4

ตามแผน

ตามแผน

 

 จิรัศยากลับมาที่บ้านเตวิชในสุดสัปดาห์ต่อมา รอบนี้มาตั้งแต่เย็นวันศุกร์เพราะคาดคะเนว่าอีกฝ่ายต้องยุ่งอยู่กับงานจนไม่มีเวลาสนใจ เธอส่งข้อความไปบอกพอเป็นพิธีซึ่งเขาก็ไม่ห้ามปราม ช่างง่ายดายเสียจนอดที่ระแวงไม่ได้

 เธอเรียนรู้แล้วว่าบ้านเตวิชวิทยาการล้ำกว่าที่อื่นค่อนข้างมาก มีผู้ช่วยอัจฉริยะที่ตั้งชื่อเก๋ไก๋ว่า ‘จีนี่’ รูปร่างสีขาวขนาดไม่เกินสิบเซ็นต์เป็นทรงกลมหน้าจอแอลอีดี สามารถแสดงสีหน้าได้ ทำงานร่วมกับลำโพงขนาดเล็กที่ติดอยู่หลายจุดในบ้าน สามารถออกคำสั่งให้ทำงานร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าได้สารพัด เช่น กล้องวงจรปิด แอร์ ระบบชักรอกผ้าม่าน ไฟฟ้า ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ไมโครเวฟ ฯลฯ การที่เธอเข้าบ้านมาได้โดยไม่ต้องใช้รหัสหรือสแกนนิ้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลก 

จิรัศยาวางสัมภาระแล้วตรงดิ่งไปยังเก้าอี้นวดไฟฟ้าซึ่งตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น วันนี้เธอไปฟิตติงเสื้อผ้ากองละคร GenZ เด็กพันธุ์เดือดมา การวิ่งเข้าๆ ออกๆ ห้องแต่งตัวทำให้เมื่อยขบไปทั้งร่าง จังหวะที่กำลังเคลิ้มๆ ก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งวิ่งมาชนเก้าอี้นวดจึงผงกศีรษะขึ้นดู พบว่าเป็นหุ่นยนต์ดูดฝุ่นตัวหนึ่งซึ่งพอชนเสร็จก็เปลี่ยนไปยังทิศทางอื่น 

 “อาทิตย์ที่แล้วไม่มีนี่นา” เธอลงทุนกวาดถูชั้นล่างอยู่เกือบทั้งบ่ายเพราะฉะนั้นจึงจำได้แม่น ระหว่างที่นั่งมองหุ่นยนต์ดูดฝุ่นอยู่เพลินๆ ก็มีความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัว...หรือเขาจะซื้อมาเพราะเธอ

“เป็นคนดีเหมือนกันนะเนี่ย” นักแสดงสาวอมยิ้มแล้วเอนกายลงบนเก้าอี้นวดไฟฟ้าเช่นเดิม ขอพักสายตาสักแป๊บแล้วค่อยถือโอกาสขึ้นไปสำรวจที่ชั้นสอง เพราะคืนวันศุกร์สิ้นเดือนเช่นนี้เตวิชไม่มีทางฝ่ารถติดกลับมาถึงเร็วแน่นอน

 

 กลิ่นหอมที่ลอยมาเข้าจมูกทำให้คนที่คิดว่าจะพักสายตาแค่แป๊บเดียวค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้นมา แล้วก็ต้องตัวชาวาบเมื่อใบหน้าของเตวิชอยู่ห่างไปเพียงคืบ

 ตึกๆ...

 แยกไม่ออกว่าเป็นเสียงหัวใจของใคร สายตาสองคู่ประสานกันนิ่งก่อนจะเป็นจิรัศยาที่ตั้งสติได้ก่อน ยกมือยันอกเตวิชให้ออกห่างแล้วยันตัวขึ้น

 “คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

 เขาไม่ตอบในทันที กลับหมุนตัวเดินกลับไปที่ครัว “กินข้าว”

 จิรัศยามึนๆ งงๆ ยกมือตบหน้าตัวเองเบาๆ เพื่อเรียกสติ เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องยื่นหน้ามาใกล้เธอขนาดนั้น แล้วเขามายืนอย่างนั้นนานหรือยัง ก่อนหน้านั้นทำอะไรเธอหรือเปล่า

 “จะไม่กิน?”

 คนมีคำถามร้อยแปดข้อในหัวสะดุ้ง พอหันมองก็เห็นเขายืนพิงเคาน์เตอร์บาร์มองเธอด้วยสายตาเฉยเมย

 “กะ...กินค่ะ ไปเดี๋ยวนี้แหละ”

 เจอสายตากับท่าทีแบบนั้นเธอจะทำอะไรได้ นอกจากลุกขึ้นไปร่วมโต๊ะอาหารที่เขาจัดแจงอุ่นใส่ถ้วยไว้อย่างเรียบร้อย

 “ซื้อมาจากไหน หน้าตาน่ากินเชียว” เธออดถามไม่ได้ เผื่อเขาจะมีร้านเด็ดประจำ คราวหน้าจะได้ซื้อมาเอาใจเขาบ้าง

 “แม่เอามาให้”

 จิรัศยาตาโต “แม่คุณมา...ที่นี่”

 เตวิชพยักหน้า แล้วตักข้าวใส่ปากอย่างสบายอารมณ์

 “ตอนไหน”

 “ตอนคุณหลับไม่รู้เรื่องไง”

