8

บทสวดที่ ๘

บทสวดที่ ๘

 

ธาตุทองคำ

เทียนหลางขบกรามแน่น นั่นเป็นสิ่งที่เขาคาดเดาไว้บ้างแล้วนับตั้งแต่เห็นหน้าพัดพารัดชาอีกครั้งในรอบ ๗ ปี ถึงจะมีคลื่นพลังจากจี้หยกของหลู่ห่อหุ้มคุ้มกายของเธอไว้ ทว่ารัศมีสีทองอ่อนจางก็ยังลอดผ่านเกราะคุ้มกันของกิเลนฟ้าออกมาให้เห็นอย่างเลือนราง เขารู้จักรัศมีนี้เป็นอย่างดีและรู้ด้วยว่าหากจอมขมังเวทคนอื่นๆ ที่รับงานของหลินเจิ้งหู่ล่วงรู้ถึงความพิเศษของมันเข้า ค่าหัวของพัดพารัดชาจะยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีกหลายเท่า เธอจะถูกไล่ล่าอย่างเอาเป็นเอาตาย และนั่นคือสิ่งที่เขายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้

“ตูยา” ชายหนุ่มส่งเสียงเรียกสิงโตสาวเจ้าของชื่อ แต่เจ้าตัวกลับไม่ยอมปรากฏตัวในทันทีเช่นทุกครา เสียงในประโยคถัดมาของเขาจึงเข้มขึ้น “บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าป้าไม่โผล่หัวออกมาตอนนี้ก็ไม่ต้องมาเห็นหน้าอีกเลยนะ”

“เออ มาแล้ว!”

ร่างในชุดสีชมพูฟูฟ่องปรากฏขึ้นอยู่ด้านข้างรูปสลักสิงโตเพศเมียที่อยู่อีกข้างหนึ่งของบันไดทางขึ้นหอสวดมนต์ สีหน้าของเธอบึ้งตึง ขณะที่กอดตุ๊กตาสิงโตเอาไว้แน่น ดวงตาเรียวเล็กมองไปทางอาร์สลานแล้วรีบเบนไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว

“ไม่กล้าสู้หน้าข้าละสิ” อาร์สลานแสยะยิ้ม “ทิ้งหน้าที่เฝ้าอารามไปวิ่งไล่ตามผู้ชาย ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!”

สิงโตเฒ่ารู้แต่แรกแล้วว่าที่ตูยาหายหน้าหายตาไปทันทีที่เขาโผล่ออกมาเพราะกลัวว่าจะถูกเขาเทศนาจนหูชา รอให้เสร็จธุระทางนี้ก่อนเถอะ พ่อจะเฉ่งให้ยับ!

“กลัวตายละ!”

ตูยาพึมพำไม่เต็มเสียง ว่ากันตามตรงก็กลัวอยู่ละ ฤทธิ์เดชของตาแก่อาร์สลานใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ เขาอายุมากกว่าวัดแห่งนี้เสียอีก ตบะฌานก็แก่กล้าเสียจนเทพอารักษ์ในอารามกันดันฯ พากันกริ่งเกรงไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อต้าน แล้วเขาก็ใจดีต่อทั้งมนุษย์และสัตว์เทพด้วยกันอย่างที่สุด เว้นแต่กับเธอนี่ละ!

หน็อย...ตาแก่เอ๊ย ยิ่งแก่ยิ่งขี้บ่น!

“ชาช่า เดี๋ยวฉันจะให้ตูยาพาไปสักการะพระอวโลกิเตศวรที่วิหารนะ ฉันคุยธุระเสร็จแล้วจะไปรับ” เทียนหลางเอ่ยเสียงเรียบ

พัดพารัดชาหันกลับไปมองตูยาที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวเหมือนผุดขึ้นมาจากอากาศธาตุครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาหาชายหนุ่มด้วยแววตาเต็มไปด้วยคำถาม

“ตอนนี้เนี่ยนะคะ? ไหนคุณบอกว่ารีบไม่ใช่เหรอ แล้วในสถานการณ์ตอนนี้ฉันว่ามันไม่ค่อยปลอดภัยมั้งคะ”

“ก็ยังรีบอยู่ แต่ฉันมีธุระสำคัญต้องจัดการให้เสร็จก่อน คงใช้เวลาอีกพักหนึ่ง เธอรอตรงนี้ก็เบื่อเปล่าๆ หนาวด้วย ไปกับตูยาน่ะดีแล้ว รับรองปลอดภัยแน่”

จะ...ปลอดภัยจริงเหรอ

พัดพารัดชาได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าพูดออกไป เธอลอบมองสีหน้าของตูยาที่เหมือนอยากจะหักคอเธอทิ้งแล้วยิ้มเจื่อน

“ทำไมต้องดูแลนังเด็กนี่ให้เธอด้วย!”

ตูยาพูดสวนกลับมาเสียงแข็ง พัดพารัดชาฟังไม่ออก แต่พอเดาได้ว่าสาวน้อยผมสีชมพูไม่เต็มใจพาเธอไปวิหารที่ว่าอย่างแน่นอน

“เพราะป้าติดหนี้ฉันไง และป้ารู้ดีว่าฉันหมายถึงเรื่องอะไร”

เทียนหลางจ้องหน้านางสิงห์สาวเขม็ง เธอเม้มริมฝีปากแน่นแล้วเดินกระแทกส้นเท้าปึงปังตรงมาหาพัดพารัดชา

“จะมาก็มาสิ ยืนทำหน้าโง่อยู่ได้”

“เอ่อ...ถ้าคุณไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ฉัน...ฉันเดินเล่นรอแถวๆ นี้ก็ได้ค่ะ”

หญิงสาววางหน้าไม่ถูก ถ้าตูยาไม่เต็มใจจะบังคับให้ไปด้วยกันก็ใช่ที่ อีกประการหนึ่งหลังจากผ่านเรื่องวุ่นวายมามากมายขนาดนี้ เธอไม่มีแก่ใจจะไปเดินเตร่ที่ไหนทั้งนั้น แค่อยากหาที่อุ่นๆ นั่งรอก็พอ

“ไปกับตูยาเถอะ พระอวโลกิเตศวรศักดิ์สิทธิ์นะ ไปขอพรท่านสิ ท่านจะได้คุ้มครอง”

อาร์สลานพูดด้วยรอยยิ้ม พัดพารัดชานิ่งอึ้งไป ไม่แน่ใจว่าเขาพูดภาษาอะไรกันแน่ แต่เธอเข้าใจที่เขาพูดทุกคำประหนึ่งว่าเสียงของเขานั้นพุ่งเข้าสู่สมองของเธอโดยตรงไม่จำเป็นต้องแปลความหมายใดๆ เลย 

นี่มัน...แปลกมาก...

“จะยืนรากงอกอีกนานไหม บอกแล้วไง จะมาก็มา!”

ครั้งนี้ตูยาไม่พูดเปล่า ยังใช้สองนิ้วหนีบแขนเสื้อของหญิงสาวเหมือนหนีบขยะขึ้นจากพื้นแล้วลากให้ออกเดินไปด้วยกัน ไม่น่าเชื่อว่าตูยาตัวบางนิดเดียว แต่มีเรี่ยวแรงมหาศาลชนิดดึงร่างของพัดพารัดชาที่สูงกว่าเกือบครึ่งช่วงตัวให้ลอยหวือติดมือไปได้อย่างง่ายดาย

“คุณ...คุณเทียนหลาง...”

