับตัวคุณด้วย!”

เธอมั่นใจว่าชายหนุ่มฟังภาษาไทยไม่ออกจึงรีบร้องเตือนเขา ก่อนจะรีบยกมือขึ้นปิดปากเมื่อนึกขึ้นได้ว่ากลุ่มคนพวกนี้อาจได้ยินเสียงของเธอเข้า ทว่า...พวกเขากลับไม่หันมามองเธอแม้แต่นิด เหมือนเธอเป็นมนุษย์ล่องหนที่ไม่มีใครมองเห็นหรือได้ยินสิ่งที่เธอพูดทั้งนั้น 

นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ตุ๊กตาผีนั่นกำบังกายได้จริงๆ ด้วย!

น่าแปลกที่เทียนหลางเป็นคนเดียวที่ทั้งเห็นและได้ยินเสียงของเธอ เพราะเขาหันมาขึงตาดุใส่อย่างเกรี้ยวกราด

“หูแตกหรือไง ฉันบอกว่าให้วิ่ง!”

เทียนหลางตะคอกเสียงดังราวฟ้าผ่าพร้อมๆ กับยกเท้าขึ้นยันอกผู้ชายคนแรกที่กรากเข้าหาเขาจนล้มหงายไม่เป็นท่า พัดพารัดชาอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าผู้ชายที่ดูสวยจนผู้หญิงยังอายอย่างเขาจะห้าวขนาดนั้น

“รนหาที่เองนะแก!”

ลูกพี่ใหญ่ชักปืนขึ้นเล็งไปยังชายหนุ่ม แต่นอกจากเขาจะไม่สะทกสะท้านสักนิดแล้ว ยังกระตุกมุมปากขวาขึ้นเป็นรอยยิ้มกวนประสาทอีกต่างหาก 

“คุณเทียนหลาง!”

พัดพารัดชาร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเขาพุ่งเข้าใส่คนมีอาวุธอย่างบ้าระห่ำที่สุด เธอคิดว่าเขาต้องถูกยิงแน่แล้ว แต่เปล่าเลย...เขาคว้ารังเพลิงของปืนไว้แน่นทำให้อีกฝ่ายไม่อาจกดลั่นไกได้ 

“ทีหลังใช้ปืนออโต้นะรู้ไหม ปืนลูกโม่มันคลาสสิก ยิงง่ายก็จริง แต่จุดบอดมันมีอยู่เยอะ”

ดวงตาสีดอกพยับหมอกทอประกายชืดชาชวนขนลุก หญิงสาวรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากร่างสูงสง่าของเขา และกลิ่นอายนั้นรุนแรงเสียจนเธอหายใจไม่ออกขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ไอ้เวร แกพูดภาษาอะไรของแก ฟังไม่เข้าใจโว้ย!” ฝ่ายตรงข้ามพยายามขยับนิ้วในโกร่งไกเสียจนเส้นเลือดบนมือปูดโปนและสั่นไปหมด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจยิงคนที่อยู่ตรงหน้าได้ทั้งที่เขาแค่กำรังเพลิงไว้เฉยๆ เหมือนไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด “พวกแกมัวยืนบื้ออะไรกันอยู่ จัดการมันสิวะ!”

“ไม่มีปัญญาทำอะไรก็ใช้วิธีหมาหมู่สินะ” เสียงพูดของเทียนหลางฟังแปร่งปร่าออกไป เหมือนเป็นเสียงของคนสองคนทับซ้อนกันโดยที่อีกเสียงนั้นเป็นเสียงของผู้หญิง “ก็สมกับไอ้พวกตัวโต มีแต่กล้ามแต่ไม่มีสมองอย่างพวกแกดี”

โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ชาแมนหนุ่มก็กำหมัดด้วยมือข้างที่เป็นอิสระแล้วชกเข้าที่คอหอยของอีกฝ่ายเต็มแรงจนล้มหงายลงไปนอนชักสำลักน้ำลายอย่างทุรนทุราย

“แก! อย่าอยู่เลย!”