มือไม้จิรัศยาอ่อนปวกเปียกไปทันใด คิดว่าตนเองความรู้สึกไวแล้วเชียว ไหงมีคนเข้ามาในบ้านทั้งคนกลับไม่รู้เรื่อง

 “แม่ผมเห็นคุณหลับสนิทเลยไม่อยากปลุก”

 “คุณหลอกฉันใช่ไหม ฉันหลับไปแป๊บเดียวเอง”

 มีเพียงรอยยิ้มมุมปากจากคนที่นั่งกินข้าวอย่างสบายอารมณ์ จิรัศยาก้มมองนาฬิกาข้อมือตัวเองแล้วก็เบิกตากว้างอีกรอบ เธอมาถึงที่นี่ตอนสี่โมงเย็น แต่ตอนนี้เกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว

 “แม่คุณ...ว่ายังไงบ้าง”

 “เรื่อง?”

 จิรัศยาเหลือบมองคนตรงข้าม นี่เขาไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งบีบให้เธอพูดออกมากันแน่ เธอกล่าวอย่างเหลืออด “ก็ที่ฉันมาอยู่บ้านคุณนี่ไง”

 “ไม่ว่าไง น้านุชคงไปเกริ่นไว้แล้วละ”

คนฟังยกมือกุมศีรษะแล้วเบือนหน้าหนี จำได้ว่าครั้งที่แล้วบอกน้านุชว่าเธอเป็นเพื่อนร่วมงาน มารอบนี้นอกจากจะไม่ได้ทำงานอะไรแล้วยังนอนหลับอยู่บ้านเขาอย่างสบายอารมณ์อีก ไม่ซวยวันนี้จะไปซวยวันไหน 

“อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนี้จะดีกว่า”

จิรัศยาหันขวับ จะมีเรื่องอะไรน่าตกใจกว่าเรื่องนี้อีก

 “โทรศัพท์คุณมีสายเข้าตลอด กินเสร็จก็โทร. กลับหาคนที่ชื่อเบนซ์กับนนท์ด้วย”

 “คุณ...รับ...” ระหว่างรอฟังคำตอบหญิงสาวรู้สึกลำคอแห้งผาก พออีกฝ่ายยักไหล่เป็นเชิงยอมรับเท่านั้นแหละ ก็ลุกวิ่งไปยังโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าสะพายบนโซฟาห้องรับแขก แค่หยิบมาดูก็พบว่าสายที่ไม่ได้รับส่วนใหญ่เป็นของชานนท์ 

 “คุณบอกอะไรไปบ้าง” เธอวิ่งกลับมาที่ห้องครัวอีกหน สีหน้าคล้ายจะร้องไห้เต็มที 

 “บอกว่าคุณหลับอยู่”

 จิรัศยาแทบอยากคว่ำจานอาหารทั้งหมดบนโต๊ะ กับบุรัสกรไม่เท่าไหร่หรอก แต่บอกชานนท์ว่าเธอหลับอยู่นี่มัน...

 “มีปัญหาเหรอ”

 ท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำให้จิรัศยายิ่งปรี๊ด “มีสิ ก็พี่นนท์เป็น...”

 เตวิชวางช้อนส้อม แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่กำลังโกรธหน้าดำหน้าแดง คล้ายรอฟังว่าเธอจะพูดอะไรต่อ

 “...เจ้านาย แล้วบริษัทก็ห้ามฉันมีแฟนด้วย” จิรัศยาเถียงข้างๆ คูๆ...เกือบแล้ว เกือบหลุดพูดความจริงออกไปเสียหมด

 “งั้นก็ไม่ใช่ความผิดผม” เขาว่าแล้วกลับไปกินข้าวหน้าตาเฉย

 “ไม่ใช่ได้ยังไง คุณไม่ควรรับโทรศัพท์ของฉัน ไม่ควรรุกล้ำความเป็นส่วนตัวใดๆ ด้วย” ด้วยความโมโหจิรัศยาจึงยากจะควบคุมความรู้สึก เธอไม่รู้จะตอบชานนท์เรื่องนี้ยังไง ขืนบอกความจริงฝ่ายนั้นก็คงโกรธมาก เพราะสั่งห้ามเธอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเรนนี่ตั้งแต่ต้น จะโกหกก็ไม่รู้จะหาข้ออ้างใด

 “รุกล้ำความเป็นส่วนตัว” เตวิชเงยหน้ามาย้ำช้าๆ ชัดๆ ก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ทำให้จิรัศยาดึงสติมาอยู่กับความจริง พอเห็นเขาลุกขึ้นเธอก็ขยับถอยหลังกรูด แววตาเอาเรื่องที่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกทำให้ขนอ่อนในกายพากันลุกฮือ ยิ่งเขาก้าวเข้ามาใกล้เธอก็ยิ่งถอยจนแผ่นหลังปะทะผนังห้อง

 “คุณ...จะทำอะไร”

 จิรัศยาผินหน้าหนี เมื่อเขาเข้ามาประชิดเสียจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ พ่นรดแก้ม

 “อย่าวิ่งมาก เดี๋ยวจะกระทบเด็กในท้อง”

 จิรัศยาหลับตาปี๋ พอได้ยินเสียงฝีเท้าห่างออกไปก็รีบสูดลมหายใจเข้าปอดเพราะกลัวจนเผลอกลั้นหายใจไปหลายวินาที

 “คนบ้า! คิดว่าฉันอยากทำแบบนี้หรือไง” เธออดด่าตามหลังไม่ได้ ดูเหมือนเขาต้องการย้ำว่าเธอเข้ามาอยู่บ้านนี้ทำไม “ฉันต้องหาหลักฐานเอาผิดคุณให้ได้เลยคอยดู!”