พัดพารัดชาหน้าตื่น เธอหันกลับมามองชายหนุ่มหลายครั้งก่อนจะถูกลากห่างออกไปไกลอย่างรวดเร็ว 

“รู้ใช่ไหมว่าที่ตูยายอมลงให้แกทุกอย่างไม่ใช่เพราะเรื่องที่ติดหนี้บุญคุณแก แต่เป็นเพราะชอบแกมาก ไอ้เด็กใจดำ”

อาร์สลานดีดนิ้วเบาๆ รอยแตกร้าวบนขาหน้าของรูปปั้นสิงโตตัวเมียที่อยู่อีกฝั่งของบันไดก็เลือนหายไป กลับมาเนียนเรียบไร้ที่ติตามเดิม

“รู้หรือไม่รู้ก็ไม่ต่างกันหรอก ฉันไม่ได้คิดอะไรกับป้าตูยาเลยสักนิด”

เทียนหลางระบายลมหายใจยาว เมื่อตอนอายุสิบห้าเขาเคยช่วยซ่อมนิ้วก้อยเท้าซ้ายของตูยาที่ถูกเด็กเกเรตีจนหักกระเด็นไว้เพียงหนเดียว แถมยังติดด้วยกาวประเภทซูเปอร์กลูไม่ได้คงทนถาวรอีกต่างหาก ตูยากลับมองว่าเป็นบุญคุณใหญ่หลวงที่ต้องขอตามชดใช้ให้ไปตลอดชีวิต

‘ผู้หญิงมีนิ้วเท้าไม่ครบสิบนิ้ว เป็นเรื่องใหญ่มากนะยะ ทาเล็บไม่สวยกันพอดี...’

และเพราะไอ้เรื่องใหญ่แสนไร้สาระนี่ละ เขาถึงได้ถูกตูยาตามติดมานานเป็นสิบปี แรกๆ ก็สะดวกดีอยู่หรอกที่มีสัตว์เทพทรงพลังคอยติดตามรับใช้ แต่ด้วยนิสัยขี้หวงอย่างร้ายกาจของตูยา เธอจึงก่อเรื่องให้เขาปวดกบาลเล่นอยู่เนืองๆ โชคยังดีที่สิงโตหิมะประจำอารามถูกตรึงกำกับไว้ด้วยมนตร์จึงไม่อาจข้ามออกนอกเขตเมืองหลวงได้ ไม่อย่างนั้นแม่คุณคงตามไปสร้างเรื่องวุ่นวายทุกที่เป็นแน่

“อ้อ แต่คิดอะไรๆ กับนังหนูคนสวยนั่นว่าอย่างนั้นเถอะ อ๊ะๆ อย่าปฏิเสธเชียว ตาทิพย์ของข้าเห็นหมดทุกอย่างนั่นละ”

อาร์สลานลอยหน้าลอยตาล้อเลียน เป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปีที่เขาเห็นไอ้เด็กช่างเถียงอย่างเทียนหลางอ้ำอึ้งอยู่ราวนาทีเศษ นานๆ จะได้เห็นหน้าตาโง่ๆ ของมันเสียที สะใจเป็นบ้า!

“มัวแต่พูดไร้สาระไม่เป็นเรื่องอยู่ได้ แล้วไอ้ตาทิพย์ของปู่ที่ว่าเห็นหมดทุกอย่างเนี่ย เชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่าว่าที่เห็นคือธาตุทองคำจริงๆ” เทียนหลางกระแอมแก้เก้อ 

“ถ้าแกไม่เชื่อข้าแล้วจะถ่อมาถามความเห็นข้าถึงที่นี่เพื่ออะไรกันเล่า สู้พานังหนูนั่นกลับไปพบอัลตันเลยไม่ง่ายกว่าหรือ” อาร์สลานยิ้มกว้างอวดเขี้ยวสิงโตยาวโง้งอย่างอารมณ์ดี “แกรู้ดีอยู่แก่ใจว่าแกเห็นอะไร แต่แกแค่อยากให้ข้ายืนยันอีกปากหรือไม่ก็อยากให้ข้าพูดว่าแกตาฝาดไปเองใช่ไหมเล่า แหม ต้องขอโทษที่ทำให้ผิดหวังเสียแล้วไอ้หนู เรื่องธาตุทองคำน่ะจริงเสียยิ่งกว่าจริง”

“แน่ใจจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าปู่แก่จนตาฟางหรอกนะ” ลึกๆ แล้วชายหนุ่มยังหวังจะได้ยินคำว่า ‘ไม่’ แต่ดูเหมือนจะเป็นความหวังที่ริบหรี่เต็มทน

“อยากหลอกตัวเองว่าไม่จริงก็ตามใจ” อาร์สลานหัวเราะ “ลองไปถามปู่ของแกดูก็ได้ แต่เชื่อเถอะว่าคำตอบที่ได้ก็คงไม่ต่างกันนักหรอก”

“ปู่ของฉัน? จะบอกว่าปู่ก็รู้เรื่องนี้ด้วยงั้นเหรอ”

“แหงแซะ ไม่อย่างนั้นปู่ของแกจะลงทุนสละพลังวิญญาณตั้งหนึ่งในสี่ปิดผนึกธาตุทองคำของนังหนูคนสวยเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นทำไมกันเล่า แต่ดูท่าผนึกคงเริ่มเสื่อมหรือไม่ก็คงต้านทานไม่อยู่แล้วกระมัง”

“ปู่สละพลังวิญญาณเพื่อปิดผนึก?” เทียนหลางนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ “ทำไมฉันไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลย”

“ช็อนเอ๋ยช็อน เพราะแกมันเป็นเด็กอกตัญญูไง” อาร์สลานแขวะเข้าให้ “เคยสังเกตบ้างหรือเปล่าว่าพักหลังมานี้สุขภาพของปู่แกทรุดโทรมลงมาก สาเหตุส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเสียพลังส่วนหนึ่งไปในการปิดผนึกทำให้สมดุลของธาตุต่างๆ ในร่างกายผิดเพี้ยนไป อีกส่วนก็เพราะมีผู้สืบทอดเฮงซวยอย่างแก วันๆ เอาแต่สร้างเรื่องให้ปวดกบาล พอเครียดมากก็ทรุดมาก”

“ไม่ต้องมาหลอกด่าฉัน!” ชายหนุ่มคำราม “ฉันไม่มีเวลาว่างมาฟังสิงโตหินแก่ๆ อย่างแกบ่นหรอกนะ ตอบมาก่อนว่าปู่ทำพิธีปิดผนึกตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้ว...ทำไปเพื่ออะไร”

“ทำไปเพื่ออะไร” สิงโตหินแค่นยิ้ม คำก็แก่สองคำก็แก่ หน็อย...ไอ้เด็กเวร ไม่แก่บ้างให้มันรู้ไป! “ก็จุดประสงค์เดียวกับที่แกมาหาฉันในวันนี้นี่ละ เพื่อปกป้องเด็กคนนั้นอย่างไรเล่าเจ้าโง่ แกเองก็ตั้งใจจะมาขอให้ฉันช่วยหาทางปิดผนึกไม่ให้ใครเห็นธาตุทองคำไม่ใช่หรือไร และคำตอบของฉันคือ ฉันช่วยอะไรแกไม่ได้”

“ช่วยไม่ได้หรือไม่ช่วยกันแน่”

เทียนหลางหรี่ตามองใบหน้าอ่อนเยาว์ตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ในสมองเริ่มคิดแผนการที่จะทุบรูปสลักสิงโตหินทิ้งทั้งตัวผู้ตัวเมียแล้ว ชอบกวนประสาทเขาดีนัก!