บรรดาลูกน้องพากันตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดแล้ววิ่งเข้าใส่เทียนหลาง บางคนชักปืนออกมา แต่ยังไม่ทันยิงชาแมนหนุ่มก็ชิงลั่นไกใส่ก่อนแล้ว

ปัง! ปัง! ปัง!

เสียงปืนดังติดกันสามนัด พัดพารัดชาร้องกรี๊ด เธอยกมือขึ้นปิดหูแล้วทรุดลงนั่งคู้ตัว ดวงตากลมโตเต้นระริกอย่างหวาดกลัวเมื่อเห็นกลุ่มผู้บุกรุกสามคนถูกยิงเข้าที่ขาบ้าง หัวไหล่บ้าง ก่อนจะล้มลงไปนอนร้องโอดโอยแบบเดียวกับลูกพี่ เทียนหลางเตะปืนในมือของคนพวกนั้นจนไถลไปอยู่ใต้โซฟา ชายคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ควักมีดพกแบบพับได้ออกมากวัดแกว่งขู่

“เอาจริงดิ นี่งี่เง่าขนาดนี้จริงๆ เหรอวะ เอามีดมาสู้กับปืนเนี่ยนะ” เทียนหลางหันปากกระบอกปืนไปยังมือมีดที่เริ่มหน้าซีด “คนที่จ้างนักเลงไร้สมองอย่างพวกแกมานี่คิดอะไรอยู่ โง่ฉิบหาย”

พูดจบเขาก็ยิงปืนทะลุหลังเท้าของชายเคราะห์ร้ายสองนัดติดกัน พัดพารัดชาหลับตาปี๋ตอนที่ได้ยินเสียงปืนและเสียงคนล้มกระแทกพื้นดังโครมใหญ่ รอบกายเธอมีแต่เสียงร้องโอดโอยดังระงมสลับกับเสียงไอโขลกๆ ของคนที่ยังสำลักน้ำลายไม่เลิก

“ตอนฉันบอกให้วิ่งก็หมายความว่าให้วิ่ง ไม่ใช่นั่งซื่อบื้ออยู่แบบนี้!”

ชายหนุ่มคว้าข้อมือของหญิงสาวเอาไว้แล้วกระตุกให้ลุกขึ้น แต่ความหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ ทำให้สองขาของเธอไร้เรี่ยวแรงไม่อาจทรงตัวได้ เธอจึงล้มคะมำหน้าคว่ำ

“ชาช่า!”

“ขา...ขาฉันไม่มีแรง...”

เสียงของพัดพารัดชาสั่น เธอพยายามคิดว่าเหตุการณ์บ้าๆ ที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นเพียงความฝัน ทว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการล้มกระแทกพื้นเมื่อครู่ฟ้องชัดว่ามันเป็นเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าจริง!

“บ้าเอ๊ย!” เทียนหลางสบถ เขาโกรธตนเองนักที่ไม่ระวังทำขาขาวๆ ของเธอเป็นรอยช้ำจนได้ “จะยอมให้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ ครั้งหน้าถ้าฉันสั่งอะไรแล้วเธอไม่ฟังอีก ฉันจะปล่อยเธอให้ตายอยู่ตรงนั้นนั่นละ”

ปากดุไม่เลิกทว่าสองแขนกลับตวัดร่างสั่นเทาของเธอขึ้นอุ้มอย่างทะนุถนอม หากเป็นเวลาอื่นชายหนุ่มคงมีเวลาปลอบขวัญเธอมากกว่านี้ แต่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เขาทำได้เพียงอุ้มเธอวิ่งออกจากบ้านให้เร็วที่สุดเท่านั้น

“คุณ...คุณยิงคนพวกนั้น...”