ยิ่งถูกลูบคมปณิธานก็ยิ่งแรงกล้า หลายวันก่อนคมกฤษเพิ่งเอาตัวรบกวนสัญญาณกล้องวงจรปิดมาให้ เธอจึงคิดปฏิบัติการให้เสร็จในครั้งนี้จะได้ไม่ต้องมาเหยียบที่นี่อีก...จิรัศยากลับไปนั่งกินข้าวด้วยความโมโห ยังไงกองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง ทว่ากินได้ไม่กี่คำโทรศัพท์มือถือก็สั่นอีก พอเหลือบเห็นรายชื่อโทร. เข้าก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยเพราะเป็นบุรัสกร

 “ยายเบนซ์”

 “โอ๊ย...กว่าจะรับได้ ฉันนี่ใจหายใจคว่ำ”

 เสียงที่ดังมาตามสายทำให้จิรัศยาผ่อนลมหายใจยาว “อย่าว่าแต่แกเลย ฉันปวดหัวจะแย่แล้วเนี่ย หมอนั่นรับโทรศัพท์พี่นนท์ด้วย”

 “ฉันรู้แล้ว ไอ้พี่นนท์แกก็โทร. หาฉันจนสายจะไหม้แล้วเนี่ย” บุรัสกรกระแทกเสียงมาตามสาย

 “แกบอกไปว่าไง” จิรัศยาถามลุ้นๆ รู้ว่าเพื่อนักต้องโกหกเพื่อเอาตัวรอดให้แน่ๆ

 “บอกว่าแกไปพักบ้านญาติ คนที่รับคงเป็นญาติแก”

 “แล้วพี่นนท์ว่าไง”

 “ก็ไม่ว่าไง บอกแต่ว่าจะโทร. หาแกอีกที”

 จิรัศยาผ่อนลมหายใจ ข้ออ้างของบุรัสกรถือว่ามีเหตุผล เพราะชานนท์ยังไม่เคยเจอครอบครัวเธอ ย่อมไม่รู้ว่ามีญาติมากน้อยขนาดไหน

 “เข้าใจแล้ว ขอบใจนะ”

 “อือ ว่าแต่แกนึกยังไงถึงได้นอนหลับอย่างสบายอกสบายใจในบ้านเขาแบบนั้นหา!”

 จิรัศยาต้องเอาโทรศัพท์มือถือออกห่างเมื่อเพื่อนตะโกนมาสุดเสียง

 “ฉันบอกให้ระวังตัว แกไม่ฟังเลยใช่ไหม คิดว่าเล่นละครอยู่หรือไง ถ้าหมอนั่นคิดไม่ซื่อขึ้นมาจะทำยังไง ฉันจะไปช่วยแกทันไหม”

 “รู้แล้วน่า แค่นี้ก่อนนะ” จิรัศยากดตัดสายไปทันทีก่อนจะได้ยินคำบ่นคำรบสอง แต่วางไปไม่ถึงห้านาทีชานนท์ก็โทร. มาอีก เธอทำใจอยู่ครู่ก่อนจะกดรับ

 “ค่ะ พี่นนท์” จิรัศยาลดเสียงลงโดยอัตโนมัติ หันซ้ายหันขวามองตำแหน่งกล้องวงจรปิดที่แอบสำรวจไว้ตั้งแต่ครั้งที่แล้วพร้อมขยับหันหลัง “จินอยู่บ้านญาติค่ะ”

 “ญาติที่ไหนครับ พี่ไม่รู้มาก่อนว่าจินมีญาติอาศัยอยู่กรุงเทพฯ ด้วย”

มารดาของจิรัศยาย้ายไปตั้งรกรากที่ต่างประเทศนานแล้วแถมมีครอบครัวใหม่ที่นั่น คนสนิทที่ชานนท์รู้จึงแค่มีแค่บุรัสกรกับเรนนี่

 “พี่นนท์ไม่รู้จักหรอกค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ จินยังมีธุระต้องทำ” เธอชิงตัดสายแบบที่น้อยครั้งจะทำ แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะที่จะสนทนาอะไรยืดยาว ไหนจะกล้องวงจรปิด ไหนจะเหตุผลที่เธอเองยังคิดว่าฟังไม่ขึ้น

 ตึง!

จิรัศยาก้มมองที่เท้า แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เจ้าหุ่นยนต์ดูดฝุ่นตัวนี้ดูเหมือนจะตามเธอเป็นเงาเชียว 

“ไปที่อื่นเลยนะ คนกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่” ว่าแล้วจับหมุนเปลี่ยนทิศทางซึ่งมันก็วิ่งปร๋อออกไปทันที เธอถอนหายใจยาว หันไปมองอาหารก็รู้สึกไม่น่ากินเสียแล้วจึงเก็บจานไปล้าง ส่วนกับข้าวที่เหลือก็เอาฝาชีมาครอบไว้ก่อนจะเดินกลับห้องตัวเอง เวลานี้เธอต้องตั้งสติก่อนสิ่งอื่นใด

 