“เมื่อสิบปีก่อนตอนที่ปู่ของแกมาขอให้ช่วย ฉันก็ตอบไปแบบเดียวกันนี่ละว่าช่วยไม่ได้”

อาร์สลานอ่านสายตาของไอ้เด็กแสบออก จึงรีบถอยหลังกลับไปยืนบังรูปสลักที่สถิตวิญญาณของตนเองไว้ทันที...เทียนหลางร้ายกาจแค่ไหน เขาเจอมากับตัวแล้วทั้งนั้น เผลอเป็นไม่ได้ มันชอบหาทางรังแกเขาตลอดเวลา!

“แล้วปู่ทำพิธีนี้ได้ยังไง ต่อให้ปู่เป็นชาแมนที่มีพลังวิญญาณแก่กล้าที่สุด แต่การปิดผนึกธาตุทองคำในร่างคนอื่นมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แล้วยังเสียพลังไปแค่หนึ่งในสี่เนี่ยนะ ล้อกันเล่นหรือเปล่า”

แต่โบราณกาลมา มีความเชื่อว่ากายของมนุษย์ประกอบขึ้นจากธาตุทั้ง ๕ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ ส่วนธาตุทองคำนั้นเป็นธาตุวิเศษจากสวรรค์ มนุษย์น้อยคนนักที่จะได้รับเลือกให้ถือกำเนิดมาพร้อมความพิเศษนี้

ความพิเศษที่เป็นทั้งพรและคำสาปในเวลาเดียวกัน...

เหมือนดังที่ซารันเกเรล ชาแมนหญิงผู้เป็นบรรพบุรุษของเขาได้ถือกำเนิดและส่งต่อธาตุนี้แก่ลูกหลาน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ส่งต่อความซวยมาให้เขาที่เป็นผู้สืบทอดรุ่นล่าสุดนี่ละ แม่งเอ๊ย!

“นี่พูดในฐานะของคนที่มีธาตุทองคำในร่างเหมือนกันสินะ”

อาร์สลานถอนใจ สำหรับชาแมนแล้ว การถือกำเนิดมาพร้อมธาตุทองคำนั้นคือพรจากฟ้าเลยทีเดียว การมีธาตุชนิดนี้อยู่ในร่างกายก็เหมือนมีสื่อชักนำพลังเหนือมนุษย์อยู่ในกายดีๆ นี่เอง นอกจากจะมีสัมผัสที่หกในระดับยอดเยี่ยมแล้ว ยังมีพลังในการติดต่อสื่อสารกับสิ่งเหนือธรรมชาติได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามฝึกฝนใดๆ เสียด้วยซ้ำไป แค่ควบคุมมันให้ได้ก็เพียงพอ ซึ่งอย่างหลังนี่ละที่ยากที่สุด หลายคนรับมือไม่ได้ ไม่เสียสติก็ฆ่าตัวตายมานักต่อนักแล้ว

เทียนหลางเองก็เกือบปลิดชีพตนเองมาแล้วเช่นกัน...

เป็นชาแมนที่ได้รับสืบทอดธาตุทองคำเพื่อเป็นสื่อกลางติดต่อกับเทพเจ้าว่ายากแล้ว แต่เป็นชาแมนที่สืบเชื้อสายมาจากกิเลนฟ้านั้นยากยิ่งกว่า โดยเฉพาะหากเป็นคนเดียวที่มีดวงตากิเลนในรอบ ๖๖๖ ปี ชีวิตก็เหมือนตกอยู่ในขุมนรกดีๆ นี่เอง เด็กน้อยที่เกิดมาพร้อมสิ่งที่ทรงพลังที่สุดทั้งสองอย่าง ย่อมต้องถูกบีบบังคับให้แบกรับชะตากรรมที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่มีทางหลีกหนีได้เลย

ช่างน่าสังเวชยิ่งนัก...

“จะเหมือนกันได้ยังไง เด็กนั่นไม่มีสัมผัสที่หก ไม่ได้สืบทอดวิถีของชาแมน การมีธาตุทองคำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับแขวนระเบิดเวลาไว้ที่ตัวเลยสักนิด”

เทียนหลางขบกรามแน่น ยิ่งเธอถูกหมายหัวเป็นเครื่องรางมนุษย์แบบนี้ หากพวกจอมขมังเวทรู้เข้ามีหวังได้มารุมช่วงชิงตัวเธอกันยกใหญ่แน่ การมีธาตุทองคำในร่างกายก็เท่ากับว่าเธอคือภาชนะชั้นเลิศที่จะรับเคราะห์กรรมแทนหลินเจิ้งหู่ได้ทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเรื่องดวงสมพงศ์ใดๆ ด้วยซ้ำ แค่มีเธอคนเดียวก็พลิกฟื้นชีวิตที่กำลังจะดับสูญให้กลับมามีชีวิตชีวาได้ในพริบตา แต่นั่น...หมายถึงเธอต้องสละชีวิตของตนเอง และเขาไม่มีวันยอมเป็นอันขาด!

“เพราะแบบนี้อัลตันถึงได้ยอมสละพลังวิญญาณที่สำคัญสำหรับชาแมนเพื่อช่วยนังหนูคนสวยให้พ้นเคราะห์อย่างไรเล่า แล้วก็หวังว่าแกจะรับช่วงดูแลต่อเป็นอย่างดีไปตลอดชีวิต แต่แกดันดัดจริตไปถอนหมั้นเสียนี่ อัลตันยังกลุ้มใจแทบตายว่าจะทำยังไงต่อไป แต่จากท่าทางแกตอนนี้แล้ว อัลตันคงไม่ต้องห่วงแล้วกระมังว่าจะมีคนคอยดูแลนังหนูนั่นไหม”

“นี่พวกสัตว์เทพรู้ชีวิตส่วนตัวของฉันกันทั้งอูลานบาตอร์เลยหรือไงวะ”

ตอนนี้เทียนหลางเริ่มคิดหาวิธีสะกดวิญญาณสัตว์เทพปากมากทั้งอูลานบาตอร์แล้ว เริ่มจากไอ้สิงโตหิมะนี่ก่อนเลย ถอนขน ถลกหนัง เลาะฟันให้หมดปาก!

“โอ๊ย รู้กันทั่วทั้งมองโกเลียนั่นละ ท่านพี่หลู่เล่าให้ทุกคนฟังกันสนุกเชียว”

อาร์สลานดึงสร้อยทองคำที่ด้านปลายห้อยหยกสีเขียวจักรพรรดิทรงกลมที่มีรูตรงกลางคล้ายโดนัตออกมา เส้นผ่านศูนย์กลางของมันกว้างราว ๕ เซนติเมตรและใสกระจ่างราวกับตาตั๊กแตน เทียนหลางรู้จักหยกรูปทรงนี้เป็นอย่างดี มันเรียกว่าหยกบีดิสก์ ซึ่งเป็นรูปทรงเก่าแก่ที่สุดรูปทรงหนึ่ง เชื่อกันว่าสามารถติดต่อกับสวรรค์เบื้องบนหรือบรรพบุรุษได้ด้วยกันพูดผ่านรูเล็กๆ ตรงกลาง จะเรียกว่าเป็นเครื่องมือสื่อสารกับเทพเจ้ารุ่นดึกดำบรรพ์ก็ได้

และแน่นอนว่าไอ้สิงโตฮิปฮอปกับไอ้กิเลนเฒ่าใช้เป็นโทรศัพท์คุยนินทาเขาข้ามประเทศ!