เทียนหลางวิ่งเร็วและคล่องแคล่วมากทั้งที่อุ้มเธออยู่ เธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากวาดวงแขนขึ้นคล้องรอบคอของเขาเอาไว้อย่างกล้าๆ กลัวๆ เพื่อไม่ให้พลัดตกลงไป ดวงตาคู่งามมองข้ามไหล่กว้างไปยังกลุ่มคนที่นอนหมอบกระแตไม่เป็นท่าแล้วอดสะท้านเยือกอยู่ลึกๆ ในอกไม่ได้ 

เขาไม่กะพริบตาตอนที่ลั่นไกแม้แต่นิด ราวกับชินชาต่อเรื่องฆ่าฟันกันประเภทนี้เสียแล้ว...

“แล้วจะรอให้มันยิงกบาลเราก่อนหรือไง” ชายหนุ่มกระชับวงแขนแน่นเข้า “โชคดีเท่าไหร่แล้วที่คนที่ส่งไอ้พวกโง่นี่มาคิดว่าจัดการผู้หญิงสองคนเป็นงานง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องใช้พวกมืออาชีพก็ได้ ไม่อย่างนั้นเธอกับแม่ถูกหิ้วไปนานแล้ว”

“มันก็ใช่...” ข้อนี้พัดพารัดชาเถียงไม่ออก คนพวกนั้นมีปืนและอาวุธครบมือ ไม่มีทางมาดีแน่ แต่การเห็นคนถูกยิงต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรกในชีวิตแบบนี้ เธอก็ช็อกจนทำอะไรไม่ถูก “เรา...เราควรไปหาตำรวจกันนะคะ ไม่สิ...แจ้งความก็ได้...”

เกิดเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้แล้ว หากได้รับการคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งเธอและแม่ก็น่าจะปลอดภัยกว่าอยู่กับผู้ชายที่ยิงคนหน้าตาเฉยแบบเขาไม่ใช่หรือ

“ให้เพื่อนบ้านเธอแจ้งความไปเถอะ เสียงปืนดังขนาดนั้น ป่านนี้โทร. เรียกตำรวจแล้วมั้ง” เทียนหลางถอนใจขณะวิ่งตรงไปยังตรอกที่จอดรถซ่อนอยู่ “เราไม่มีเวลาไปให้ตำรวจสอบปากคำหรอกนะชาช่า แล้วเรื่องนี้ตำรวจหน้าไหนก็ช่วยเธอกับแม่ไม่ได้ทั้งนั้น”

“คุณกลัวตำรวจจะจับคุณมากกว่า คุณทำร้ายคนพวกนั้นนะคะ”

“คนที่ควรกลัวตำรวจน่ะคือพวกมันต่างหาก พวกมันพกปืนแล้วบุกเข้ามาที่บ้านเธอนะ ปืนพวกนั้นไม่มีทางถูกกฎหมายแน่ อาจจะเคยใช้ก่ออาชญากรรมที่ไหนมาก่อนก็ได้ ถ้าตำรวจจับพวกมันได้ คิดดูสิว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายซวย”

“คุณพูดเหมือนคุณเป็นตำรวจเลย”

พัดพารัดชาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของเขา แวบหนึ่งเธอรู้สึกคุ้นเคยกับโครงหน้าของเขาอย่างน่าประหลาด ประหนึ่งว่าเธอเคยเงยหน้าขึ้นมองเขาในมุมนี้มาก่อน

“ตำรวจ?” เทียนหลางแบะปาก “ฉันไม่ชอบเล่นบทผู้ผดุงความยุติธรรมหรอก มันน่าเบื่อ”

“งั้นคุณก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้ผดุงความยุติธรรมเหรอคะ”

เธออยากถามว่าเขาเป็นอาชญากรใช่ไหม แต่ใจไม่กล้าพอ หลังจากเห็นเขายิงคนอย่างเลือดเย็นแล้ว ใครบ้างไม่เสียวสันหลัง

“จะถามว่าฉันเป็นผู้ร้ายหรือเปล่าว่าอย่างนั้นเถอะ” เทียนหลางอ่านใจเธอออก “และคำตอบคือไม่ ฉันแค่อยู่ตรงกลาง”

“อยู่ตรงกลาง?”

