2
ชาวนากับงูเห่า
แสงแดดของเช้าวันใหม่ส่องผ่านหน้าต่างใสกระทบถึงตัวของชายหนุ่ม ร่างหนาพลิกไปมาเพื่อหลบแสงแสบตาจนเริ่มรู้สึกว่าวันนี้ ‘เตียงนอน’ ของตนมันแคบและเล็กกว่าที่เคยนอนอยู่เป็นประจำ แม้แต่ขาก็ยังไม่สามารถเหยียดออกไปได้ดั่งใจ
อาการปวดระบมตามเนื้อตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แขนทั้งสองข้างทำเอาเขาคำรามเสียงทุ้มต่ำหลายครั้ง สติที่เคยพร่าเลือนค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นทุกขณะ แขนบอบช้ำถูกผู้เป็นเจ้าของเรียกใช้งานโดยยกขึ้นบังแสงแดด นัยน์ตาสีครามหรี่ลงจนแทบจะเป็นเส้นตรงขณะมองบรรยากาศรอบตัว ใช้เวลาชั่วครู่ในการปรับสายตาให้เข้าที่ สิ่งแรกที่เห็นคือชั้นหนังสือที่กินบริเวณไปกว่าครึ่งของห้องนี้ ภายในห้องแคบๆ หรือบ้านหลังเล็กๆ ตกแต่งเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน แม้จะเทียบไม่ได้สักเศษหนึ่งส่วนพันกับความหรูหราของห้องรับรองแขกของชีคที่เขาเพิ่งหลบออกมาเมื่อวาน แต่ก็ยังดีกว่าลังเหม็นอับชื้นที่เคยใช้ซ่อนตัวอยู่มากโข
‘ที่นี่ที่ไหน’
คำถามแรกผุดขึ้นเมื่อยืนขึ้นมองรอบบริเวณ พยายามไล่เหตุการณ์ดูทีละเรื่อง เขาจำได้ว่าปะทะกับพวกลอบกัดที่ทะเลทราย และสองผู้ติดตามให้ล่วงหน้าออกมาก่อน หลังจากหลบผู้คนในเมืองได้ก็เข้าไปนั่งรอเจ้าพวกนั้นอยู่ในตรอก มีผู้หญิงสาระแนที่คิดว่าเขาเป็นขอทาน...มือหยาบกร้านยกขึ้นนวดขมับเมื่อเหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นภาพเลือนรางไม่ชัดเจน
แก๊ก!
ชายหนุ่มยกเท้าเพื่อดูว่าตนเผลอเหยียบอะไรไป เมื่อเห็นชัดถนัดสองตาว่าเป็นเครื่องติดตามก็ถึงกับสบถคำหยาบออกมาดังลั่น
“ระยำเอ๊ย!”
เหมือนจิกซอว์สมองต่อกลับเข้าที่ ภาพเลือนรางแจ่มชัดขึ้นมาแทบจะทันที ใช่! ผู้หญิงคนนั้นพาเขาออกมาจากตรอกนั่น ระหว่างที่หล่อนเจ้ากี้เจ้าการที่จะช่วยทำแผล เขาเป็นคนหยิบเครื่องติดตามนี้ให้แล้วกำชับหล่อนด้วยตัวเองว่าให้เอาไปวางในที่ที่มีสัญญาณ แต่ทำไมมันมานอนแอ้งแม้งเป็นของไม่มีค่าแบบนี้!
เมื่อหยิบเจ้าเครื่องติดตามเล็กจิ๋วพลิกไปมาก็พลันได้คำตอบว่าเหตุใดพวกนั้นถึงหาเขาไม่เจอสักที ไม่ต้องพูดเรื่องสัญญาณ ใจกลางเมืองแบบนี้จะไม่มีได้ยังไง ไม่รู้ว่าเขาหรือผู้หญิงคนนั้นเป็นคนไปทับโดนปุ่มปิดกันแน่
นัยน์ตาสีครามฉายแววไม่สบอารมณ์ สบถคำหยาบพลางขมวดคิ้ว โชคดีแค่ไหนที่ไม่ตาย แต่โชคร้ายต้องมาเจอคนโง่ เขาเกลียดพวกขัดคำสั่งเป็นที่หนึ่ง สาระแนเป็นที่สอง โง่แบบไม่เข้าใจอะไรเลยเป็นที่สาม ซึ่งดูเหมือนว่าผู้หญิงสาระแนจะมีครบทุกข้อ!