“ตอนนี้หลู่ก็ฟังอยู่ด้วยใช่ไหม” เทียนหลางคำรามฮึ่มแฮ่ ดวงตาจ้องไปยังหยกบีดิสก์เขม็ง

“ฟังอยู่ตั้งแต่ต้นนั่นละ” เสียงพูดกลั้วหัวเราะของหลู่ดังออกมาจากหยกที่อกของอาร์สลาน “อย่าอารมณ์เสียน่า ข้าอุตส่าห์เป็นห่วงลูกหลานเชียวนะโว้ย ถึงได้มาคอยตามติดสถานการณ์ขนาดนี้”

แค่ฟังเสียง ชายหนุ่มก็นึกหน้าตากวนโอ๊ยของกิเลนฟ้าออก 

“แกเนี่ยนะเป็นห่วงคนอื่นนอกจากเมียแกเป็นด้วย” เทียนหลางกลอกตา “ถ้ามาฟังแค่เอาสนุกก็ไสหัวไปเลย ฉันไม่มีเวลามาเถียงกับแก”

“ไม่ไปโว้ย เรื่องสนุกอย่างนี้จะพลาดได้ยังไง” หลู่หัวเราะร่วน “เอาน่า เดี๋ยวพอแกเดินทางไปกุดไซแล้ว ข้าก็คงไม่ได้คุยกับแกอีกพักใหญ่เชียวละ”

“กุดไซ?” เทียนหลางเลิกคิ้วพลางหันไปมองหน้าของอาร์สลานคล้ายขอคำอธิบาย 

“มนุษย์ยุคปัจจุบันเรียกที่นั่นว่าอุทยานแห่งชาติกุดไซ แต่เดิมทีกึ่งกลางอุทยานที่ว่านั่นเคยมีแท่นบูชากวางเผือกอยู่ เมื่อสิบปีก่อนปู่ของแกไปทำพิธีปิดผนึกที่นั่น”

“นี่หมายความว่า...ปู่อัญเชิญวิญญาณกวางเผือกมาช่วยปิดผนึกเหรอ”

คนมองโกเลียเชื่อว่าตนเองสืบเชื้อสายมาจากหมาป่าสีเทาอมน้ำเงินกับนางกวางเผือกซึ่งถือกำเนิดจากความประสงค์ของเทพแห่งท้องฟ้า หมาป่าคือตัวแทนของความแข็งแกร่งของเพศชายในขณะที่กวางตัวเมียคือความอ่อนโยนและนุ่มนวลของเพศหญิง เป็นการจับคู่ที่ผิดหลักวิทยาศาสตร์และแหกทุกกฎเกณฑ์ในโลกอย่างน่าขัน แต่ทุกตำนานในโลกใบนี้ก็พิลึกพิลั่นเช่นนี้อยู่แล้วมิใช่หรือ

ใครจะรู้ดีไปกว่าเขากับปู่เล่า ว่า ‘นางกวางเผือก’ เป็นเทพสตรีจากบรรพกาลที่มีอยู่จริง!

“ใช่ แล้วครั้งนี้ก็เป็นแกที่ต้องหาทางอัญเชิญเทพีโกอา มาราลมาให้ได้ และบอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องง่าย บางทีแกอาจจะต้องสูญเสียพลังวิญญาณมากกว่าปู่ของแกก็ได้”

“ต่อให้เสียพลังวิญญาณทั้งหมดไปฉันก็จะทำ” ดวงตาของเทียนหลางฉายแววมุ่งมั่น “ขอแค่ให้ชาช่าปลอดภัยก็พอ”

 

พัดพารัดชาเดินฝ่าลมหนาวตรงไปยังวิหารขนาดใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางลานกว้างอย่างเชื่องช้า แม้แสงแดดยามเช้าจะเริ่มแรงขึ้นแล้ว แต่สายลมเย็นเฉียบที่พัดมาปะทะแก้มบังคับให้เธอต้องดึงผ้าพันคอแคชเมียร์สีครีมขึ้นมาปิดใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ยังติดอยู่กับเนื้อผ้าพาให้หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมาเสียเฉยๆ เธอเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าตอนที่ยืนอยู่หน้าอาคารสวดมนต์เมื่อครู่ เทียนหลางยืนบังลมให้เธออยู่ตลอด เธอจึงไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด ทว่าพอเดินพ้นจากเงาของเขามาอุณหภูมิก็พลันลดฮวบลงทันที ในใจก็พลอยรู้สึกวูบโหวงไปด้วยอย่างน่าประหลาด

เทียนหลาง...

ก่อนหน้านี้หญิงสาวอึดอัดที่ชายหนุ่มคอยตามประกบติด แล้วออกคำสั่งให้เธอทำตามจนหัวหมุนไปหมด แต่เมื่อเขาไม่คอยยืนจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ข้างๆ เธอกลับรู้สึกเคว้งคว้างประหนึ่งถูกทิ้งให้อยู่กลางทุ่งอันเวิ้งว้างเพียงลำพัง ทั้งสับสนและหวาดกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองหาเงาร่างของเขาเหมือนเด็กน้อยหลงทาง

เขาเป็นที่พึ่งเดียวที่เธอมีในเวลานี้จริงๆ

เธอจินตนาการไม่ออกเลยว่าหากเทียนหลางไม่ช่วยเธอเอาไว้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ป่านนี้เธอกับแม่อาจลงเอยด้วยการถูกพาไปฆ่าปาดคอที่ไหนสักแห่ง หรือไม่ก็ถูกจับมัดใส่เรือส่งไปเซี่ยงไฮ้อย่างที่เขาว่าไว้ก็ได้ แต่พอมายืนอยู่ที่นี่ ณ เวลานี้ เธอก็ไม่รู้ว่าอนาคตเบื้องหน้าจะเป็นอย่างไร มีเรื่องที่น่าตกใจกว่านี้รออยู่หรือเปล่า ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี

“เดินให้มันเร็วๆ หน่อยสิยะ! ชักช้าร่ำไร น่ารำคาญ!”

เสียงตวาดของตูยาทำเอาพัดพารัดชาสะดุ้งโหยง ต้องรีบเร่งฝีเท้าให้ทันคนที่ยืนเท้าเอวทำหน้าบึ้งตึงอยู่ตรงหน้า ตูยาสวมชุดไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศเอาเสียเลย แต่ไม่มีทีท่าสะทกสะท้านต่ออากาศหนาวระดับติดลบเช่นนี้เลยสักนิด มิหนำซ้ำยังเดินสับขาสวยงามเหมือนกำลังเดินอยู่บนรันเวย์อย่างไรอย่างนั้น

“ถ้าคุณตูยาไม่สะดวก เรา...เราเดินกลับไปรอคุณเทียนหลางใกล้ๆ กับหอสวดมนต์เมื่อกี้ก็ได้นะคะ”

พัดพารัดชาไม่ชอบท่าทางกระฟัดกระเฟียดของสาวมองโกลเอาเสียเลย แต่ยังพยายามไม่โต้ตอบและรักษาท่าทางสุภาพเป็นมิตรไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แค่ผ่านมาวันเดียวเธอก็เจอเรื่องมากมายเหลือรับเกินพอแล้ว ไม่อยากทะเลาะกับคนอื่นให้ปวดหัวอีก

“อย่าโง่ไปหน่อยเลย ดูไม่ออกหรือไง ที่ช็อนไล่เธอไปที่วิหารเพราะไม่อยากให้ได้ยินเรื่องที่เขาคุยกับอาร์สลาน ขืนฉันพาเธอเดินกลับไปก็มีแต่โดนบ่นหูชาเท่านั้นเอง”

ตูยาทำหน้าเมื่อย ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเทียนหลางถึงได้เห็นความสำคัญของแม่เด็กไม่รู้ความคนนี้นัก ถ้าไม่นับเรื่องที่สวยจนน่าหมั่นไส้กับหุ่นดี ขายาวแล้วละก็ เรื่องหน้าเด็กตลอดกาลเธอชนะขาดเห็นๆ สิงโตหินไม่แก่ไม่ตายย่ะ!