“อือฮึ อยู่ตรงกลาง ไม่มืด ไม่สว่าง แค่อยู่ตรงกลาง รักษาสมดุล”

คำตอบของเขาฟังเข้าใจยากเสมอจนพัดพารัดชาเริ่มถอดใจแล้ว

“ฉันไม่เข้าใจเลย”

“ถ้าบอกแล้วจะเข้าใจไหมล่ะ ขนาดบอกให้วิ่งเธอยังยืนบื้อเลย” ชายหนุ่มไม่วายวกกลับมาดุเธอด้วยเรื่องเดิมซ้ำอีก

“ก็ฉันกลัวนี่คะ” พัดพารัดชาพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียง “สรุปแล้ว ถ้าคุณไม่ใช่ตำรวจ ไม่ใช่ผู้ร้าย แล้วคุณเป็นอะไรกันแน่คะ”

“ฉันน่ะเหรอ” เทียนหลางก้มลงมองใบหน้าใสกระจ่าง ดวงตาสีดอกพยับหมอกแปลกตาวูบไหวประดุจคืนเพ็ญที่ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก “ฉันเป็นชาแมน”

 

“อย่างนั้นเหรอ เป้าเทียนหลางได้ตัวเด็กคนนั้นไปแล้วสินะ เร็วกว่าที่คิดไว้เสียอีก”

เหรินฮ่าวอมยิ้มขณะนั่งจิบชาจีนหอมกรุ่นช้าๆ   แสงแดดที่ส่องลอดผ่านหน้าต่างห้องทำงานเข้ามาเผยให้เห็นสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็น อันเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่ทำให้คนรับใช้ทุกคนในคฤหาสน์หลินเกรงกลัว

พ่อบ้านประจำตัวหลินเจิ้งหู่ไม่ใช่คนเรียบง่ายสบายๆ ดังที่เห็น เห็นตีหน้าเฉยเหมือนผืนน้ำอันสงบราบเรียบเช่นนี้ แท้จริงแล้วข้างใต้มีคลื่นลมรุนแรงโหมกระหน่ำ พร้อมพัดทำลายทุกคนที่ขวางหูขวางตาเจ้านายให้พินาศย่อยยับ ด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยมเกินกว่ามนุษย์ปกติทั่วไปจะจินตนาการได้ มิหนำซ้ำยังเก็บกวาดเศษซากต่างๆ จนไม่หลงเหลือหลักฐานใดๆ ให้สืบสาวราวเรื่องได้ทั้งสิ้น

และนี่คือเหตุผลที่เหรินฮ่าวเป็นคนสนิทที่หลินเจิ้งหู่ไว้ใจให้จัดการเรื่องต่างๆ แทนตนเองแทบทุกเรื่อง

“คุณพ่อบ้านทราบอยู่แล้วเหรอครับว่าเป้าเทียนหลางจะเลือกไปเมืองไทย”

เท่าที่จื้อโหยวจำได้ จอมขมังเวททุกคนที่เอ่ยปากว่าจะรับงานเลือกที่จะตรวจสอบคุณสมบัติของ ‘เครื่องรางมนุษย์’ ที่อาศัยอยู่ในถิ่นของตนเองหรือไม่ก็ในพื้นที่ใกล้เคียงก่อนทั้งสิ้น น่าแปลกที่ชาแมนหนุ่มกลับนั่งเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวตรงดิ่งไปยังเมืองไทยอย่างรีบร้อน ทั้งที่เริ่มจากเซี่ยงไฮ้ก่อนจะง่ายกว่าด้วยซ้ำไป ถึงคู่แข่งจะเยอะอยู่สักหน่อย แต่ด้วยความชำนาญและเส้นสายที่ตระกูลเป้ามีอยู่ เขาสามารถนำหน้าคู่แข่งคนอื่นๆ ได้อย่างสบายๆ แท้ๆ

คำถามคือ ทำไมถึงได้เลือกงานยากกันเล่า...หรือว่าชอบความท้าทาย?