 เลยเที่ยงคืนมาได้ไม่เท่าไหร่ ท้องไส้ของจิรัศยาก็เริ่มประท้วงเลยเข้าครัวไปหาอะไรรองท้อง มองอาหารที่คลุมไว้ก็ดูไม่น่ากินเสียแล้วจึงค้นตู้เย็นพบผักสดอยู่หลายชนิดจึงนำมาทำสลัดกินแก้หิว พอท้องอิ่มความคิดก็เริ่มบรรเจิด เตวิชเองก็กินข้าวไปไม่กี่คำตอนนี้ก็คงหิวไม่ต่างจากเธอ คิดได้ดังนั้นก็หยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมา ตั้งใจปรุงแต่งอย่างดีใส่ทั้งผักทั้งเนื้อจนหน้าตาน่ารับประทาน แต่ก่อนจะเอาขึ้นไปเสิร์ฟก็ไม่ลืมเข้าไปเอาตัวรบกวนสัญญาณกล้องวงจรปิดและโทรศัพท์มือถือ อย่างน้อยเธอก็มีเหตุผลที่ฟังขึ้นในการขึ้นไปชั้นสอง

 ดูเหมือนเตวิชจะเปิดไว้แค่ไฟวอร์มไลต์จึงไม่สว่างมาก จิรัศยากดสัญญาณรบกวนที่อยู่ในกระเป๋าแล้วค่อยๆ สอดส่ายสายตามองหา ที่โซนนั่งเล่นไร้เงาผู้คนเธอจึงมุ่งความสนใจไปยังประตูห้องที่ปิดสนิทอีกสามห้อง ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าห้องไหนใช้ทำอะไรเพราะไม่เคยได้ย่างกรายขึ้นมา รอบก่อนเพียงแค่โผล่หน้าก็โดนดักคอเสียจนหาข้อแก้ตัวไม่ทัน

 “ลองดูทีละห้องคงไม่เป็นไร” เธอบอกตัวเองอย่างนั้น จึงเริ่มจากห้องที่อยู่ทางขวามือซึ่งอยู่ตรงข้ามโซนนั่งเล่น และเพื่อความคล่องตัวจึงเอาชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปวางไว้ด้านนอกเสียก่อน 

ห้องแรกที่เปิดไปเป็นห้องนอนของเตวิช หลักฐานคือไฟที่เปิดสว่างจ้าและเสียงน้ำที่ดังแว่วออกมา คาดว่าเขาน่าจะอาบน้ำอยู่ 

จิรัศยาสำรวจรอบๆ เพียงครู่ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ ห้องนอนของเตวิชเป็นโทนสีเทาดำ การตกแต่งเรียบง่าย ไม่มีทีวี หัวเตียงมีภาพที่เดาว่าน่าจะเป็นบุคคลสำคัญด้านวิทยาศาสตร์เพราะเห็นผมขาวคุ้นตา บนผนังด้านปลายเตียงเป็นรูปภาพกราฟิกขนาดใหญ่ ถัดลงมาเป็นตู้เก็บมอเดลการ์ตูนซึ่งเธอก็ไม่รู้จักอีกเช่นเคยบนตู้มีลำโพงแบรนด์ดังวางรวมอยู่กับของตกแต่งไม่กี่ชิ้น ถัดไปเป็นตู้หนังสือการ์ตูน ด้านขวาเป็นผนังกระจกที่เปิดม่านไว้เล็กน้อย มีโซฟาเดี่ยวพร้อมที่พักเท้า ด้านซ้ายเป็นวอล์กอินโคลเซตและเสียงน้ำก็ดังมาจากตรงนั้น 

จิรัศยาพบโทรศัพท์มือถือของเตวิชวางอยู่บนเตียงจึงหยิบมากดดู และเป็นดังคาดมีการเข้ารหัสไว้อย่างแน่นหนาเธอจึงยอมแพ้ รีบออกไปสำรวจอีกสองห้องที่เหลือ 

ถัดไปเป็นโฮมออฟฟิศขนาดย่อม ด้านซ้ายมีจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่สามจอตั้งอยู่เรียงกัน บนหน้าจอแสดงศัพท์ภาษาอังกฤษที่เธออ่านออกแต่ดูยังไงก็ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร มีโต๊ะทำงานตั้งเด่นอยู่กลางห้องและตู้หนังสือขนาดใหญ่ด้านขวามือ จิรัศยาเดินดูรอบๆ จนไปสะดุดตากับกรอบรูปหนึ่งซึ่งผู้ชายคือเตวิชที่ยิ้มกว้างโดยมีผู้หญิงหอมแก้มอยู่ อายุของภาพน่าจะหลายปีเพราะทั้งสองยังอยู่ในชุดนักศึกษา

“น่าจะแฟนเก่า” เธอตัดสินตามสิ่งที่เห็น เพราะเท่าที่สืบมาตอนนี้เตวิชไม่ได้คบหาใครจริงจัง จากนั้นก็หันไปสนใจโต๊ะทำงาน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดที่สุดคือแลปทอปที่เตวิชถือติดมือเป็นประจำ จิรัศยารู้สึกราวกับถูกหวยรีบคว้ามาเปิดดู ซึ่งก็แปลกที่ไม่มีการป้องกันการเข้าถึงใดๆ เลย 

 “ไม่ตั้งพาสเวิร์ดอะไรเลยเหรอเนี่ย” แม้จะเอะใจแต่โอกาสมาถึงมือขนาดนี้ก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือ ยังนึกเสียดายที่ไม่ได้พกแฟลชไดรฟ์มาด้วย เผื่อว่ามีข้อมูลอะไรน่าสนใจจะได้ถ่ายโอนสะดวก