ผู้บาดเจ็บกดปุ่มเปิดเครื่อง และนำไปวางไว้บนขอบหน้าต่างเพื่อให้สัญญาณที่ส่งออกไปเสถียรที่สุด ความปวดหนึบจากบาดแผลที่เริ่มอักเสบแล่นขึ้นมา เขาอดทนกัดฟันจนกรามทั้งสองข้างขึ้นเป็นรอยนูน เริ่มนับถอยหลังว่าพวกนั้นคงโผล่มาภายในครึ่งชั่วโมง
แต่ก่อนที่จะไป...เขาควรจะ ‘ขอบคุณ’ ผู้มีพระคุณอย่างจริงจังสักหน่อย จะได้ไม่ต้องมาเสนอหน้าทวงบุญคุณภายหลัง
ครืด ครืด ครืด
มือบางคลำสะเปะสะปะไปตามผ้านวมนุ่มบนเตียง ผู้ถูกปลุกครางเสียงอู้อี้ขัดใจ เสียงสั่นดังอยู่นานพอสมควรและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แม้สิ่งรบกวนจะอยู่ใกล้ตัวก็จริงแต่วินาทีนี้หญิงสาวไม่มีสติคิดถึงเรื่องทิศทางมากเท่าใดนัก ในที่สุดดวงตาสีน้ำตาลเข้มก็ยอมเปิดขึ้น คว้าโทรศัพท์แล้วตั้งสติกรอกเสียงลงไป
“สวัสดีค่ะคุณน้า” พิมพ์นารารับโทรศัพท์ด้วยเสียงงัวเงีย ยกมืออีกข้างถูตาไปมา
เนื่องด้วยอาชีพทำให้พักผ่อนไม่เป็นเวลา วันๆ จดจ้องอยู่แต่กับตัวหนังสือจนเกิดความเมื่อยล้าและปวดตาจึงอยากพักผ่อนมากกว่าปกติเพื่อเติมพลังฟื้นฟู ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนหล่อนยังรู้สึกเหนื่อยมากกว่าวันธรรมดาสักสามเท่าตัวได้ การไปออกแรงพยุงกึ่งลากคนไร้บ้านร่างยักษ์นั่นมันใช่งานง่ายที่ไหนกัน ทั้งปฐมพยาบาล เช็ดหน้าเช็ดตาทำความสะอาด นั่งเฝ้าให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ตายที่บ้าน กว่าจะจัดการทุกอย่างเรียบร้อยและอาบน้ำเข้านอนก็กินเวลาไปค่อนคืน
“น้าจะกลับไทยไปก่อนนะนารา ทางผู้อำนวยการเพิ่งอนุมัติพักร้อนของน้ามาพอดี อีกอย่างน้าก็มีธุระต้องไปจัดการด้วย” เสียงคุ้นเคยดังมาตามสาย
“งั้นหนูไม่เข้าออฟฟิศนะคะ ถ้ามีรายละเอียดคืบหน้าของงานหนูจะส่งอีเมลให้เช็กอีกทีค่ะ”
พิมพ์นารากับผู้เป็นน้าสาวทำงานอยู่กับสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งมีสาขากระจายไปทั่วโลก คุณน้าของหล่อนผู้ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานอันยอดเยี่ยมมีโอกาสได้เลื่อนตำแหน่งไปประจำสาขาตามแต่ที่จะเลือก และคุณน้าก็เลือกที่จะมาอยู่กับสามีและลูกซึ่งเป็นนักโบราณคดีอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หล่อนจะตามญาติเพียงคนเดียวมาอยู่ ณ ที่ไกลแสนไกลจากบ้านเกิดเช่นนี้
“เที่ยวให้สนุกนะคะ”
หล่อนกับน้ารภีคุยกันอีกสองสามนาทีแล้วแยกย้ายวางสายไป
หญิงสาวนอนนิ่งอยู่สักพักก่อนจะลืมตาขึ้นมองเพดานโล่ง เสียงเครื่องปรับอากาศเย็นสบายเหมือนเพลงกล่อมชวนนอนต่ออีกรอบ แต่คิดไปคิดมาหล่อนควรออกไปดูคนเจ็บข้างนอกก่อน หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าคนที่เสียกำลังแขนทั้งพยุงทั้งลากมานั้นยังมีชีวิตอยู่ สองเพื่อถามว่าเขาต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ อย่างเช่นโทรศัพท์ติดต่อสถานทูต
ร่างบางคลานลงจากเตียงนุ่มอย่างอาลัยอาวรณ์ หยิบเสื้อผ้าที่ดูสุภาพมาเปลี่ยนแทนเสื้อบางๆ ของตน ก่อนจะส่องกระจกดูความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ผมยาวถูกสางลวกๆ ไม่ให้ดูเป็นผีญี่ปุ่นมากเกินไป หญิงสาวเดินไปเปิดประตูชะโงกซ้ายขวามองหาผู้บาดเจ็บคนเมื่อคืน ที่น่าแปลกคือร่างของชายเร่ร่อนหายไปไหนไม่รู้ เหลือแต่โซฟาสีเลือดหมูตัวโปรดที่ว่างเปล่าเท่านั้น
เดินไปดูที่ห้องน้ำก็ไร้ซึ่งวี่แววของสิ่งมีชีวิต หรือว่าเขาจะไปแล้ว...