“อ้อ...ถ้าอย่างนั้นเราไปที่วิหารก็ได้ค่ะ”

พัดพารัดชายิ้มเจื่อน เธอเพิ่งรู้เจตนาแท้จริงที่ชายหนุ่มบอกให้ตูยาพาเธอไปสักการะพระโพธิสัตว์เดี๋ยวนั้นเอง หากไม่เกิดเรื่องวุ่นวายจนสมองไม่มีช่องว่างให้คิดเรื่องอื่นใด เธอก็คงพออ่านสถานการณ์ออกมากกว่านี้กระมัง ไม่ต้องรอให้เขาออกปากไล่อ้อมๆ เช่นนี้หรอก

“นี่เธอไม่โกรธช็อนเหรอ เขาจงใจไล่เธอไปที่อื่นเลยนะ”

ตูยาเลิกคิ้วนิดๆ อย่างประหลาดใจ ตามธรรมดาแล้วมนุษย์ผู้หญิงเรื่องมากกันจะตายไป นิดก็โกรธ หน่อยก็งอน หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นกระฟัดกระเฟียดรอให้ผู้ชายมาง้องอน น่ารำคาญกว่าสิงโตหินอย่างเธอไม่รู้กี่ร้อยเท่า

“จะโกรธทำไมล่ะคะ เรื่องส่วนตัวของเขา เขาไม่อยากให้คนนอกรับรู้ก็เป็นเรื่องธรรมดา”

หญิงสาวระบายลมหายใจยาว ตอนนี้เธออ่อนเพลียเกินกว่าจะมาใส่ใจเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยไม่เป็นเรื่อง เธอควรคิดว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์เหลือเชื่อที่เกิดขึ้นกับชีวิตหมาดๆ นี่มากกว่า

“รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนนอกก็ดีแล้ว ท่องไว้ให้ขึ้นใจด้วยล่ะ”

สิงโตสาวยกนิ้วชี้หน้าพัดพารัดชาที่ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มแกนๆ ต่อให้ตูยาไม่ย้ำ เธอก็ไม่เคยคิดอยากเปลี่ยนสถานะของตนเองไปเป็นคนวงในใกล้ชิดของเทียนหลางอยู่แล้ว จริงอยู่ที่เขาเป็นที่ยึดเหนี่ยวหนึ่งเดียวที่เธอมีในยามนี้ แต่เธอก็พอมองออกรางๆ ว่าเขาเป็นทั้งฮีโรและตัวปัญหาในเวลาเดียวกัน 

ที่เห็นชัดกระจะตาตอนนี้ก็ปัญหาเรื่องผู้หญิงนี่ละ!

เธอเชื่อว่านอกจากตูยาแล้วน่าจะมีผู้หญิงอื่นที่หลงเสน่ห์เขาอีกเป็นพรวน เธอรอดตายจากกระสุนมาได้และจะไม่ยอมตายเพราะบรรดาผู้หญิงของพ่อคนหน้าสวยตามมาราวีแน่ เธอยังรักชีวิตและไม่มีโครงการจะไปพบพระเจ้าบนสวรรค์เร็วๆ นี้ด้วย!

“ถึงแล้ว ถ้าเธออยากเข้าไปสักการะพระโพธิสัตว์ก็เข้าไปเลย ฉันนึกได้ว่ามีธุระต้องไปทำหน่อย เดี๋ยวจะรีบกลับมา เธอเสร็จแล้วก็ออกมารอฉันตรงนี้ก็แล้วกัน”

ตูยาหยุดยืนก่อนถึงวิหารราวห้าสิบเมตร ดวงตาหลุกหลิกอย่างหวาดระแวงขณะกวาดมองไปรอบๆ พระโพธิสัตว์ทรงเมตตาต่อทุกสรรพชีวิตเสมอ เว้นก็แต่สิงโตเกเรเช่นเธอ หากเดินเข้าไปในวิหารด้วยจะต้องถูกท่านเทศนาชุดใหญ่โทษฐานเอาแต่วิ่งไล่ตามผู้ชาย ละทิ้งหน้าที่เฝ้าหอสวดมนต์เป็นแน่ ดีไม่ดีจะถูกกักบริเวณเอาด้วย 

เรื่องอะไรจะยอม!

“คุณไปทำธุระได้ตามสบายเลยค่ะ ฉันดูแลตัวเองได้”

หญิงสาวคิดว่าตนเองถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังสักครู่สั้นๆ น่าจะอึดอัดน้อยกว่าอยู่กับคนที่ไม่เต็มใจดูแลเธอเป็นไหนๆ ถึงเธอจะไม่รู้จักอะไรในมองโกเลียสักอย่าง แต่แค่ไหว้พระเดี๋ยวเดียวระหว่างรอเทียนหลางคุยธุระคงไม่จำเป็นต้องมีคนคุมประพฤติกระมัง เธอไม่น่าจะดวงซวยมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้อีกแล้วละน่า

“ห้ามปากโป้งบอกช็อนล่ะ เข้าใจไหม”

ตูยาหรี่ตา พัดพารัดชาถอนใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย ถึงไม่ขู่กันกลายๆ แบบนี้เธอก็ไม่คิดปริปากพูดอะไรกับเทียนหลางอยู่แล้ว เธอไม่อยากมีปัญหากับคนของเขานักหรอก

“เข้าใจค่ะ” เธอหันไปมองอาคารขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าครู่เดียว พอหันกลับมา ตูยาก็อันตรธานไปอย่างรวดเร็วราวถูกลมหนาวหอบไปในพริบตาอย่างไรอย่างนั้น “อ้าว...สงสัยจะรีบแฮะ”

ถึงจะรู้สึกตงิดๆ ในใจอย่างประหลาด แต่หญิงสาวก็ไม่มีแก่ใจจะคิดถึงเรื่องยุ่งยากวุ่นวายอะไรทั้งนั้น เธอเลิกสนใจตูยาแล้วเร่งฝีเท้าตรงไปยังวิหารให้เร็วขึ้นอีกนิดหนึ่ง ตัวอาคารสีขาวทรงเหลี่ยมนั้นดูค่อนข้างทึบ หน้าต่างและทางเข้ากรุกระจกและปิดไว้เกือบทั้งหมด ข้างในน่าจะอุ่นพอให้หลบลมหนาวได้เป็นอย่างดี ทว่าเพียงก้าวขาผ่านประตูทางเข้ามานิดเดียวก็พบกับห้องจำหน่ายตั๋วเข้าชมภายในวิหาร เธอจึงนึกได้เดี๋ยวนั้นเองว่าตนเองไม่มีเงินสกุลทุกริกของมองโกเลียเลย เงินดอลลาร์ก็ไม่มี เมื่อหยิบกระเป๋าเงินจากย่ามขึ้นเปิดดูก็มีเงินไทยติดตัวอยู่เพียงสองหรือสามพันบาทเท่านั้น

เอายังไงดี...จะเดินกลับไปหาเทียนหลางตอนนี้ เขาก็น่าจะยังคุยธุระไม่เสร็จเสียด้วย

“ตั๋วครับ”

มือสีแทนยื่นตั๋วเข้าชมมาตรงหน้าพัดพารัดชา เธอเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือทันควันก่อนจะพบว่าเขามีร่างกายสูงใหญ่ชนิดบดบังตัวเธอได้อย่างมิดเม้น ผิวของเขาคล้ำกว่าชาวมองโกลที่เธอพบเห็นอยู่แถวนี้หลายเฉด แถมยังไว้ผมยาวสยายรุ่ยร่ายเต็มหลังและไหล่ ด้านหน้ามีเปียเส้นเล็กๆ ๓ เส้นถักร่วมกับลูกปัดเงินและลูกปัดกระดูกสัตว์เล็กๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโจรสลัดที่เพิ่งลงจากเรือมาหาความสำราญหลังจบการปล้นครั้งใหญ่ เธอไม่เคยพบโจรสลัดตัวเป็นๆ แต่เชื่อว่าคงไม่มีโจรสลัดคนไหนใส่เสื้อพาร์กาสีแดงบุขนสัตว์ได้เท่ขนาดนี้แน่