“ไม่เป็นไรถ่ายรูปไว้ก็ได้” เธอวางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะข้างตัว แล้วไล่ดูโฟลเดอร์ต่างๆ บนหน้าจอก่อน ซึ่งส่วนมากเป็นข้อมูลที่เธอไม่ค่อยเข้าใจ คำศัพท์ภาษาอังกฤษแปลกๆ แผนผังการทำงานที่ไม่คุ้นตา และยังมีข้อมูลยิบย่อยที่ยิ่งดูก็ยิ่งปวดหัว 

จิรัศยาใช้เวลาครู่ใหญ่ก็ยอมแพ้เพราะดูยังไงก็ดูไม่รู้เรื่อง แถมประเมินแล้วก็คงไม่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเรนนี่ จึงย้ายไปเปิดแอปพลิเคชันยอดนิยมที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารแทน ซึ่งเขาก็ล็อกอินทิ้งไว้เสียด้วย เธอจึงยอมเสียมารยาทถือวิสาสะเปิดดู แล้วก็เจอสิ่งที่ต้องการจริงๆ 

 ควีนบี (35228) 

แค่เห็นชื่อห้องกับจำนวนสมาชิกตัวจิรัศยาก็ชาวาบ มันคือห้องแชตเจ้าปัญหาที่นักสืบเคยเอ่ยถึง เธอกับบุรัสกรพยายามปลอมข้อมูลเพื่อสมัครสมาชิกแต่กี่ครั้งก็ไม่ผ่าน เพราะต้องยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน จิรัศยาคว้าโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปและวิดีโอไว้เป็นหลักฐานแล้วเปิดไปดูด้านใน ผู้คนที่ค่อนข้างมากทำให้การสนทนาเลื่อนเร็วมาก เท่าที่ดูเหมือนจะมีห้องยิบย่อยแยกไปอีกตามลิงก์ที่แปะไว้ในโน้ตของแอปฯ แถมยังมีลิงก์สำหรับโหวตภาพดาวเด่นและคลังรูปภาพหลุดอีกด้วย

 จิรัศยาลองเข้าตามลิงก์ต่างๆ ภาพที่เห็นทำให้หัวใจสั่นรัว แต่ละห้องเหมือนแยกตามรสนิยมของผู้ใช้บริการ มีทั้งภาพและคลิปลับของนักร้อง นักแสดง หนักสุดเห็นจะเป็นคลิปหลุดของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทั้งในชุดนักเรียน ชุดนักศึกษา แม้ส่วนมากจะมาในรูปแบบไม่อนาจารหรือโป๊เปลือย แต่มีภาพและประวัติแนบไว้ เธออดคิดไม่ได้จริงๆ ว่าเด็กเหล่านี้จะรู้ตัวหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง

 ‘สตาร์บี’ ชื่อห้องที่มีไอคอนเป็นรูปเรียวขาผู้หญิงเรียกความสนใจจากจิรัศยาได้อย่างดี เพราะตามข่าวที่ได้มา คนที่ถูกโหวตล่าสุดก็คือเรนนี่

 มือเธอสั่นนิดๆ ขณะคลิกเปิดดู ขณะที่ภาพปรากฏหัวใจก็เต้นรัว แล้วพอได้เห็นชัดๆ ก็น้ำตาซึม เป็นภาพของเพื่อนเธอจริงๆ ส่วนใหญ่คือการแอบถ่าย สถานที่มีทั้งงานอีเวนต์ กองละคร มีทั้งภาพที่เรนนี่ใส่เสื้อคอกว้างและก้มลงมาจนเห็นร่องอก นอกจากนั้นมีภาพเคลื่อนไหวระหว่างสลับขาตอนนั่งไขว่ห้าง และคลิปที่มียอดวิวมากที่สุดคือคลิปจากห้องอาบน้ำ โชคยังดีที่เห็นไม่ชัดเท่าไหร่และคลิปไม่ยาวมาก ภายในห้องนี้ยังมีข้อความเชิญชวนให้สมาชิกช่วยกันตามล่าถ่ายรูปและคลิปของเรนนี่มาให้ได้มาที่สุด ใครโป๊มาก เปลือยมากก็จะได้รางวัลไปซึ่งเริ่มตั้งแต่หลักพัน หลักหมื่น ไปจนถึงหลักแสนเลยทีเดียว 

 “เลวจริงๆ” เธอไม่รู้จะสรรหาคำใดมาด่า และก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเรนนี่ถึงได้เงียบหายไปไม่ติดต่อใคร กระทั่งเธอก็ไม่รู้ว่าเพื่อนเป็นตายร้ายดียังไง หากยังโดนคนพวกนี้ตามล่าก็เดาได้เลยว่าคงไม่สุขสบายนัก

 จิรัศยาคว้าโทรศัพท์มือถือมาถ่ายภาพและวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน รวมถึงห้องแยกอื่นๆ ด้วย จนคิดว่าครบถ้วนจึงจัดแจงกดปิดหน้าต่างสนทนา แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเจ้าของบ้านเปิดประตูเข้ามา 

“ทำอะไร”

 เธอปิดหน้าจอแลปทอปลง ก่อนจะเงยหน้าสู้คนที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตู 

“ปละ...เปล่าค่ะ” เธอลุกยืนแล้วขยับออกห่าง มือไขว้หลังกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น “คือฉันอยากหาข้อมูลอะไรนิดหน่อย แต่มือถือไม่ค่อยมีสัญญาณก็เลยถือวิสาสะใช้แลปทอปของคุณ คุณคงไม่หวงหรอกใช่ไหมคะ" จิรัศยาแสร้งหยั่งเชิง แม้ใจจะหวาดหวั่นเต็มที 

เตวิชเดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานแล้วเปิดหน้าจอขึ้น ก่อนจะหันมาทางคนที่ยืนตัวแข็ง

“ใช้เสร็จหรือยัง”

“สะ...เสร็จแล้วค่ะ งั้น...ฉันไปก่อนนะคะ” จิรัศยาไม่รอให้เขาอนุญาต ก้าวฉับๆ ไปที่ประตู

“เดี๋ยว!”