พิมพ์นาราแอบบ่นชายเร่ร่อนในใจ เล่นหายตัวไปดื้อๆ แบบนี้มันใช่ซะที่ไหน เรื่องขอบคุณน่ะไม่เท่าไร แต่ไม่คิดจะบอกกล่าวล่ำลาสักคำ เขาไม่คิดบ้างเหรอว่าการที่หล่อนต้องมาพยุงร่างยักษ์หนักกว่ากระสอบข้าวสารนั้นมันไม่ใช่งานง่าย หนักก็หนักแถมเดินก็ไกล ช่างเป็นคนใจร้ายเสียจริง
หญิงสาวทำปากขมุบขมิบบ่นเป็นภาษาบ้านเกิดขณะสาวเท้ายาวๆ จ้ำอ้าวไปที่ห้องครัว...
หมับ!
“กรี๊ด!”
การกระชากอย่างแรงและปล่อยกะทันหันทำให้ร่างของหล่อนล้มคว่ำเข่ากระแทกพื้น สาบานว่าหล่อนเห็นแวบๆ ว่าเจ้าของมือผีนี่ถอยหลังหลบไป โชคดีเหลือเกินที่ใช้มือค้ำกันไม่ให้หน้าฟาดแหมะลงไปจูบพื้น หญิงสาวเงยหน้าขมวดคิ้วมองผู้กระทำแทบจะทันที แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรเสียงทุ้มก็ชิงขัดขึ้นมาก่อน
“อรุณสวัสดิ์” เขาเอ่ยเสียงแข็ง มองต่ำราวกับว่าไม่อยากจะเสียเวลาเสวนาด้วย
“ไปอรุณสวัสดิ์ในนรกเถอะ!”
พิมพ์นาราลุกขึ้นมาแทบจะทันทีที่จบประโยค ฝ่ามือบางเหวี่ยงฟาดไปยังผ้าก๊อซปิดแผลของอีกฝ่ายเต็มแรง ไม่แน่ใจว่าเสียง ‘เปรี๊ยะ!’ เมื่อครู่เกิดจากเนื้อฝ่ามือกระทบเนื้อแขน หรือว่าแผลของอีกฝ่ายมันระเบิดกันแน่
“ระยำ! นังบ้า!!”
พลั่ก!
คนบาดเจ็บคำรามลั่นพร้อมดันร่างบางไปชนผนังอย่างแรง ถ้ามันไม่ได้ทำมาจากปูน...สาบานด้วยวิญญาณฟาโรห์อียิปต์เลยว่าร่างของหล่อนคงทะลุกระเด็นออกไปแล้ว แต่ด้วยความที่มันเป็นปูนเลยทำให้สะเทือนไปยันกระดูก หญิงสาวยกมือทั้งสองข้างดันแผงอกอีกฝ่ายให้ออกห่างจากตัวตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่เป็นผลเท่าใดนักเมื่อเขายังคงนิ่งเฉยไม่รับรู้การต่อต้านที่ว่า
“นี่คุณ!” หล่อนกรี๊ดเสียงแหลมลั่น พยายามผลักร่างหนักออกไป
“เธอทำแผลฉันปริ!” น้ำเสียงแข็งกร้าวเข้ากันได้ดีกับแววตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ชายหนุ่มบีบต้นแขนในมือแน่น ถ้าไม่ได้บาดเจ็บอยู่กระดูกเล็กนี่คงหักเป็นสองท่อน
“แต่คุณทำฉันเจ็บก่อน!” หล่อนจ้องผู้กระทำโดยไม่หลบตาเช่นกัน ไม่ผิดคาด...ชายเร่ร่อนนั่นเอง
“ถ้าคุณไม่ปล่อยฉัน จากสถานทูตได้กลายเป็นสถานีตำรวจแน่!”
“ลองดูว่าจะมีโอกาสได้แจ้งรึเปล่า!”
“ปล่อย!”
หญิงสาวดิ้นไปมาอย่างไม่ยอมจำนน เตะต่อยอย่างบ้าคลั่งจนชายหนุ่มต้องรวบมือหล่อนเอาไว้ หล่อนหวีดร้องเสียงแหลมเมื่อข้อมือทั้งสองข้างถูกรวบในครั้งเดียว ผู้กระทำยิ้มเยาะมุมปากเมื่อคิดว่าตัวแค่นี้จะแผลงฤทธิ์ได้สักแค่ไหนกันเชียว
พลั่ก!