“จื้อโหยว แกติดตามฉันมา ๕ ปีแล้วยังไม่รู้อีกเหรอว่าจะทำการใหญ่ให้สำเร็จต้องรู้เขารู้เรา จะใช้งานใครก็ต้องสืบประวัติให้ดี ไม่อย่างนั้นจะคาดเดาผลสำเร็จได้ยังไง”

เหรินฮ่าววางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะทำงานไม้ขัดมันฝังเส้นทองเหลือง ดูมีรสนิยมเช่นเดียวกับการตกแต่งส่วนอื่นๆ ของห้อง แม้จะอยู่ในคฤหาสน์ของตระกูลหลินที่มีการตกแต่งอย่างหรูหราฟู่ฟ่าเสียจนเกินคำว่าพอดีไปมาก แต่ห้องทำงานของพ่อบ้านกลับดูเรียบง่ายและเคร่งขรึมจนเหมือนเป็นคนละโลกกับพื้นที่ส่วนอื่นของคฤหาสน์โดยสิ้นเชิง

“ผมต้องขออภัยจริงๆ ครับคุณพ่อบ้าน ผมประมาทเป้าเทียนหลางมากเกินไปจริงๆ ไม่คิดว่าเขาจะร้ายกาจขนาดนั้น”

ใครจะคาดคิดกันเล่าว่าหลานชายของคนมีหน้ามีตาอย่างอัลตันจะกล้ายิงคนกลางวันแสกๆ อย่างไม่เกรงฟ้ากลัวดินเช่นนี้ หากอยู่ในมองโกเลียก็คงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่นี่อยู่ต่างแดนที่บารมีของอัลตันแผ่ไปคุ้มกะลาหัวไม่ถึงก็ยังไม่กริ่งเกรงใดๆ สักนิด

“ก็อย่างที่ฉันบอก แกทำงานไม่รอบคอบ เป้าเทียนหลางไม่ได้เป็นแค่ชาแมนธรรมดานะ เขาเติบโตมาในตระกูลเป้าที่เคยลงทุนทำธุรกิจทั้งด้านมืดและด้านสว่าง ศัตรูที่คิดเข่นฆ่าเอาชีวิตมีมากมายเสียยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตราบรื่นไร้คลื่นลม ถึงเขาไม่เคยมีคดีฆ่าคน แต่ก็มีคดีทำร้ายร่างกายที่ใช้เงินอุดปากพวกเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงไว้ยาวเป็นหางว่าวเชียวละ” เหรินฮ่าวหัวเราะเสียงต่ำอยู่ในลำคอ “แล้วเขาก็คงรู้อยู่แล้วว่าไอ้นักเลงกระจอกพวกนั้นไม่กล้าอยู่รอเจอตำรวจแน่ๆ แค่เล่นงานให้น่วม ไม่ต้องฆ่าทิ้งให้มีหลักฐานสาวมาถึงตัวก็พอแล้ว”

จื้อโหยวนิ่งงัน นึกไม่ถึงว่าการข่าวของพ่อบ้านเหรินจะไวเพียงนี้ ดูเหมือนจะรู้ทุกเรื่องก่อนที่เขาจะมารายงานเสียอีก หูผีจมูกมดเสียจริง

“ครั้งนี้ผมพลาดจริงๆ”

“แกพลาดตั้งแต่ส่งนักเลงไปที่บ้านของเด็กคนนั้นแล้ว จื้อโหยว” น้ำเสียงของเหรินฮ่าวราบเรียบทว่าแฝงกระแสแห่งความคุกคามอยู่ในที “ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่ายื่นมือเข้าไปยุ่งวุ่นวายโดยไม่จำเป็น ปล่อยให้พวกหมอผีฟาดฟันกันเอง ถ้ามีเรื่องผิดพลาดขึ้นมาจะได้สาวมาไม่ถึงเจ้านายของเรา”

“ผมต้องขอโทษจริงๆ ครับ ผมคิดว่างานจะเร็วขึ้นถ้าเรารวบรวมคนในรายชื่อมาให้พวกหมอผีตรวจสอบว่าใครมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเครื่องรางมนุษย์ของนายท่าน”

จื้อโหยวหนาวเยือกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเคาะนิ้วชี้บนโต๊ะเป็นจังหวะดังก๊อกๆ บ่งชัดถึงความไม่พอใจ

“คิดว่าฉันโง่มากนักหรือไง จื้อโหยว” เหรินฮ่าวหลุบตามองปลายนิ้วแล้วระบายลมหายใจยาว “ถ้าบอกมาตรงๆ ว่าแกคิดรวบรวมคนในรายชื่อเอาไว้ต่อรองขอส่วนแบ่งจากพวกหมอผี คงน่าโมโหน้อยกว่านี้”

“คุณพ่อบ้านครับ ไม่จริงนะครับ ผมไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นเลย” ชายหนุ่มแก้ตัวละล่ำละลัก ใบหน้าของเขาซีดเผือดเมื่อถูกจับไต๋ได้ “ผมจงรักภักดีต่อนายท่านหลินเสมอมา ผมจะกล้าคิดทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างไรกัน”

“กล้าไม่กล้าก็ถือว่าทำไปแล้วไม่ใช่หรือไง” เหรินฮ่าวเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยแววตาชืดชา “ครั้งนี้ฉันจะถือว่าเป็นการเตือนก็แล้วกัน ถ้ามีครั้งหน้าอีก ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแกบ้าง”

“คุณพ่อบ้าน ผม...”

“ไม่ต้องแก้ตัว แต่แก้ไขสิ่งที่พลาดไปก็พอ”

เพียงพ่อบ้านเหรินเคาะนิ้วกับโต๊ะสองครั้ง จื้อโหยวก็รีบปราดเข้าไปรินชาจากกากระเบื้องเคลือบให้ด้วยมืออันสั่นเทาจนน้ำชาสีทองแทบกระเซ็นออกมาจากถ้วย เขารู้ดีว่านี่เป็นคำเตือนครั้งแรกและครั้งสุดท้าย หากเขาทำผิดซ้ำเดิมอีก อาจไม่มีใครหาศพของเขาพบอีกเลยก็เป็นได้

“มันไม่ผิดหรอกนะที่จะมีความโลภเป็นแรงผลักดัน เงินตั้งร้อยล้านดอลลาร์ เป็นใครก็ต้องอยากมีส่วนร่วม จริงไหม แต่แกก็ต้องหัดประเมินตัวเองว่ามีคุณสมบัติพอที่จะได้รับเงินจำนวนนั้นหรือเปล่า ถ้าไม่ก็เจียมกะลาหัวแล้วรอจังหวะของตัวเองต่อไป ไม่ใช่ทำเรื่องโง่ๆ จนเกือบเสียเรื่องแบบนี้ เข้าใจไหม”

“ผม...ผมเข้าใจแล้วครับ”

ประกายเหยียดหยันปรากฏขึ้นในแววตาของเหรินฮ่าวครู่หนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่เกลียดคนโลภ เพราะคนโลภใช้งานง่าย มีแรงผลักดันให้ก้าวข้ามเส้นศีลธรรมต่างๆ ได้อย่างไม่ลังเล แต่เขาเกลียดคนโง่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่โง่เกินกว่าจะปกปิดร่องรอยความผิดของตนเองได้ หากไม่นึกว่าจื้อโหยวยังพอมีประโยชน์ให้เขาใช้งานได้ในระยะยาว ป่านนี้เขาส่งลงไปนอนแยกชิ้นส่วนอยู่ใต้ฐานรากของตึกที่ไหนสักแห่งแล้ว

“เข้าใจแล้วก็ดี” เหรินฮ่าวเป่าน้ำชาพอคลายร้อนแล้วจิบอึกหนึ่ง “แล้วรู้หรือยังว่าเป้าเทียนหลางพาเด็กคนนั้นไปไหน”

