1

จุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยน


1

จุดเริ่มต้นของจุดเปลี่ยน

 

“วันนี้หลานน้าดูท่าจะมีธุระยุ่ง จะรีบไปไหนเหรอนารา” หญิงวัยกลางคนสวมแว่นทรงรีทักทายหลานสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง มุมปากคลี่ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังสาละวนกับการกวาดของทุกอย่างบนโต๊ะลงกระเป๋าอย่างรีบร้อน ไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำว่ามีอะไรบ้าง

“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณน้า” ผู้ถูกทักเงยหน้าจากภารกิจเก็บของตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มหวาน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายเจิดจ้า

“หนูนึกว่าวันนี้คุณน้าจะไม่เข้ามาที่นี่แล้วซะอีก เห็นอลิซบอกว่าวันนี้คุณน้ามีธุระข้างนอก”

“น้าแวะเอาของขวัญมาให้จ้ะ” ผู้พูดชูหนังสือเล่มโตในมือขึ้น ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะลั่นเมื่อเห็นสีหน้าปูเลี่ยนของอีกฝ่าย

“โธ่...หนูก็นึกว่าของขวัญชุดใหญ่แบบตั๋วไปพักร้อนที่ฮาวาย” หญิงสาวพูดติดตลกพร้อมกับเดินไปรับหนังสือเล่มหนาจากมือของ ‘น้ารภี’ มาพลิกดูทันที

“แน่ะ! ทำเป็นพูดไป พอมีวันหยุดทีไรน้าก็ไม่เห็นเธอจะก้าวออกจากบ้านสักที” ผู้เป็นน้าเคาะศีรษะหลานสาวเบาๆ อย่างมันเขี้ยว

“โรมานซ์อีกแล้วเหรอคะ” พิมพ์นาราเปรยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ดวงตาโตสีน้ำตาลเข้มโค้งลง

“สองสามเล่มก่อนก็แบบนี้เลยค่ะ หลงได้หลงดีเหลือเกินกลางทะเลทรายเนี่ย ถ้าวันไหนหนูหายไปนะคะ คุณน้าไปตามหาแถวๆ ทะเลทรายได้เลย อาจจะหลงไปแถวๆ พีระมิด ห่างไปสักสองสามกิโลเมตร” ผู้พูดหัวเราะเสียงใส ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบมะเหงกเป็นพัลวัน

“ทะเล้นเหลือเกินนะเรา จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ยอดขายหนังสือแนวนี้พุ่งขึ้นเหลือเกิน” หญิงวัยกลางคนชี้แจง

“แต่ไม่ต้องรีบขนาดอดหลับอดนอนนะ ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร น้าเชื่อว่าเธอจะทำมันออกมาได้ดีเหมือนทุกครั้ง” รภีลูบผมยาวสลวยของหลานสาวด้วยความเอ็นดู ไม่นานมานี้อีกฝ่ายยังเป็นเด็กกะโปโลตัดผมสั้นตามระเบียบโรงเรียนรัฐบาลอยู่เลย ไม่รู้ว่าเอาเวลาไปโตเป็นสาวสวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร

“ไม่ทำให้คุณน้าผิดหวังแน่นอนค่ะ” พิมพ์นาราชูสองนิ้วสู้ตายตามแบบฉบับของหล่อนพร้อมหัวเราะเสียงใส ร่างบางแต่สูงโปร่งกอดน้าสาวอย่างเอาใจ

รภีหัวเราะด้วยความเอ็นดู ก่อนที่อีกฝ่ายจะยกมือไหว้และคว้าหนังสือใส่กระเป๋าวิ่งออกไปจากสำนักงาน

“กลับบ้านดีๆ นะนารา ไม่ต้องรีบร้อนมากนะลูก” รภีตะโกนตามหลังไปก่อนที่จะเหลือบไปเห็นปฏิทินตั้งโต๊ะของหลานสาว วันนี้ถูกวงเป็นจุดสีแดงเข้มไว้ รภีนิ่งคิดเพียงครู่ก่อนจะใจหายวาบ และเอื้อมมือไปสัมผัสปฏิทินตั้งโต๊ะอย่างแผ่วเบาพร้อมส่ายหน้าเล็กน้อย ทำไมหล่อนจะจำไม่ได้ วันนี้เป็นวันเกิดของพี่สาว พี่สาวที่จากไปไกลแสนไกล

‘พี่ไม่ต้องเป็นห่วงนาราแล้วนะ ลูกสาวพี่เติบโตขึ้นมาอย่างดี ผ่านวันเวลาที่แสนจะเลวร้ายเหล่านั้นมาได้อย่างเข้มแข็ง เป็นเด็กที่อ่อนโยนเหมือนพี่ไม่มีผิด’

 

ตลาดในกรุงไคโรยังมีผู้คนพลุกพล่านเช่นเดิม พ่อค้าแม่ค้าจากร้านรวงข้างทางตะโกนแข่งกันเรียกลูกค้า บวกกับเสียงแตรรถที่ดังก้องไปทั่วบริเวณทุกๆ สองวินาที สิ่งที่หญิงสาวเรียนรู้เป็นอย่างแรกเมื่อมาอยู่ที่นี่คือ ชาวพื้นเมืองชอบบีบแตรมากกว่าเหยียบเบรก ความวุ่นวายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ออกจะน่ากลัวสักหน่อยสำหรับคนที่มาเยือนแรกๆ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้วเพราะหล่อนต้องใช้ชีวิตอยู่กับมัน

ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลอ่อนกับกางเกงยีนเข้ารูปขายาวเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ผมยาวสลวยสีดำสนิทถูกเจ้าตัวมัดรวบแบบลวกๆ ไปด้านหลัง ปอยผมที่เก็บไม่หมดคลอเคลียอยู่บนใบหน้าเรียวรูปไข่ ดวงตาโตสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายรับกับจมูกเล็กๆ ที่เชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อเม้มสนิทเข้าหากัน ทุกอย่างดูคมคายเมื่อปรากฏร่วมกับผิวเนียนสีน้ำผึ้งสุขภาพดี นั่นเป็นเหตุผลที่แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่รู้เลยว่าเหตุใดคนรอบข้างถึงได้มองตามกันเป็นแถบๆ

ตลอดเวลาที่เดินเข้ามาในตัวเมือง นอกจากต้องนำกระเป๋าเป้มากอดไว้ข้างหน้าแล้ว หล่อนยังต้องระวังชายหนุ่มหลายคนที่พยายามจะเดินเข้ามาเฉียดและ ‘แต๊ะอั๋ง’ ทั้งแอบจับมือ แอบจับเอว แอบเฉียดไหล่ หรืออะไรเทือกๆ นั้น เมื่อหลายครั้งเข้าก็อดที่จะขมวดคิ้วและสบถเบาๆ ไม่ได้ หญิงสาวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นตรอกแคบที่มีผู้คนบางเบาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

‘อ่า...สวรรค์เป็นใจ’ หญิงสาวแอบลิงโลดเมื่อพบทางกลับบ้านใหม่ซึ่งไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คน แม้ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นทางลัดทะลุออกจากตลาดได้หรือเปล่าก็เถอะ

แต่ไม่เป็นไร ลองดูก็ไม่เสียหาย...