บ้าจริง...คิดอะไรของเรากันเนี่ย เราเคยเจอโจรสลัดตัวจริงเสียที่ไหนกัน

“เอ่อ...ตั๋วเหรอคะ”

พัดพารัดชาพยายามดึงสติกลับมาจากความคิดเหลวไหลเลื่อนเปื้อนที่แวบผ่านเข้ามาในสมองแล้วมองหน้าเขาชัดๆ รอยยิ้มกว้างทำให้เขาดูอบอุ่น ทว่าส่งไปไม่ถึงดวงตาสีเทาคมกริบราวใบมีดทำให้เขาดูเหมือนหมาป่าที่กำลังจ้องหาจังหวะขย้ำหนูน้อยหมวกแดงในนิทานไม่มีผิด

“ผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมสีชมพูที่อยู่ด้านนอกฝากผมมาให้คุณ” ภาษาอังกฤษของเขาค่อนข้างฟังยาก แต่ไม่ถึงกับฟังไม่รู้เรื่อง “เห็นว่ารีบไปธุระเลยลืมเอาตั๋วให้คุณน่ะครับ”

“อ้อ...ขอบคุณค่ะ”

แววตาหวาดระแวงของหญิงสาวคลายลงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินเขาเอ่ยถึงตูยา แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าตูยาซื้อตั๋วให้เธอตั้งแต่ตอนไหน ในเมื่อพวกเธอมาถึงอารามกันดันพร้อมกัน และห้องจำหน่ายตั๋วก็อยู่ด้านใน ซึ่งตูยาไม่แม้แต่จะก้าวเข้ามาในนี้ด้วยซ้ำ...หรือว่าจะมีจุดขายตั๋วที่บริเวณอื่นในอารามอีก?

“เพิ่งเคยมามองโกเลียเป็นครั้งแรกเหรอครับ”

พัดพารัดชาส่งยิ้มตามมารยาทให้เขาแทนคำตอบ ในสถานการณ์ตอนนี้ เธอไม่ควรไว้ใจใครนอกเหนือจากเทียนหลางและไม่ควรมีปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าโดยไม่มีเขาอยู่ด้วย เธอจึงตัดบทด้วยการขอตัวเดินเข้าไปด้านในอย่างสุภาพ เธอนึกว่าจะมีนักท่องเที่ยวหรือพระลามะเดินอยู่ในวิหารให้พออุ่นใจบ้าง แต่กลับมีเพียงเธอกับเขาสองคนเท่านั้น

“อา...ผู้ปกครองคงไม่ให้คุณคุยกับคนแปลกหน้าสินะ” ชายหนุ่มเดินผิวปากตามหญิงสาวมาติดๆ ในน้ำเสียงของเขาแฝงแววล้อเลียนแกมเยาะหยันอยู่นิดๆ “ผมชื่ออเล็กไซ มาจากยาคุตสค์ ไซบีเรีย ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

“ไซบีเรีย?” พัดพารัดชามองมือที่ยื่นมาทักทายอย่างระแวดระวัง นั่นอธิบายได้ว่าทำไมสำเนียงของเขาถึงฟังยากนัก และหากเขามาจากไซบีเรียจริงย่อมหมายความว่าเขาพูดรัสเซียได้ ดังนั้นถ้าเธอแนะนำตัวด้วยชื่อ อเล็กซานดร้า อีวานอฟนา โอบลอนสกายา ที่เทียนหลางอุปโลกน์ขึ้นมาให้ เขาต้องพ่นภาษารัสเซียใส่เธอจนความแตกแน่ๆ “สวัสดีค่ะ ฉัน...ชาช่า”

เธอเลือกแนะนำตัวด้วยชื่อที่แทบไม่มีคนรู้ ไม่บ่งบอกสัญชาติและพูดโต้ตอบด้วยภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาสากลที่คนใช้กันทั้งโลก 

“สวัสดีครับคุณชาช่า ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้ว ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้าแล้วใช่ไหม”

อเล็กไซบีบมือเล็กๆ ของหญิงสาวเบาๆ อย่างยั่วเย้าทำเอาเธอชักมือหนีแทบไม่ทัน ท่าทางหวาดระแวงของเธอทำเอาเขาเกือบหลุดขำออกมาแล้ว ดูเหมือนแม่สาวน้อยของเทียนหลางจะเป็นเด็กฉลาดใช้ได้ แต่ยังเยาว์วัยอยู่มาก และน่าจะอ่อนประสบการณ์ชีวิตจึงไม่ค่อยเฉลียวนัก

รู้แค่ชื่อไม่ถือว่าเป็นคนรู้จักหรอกย่ะ ชื่อปลอมหรือเปล่าก็ไม่รู้!

พัดพารัดชาได้แต่คิดในใจ เธอเลือกที่จะยิ้มตอบตามมารยาทอีกครั้ง ยิ่งพูดน้อยเท่าใดก็ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น และเพื่อเป็นการตัดปัญหา เธอจึงเสทำเป็นยกมือขึ้นพนมขณะเงยหน้าขึ้นมองรูปหล่อสีทองอร่ามของพระโพธิสัตว์ขนาดมหึมาที่ตั้งอยู่กึ่งกลางวิหาร ยอดพระเศียรของพระองค์เกือบจดเพดานของอาคารสูงขนาดตึกสามชั้น พระพักตร์แข็งกร้าวอยู่บ้าง ทว่าพระเนตรเปี่ยมด้วยพระเมตตาอย่างยิ่งยวด

“พระอวโลกิเตศวรองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์นะครับ ผมออกเสียงชื่อมองโกลของท่านไม่ได้ แต่รู้ว่าคนทิเบตเรียกท่านว่าเจนเรอซิก” อเล็กไซพูดด้วยรอยยิ้มโดยไม่สนว่าคนที่กำลังหลับตาพนมมืออยู่จะฟังหรือไม่ “เดิมทีพระอวโลกิเตศวรสูง ๓๒ เมตร หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์เพื่อเฉลิมฉลองที่มองโกเลียเป็นเอกราชจากจีน แต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกองทัพของรัสเซียซึ่งตอนนั้นยังเรียกว่าเป็นโซเวียตอยู่ชำแหละไปใช้สร้างอาวุธยุทโธปกรณ์เมื่อครั้งที่เลนินกราดถูกเยอรมันปิดล้อมไว้ ส่วนองค์นี้เพิ่งจะหลอมขึ้นมาใหม่เมื่อต้นยุค ๙๐ นี่เอง เตี้ยลงนิดหน่อย เหลือแค่ ๒๖.๕ เมตร แต่เรื่องความขลังไม่น่าต้องห่วงอะไร ด้านในบรรจุด้วยคัมภีร์มนตราเป็นพัน แถมองค์ดาไลลามะยังมาเปิดงานฉลองรูปเคารพด้วยตนเองอีก คุณโชคดีแล้วที่ได้มาสักการะท่าน”

“คุณเป็นไกด์เหรอคะ”

ข้อมูลแน่นปึ้กที่เพิ่งได้ยินเรียกหญิงสาวให้หันไปมองชายหนุ่มแปลกหน้าอย่างลืมตัว ก่อนจะนึกได้ว่าไม่ควรพูดโต้ตอบใดๆ กับเขาอีก