“เป้าเทียนหลางเตรียมการมาดีมากครับ เขาหลบกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ ได้อย่างหมดจด ไม่มีกล้องตัวไหนบันทึกภาพของเขากับเด็กพัดพารัดชานั่นได้เลย”

“ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาเป็นผู้สืบทอดสายตรงของท่านอัลตันนะ มนตร์กำบังตาง่ายๆ ย่อมใช้คล่องกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว” พ่อบ้านเหรินอมยิ้ม “เช็กดูเที่ยวบินด้วยนะว่าสองคนนั้นเดินทางไปที่ไหนบ้าง ก็เตรียมตัวส่งคนไปประกบท่านอัลตันไว้ได้เลย ไม่ว่ายังไงสองปู่หลานนั่นก็ต้องติดต่อกันอยู่แล้ว”

“คุณพ่อบ้านคิดว่าเป้าเทียนหลางจะไม่ส่งมอบเด็กคนนั้นให้เราเหรอครับ” จื้อโหยวยังไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ นักด้วยมีชนักติดหลังอยู่ “แต่ถ้าเขาทำแบบนั้น เขาก็จะไม่ได้เงินหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์ตามข้อตกลงนะครับ”

สำหรับเขาแล้ว แค่ ๑๐ เปอร์เซ็นต์ของเงินหนึ่งร้อยล้านดอลลาร์ก็สามารถพลิกฟื้นชีวิตของเขาได้อย่างสบายๆ ใครบ้างไม่อยากมีเอี่ยวในเงินจำนวนนั้น

“ฉันถึงได้บอกว่าแกทำงานไม่รอบคอบเอาเสียเลย” โง่มาก...จนน่าหงุดหงิด “แกไม่รู้สินะว่าพ่อของเด็กที่ชื่อพัดพารัดชาเป็นเพื่อนรักของท่านอัลตัน ถ้าท่านอัลตันไม่สั่งการลงมา มีหรือที่คนระดับเป้าเทียนหลางจะลดตัวลงมารับงานแบบนี้ แค่ทรัพย์สินจากทางฝั่งพ่อกับปู่ก็นั่งกินนอนกินไปได้ทั้งชาติแล้ว ร้อยล้านดอลลาร์ไม่มีความหมายสำหรับเขาเลยด้วยซ้ำ”

“เพื่อนรักกัน?” จื้อโหยวเบิกตากว้าง เขาเพิ่งปะติดปะต่อเรื่องราวได้ในวินาทีนั้นเอง “นี่หมายความว่า...เป้าเทียนหลางรับงานนี้เพื่อช่วยเด็กคนนั้นเหรอครับ”

“ก็มีความเป็นได้สูง” พ่อบ้านเฒ่ามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตายากคาดเดาความคิด “ฉันคิดว่าเป้าเทียนหลางคงจะรีบตรวจสอบคุณสมบัติของเด็กคนนั้นเร็วๆ นี้ละ”

“ในเมื่อเขาคิดจะช่วยเด็กนั่นแล้วจะตรวจสอบทำไมกันเล่าครับ เอาตัวไปซ่อนเลยไม่ง่ายกว่าเหรอ”

เหรินฮ่าวผินหน้ากลับมามองชายหนุ่มนิดหนึ่งอย่างระอาใจเต็มทน

“นี่นอกจากแกจะไม่รอบคอบแล้วยังหัวช้าอีกนะจื้อโหยว ถ้าเป้าเทียนหลางต้องการช่วยเด็กคนนั้นจริงๆ ยิ่งต้องรีบตรวจสอบเป็นการด่วน เพราะถ้าเด็กพัดพารัดชาเป็นเครื่องรางมนุษย์ของนายท่านหลินจริงๆ เขาต้องหาทางซ่อนตัวเอาไว้ไม่ให้ใครหาพบ”

“รู้อย่างนี้แล้ว เราก็ยิ่งต้องหาทางรับตัวเด็กคนนั้นมาโดยเร็วที่สุดสิครับ ถ้าเด็กนั่นเป็นเครื่องรางมนุษย์จริงๆ นายท่านหลินจะเสียโอกาสนะครับ”