 

ดวงอาทิตย์สีแดงเข้มปรากฏ ณ ขอบทะเลทรายอันเวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตา แสงสีส้มทองบ่งบอกเวลาใกล้อัสดง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่ผลงานของลมทะเลทรายที่พัดผ่าน ก่อให้เกิดประติมากรรมเนินน้อยใหญ่เรียงรายสวยงาม อย่างไรก็ตาม...บุรุษทั้งสามกลับไม่มีอารมณ์สนใจบรรยากาศสุนทรีตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะในตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเจอเรื่องที่สำคัญมากกว่า!

ชายหนุ่มทั้งสามอยู่ในชุดที่เกือบจะเรียกได้ว่าเคยเป็น ‘ชุดสูท’ เสื้อสูทตัวนอกถูกเจ้าของสะบัดออกไปคนละทิศละทาง เหลือไว้เพียงเสื้อเชิ้ตตัวในพับแขนพร้อมลุยกับสถานการณ์ตรงหน้า

ชายหนุ่มสองคนในเสื้อเชิ้ตสีขาวยืนบังชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีดำ ใบหน้าของพวกเขามีเหงื่อผุดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นจำนวนศัตรูที่ดูท่าจะต้องจัดการกันอีกนาน

“นายท่าน พวกผมบอกแล้ว...ทางลัดไม่มีในโลก” ผู้ที่อยู่ทางด้านซ้ายเอ่ยขึ้นหลังจากทิ้งปืนสั้นไร้กระสุนในมือของตัวเองลง

“ผมว่านายท่านรีบล่วงหน้าไปก่อนดีกว่า ทางนี้พวกผมจะจัดการเอง” ชายหนุ่มทางด้านขวาบอกผู้อยู่เบื้องหลัง ในมือกำลังกวัดแกว่งดาบโค้งพร้อมเผชิญหน้ากับเหล่าคนชุดดำปิดหน้าปิดตา ท่าทางทะมัดทะแมงราวกับว่าการเล่นของมีคมเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง

“ยะตีม! แกคิดว่ากำลังพูดอยู่กับใคร” ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกเมื่อได้ยินประโยคแนะนำจากผู้เปรียบเสมือนมือขวา สีหน้าแข็งกร้าวดูไม่สบอารมณ์นัก

“ทำไมฉันต้องไป!”

“ถ้านายท่านไม่อยากไป คราวหลังจะ ‘คั่วสาว’ ก็ควรดูด้วยว่าสาวนั่นเป็น ‘ของ’ ใคร!”

หมดเวลาสนทนาเมื่อพวกมันกรูเข้ามาราวกับมดเจอน้ำผึ้ง ฝุ่นจากทรายปลิวตลบไปทั่วบริเวณ ฮาฟิซสบถคำหยาบรัวเมื่อเห็นผู้เป็นเจ้านายโดนรุมจนเสียหลักล้มกลิ้งลงบนพื้นทรายที่ยังมีไอความร้อนคุกรุ่นอยู่

“ยะตีม! กันนายท่านไว้!” ฮาฟิซผู้ซึ่งกำลังสาละวนกับการรับมือชายชุดดำตะโกนบอกชายหนุ่มในชุดแบบเดียวกับตน ซึ่งชายหนุ่มนามยะตีมก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ฮาฟิซยืนใจหายใจคว่ำเมื่อเห็นดาบใหญ่แกว่งไปมาผ่านหัวเจ้านาย แต่กระนั้นก็เถอะ ผู้เป็นเจ้านายก็ยังครบทุกส่วนดี คิดแล้วก็อดถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้

 

ย้อนไปเมื่อสามสี่ชั่วโมงก่อน

เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มขึ้นเพราะ ‘นายท่าน’ ตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองมุมบาของท่านชีคอาเหม็ดทันทีที่ได้ยินเรื่องปัญหาการส่งสินค้าที่เมืองไคโร ผู้ถูกเรียกว่า ‘นายท่าน’ ทิ้งเหล่าผู้ติดตามหลายสิบคนให้ตามมาทีหลังเนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า

‘เกะกะ ฉันรีบ’

มันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นถ้าผู้เป็นเจ้านายไม่ได้ไป ‘เจ๊าะแจ๊ะ’ กับสาวสวยอกอึ๋มในฮาเร็มของท่านชีคหุ้นส่วนการค้าเข้า นั่นแหละ...ความลับไม่มีในโลก เดินทางไปได้แค่ครึ่งทางเหล่าชายฉกรรจ์นับยี่สิบก็มาขวางหน้าเอาไว้พร้อมอาการแยกเขี้ยวยิงฟัน

‘ทำเรื่องบัดซบแล้วคิดว่าคนอื่นจะไม่รู้รึไง ตายเป็นผีเฝ้าทะเลทรายเถอะ!’