“ถ้าเป็นไกด์นำเที่ยวคงไม่ใช่ แต่ก็พอเรียกว่าเป็น ‘คนนำทาง’ ได้อยู่” เขาพูดยิ้มๆ งานถนัดส่วนใหญ่ก็เป็นการนำทาง ‘วิญญาณ’ เสียมากกว่า “ผมพาคุณเดินเที่ยวรอบๆ ได้นะครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจ”

“ฉัน...ไม่ได้รังเกียจนะคะ แต่ฉันรอคนอยู่ คงไม่สะดวกเท่าไหร่”

ท่าทีเป็นมิตรมากกว่าตอนแรกพบทำให้หญิงสาวคลายใจลงบ้าง แต่ก็ยังขีดเส้นคั่นพร้อมแปะป้ายไว้ว่า ‘ห้ามเข้ามาใกล้’ ไว้บนหน้าอย่างชัดเจน แต่มีหรือที่คนอย่างอเล็กไซจะสน

“ต้องไม่ใช่แฟนแน่ๆ คงไม่มีผู้ชายหน้าไหนนัดคนสวยๆ อย่างคุณในสถานที่ไร้ความโรแมนติกเร้าใจแบบนี้หรอก จริงไหมครับ”

ชายหนุ่มหัวเราะพลางกวาดตามองดวงหน้าหวานปานน้ำผึ้งของคนตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ปกติเขาพูดร้อยคำก็โกหกเสียเก้าสิบเก้าคำแล้ว แต่ครั้งนี้เขาพูดความจริงเรื่องที่เธอสวย ขนาดหน้าซีดเซียว ไม่มีเครื่องสำอางอยู่บนหน้าสักนิดก็ยังสะดุดตาถึงเพียงนี้ 

มิน่าเล่า...ตอนที่เห็นรูปถ่ายของเธอ เทียนหลางถึงได้ทำท่าร้อนรนขนาดนั้น

“ฉันขอตัวก่อนนะคะ”

พัดพารัดชาตัดบทอย่างไม่กลัวเสียมารยาทอีกต่อไปแล้วรีบเดินเลี่ยงไปทางอื่น ทว่าเขาก็ยังก้าวขายาวๆ ตามเธอมาด้วยท่าทีสบายๆ ไม่รีบร้อน

“ผมก็กำลังรอคนอยู่เหมือนกัน ถ้ายังไงให้ผมคุยเป็นเพื่อนฆ่าเวลาก็ได้นะครับ ผมคิดว่าอีกไม่น่าเกินห้านาที คนที่ผมรอคงจะรีบวิ่งหน้าตั้งมาแล้ว”

ดวงตาสีเทาหลุบมองคูคัลเตที่โผล่หัวออกมาจากปากกระเป๋าย่ามของพัดพารัดชาแล้วรีบผลุบกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากหยักลึกยกแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน 

อา...มีไอ้ตัวปากโป้งของเทียนหลางอยู่ด้วยแบบนี้ เขาคงเหลือเวลาไม่ถึง ๓ นาทีแล้วกระมัง

“คุณรอคนของคุณไปเถอะค่ะ ฉันจะไปแล้ว”

เมื่อเห็นว่าเขาตื๊อไม่เลิก เธอจึงล้มเลิกความคิดที่จะหลบลมหนาวในวิหาร และบ่ายหน้ากลับไปหาเทียนหลางโดยไม่รอตูยาอีกต่อไป ผู้ชายคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก

“เดี๋ยวสิคุณ”

อเล็กไซคว้าข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ทันควัน กระแสไฟฟ้าที่ไหลวนรอบกายของเธอผลักเขาจนเกือบกระเด็นแทบจะในทันที ยังดีที่เขามีเครื่องรางเขี้ยวหมาป่าคุ้มกันแรงปะทะจึงลดลงมากและทำได้เพียงดันให้เขาถอยหลังไปสามก้าว แต่ถึงกระนั้นเขี้ยวหมาป่าที่ห้อยคออยู่ก็ไม่อาจสู้พลังจากอีกฝ่ายได้ มันแตกเป็นเสี่ยงและร่วงลงพื้นต่อหน้าต่อตา 

“กิเลนฟ้า? น่าสนใจดีนี่”

“มือ...มือของคุณ...” ถึงจะตกใจที่เขาถือวิสาสะแตะเนื้อต้องตัวเธอ แต่ที่น่าตกใจกว่าคือรอยไหม้สีน้ำตาลเป็นปื้นบนฝ่ามือของเขา “นี่...นี่เกิดอะไรขึ้นคะ”

“ผมต่างหากที่ต้องถามคุณว่าคุณเป็นญาติข้างไหนของช็อน ทำไมถึงมีพลังของกิเลนฟ้าคุ้มครองได้” ดวงตาของเขาเป็นประกายวับวาวยามกวาดมองแสงสีฟ้าอ่อนที่ตามนุษย์ปกติมองไม่เห็นซึ่งห่อหุ้มร่างระหงของหญิงสาวไว้ แสงนี้มีพลานุภาพในการคุ้มครองสูงก็จริง ทว่าเบาบางกว่ารัศมีรอบกายของเทียนหลางชนิดเทียบกันไม่ติด แถมยังกระเพื่อมไหวคล้ายซ้อนทับอยู่บนบางสิ่งบางอย่างเพื่อพรางตาเอาไว้ “ดูเหมือน...คุณจะไม่ได้เป็นแค่เครื่องรางมนุษย์ธรรมดาเสียแล้วสินะ”

“นี่คุณ...เป็นใครกันแน่”

พัดพารัดชาใจหายวาบ ผู้ชายคนนี้รู้จักเทียนหลางแถมยังรู้เรื่องเครื่องรางมนุษย์! ไม่ได้การแล้ว เธอต้องรีบหนี!

“จะไปไหนเล่า เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย คุณพัดพารัดชา”

ทันทีที่เห็นหญิงสาวถอยหลังกรูด อเล็กไซก็ปราดเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เขาไม่รอช้าที่จะดึงสร้อยเครื่องรางกระดูกงูที่ทรงอานุภาพกว่าเขี้ยวหมาป่ามาพันรอบมือเอาไว้เพื่อจะคว้าตัวของเธอเอาไว้ให้ได้ แต่ยังไม่ทันที่มือใหญ่โตจะสัมผัสถูกชายแขนเสื้อของเธอ วัตถุบางอย่างก็พุ่งมาปะทะกึ่งกลางหน้าผากของเขาจนหน้าหงายเสียก่อน เมื่อเขาก้มลงดูจึงเห็นว่าเป็นลูกอมเคลือบช็อกโกแลตที่ถูกอากาศติดลบด้านนอกทำให้แข็งตัวจนแทบเป็นก้อนหิน

“อย่าแตะต้องคนของฉัน”

เสียงแหบต่ำที่ดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ร่างของพัดพารัดชาถูกดันไปอยู่ด้านหลังเจ้าของร่างสูง กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยกรุ่นรอบตัวเขานั้น ต่อให้ไม่เห็นหน้า เธอก็รู้ในทันทีว่าเขาเป็นใครจึงโผเข้ากอดเขาจากทางด้านหลังเอาไว้แน่น ดวงหน้าเล็กซุกกับแผ่นหลังกว้างอย่างลืมตัว

“แหม ล้อเล่นนิดเดียว ต้องเล่นแรงกันอย่างนี้เลยเหรอวะช็อน”

อเล็กไซเตะลูกอมที่อยู่บนพื้นไปกระทบปลายรองเท้าบูตของอีกฝ่ายแล้วแสยะยิ้ม สีหน้าของเทียนหลางเย็นชา ทว่าดวงตายาวเรียวจ้องมองกลับมาอย่างแข็งกร้าวพร้อมเปิดศึกทุกเมื่อ

“นั่นไม่ใช่ของฉัน”

ชาแมนหนุ่มพยักพเยิดไปทางอาร์สลานที่ปรากฏกายอยู่ด้านข้าง ในมือยังมีลูกอมอยู่อีกหลายเม็ด

“ห้ามก่อเรื่องในเขตอาราม จะฆ่ากันก็ไปข้างนอก ที่นี่เป็นเขตอภัยทาน”

สิงโตหินแยกเขี้ยวใส่ เขาไม่เคยชอบหน้าชาแมนชาวยาคูเทียผู้นี้เลย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเป็นมิตรกันได้ ถึงเจ้าตัวจะพยายามสรรหาทอฟฟี่และช็อกโกแลตจากยุโรปมาเซ่นไหว้เขาเป็นประจำก็เถอะ!