สองขาเล็กชะงักกึก ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมอง

“คุณขึ้นมาบนนี้ทำไม”

“เอ่อ...ฉันต้มบะหมี่มาให้ค่ะ เผื่อคุณจะหิว” จิรัศยานึกถึงไม้เด็ดที่อุตส่าห์เตรียมมา แม้จะทิ้งไว้นานจนป่านนี้เส้นน่าจะอืดไปแล้วก็ตาม

“อยู่ไหนล่ะ”

“คะ? อ๋อ ฉันวางไว้ที่ห้องนั่งเล่น เดี๋ยวฉัน...”

“ไม่เป็นไร คุณไปพักผ่อนเถอะ”

“ค่ะ ฝันดีนะคะ” จิรัศยาไม่รั้งรอ สาวเท้าอย่างไม่คิดชีวิต พอลงมาถึงชั้นล่างได้ก็ผ่อนลมหายใจยาว สถานการณ์เมื่อกี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนอายุสั้นไปหลายปี 

“ดีที่หมอนั่นไม่สงสัย” เธอลูบอกตัวเองตลอดทางเดินกลับห้อง ดีเหลือเกินที่รอดมาได้

 

คืนนั้นจิรัศยาไม่อาจทนค้างบ้านเตวิชได้ จึงทิ้งโน้ตไว้ว่ามีงานด่วน แล้วโทร. ให้บุรัสกรขับรถมารับที่หน้าบ้าน 

“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมรีบขนาดนี้” แค่เห็นหน้า เพื่อนสาวก็ยิงคำถามทันที

“มี กลับถึงคอนโดค่อยคุยกัน รีบไปเถอะ” จิรัศยากลัวเตวิชจะไหวตัวทันจึงไม่อยากรั้งรอ เพียงครึ่งชั่วโมงถัดมาทั้งสองก็กลับมาถึงคอนโดอย่างปลอดภัย

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมรีบร้อนขนาดนี้” บุรัสกรถามย้ำ เห็นแล้วว่าตลอดทางเพื่อนมีท่าทีร้อนรน

“ฉันได้หลักฐานมาแล้ว”

“หา!”

“แถมหมอนั่นรู้ด้วยว่าฉันแอบใช้แลปทอปของเขา ฉันก็เลยต้องรีบหนีมา”

“นี่แก...ใจกล้าบ้าบิ่นเกินไปแล้วนะ ฉันบอกให้ระวังตัวไง” บุรัสกรไม่รู้จะสรรหาคำใดมาตำหนิ แค่เพื่อนรอดมาได้ก็นับว่าดีเท่าไหร่แล้ว

“ช่างเถอะ มาดูที่ฉันถ่ายมาก่อน” จิรัศยาหยิบโทรศัพท์มือถือส่งให้ ซึ่งบุรัสกรก็คว้ามาดูอย่างตั้งใจ พอเห็นภาพหลุดของเรนนี่ก็น้ำตาซึมเช่นเดียวกัน

“ยายเรนนี่...”

“อือ แต่ฉันดูแล้ว ภาพทั้งหมดถูกแอบถ่ายก่อนที่จะหายตัวไป”

“แสดงว่ายายเรนนี่อาจจะยังถูกสมาชิกควีนบีตามตัวอยู่”

สองสาวมองหน้ากันแล้วเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา เพราะอดสงสารชะตากรรมของเพื่อนไม่ได้

“ไอ้คุณนนท์ของแกโกหกเต็มๆ”

จิรัศยาเถียงไม่ออก ไม่รู้เหมือนกันว่าชานนท์ไม่รู้จริงๆ หรือเป็นหนึ่งในคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มควีนบีแล้วร่วมโกหกด้วย

“ถ้ามีโอกาสฉันจะถามอีกที ดูหลักฐานตรงหน้านี้ก่อนเถอะ คิดว่าจะเอาผิดนายเตวิชได้ไหม”

บุรัสกรส่ายหน้าแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด 

“ทำไมล่ะ หมอนั่นเข้าใช้งานแอปฯ จริงๆ นะ” จิรัศยาค้านเสียงหลง 

“แค่เข้าดูถือว่ายังไม่ได้กระทำความผิด ต้องมีหลักฐานว่านายเตวิชนำรูปภาพลามกอนาจารเข้าสู่อินเทอร์เน็ตเท่านั้นถึงจะมีความผิด”

“หมายความว่าไง” คนไม่ค่อยแม่นเรื่องกฎหมายหน้าตาเหลอหลา ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ

“แปลง่ายๆ ว่าต้องมีหลักฐานชี้ชัดว่านายเตวิชเป็นคนโพสต์ภาพลามกอนาจารลงในกรุ๊ปแชต เช่นภาพแคปเจอร์ไอดีของนายเตวิชที่โพสต์ภาพลงไป หรือไม่ก็รูปแอบถ่ายที่อยู่ภายในเครื่อง อะไรก็ได้ที่มันแน่นหนากว่านี้ ที่แกถ่ายมาแค่พิสูจน์ว่านายเตเข้าถึงห้องแชตควีนบีได้ก็เท่านั้นเอง”