 

ถ้าไม่เห็นว่าผู้ก่อเรื่องคือ ‘มิเกล ลูเซียส’ ผู้เป็นเจ้านายแล้วละก็ ดูท่าพวกเขาทั้งสองอาจจะได้มีการวางมวยกับเจ้าตัวปัญหาอย่างแน่นอน

“เรียกกำลังเสริมรึยัง” ฮาฟิซเอ่ยถาม ‘พี่ชายฝาแฝด’

“กำลังมา” ยะตีมกระตุกยิ้มพึงพอใจเมื่อได้สัญญาณตอบรับจากเครื่องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ เขาเชื่อว่าภายในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงคนทั้งหมดจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน หน้าที่ในตอนนี้คือถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด

รถโฟร์วีลที่ขับมาก็โดนเจาะยาง จะหนีถ่วงเวลาก็ทำไม่ได้ ครึ่งชั่วโมงอาจจะไม่นานหากเป็นสถานการณ์ปกติ แต่สำหรับพวกเขาที่กำลังหลบมือและเท้าของอีกฝ่ายมันเหมือนเพิ่มเวลาเป็นหนึ่งวันยังไงไม่รู้ แม้ว่าจะป้องกันตัวเองได้แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ยอดมนุษย์ สู้กันสิบต่อหนึ่งพร้อมสูดทรายเข้าปอดกลืนทรายเข้าปากไม่ใช่เรื่องตลก ความคิดบางอย่างผุดขึ้นเมื่อสองแฝดเหลือบไปเห็นรถเอทีวีของฝ่ายศัตรูจอดเรียงรายอยู่ไม่ไกลนัก

“คุ้มกันนายท่านไปที่รถนั่น!”

ชายชุดดำนับสิบต่างพยายามพุ่งเข้าหาเป้าหมายสำคัญ แต่ฝีมือการต่อสู้ระยะประชิดของสองผู้ติดตามก็ไม่ใช่เรื่องที่จะดูถูกได้

“ไอ้พวกโง่! ถ้าพวกแกจัดการพวกมันไม่ได้ กลับไปก็ต้องตายกันหมดอยู่ดี!” ชายชุดดำผู้หนึ่งซึ่งดูท่าจะเป็นผู้ควบคุมการลอบสังหารครั้งนี้ตะโกนลั่น หากท่านชีคไม่กำชับไว้ว่าให้ใช้มีดแทนปืนเพราะต้องการโยนความผิดไปยังพวกเร่ร่อนเพื่อป้องกันการสืบสาวแก้แค้นในภายหลัง ป่านนี้ทุกอย่างคงจบสิ้นไปนานแล้ว!

ผู้ติดตามทั้งสองถูกตีล้อมด้วยเหล่าคนชุดดำ พวกเขาถูกดันออกห่างเรื่อยๆ ทำให้ไม่สามารถคอยเป็นกำบังด่านหน้าให้ผู้เป็นเจ้านายได้ ทั้งสองสบถออกมาพร้อมกันและทุ่มแรงทั้งหมดเพื่อฝ่าวงล้อมออกไป แต่ไม่ได้ผลเนื่องจากจำนวนคนที่ต่างกันมาก

มิเกลมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอารมณ์เดือดดาล เหยื่อผู้โชคร้ายที่ถลาเข้ามากลับทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่น้อย เลือดสีแดงเข้มของผู้ลอบสังหารไหลย้อมผืนทรายสีทองอร่าม แต่โลกมักจะเล่นตลกเสมอเมื่อชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความชาหนึบที่แล่นขึ้นมาตามแขนข้างขวา

‘ระยำเอ๊ย! ทำธุรกิจกันมาตั้งนาน แค่ผู้หญิงคนเดียวทำเป็นเรื่องใหญ่!’ ชายหนุ่มลอบด่าผู้เป็นชีคในใจ สีหน้าหยิ่งยโสเพิ่มความดูแคลนมากขึ้นไปอีก

“นี่เหรอนายใหญ่ จับสลากได้มารึไง!” ชายชุดดำผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มลอบสังหารพยายามตะโกนยั่วยุเพื่อให้อีกฝ่ายโมโห ดูเหมือนจะได้ผล เมื่อชายหนุ่มเจ้าสำราญสบถลั่นพร้อมกับยกดาบขึ้นชี้หน้า

“หมาลอบกัดมีสิทธิ์เห่าด้วยเหรอ! ขนมาเป็นฝูงแต่ทำอะไรฉันไม่ได้ กระจอกทั้งนายและลูกน้อง!” มิเกลตวาด

ผู้เป็นหัวหน้าโกรธจนควันออกหู วิ่งถลาเข้าไปหาชายหนุ่มที่ยืนยิ้มเย็นยะเยือกรออยู่

มิเกลหลบปลายดาบที่พุ่งเข้ามาอย่างหวุดหวิด ก่อนจะตวัดดาบโค้งเข้าไปเรียกเลือดของฝ่ายตรงข้าม เท้าแข็งแรงถีบเข้าไปที่หน้าอกของอีกฝ่ายอย่างแรงจนฝั่งนั้นเสียหลักถอยไปหลายก้าว ทั้งคู่ชี้ปลายดาบเข้าหากันและจ้องมองอย่างลองเชิง

เหมือนฟ้าเป็นใจให้ชายชุดดำยิ้มออก ร่างบึกบึนซึ่งไม่สูงมากย่อตัวลงคล้ายจะเตรียมตั้งรับ แต่มืออีกข้างที่ว่างกลับกำทรายขึ้นมาเต็มกำมือ

ทั้งสองวิ่งเข้าหากันเหมือนกระทิงคลั่ง ก่อนที่การประลองยกที่สองจะเริ่มขึ้น ชายชุดดำก็สาดทรายในกำมือใส่นัยน์ตาสีครามของเป้าหมายอย่างรวดเร็ว

“ไอ้ระยำ!” มิเกลสบถพร้อมยกแขนอีกข้างบังตาของตน ร่างหนาขยับเบี่ยงหลบคนที่วิ่งพุ่งเข้ามา แม้จะมองไม่เห็นแต่ก็สัมผัสได้ถึงแรงปะทะ เขารู้ตัวว่าไม่ได้หัวขาดแต่กลับรู้สึกถึงความชาแล่นขึ้นมาตามแขนที่กำลังบังหน้าอย่างรวดเร็ว แขนแข็งแรงตกลงข้างลำตัวพร้อมๆ กับรับฝ่าเท้ากลางหน้าอกที่จุกจนพูดไม่ออก ร่างหนาเซล้มลงไปปะทะกับผืนทรายร้อนระอุซึ่งไม่ต่างจากโทสะในตอนนี้

เหมือนสวรรค์ยังไม่ใจร้ายเกินไปนัก ตาที่โดนเศษทรายแม้จะแดงก่ำแต่ก็กลับมามองเห็นได้อีกครั้ง มิเกลพลิกตัวหลบดาบเป็นพัลวัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเสียเปรียบมากอยู่ดี

บรื้น!!