 “โอ๊ย สองรุมหนึ่งแบบนี้ใครจะกล้าสู้ กลัวจนขนลุกไปหมดแล้ว” อเล็กไซยกสองมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ “ก็แค่อยากมาดูหน้าผู้หญิงที่ทำให้คุณชายเป้าวิ่งพล่านไปทั่วก็เท่านั้นเอง”

“แกตามฉันมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เทียนหลางเปลี่ยนมาพูดภาษารัสเซียที่ใช้สื่อสารกับอเล็กไซตามปกติ

“ก็ตั้งแต่ตอนที่เห็นว่าแกสนใจสาวน้อยในรูปถ่ายเป็นพิเศษนั่นละ ก็เลยจับตาดูมาตลอด นี่ฉันอุตส่าห์ไปดักรอที่สนามบินเลยนะ” อเล็กไซหัวเราะแล้วยักไหล่ “แกวางแผนได้รอบคอบน่าดู แต่พ่อบ้านเหรินดันรู้เรื่องที่แกได้ตัวเด็กคนนี้มาแล้ว แถมยังปล่อยข่าวให้พวกหมอผีคนอื่นๆ รู้แล้วด้วยว่าเด็กคนนี้มีคุณสมบัติครบถ้วน เหมาะสมที่จะเป็นเครื่องรางมนุษย์ของนายท่านหลิน”

“แกก็เลยจะมาชิงตัวเธอไปขึ้นรางวัลด้วยว่าอย่างนั้นเถอะ”

มุมปากของเทียนหลางกระตุกเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม ใช่ว่าเขาไม่คิดว่าทางหลินเจิ้งหู่อาจวางแผนตลบหลังเขาได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ไม่นึกว่าจะมีคนตามมาถึงตัวเขาเร็วขนาดนี้ มิหนำซ้ำยังเป็นไอ้เวรอเล็กไซอีก นรกเอ๊ย!

“เงินมันหอมหวาน ใครๆ ก็อยากได้ถูกไหมเล่า แล้วฉันมันก็โคตรโลภ แกก็รู้” หนุ่มชาวยาคูเทียยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน “ในฐานะที่แกกับฉันเป็นเพื่อนร่วมวงการกันมานาน ถ้าแกมีข้อเสนอที่ดีกว่า ฉันก็อาจจะลองคิดดูอีกทีว่าจะเอายังไง”

“ถ้าอยากได้เงินละก็ สิบล้านดอลลาร์ที่หลินเจิ้งหู่จ่ายมาให้ฉันล่วงหน้า แกเอาไปได้เลย แต่อย่ามายุ่งกับคู่หมั้นของฉัน”

“คู่หมั้น?” อเล็กไซเบิกตากว้างเหมือนเห็นผี “ไอ้เวรตะไลที่นอนกับผู้หญิงไปทั่ว ไม่สนว่าเป็นลูกเขาเมียใครอย่างแกเนี่ยนะมีคู่หมั้น? หมั้นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ ทำไมฉันตกข่าว”

เขาหันไปหาอาร์สลานเพื่อขอคำยืนยัน แต่สิงโตหิมะก็เอาแต่ตีหน้าบึ้งตึงใส่ ตอกย้ำว่าชาตินี้จะไม่มีวันญาติดีด้วย

“เมื่อไหร่ก็เรื่องของฉัน” เทียนหลางพยายามบังร่างของหญิงสาวเอาไว้ไม่ให้อีกฝ่ายใช้ดวงตาที่สามมองทะลุผนึกเข้าไปเห็นธาตุทองคำในตัวของเธอได้ “แกจะเอายังไง ถ้ารับข้อเสนอ พรุ่งนี้จะมีคนเอาเช็คสิบล้านดอลลาร์ของหลินเจิ้งหู่ไปประเคนให้ถึงที่ แต่ถ้าไม่ แกกับฉันก็แตกหักกันตรงนี้ได้เลย”

“แกไม่ลงทุนเล้ย ให้ตายเถอะ เอาเงินของหลินเจิ้งหู่มาให้ฉันเนี่ยนะ” อเล็กไซแสร้งทำเป็นถอนใจ “แต่ก็เอาเถอะ รวมกับของฉันก็เท่ากับฉันได้ยี่สิบล้านเหนาะๆ โดยที่ยังไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่เหนื่อยด้วย ฉันจะยอมรับข้อเสนอนี้ก็ได้ ถือเสียว่าเป็นของขวัญงานแต่งล่วงหน้าจากฉันก็แล้วกัน”

“จะถือเป็นของขวัญได้ยังไง ช็อนเป็นคนให้เงินแกต่างหาก” อาร์สลานพูดขึ้นอย่างเหลืออด คนโลภก็เป็นคนโลภอยู่วันยังค่ำ

“นั่นก็ถือเป็นเงินค่าปิดปาก ส่วนของขวัญงานแต่งจากฉันก็คือ ฉันจะช่วยกระพือข่าวเรื่องที่แกกับเด็กคนนี้หมั้นกันให้คนอื่นๆ รู้ จะได้ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วยดีไหม”

“ไม่ต้อง แบบนั้นจะทำให้คนยิ่งอยากรู้เรื่องเธอมากขึ้นไปอีก ฉันไม่อยากให้เธอเป็นอันตรายมากไปกว่านี้ แกแค่ปิดปากให้สนิทก็พอ”

รวมไปถึงอยากรู้ด้วยว่าพัดพารัดชามีคุณสมบัติพิเศษอะไรถึงได้ผ่านด่านท่านอัลตันผู้ยิ่งใหญ่มาเป็นคู่หมั้นของเขาได้ และเขาไม่อาจให้จอมขมังเวทหน้าไหนรู้เรื่องธาตุทองคำของเธอได้ทั้งนั้น ถ้าข่าวเรื่องความพิเศษของเธอแพร่ออกไป หลินเจิ้งหู่ต้องสั่งคนตามไล่ล่าตัวเธอโดยเฉพาะแน่ ดังนั้นเขาจึงต้องหาทางปิดผนึกให้เร็วที่สุด

“มีอีกวิธีง่ายกว่านี้อีก แกต้องชอบแน่ งานถนัดของแกอยู่แล้วนี่” อเล็กไซฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วหันไปพูดภาษาอังกฤษกับสาวน้อยที่ซุกตัวอยู่ด้านหลังเทียนหลาง “ถ้าไม่อยากเป็นตุ๊กตามนุษย์ก็รีบท้องลูกของช็อนเร็วๆ เข้าสิ มีเหลนของท่านอัลตันอยู่ในท้อง รับรองว่าไม่มีใครในวงการนี้กล้าแตะต้องคุณแน่ คุณผู้หญิง”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น