จิรัศยาเริ่มเข้าใจมากขึ้น ความมาดมั่นที่มีพลันห่อเหี่ยวลงทันตา “จะทำยังไงดีล่ะ ฉันถูกจับได้แถมยังหนีออกมากลางดึกขนาดนี้ จะกลับเข้าบ้านหมอนั่นได้อีกไหมเนี่ย”

“ใจเย็นๆ แกรีบส่งข้อความไปบอกเขาสิ”

“ฉันทิ้งโน้ตไว้แล้วคิดว่าพอไหม”

“ก็น่าจะพอมั้ง” บุรัสกรก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน สถานการณ์แบบนี้ใช่ว่าเคยพบเจอ

“โอ๊ย! แผนคงไม่ล่มเอาตอนนี้หรอกนะ” จิรัศยาตีอกชกหัว ไม่น่าเลย เธอน่าจะใจเย็นลองส่งให้บุรัสกรดูก่อน ไม่รู้จริงๆ ว่าหลักฐานแค่นี้มันไม่พอ

“รอดูท่าทีนายเตวิชก่อนก็แล้วกัน”

จิรัศยาพยักหน้ารับ ก่อนจะลุกเดินเข้าห้องพักไปอย่างหมดเรี่ยวแรง ยาวนานเหลือเกินสำหรับวันนี้...

แต่แล้วสายของวันต่อมา เตวิชก็ทำให้เธอแปลกใจด้วยการส่งข้อความมาถามว่าธุระของเธอเรียบร้อยดีใช่ไหม และข้าวของที่ทิ้งไว้จะให้เอามาให้หรือเปล่า โดยไม่ซักไซ้ธุระที่เธออ้าง แถมไม่พูดถึงเรื่องที่เธอแอบใช้แลปทอปของเขาด้วย

“งานเรียบร้อยดีค่ะ ส่วนของใช้ทิ้งไว้ที่นั่นได้เลยเดี๋ยวอาทิตย์หน้าฉันก็กลับไป” เธอพึมพำตามข้อความที่พิมพ์ลงไป ซึ่งรอไม่กี่อึดใจเขาก็ตอบกลับมาว่าโอเค บอกให้เธอรักษาตัวแล้วลงท้ายอีกว่าจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจครรภ์เมื่อไหร่บอกเขาด้วย

“โอเคค่ะ ตั้งใจทำงานนะคะ” คำพูดดูสวยหรูแต่สีหน้าออกแนวขยาด นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องหาหลักฐานเพิ่ม เธอจะไม่ยอมทำอะไรเสี่ยงๆ อีกแน่

“ครั้งหน้าห้ามพลาดอีกนะยายจิน!” จิรัศยาย้ำหนักแน่นกับตัวเอง ขืนไปบ้านเตวิชบ่อยๆ คงไม่แคล้วถูกจับได้สักวัน 

 

จิรัศยามีคิวบวงสรวงละคร GenZ เด็กพันธุ์เดือดช่วงกลางสัปดาห์ นักแสดงและทีมงานมากันครบครันรวมทั้งผู้จัดอย่างชานนท์ด้วย กองทัพนักข่าวก็มากันเยอะ ส่วนมากมาเพราะต้องการข่าวความสัมพันธ์ของชานนท์กับญิ๋งญิ๋งที่ถูกพูดถึงในช่วงนี้ 

พอถ่ายภาพโพรโมตและสัมภาษณ์นักข่าวเสร็จ จิรัศยาก็หลบมานั่งพักในมุมลับตา แม้จะเป็นหนึ่งในนักแสดงหลัก แต่เมื่อไม่มีข่าวใดๆ ที่น่าสนใจก็ถูกลืมโดยปริยาย

“ฉันว่ายายญิ๋งญิ๋งกับคุณนนท์น่าจะมีมูลนะ เมื่อกี้ตอนนักข่าวถามก็ไม่ปฏิเสธ”

“ก็คงอย่างนั้นแหละ นอกจากนักแสดงในสังกัด คุณนนท์เคยเห็นความสำคัญของใครที่ไหน”

จิรัศยาทำหูทวนลม ไม่สนใจสองนักแสดงสาว โบกี้ เมเปิ้ล ที่นั่งเมาท์มอยกันอยู่ใกล้ๆ

“วันนี้ก็ตัวติดกันแจเลยนะ สงสัยจะเปิดตัวจริงๆ แล้วละมั้ง”

“แย่เลยเนอะ แบบนี้คงมีคนผิดหวัง”

ประโยคสนทนาขาดช่วงไปจนจิรัศยาอดหันมองไม่ได้ แล้วก็ได้ประสานสายตาทั้งสองคู่ที่มองมาอย่างยิ้มเยาะ

“เก่าไปใหม่มาก็อย่างนี้แหละ คนบางคนก็เป็นได้แค่มดแดงแฝงพวงมะม่วง”

“แรงอะเธอ”