เสียงเครื่องยนต์ดังจากด้านข้างเรียกให้บุรุษทั้งสองหันไปมอง จังหวะนั้นยะตีมที่ขี่เอทีวีเข้ามาพร้อมกับดาบในมือก็พุ่งเข้าใส่ด้านหลังของชายชุดดำที่กำลังเงื้อดาบใส่เจ้านายของเขา เลือดสีแดงเข้มสาดกระจายคล้ายน้ำพุ

“นายท่าน! รถมันนั่งได้แค่สองคน ล่วงหน้าไปก่อนเถอะ!” ยะตีมกระโดดลงจากรถแล้วไปพยุงผู้เป็นเจ้านายขึ้นมาจากผืนทราย

“ฉันไม่ใช่พวกปอดแหกที่จะทิ้งพวกแกได้!” มิเกลกัดฟันกรอด ปัดมือของผู้ติดตามออกอย่างแรง

“หรือนายท่านจะให้ผมไปด้วยแล้วทิ้งฮาฟิซรับหน้าคนเดียว!”

เหตุผลจากผู้ติดตามนั้น แม้แต่เจ้านายก็เถียงไม่ออก ร่างบาดเจ็บจึงถูกยะตีมกึ่งลากกึ่งดึงขึ้นไปบนรถอย่างรวดเร็ว

“นายท่านบาดเจ็บขนาดนี้ผมกับฮาฟิซจะมาคอยห่วงหน้าพะวงหลังไม่ได้ ไม่งั้นพวกเราได้ตายกันหมดแน่ๆ” ยะตีมกล่าวพลางจ้องไปยังฮาฟิซที่กำลังชุลมุนกับคู่ต่อสู้อยู่อีกด้าน

“ล่วงหน้าไปก่อนเถอะนายท่าน!”

“ถ้าพวกแกไม่รีบตามไป พวกแกมีปัญหาแน่!”

ยะตีมส่งเครื่องติดตามให้ผู้เป็นเจ้านาย เมื่อเห็นแผ่นหลังของร่างบนรถเอทีวีห่างออกไปจึงรีบกลับไปหาน้องชายที่เริ่มจะตึงมือ

“เอาไว้อีกสามนาทีค่อยมาคุยกัน!”

เพียงเวลาเสี้ยววินาที ท่ามกลางทะเลทรายก็เต็มไปด้วยการต่อสู้ห้ำหั่นอีกครั้ง!

 

“ล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย” พิมพ์นาราขมวดคิ้วเมื่ออ่านบทที่หนึ่งของหนังสือในมือจบไม่เข้าใจว่าพลอตนี้มันต่างจากเรื่องที่แล้วยังไง ทำไมรู้สึกเหมือนอ่านซ้ำรอบที่สิบก็ไม่รู้

19:30 นาฬิกา

ตาคู่สวยเหลือบมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง เวลามักจะผ่านไปเร็วเสมอเมื่ออยู่กับหน้าหนังสือ หญิงสาวกระโดดลงจากเตียงเดินผ่านไปยังห้องรับแขกเล็กๆ คล้ายห้องสมุดเคลื่อนที่ โซฟายาวกำมะหยี่สีเลือดหมูนุ่มนิ่มตั้งอยู่ใจกลางห้อง ตรงข้ามเป็นทีวีจอเล็กที่หล่อนไม่ค่อยได้เปิดดูเท่าไร ร่างบางมาหยุดหน้ากรอบรูปบนชั้นวางของข้างตู้หนังสือ

ในภาพสีเหลืองเก่ามีหญิงต่างวัยสองคนถ่ายคู่กัน คนหนึ่งเป็นเด็กหญิงผมสั้นในชุดมัธยมศึกษาตอนต้น เด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนหล่อนทุกอย่าง กับอีกคนเป็นหญิงสาวใบหน้าสะสวยอ่อนหวาน ดวงตาอ่อนโยนโค้งลงคล้ายพระจันทร์เสี้ยว หญิงสาวที่ว่ากำลังโอบไหล่เด็กหญิงคนนั้นหลวมๆ แม้ทั้งสองคนในภาพจะยิ้มแย้มมีความสุข แต่ความสุขนั้นมันทำให้ขอบตาหล่อนร้อนผ่าวขึ้นมาดื้อๆ

‘ลูกสาวคนเก่งของแม่ วันนี้เหนื่อยรึเปล่าลูก’ หญิงสาวหน้าตาสะสวยเดินไปหาเด็กหญิงที่เพิ่งเดินออกมาจากประตูโรงเรียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับเพื่อนๆ อีกหลายคน

‘คุณแม่!’ เด็กหญิงร้องทักลั่นก่อนจะวิ่งไปกอดผู้เป็นมารดา ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยความดีใจเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะมีได้

‘หนูคิดว่าวันนี้คุณแม่จะเลิกดึกเหมือนทุกวันซะอีกค่ะ’

‘วันนี้แม่ลางานมาวันเกิดใครน้า...ไหนใครบอกว่าอยากไปร้านไอศกรีม’ ผู้เป็นมารดาลูบผมสั้นของบุตรสาวอย่างรักใคร่

‘วันเกิดหนู!’ เด็กหญิงหัวเราะเสียงใสก่อนจะชี้ไปยังเพื่อนๆ ที่เดินมาด้วยกัน

‘แต่เพื่อนๆ เขาอวยพรกันหมดแล้วค่ะ เพราะคุณแม่มาช้า’จมูกรั้นน้อยๆ ย่นขึ้น ดูน่าเอ็นดูมากกว่าเอาแต่ใจ

‘โธ่...พอมีเพื่อนเยอะก็ลืมแม่ซะแล้ว’ หญิงสาวบีบจมูกคนในอ้อมกอดเบาๆ แล้วหัวเราะหยอกล้อ

‘แต่ถ้าวันนี้ของปีหน้าคุณแม่สัญญาว่าจะมารับหนูที่โรงเรียนอีก หนูจะเก็บไว้ให้คุณแม่อวยพรคนแรก ดีรึเปล่าคะ’ เด็กหญิงต่อรองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หล่อนรู้ว่าตลอดทั้งปีผู้เป็นมารดาทำงานหนักมากขนาดไหน ดังนั้นวันนี้จึงเป็นของขวัญที่มีค่ามากกว่าอะไรทั้งสิ้น

‘โธ่...แม่จะมารับหนูทุกปีเลยจ้ะ จะมารับจนกว่าหนูจะจบปริญญาเลย จะได้ไม่มีคนมายุ่งกับลูกสาวของแม่’

‘คุณแม่สัญญาแล้วนะคะ!’