“อย่าเพิ่งตื่นตูมไป เด็กพัดพารัดชาเป็นเครื่องรางมนุษย์จริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ทางโน้นเป็นคนของท่านอัลตันนะ ต่อให้อยากได้เครื่องรางมนุษย์แค่ไหน นายท่านหลินก็ไม่เสี่ยงมีเรื่องบาดหมางกับท่านอัลตันหรอก คนอย่างท่านอัลตันไม่ใช่คนที่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกจะล่วงเกินแล้วรอดชีวิตไปได้ อย่ามีเรื่องกับฝั่งนั้นตรงๆ เป็นดีที่สุด”

“ไม่ให้มีเรื่องตรงๆ?”

“ยืมมือคนอื่นสิวะ” การคุยกับคนโง่ทำให้เหรินฮ่าวรู้สึกเหมือนสติปัญญาถดถอยอย่างน่าหงุดหงิด “แกก็แค่ปล่อยข่าวให้ลอยเข้าหูพวกจอมขมังเวทไปว่าเป้าเทียนหลางเจอเครื่องรางมนุษย์แล้ว แกลองใช้สมองขี้เลื่อยของแกจินตนาการดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

จื้อโหยวฟังแล้วตาโตด้วยความตื่นเต้น

“ท่านหมายความว่าหมอผีทุกคนจะพุ่งเป้าไปที่เด็กนั่นถูกไหมครับ”

“ในรายชื่อที่แจกให้จอมขมังเวทพวกนั้นไป จะมีคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนเหมาะสมเป็นเครื่องรางมนุษย์ของนายท่านอยู่กี่คนก็ไม่รู้ ทุกคนจำเป็นต้องแข่งขันฟาดฟันแย่งกันอยู่แล้ว แต่ถ้าแกซึ่งเป็นผู้ติดตามของฉันหลุดปากไปว่าเจอตัวแล้วหนึ่งคน จะต้องมีคนละโมบอยากขอมีส่วนแบ่งหรือไม่ก็อยากชิงตัวเด็กคนนั้นมาขึ้นรางวัลอยู่แล้ว ถูกไหม”

“เราก็แค่ปล่อยให้พวกนั้นฟัดกัน ไม่ว่าเด็กพัดพารัดชานั่นจะเป็นเครื่องรางมนุษย์จริงๆ หรือไม่ ก็จะมีคนพาตัวมาให้เราตรวจสอบเองได้อยู่ดี คุณพ่อบ้านครับ คุณฉลาดมากเลย!”

“ฉันดูฉลาดเพราะแกโง่ต่างหากล่ะ จื้อโหยว เรื่องง่ายๆ แบบนี้ใครก็คิดได้” เหรินฮ่าวถอนใจ “ที่นายท่านหลินเรียกใช้พวกหมอผีจำนวนมากก็เพื่อให้ทุกคนงัดกันเองโดยมีเราเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด ต่อให้เรื่องเลยเถิดไปถึงฆ่าฟันกัน ก็เป็นเพราะความโลภของคนพวกนั้นเอง จะโทษเราไม่ได้ แกเองก็ต้องรอบคอบให้มาก ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาก็อย่าให้ใครโยงมาถึงนายท่านหลินได้ เข้าใจไหม”

“เข้าใจครับ คุณพ่อบ้าน”

“เข้าใจแล้วก็ดี” เหรินฮ่าวแตะปลายนิ้วกับถ้วยชาที่เริ่มเย็นชืดแล้ว “อ้อ เตรียมตั้งรับไว้ให้ดีด้วยล่ะ เป้าเทียนหลางก็ร้ายกาจไม่ต่างจากปู่ของเขาหรอก ฉันเคยได้ยินมาว่าเจ้าคิดเจ้าแค้นเอาเรื่องเชียวละ ใครกล้าเหยียบหน้า เขาก็พร้อมเหยียบคืนเป็นร้อยเท่า!”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น