นักแสดงสาวที่ชื่อเมเปิ้ลยักไหล่ หันมาสะบัดบ๊อบให้หนึ่งรอบแล้วจูงมือกันเดินออกไป 

จิรัศยายังมึน รู้แหละว่าถูกพาดพิง แต่จำไม่ได้ว่าเผลอไปล่วงเกินสองคนนี้ตรงไหน

“วงการบันเทิงอะเนาะ” เธอหลุดพูดประโยคฮอตฮิตแห่งยุคออกมาอย่างลืมตัวเพราะคำนี้สื่อความหมายได้ตรงตัวที่สุด คนที่ยิ้มกับเราในวันนี้ก็อาจคว้ามีดมาแทงข้างหลังเราได้ในวันนี้พรุ่งนี้ เธอก็อยู่ในวงการนี้มานานจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้

“จิน...มานั่งทำอะไรตรงนี้”

อีกหนึ่งบุคคลที่ถูกพาดพิงเมื่อครู่เดินเข้ามาหาเธอ พร้อมทั้งยื่นแก้วน้ำส้มให้

“ขอบคุณค่ะ” จิรัศยารับมาถือไว้ ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยอาจชอบดื่มน้ำนางเอกนี้ แต่นางร้ายอย่างเธอกลับไม่ชอบเอาเสียเลย และแน่นอนว่าชานนท์ไม่เคยจำได้

“เหนื่อยเหรอ”

“นิดหน่อยค่ะ” เธอตอบเสียงเนือย บอกตรงๆ ว่าขุ่นข้องหมองใจต่อการแสดงออกช่วงนี้ของเขา ต่อให้ชอบขนาดไหนก็ไม่สามารถให้อภัยได้ทุกเรื่อง

“ช่วงเย็นมีงานเลี้ยงนะ จะไปได้หรือเปล่า”

“ไม่ดีกว่าค่ะ จินอยากพัก” จิรัศยาวางแก้วน้ำส้ม ตั้งใจจะลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะคงไม่มีคิวสัมภาษณ์แล้ว รูปเดี่ยว รูปรวมก็ถ่ายไปหมดแล้ว

“จิน”

มือของเธอถูกคว้า ชานนท์ลุกมายืนใกล้ สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย “ช่วงนี้จินแปลกๆ ไปนะ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า จินรู้ใช่ไหมว่าคุยกับพี่ได้ทุกเรื่อง”

พอรับละครเรื่องนี้ จิรัศยาค่อนข้างยุ่งเพราะต้องทำการบ้านเรื่องตัวละคร และอ่านบทเพื่อทำความเข้าใจ งานอีเวนต์ก็ยังมีบ้างประปรายแถมยังวุ่นวายกับการสืบข่าวเรนนี่อีก พอชานนท์เอ่ยมาเช่นนี้เธอก็อดมีคำถามไม่ได้

“งั้นจินถามอะไรพี่นนท์สักอย่างได้ไหมคะ”

“ได้สิครับ ได้ทุกเรื่องเลย จินอยากรู้อะไรพี่ตอบได้หมด”

จิรัศยากลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ยออกมา “เรื่อง...เรนนี่”

สีหน้าลุ้นๆ ของชานนท์แปรเปลี่ยนในพริบตา เขาดูอึดอัดแบบไม่อยากพูดถึง “พี่บอกแล้วไงว่าเรนนี่ขอลาพักร้อน”

“ค่ะ ถ้าเรนนี่บอกพี่นนท์อย่างนั้น แต่พี่นนท์รู้ไหมว่ามีภาพหลุดของเรนนี่ในห้องแชตควีนบี”

คนฟังมีสีหน้าตกใจ แล้วปฏิเสธเสียงแข็ง “มันก็แค่ข่าวลือน่ะจิน”

“ไม่ใช่ข่าวลือค่ะ จินเห็นเองกับตา”

ชานนท์ผงะ ดึงแขนเธอให้ขยับเข้าไปใกล้ดั่งกลัวคนอื่นจะได้ยิน “จินพูดอะไร การเข้าถึงห้องแชตไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ จินไปเห็นมาจากไหน”

ทุกอย่างที่เกี่ยวกับห้องลับนั้นค่อนข้างรัดกุม มีแม้กระทั่งฟังก์ชันป้องกันการคัดลอก ซึ่งแน่นอนว่าความพิเศษเหล่านี้ล้วนต้องใช้เงิน

“จินคงไม่ต้องบอกพี่นนท์ทุกอย่าง จินแค่อยากรู้ว่าพี่นนท์ปิดเรื่องนี้ทำไม”

“พี่...” ชานนท์อึกอัก ไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

“ถ้าตอบไม่ได้งั้นจินขอถามอีกข้อ...” จิรัศยาเงยหน้าขึ้นสบตาคนที่แอบชอบมานาน ทั้งไว้ใจ ทั้งเชื่อใจ คิดเสมอว่าการหายตัวไปของเรนนี่ไม่เกี่ยวกับเขา แต่ตอนนี้ชักเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว “เรนนี่ไม่ได้ขอลาพักใช่ไหมคะ”

ชานนท์หน้าซีด ริมฝีปากเม้มเข้าหากันอย่างประหม่า จิรัศยาประสานสายตานิ่งรอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ

“ครับ”

แค่คำสั้นๆ เธอก็ไม่อยากฟังอะไรต่อ ความเชื่อมั่นที่เคยมีให้พังครืนต่อหน้าต่อตา เธอแกะมือออกแล้วขยับถอยห่าง กลับหลังหันแล้วเชิดหน้าเดินจากมา...ในเมื่อไม่อาจเชื่อใจใครได้ เธอก็จะพาเพื่อนรักกลับมาด้วยตัวเอง

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น