‘สัญญาจ้ะ’

โชคชะตามักเล่นตลกเสมอ และมันก็เล่นตลกกับชีวิตหล่อน ไม่กี่วันหลังจากนั้น...อุบัติเหตุทางรถยนต์ได้ทำลายนาฬิกาความสุขของเด็กหญิงวัยสิบสี่จนแตกละเอียดเป็นผุยผง

หล่อนยังมีหลายอย่างที่อยากทำ หลายสิ่งที่อยากทดแทนความเหนื่อยยากของคนที่หล่อนรักมากที่สุด แต่จะปีหน้า ปีต่อไป หรืออีกสิบปีข้างหน้ามันก็ไม่สำคัญ เพราะปีเหล่านั้นมันจะไม่มีวันเป็นจริงตลอดไป

“คุณแม่ใจร้ายไม่รักษาสัญญา มีแต่หนูที่รักษาสัญญาคนเดียว” มือบางเอื้อมไปแตะกรอบรูปอย่างทะนุถนอม

“สุขสันต์วันเกิดค่ะ” ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูปยิ้มบางๆ สูดลมหายใจลึกข่มความร้อนผ่าวในดวงตา

“เรามาทานข้าวด้วยกันนะคะ วันนี้หนูจะโชว์ฝีมือเอง”

ร่างบางตรงดิ่งไปยังห้องครัว เมื่อเปิดตู้เย็นพิจารณาของที่เหลืออยู่ก็คิดว่าจะทำอาหารง่ายๆ อย่างสปาเกตตี เพราะอุปกรณ์ครบเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเส้นสปาเกตตี หอมใหญ่ เนื้อไก่ พริกไทยป่น และ...

หญิงสาวหยิบกระปุกซอสสปาเกตตีสำเร็จรูปขึ้นมาดู เมื่อเห็นปริมาณแล้วก็ต้องย่นจมูก

“เหลือแค่นี้เองเหรอ” หล่อนบ่นพึมพำกับตนเอง แค่นี้มันก็ทำได้แค่ที่เดียวน่ะสิ ไม่...วันนี้จะต้องทำอาหารสำหรับสองที่

หญิงสาวคลี่ยิ้มเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนบ่ายของวันนี้ ตรอกแคบนั่นเป็นทางผ่านมายังหมู่บ้านของหล่อนจริงๆ โชคดีเหลือเกินที่ค้นพบเส้นทางใหม่ ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับผู้คนอีกต่อไป

พิมพ์นาราหยิบกระเป๋าสตางค์พร้อมกับเสื้อคลุมมีฮูดตัวหนา ที่ไคโรถึงกลางวันจะร้อนจัด แต่พอตกกลางคืนแล้วอากาศก็เย็นเอาเรื่อง และที่สำคัญคือถึงแม้หมู่บ้านหล่อนจะเป็นหมู่บ้านชาวต่างชาติที่มีการรักษาความปลอดภัยค่อนข้างดี แต่กลางค่ำกลางคืนก็ต้องระวังไม่ควรประมาท

หญิงสาวดึงฮูดคลุมศีรษะ เมื่อดูการแต่งกายของตนในกระจกว่าเรียบร้อยดีจึงออกจากบ้าน

 

ตรอกแคบนี้ตอนกลางวันก็สัมผัสถึงความอับชื้นได้ และเดาไม่ผิด ตอนกลางคืนที่นี่คือช่องลมพัดผ่านพอดี อากาศเย็นจนถึงหนาว หญิงสาวเดินไปเรื่อยๆ โดยพยายามไม่คิดอะไร ที่ไคโรเจ้าหน้าที่ตรวจความเรียบร้อยจะกระจายไปทุกที่ในเมือง ถ้าสมมุติเกิดเหตุการณ์ปล้นฆ่าหรืออะไรในตรอกนี้ อันดับแรกที่ต้องทำคือเป่านกหวีดในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นค่อยพยายามวิ่งไปให้ถึงทางออก ตรงนั้นมีเจ้าหน้าที่เดินประจำอยู่สี่ห้านาย

ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ ก็พลันเหลือบไปเห็นคนนั่งก้มหน้าห่มผ้าห่มเก่าๆ ที่แทบจำสีเดิมของมันไม่ได้ ร่างหนาพิงผนังข้างลังไม้ที่วางทับกันจนสูงสองข้าง คงใช้บดบังความหนาวหรือไม่ก็หลบซ่อนอะไรสักอย่างโดยมีร่างคนอยู่ตรงกลาง ถ้าไม่ได้สังเกตบางทีอาจจะไม่มีใครเห็นคนผู้นี้เลยก็ได้ หญิงสาวหยุดมองเพียงชั่วครู่ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินต่อ

‘อาจเป็นพวกไร้บ้าน’

หญิงสาวเดินไปตามตรอกในที่สุดก็ทะลุออกไปในตัวเมืองไคโร หล่อนเดินไปที่ซูเปอร์มาร์เกตขนาดใหญ่เพื่อเลือกมะเขือเทศลูกโตมาสี่ห้าลูก ซอสสำเร็จรูป และของกินจุกจิกอีกหลายอย่าง

พิมพ์นาราเลือกมาทำงานที่สำนักพิมพ์ที่นี่กับผู้เป็นน้าหลังจากเรียนจบปริญญาตรี นับรวมแล้วก็เกือบสามปีได้ ช่วงปีแรกหล่อนยังอาศัยอยู่ที่บ้านน้ารภี ซึ่งมีสามีของน้าและลูกๆ อยู่ด้วย แม้น้าสาวจะดูแลหล่อนเป็นอย่างดีแต่หลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่สะดวกนัก ดังนั้นการแยกบ้านออกมาจึงเป็นเรื่องที่หล่อนเห็นด้วยกับตัวเองมากที่สุด

ระหว่างทางกลับมีเจ้าหน้าที่เดินสวนมาอีกครั้ง พิมพ์นารายิ้มให้พวกเขาเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตรอกแคบ ระยะทางในการเดินกลับเหมือนจะใกล้กว่าตอนขามา หนึ่งเป็นเพราะหล่อนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย สองหล่อนกำลังนึกถึงคนไร้บ้านในตรอกนั่น ด้วยความสงสารจึงซื้อขนมปังกับกาแฟมาให้ ถ้าท้องอิ่มก็คงจะช่วยได้หลายอย่าง หล่อนรู้ว่ามันไม่ใช่กงการหรือธุระหน้าที่อะไรของตน แต่ถึงยังไงก็อดที่จะสงสารเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ได้ บ้านก็ไม่มีอยู่ เผลอๆ อาจจะไม่มีครอบครัวเลยด้วยซ้ำ

พิมพ์นาราเดินมาจนถึงกองลังสูงพะเนิน หล่อนค่อยๆ ลดฝีเท้าลงพร้อมกับชะโงกมองไปยังคนไร้บ้านที่นั่งห่อตัวอยู่ เมื่อเข้าไปใกล้ก็พบว่าคนตรงหน้าเหมือนจะนั่งหลับตัวโยกโงนเงนไปมา คิดในใจว่าไม่ควรรบกวนการพักผ่อนของคนอื่นจึงตัดสินใจวางของที่ซื้อมาให้ไว้ด้านหน้า ก่อนจะย่องออกมาเงียบๆ

“สอดรู้สอดเห็น” เสียงทุ้มดังเป็นภาษาอังกฤษเนิบๆ

หญิงสาวเลิกคิ้วหันกลับไปมอง แสงสว่างเล็กน้อยจากถนนหลักทำให้เห็นหน้าผู้พูดไม่ชัดเท่าใดนัก

ชายหนุ่มขยับตัวอย่างยากลำบาก รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกดูดกลืนไปจนหมด อาการตาพร่ามัวที่เกิดขึ้นเป็นระยะทำให้เห็นหน้าคนสอดรู้สอดเห็นไม่ชัดเท่าที่ควร แต่ดูจากรูปร่างผอมบางนั่นน่าจะเป็นผู้หญิง ซึ่งคนอย่างเขาไม่ต้องการให้ผู้หญิงมาช่วย วุ่นวายไม่เข้าเรื่อง

พิมพ์นารามองชายตรงหน้าอย่างชั่งใจ คิดว่าการที่วางอาหารไว้ให้มันต่างจากกิริยาการโยนมากนะ แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงพูดแบบนี้ หล่อนเคยทำแบบนี้ที่อื่น คนเหล่านั้นก็ออกจะดีอกดีใจที่ได้อาหารไม่ใช่เหรอ

อ่า...หล่อนลืมไป บางคนใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่จนเคยชิน คงไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับชีวิตของตนสินะ

แต่คนไร้บ้านจะพูดภาษาอังกฤษได้เหรอ หรือเขาจะเป็นคนต่างชาติที่เดือดร้อนพิมพ์นาราเก็บความสงสัยเอาไว้และเดินออกมาอย่างสงบนิ่ง แต่เพียงไม่กี่ก้าวก็รู้สึกถึงสิ่งเย็นเฉียบฉวยจับที่ข้อมือ!

“เฮ้คุณ!” หญิงสาวหวีดร้อง ตกใจจนตัวแข็ง พยายามหมุนข้อมือออกจากมือหยาบกระด้างของคนไร้บ้าน

“คุณควรปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นฉันจะตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่” หล่อนกลืนความตกใจและกล่าวเสียงแข็งเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน

คนเร่ร่อนค่อยๆ ลุกขึ้น เมื่อยืนเทียบกันแล้วอีกฝ่ายสูงไม่ต่างอะไรกับกองลังไม้ หญิงสาวพยายามจะบิดข้อมือออกแต่มือเย็นของอีกฝ่ายกลับบีบแน่นเหมือนคีมเหล็ก อีกทั้งถุงกระดาษขนาดใหญ่ที่ถืออยู่อีกข้างก็ทำให้เคลื่อนไหวไม่ถนัด

“เธอมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน” คนเสียงทุ้มเอ่ยถาม น้ำเสียงเย็นยะเยือกไม่ต่างจากเนื้อตัวและบรรยากาศ

“คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวฉัน!” แม้จะตอบเสียงแข็งกลับไปแต่หญิงสาวก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นรัวอย่างหวาดกลัว ถ้าย้อนเวลากลับไปได้หล่อนคงไม่มายุ่งเรื่องคนอื่น จะไม่มาสงสารคนเร่ร่อนแบบนี้แน่!

ชายหนุ่มจับอาการตัวสั่นของหญิงสาวตรงหน้าได้ ถอนหายใจเล็กน้อยว่าตนเองละเมอหรือยังไงถึงได้มาหาเรื่องผู้หญิง

“เก็บของของเธอไปด้วย ฉันไม่ใช่ขอทาน” คนเสียงทุ้มสั่งการ แต่ก่อนที่จะได้ปล่อยมือ ร่างหนักก็พลันทรุดลงไปกองกับพื้น ด้วยน้ำหนักตัวที่ต่างกันมากทำให้ร่างบางเซเข้ามาใกล้ด้วย

‘ไอ้พวกสองคนนั้นเมื่อไหร่จะมา’ เขาก่นด่าในใจ พลางเอื้อมมือไปกดปากแผลที่ต้นแขนของตนเองไว้

เงินและสิ่งของจำเป็นหลายอย่างอยู่ในกระเป๋าเสื้อสูทซึ่งโยนทิ้งไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ที่พอจะมีประโยชน์คือนาฬิการาคาแพงที่นำไปแลกผ้าห่มเก่าๆ กับสถานที่หลบภัยจากขอทานที่เคยนอนประจำที่นี่ เขาคิดว่าอีกไม่นานผู้ติดตามก็คงจะมารับ แต่นี่...มันจะนานเกินไปแล้ว

หญิงสาวถอยออกจากชายเร่ร่อนทันทีที่หลุดเป็นอิสระ แม้ใจจะสั่งให้ขาทั้งสองวิ่งหนีออกมาให้เร็วที่สุด แต่อาการแปลกๆ นั่งเซไปมาของคนตรงหน้าทำให้สมองของหล่อนต่อต้านคำสั่งนั้น

ชายเร่ร่อนที่อยู่ๆ ก็ทรุดลงไปนั่งกุมแขนตัวเอง บวกกับแขนอีกข้างที่พยายามดันพื้นพยุงตัวชวนให้สงสัยว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า เขาก้มหน้ามองต่ำไม่สบตา และถอยเขยิบไปนั่งพิงกองลังเช่นเดิม

“คุณดูไม่เหมือนคนไร้บ้านนะคะ มีปัญหาอะไรรึเปล่า” หล่อนกลั้นใจถามออกไป อยากจะกัดลิ้นตายสักสิบหน

‘ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!’ ร่างบางก้าวเท้าเข้าไปใกล้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบจึงเอื้อมมือไปเขย่าแขนข้างที่เขากุมไว้เบาๆ

“เอ่อ...คุณเป็นนักท่องเที่ยวรึเปล่าคะ แล้วบาดเจ็บอะไรรึเปล่า หรือว่าคุณไม่ชำนาญทาง ฉันพาคุณไปส่งที่สถานีตำรวจได้นะ”

“ไม่ต้องยุ่ง” เสียงไม่เป็นมิตรตอบกลับพร้อมปัดมือออกอย่างแรง

“โอเคค่ะ” พิมพ์นาราถอนหายใจเบาๆ หนึ่งทีก่อนจะลุกขึ้นถอยออกมา บางทีเขาอาจจะโดนทำร้ายมาก่อน ดังนั้นถึงโดนปฏิเสธอย่างหยาบคายหล่อนก็ไม่ถือสาอะไรมาก

“เอาเป็นว่าฉันจะแจ้งเจ้าหน้าที่ให้คุณนะ แต่คงต้องรอสักครู่ ฉันไม่ได้เอาโทรศัพท์ออกมาด้วย” หล่อนพูดตัดบทก่อนจะเดินออกมา รู้สึกชื้นๆ หนึบๆ ที่ฝ่ามือเล็กน้อย อาจจะเป็นเหงื่อของคนเร่ร่อนคนนั้น คิดพลางเช็ดมือกับเสื้อคลุมของตน

ร่างบางเดินมาเรื่อยๆ จนทะลุออกจากตรอกแคบ เพียงไม่นานก็ถึงหมู่บ้านและบ้านเช่าหลังเล็กของตน ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบกุญแจออกมาเพื่อไขประตู...

กริ๊ง!

เสียงลูกกุญแจหล่นกระทบพื้นเรียกสติคืนมาพร้อมกับการยกมือตัวเองขึ้นมาดูช้าๆ

มือหล่อนเปื้อนเลือด!

“นี่มัน...” หญิงสาวสบถกับตัวเองก่อนจะก้มมองเสื้อคลุม ยังคงมีหลักฐานประทับอยู่ว่าหล่อนไม่ได้ฝันไป เสื้อคลุมมีรอยเลือดติดอยู่! และข้อมืออีกข้างที่โดนคนเร่ร่อนจับไว้ก็ปรากฏรอยเลือด!

“!!!” พิมพ์นาราอ้าปากค้าง ตัวชาไปชั่วขณะ สิ่งที่เพิ่งเห็นทำให้รีบเรียกสติกลับคืน วางของลงไว้ที่หน้าประตูบ้าน หยิบกุญแจก่อนจะลากขาสั่นเทาไปยังเส้นทางที่ตัวเองเพิ่งจากมา

“ให้ตายสิ โดนทำร้ายจริงๆ ด้วย!”

แต่เพียงไม่กี่ก้าวสมองของหล่อนก็เกิดคำถามขึ้น ถ้านั่นเป็นฆาตกรฆ่าคนล่ะ! ไม่อย่างนั้นคงไปโรงพยาบาลเองแล้ว จะมาทนนั่งเจ็บทำไม

แต่สมองอีกด้านก็แย้งขึ้นมา บางทีอาจจะไม่เลวร้ายแบบนั้น เขาอาจจะเป็นพวกหลบหนีเข้าเมือง เป็นคนบาดเจ็บ เป็นนักท่องเที่ยว หรือเป็นอะไรก็ตามแต่ ซึ่งหล่อนจะปล่อยให้เขาอยู่ตรงนั้นจริงเหรอ

เมื่อได้คำตอบร่างบางจึงรวบรวมสติวิ่งกลับไปทางเดิม หล่อนไม่ได้ใจร้ายจนถึงขั้นทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นแล้วปล่อยให้คนบาดเจ็บนอนอยู่ตรงนั้นแน่!

 

หญิงสาววิ่งกลับมาที่ตรอกแคบ วิ่งตรงมาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็เห็นร่างหนานอนพิงผนังอยู่ที่เดิม หล่อนทั้งตกใจและทำอะไรไม่ถูก ตัดสินใจวิ่งไปยังปลายตรอกอีกด้านที่เคยเจอเจ้าหน้าที่เดินผ่าน แต่โชคร้ายที่ตอนนี้ไม่มีใครเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงวิ่งกลับมาที่เดิม

“คุณ! คุณ! ไปโรงพยาบาลเถอะ!” หล่อนเขย่าตัวอีกฝ่าย...แต่เขาไม่เหลือสติรับรู้แล้ว

“ตายแล้ว ตายแล้ว ทำยังไงดี!” คนเสียงแหลมเผลอพูดเป็นภาษาบ้านเกิดด้วยความตื่นตระหนก หันซ้ายขวาหาคนเดินผ่านไปผ่านมาเพื่อขอความช่วยเหลือ ความว่างเปล่าทำให้หล่อนยิ่งตกใจและตัดสินใจอะไรบางอย่างที่แปลกพิลึก อันตราย สุ่มเสี่ยง...

‘เอาก็เอา!’

พิมพ์นาราพยุงร่างหนาของชายเร่ร่อนขึ้นมา ตัวเขาหนักมากจนหล่อนเซไปอีกด้าน และกัดริมฝีปากจนห้อเลือดเพราะออกแรงลากคนร่างใหญ่ เพียงเดินไม่กี่ก้าวเสียงทุ้มก็ดังข้างๆ ใบหูอีกครั้ง

“ไม่ต้องยุ่ง” เขาเอ่ยแผ่วเบา

“ไม่ยุ่งไม่ได้หรอก คุณบาดเจ็บอยู่นะ!” หล่อนตอบกลับด้วยความร้อนใจ หากเห็นหน้าตนตอนนี้คงพบว่าซีดขาวยิ่งกว่าคนบาดเจ็บ

“นี่! คุณอย่าเพิ่งตายนะ!”

ร่างบางเดินเซไปเซมาจนในที่สุดก็ออกจากตรอกแคบมาได้ เดินมาอีกไม่ไกลก็ถึงบ้านหลังเล็ก

เนื่องจากดึกมากแล้วทำให้ผู้คนบางตา แทบไม่มีใครสังเกตว่าหล่อนหอบอะไรกลับเข้ามาที่บ้าน หรือบางทีอาจจะมีคนเห็นแต่พวกเขาเลือกที่จะไม่สนใจ

“บ้าเอ๊ย!”

หญิงสาวล้วงกุญแจเปิดประตูบ้านด้วยมือสั่นเทา แล้วจึงพยุงร่างหนักเข้าไปข้างใน โซฟาตัวยาวสีเลือดหมูดูตัวเล็กไปถนัดตาเมื่อเทียบกับร่างยักษ์ของคนเร่ร่อนนี่ หล่อนวิ่งกลับไปที่หน้าบ้านเอาถุงของที่ซื้อมาไปโยนไว้ในครัวอย่างรีบร้อน ก่อนจะวิ่งกลับมาหาคนบาดเจ็บที่นอนพาดยาวไร้เรี่ยวแรงอยู่บนโซฟา

“โทรศัพท์ โทรศัพท์” ใบหน้าหล่อนซีดเผือดและมีอาการกระวนกระวาย รีบค้นหาโทรศัพท์มือถือและมาหยุดยืนมองคนบาดเจ็บ แต่ก่อนที่จะได้กดเบอร์ฉุกเฉิน เสียงทุ้มกลับชิงขัดจังหวะ

“อย่าเพิ่งตามใครมา อย่าตามรถโรงพยาบาล” ดวงตาทั้งคู่หลับพริ้ม มีเหงื่อผุดขึ้นมาตามไรผม เขาพูดเสียงเบาจนดูเหมือนละเมอเพราะพิษบาดแผลมากกว่าพูดกับหล่อน

“คุณอย่ามาตายที่บ้านฉันนะ!” พิมพ์นาราขมวดคิ้วกุมขมับ และกดโทร. ออกทันที

“ฉันบอกว่าอย่าเพิ่งเรียกใคร!” คนไร้บ้านลืมตาขึ้น นัยน์ตาสีครามคู่นั้นสะกดให้หล่อนนิ่งไปสักพัก คิ้วเข้มของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากัน เอ่ยคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“วางสาย!”

หญิงสาวเม้มปากชั่งใจ ตัดสินใจกดวางสายก่อนจะวิ่งไปหากล่องยาสามัญประจำบ้านเพื่อทำแผลให้คนตรงหน้าไปตามมีตามเกิด มีแรงเจ้ากี้เจ้าการขนาดนี้คงไม่สาหัสมาก

ถ้าไม่นับเรื่องความสะอาด หล่อนเพิ่งสังเกตว่าเสื้อที่คนเร่ร่อนสวมเป็นยี่ห้อแพงทีเดียว แต่ก็นั่นแหละ เห็นอยู่ทนโท่ว่าของแพงไม่ได้ช่วยยามฉุกเฉิน หล่อนตัดแขนเสื้อเชิ้ตทิ้งไปอย่างรวดเร็ว พลันอ้าปากค้างอุทานเป็นภาษาบ้านเกิดเมื่อเห็นแผลเหวอะหวะ

“คุณ! ไปโรงพยาบาลเถอะ!!”

อีกฝ่ายไม่ใส่ใจที่หล่อนพูด กลับล้วงกระเป๋ากางเกงส่งเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สีดำให้

“เอาไปวางไว้...ที่...มี...สัญญาณ...” คำพูดสุดท้ายถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอก่อนที่เขาจะสลบเหมือดไป

“ให้ตายสิ! คุณอย่าเพิ่งตายนะ!” พิมพ์นาราสบถกับตัวเองก่อนจะถลาเข้าไปอังจมูกโด่งของคนตรงหน้า โชคดีที่ยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ หญิงสาวค้นยาแก้ปวดกับยาแก้อักเสบอย่างละสองเม็ดจากในกล่อง วิ่งหายเข้าไปในครัวและกลับมาพร้อมกับแก้วน้ำ ค่อยๆ พยุงศีรษะหนักขึ้นมาอย่างทุลักทุเล บังคับกรอกยาและน้ำตามลงไป

เมื่อเช็ดทำความสะอาดรอบๆ บาดแผลตามความรู้ทางการแพทย์อันน้อยนิดเสร็จ หญิงสาวจึงใช้ผ้าก๊อซแผ่นใหญ่ปิดความน่ากลัวของแผลไว้ ติดเทปกาวไม่แน่นมากเนื่องจากกังวลว่าจะกระทบกระเทือนถึงบาดแผล หากเขาติดเชื้อตายจะโทษว่าเป็นความผิดของหล่อนหรือเปล่า

แขนอีกข้างและช่วงลำตัวก็ถูกสำรวจเช่นกัน ส่วนใหญ่มีแต่รอยแผลขีดข่วน หล่อนเช็ดหน้า คอ แขน ทำความสะอาดพวกคราบสกปรกให้ก่อนจะเขย่าแขนเรียกเจ้าของร่างอีกครั้ง

“คุณ คุณ” แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่ตอบสนอง

หญิงสาวนั่งเฝ้าอยู่ครู่ใหญ่จนเห็นว่าลมหายใจเขาเริ่มสงบ สีหน้ากังวลเหมือนฟ้าจะถล่มเมื่อครู่ค่อยๆ ปรับมาเป็นแบบเดิม มองดูนาฬิกาก็เห็นว่าดึกมากโข หล่อนจึงหมุนตัวไปมาชั่งใจว่าควรเอายังไงต่อดี เมื่อเห็นอีกฝ่ายกัดฟันกึกๆ จึงเดินเข้าไปเอาผ้าห่มออกมาห่มให้ มือเรียววัดอุณหภูมิบนหน้าผากคนบาดเจ็บ และเอ่ยสำทับเป็นรอบที่ยี่สิบ

“อย่ามาตายในบ้านฉันนะคุณ!”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น