“บัดซบ!” เจ้าของเสียงทุ้มสบถลั่นก่อนจะคลายมือ เขาคำนวณพลาดไปอย่างมากเพราะฤทธิ์ร้ายของหล่อนยังไม่หมดแค่นั้น หล่อนใช้ศีรษะโขกเข้ามาที่ปลายคางของเขาเต็มแรงจนเซถอยหลังไปสองสามก้าว การยิ้มเยาะก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นโดนอีกฝ่ายเสยคางจนกัดลิ้นตัวเอง!
เมื่อได้จังหวะเหมาะร่างบางจึงสลัดกำแพงขนาดย่อม ยกเท้าถีบต้นขาของชายไร้บ้านเต็มรัก ก่อนจะวิ่งเต็มฝีเท้าออกมาจากห้องครัว
“ช่วยด้วย!” หล่อนกรีดร้องเผื่อว่าคนที่ผ่านไปผ่านมาข้างนอกจะได้ยิน
ตึง ตึง ตึง
เสียงฝีเท้าหนักวิ่งตามมาจากด้านหลัง หญิงสาวไม่แม้แต่จะเสียเวลาหันไปมองเพราะรู้ว่าสิ่งที่ตามมาคืออะไร แม้ไม่เคยเห็นผีแต่เดาว่าผีหลอกคงไม่น่ากลัวเท่านี้ ข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าวก็จะเป็นประตูห้องนอนที่มีโทรศัพท์อยู่
‘ไปสถานีตำรวจเถอะ’
หมับ!
ก่อนที่มือเล็กจะคว้าลูกบิดประตู ร่างบางก็ลอยหวือจากพื้นเพราะโดนชายนิรนามข้างหลังรวบเอว!
“กรี๊ดดด!”
ความตกใจระคนความกลัวทำเอาหญิงสาวดิ้นสุดแรงเกิด ชายหนุ่มขมวดคิ้วกัดฟันแน่นต้านแรงของร่างบางในวงแขน แต่ทนได้เพียงไม่นานแรงดิ้นของอีกฝ่ายก็ชนะ ร่างของคนทั้งคู่หงายหลังล้มตึงกลิ้งไปพร้อมกัน บาดแผลที่เจ็บอยู่แล้วพลันเจ็บมากขึ้นไปอีก ใบหน้าแข็งกร้าวแดงก่ำ จากแค่หงุดหงิดพลันแปรเปลี่ยนเป็นเดือดดาล
ความแรงจากการกระแทกทำให้หญิงสาวนอนมึนไปชั่วครู่ หล่อนไม่อาจรู้เลยว่าเพียงไม่กี่วินาทีนั้นจะเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายกระโดดขึ้นคร่อมเหมือนหมาป่าล่าเหยื่อ!
“แสบนักนะ!” ชายหนุ่มรวบแขนเล็กไว้เหนือศีรษะ และตะโกนลั่น
หญิงสาวเบิกตากว้าง นอกจากใบหน้าบิดเบี้ยวถมึงทึงนั่นแล้ว ของเหลวสีแดงที่ไหลเป็นทางจากบาดแผลอันเกิดจากฝ่ามือของหล่อนก็น่ากลัวไม่แพ้กัน
“ปล่อย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!” หญิงสาวพยายามขัดขืนด้วยการดิ้นไปมา แต่ยิ่งดิ้นอีกฝ่ายก็ยิ่งตรึงหล่อนไว้แน่นจนรู้สึกชาที่ข้อมือ แรงกดนั้นทำให้หล่อนรู้สึกเจ็บ สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ได้จึงหยุดและจ้องกลับด้วยแววตาเอาเรื่อง
“ฉันไม่น่าช่วยคุณเอาไว้เลย!” หญิงสาวร้องเสียงแหลม
“เหอะ! ฉันก็ไม่ได้ขอให้เธอมาช่วย! สาระแน!”
“ขนาด ‘หมา’ ฉันยังช่วยเลย ไม่งั้นคุณก็บอกว่าอยากตายสิ ฉันจะได้ปล่อยให้ตายไร้ญาติอยู่ตรงนั้น!” หล่อนเน้นบางคำ ตะโกนกลับด้วยความโมโหเช่นกัน
“คนปากดีแถวนี้คงได้ตายก่อน!” ชายหนุ่มบีบใบหน้าของคนใต้ร่างอย่างแรง ก่อนจะสะบัดออกเหมือนจับของสกปรกชิ้นหนึ่ง
การกระทำกักขฬะรุนแรงทำเอาขอบตาทั้งสองของหล่อนร้อนผ่าว นี่มันเวรกรรมอะไรกันแน่ หล่อนไปช่วยงูเห่ามาหรืออย่างไร มันถึงได้ชูคอแว้งกัดเช่นนี้
“คุณต้องโตมาแบบไหนถึงได้ทำมารยาททรามๆ กับคนที่ช่วยชีวิตคุณ หรือว่าไม่มีใครสั่งสอน!”
ผู้ถูกด่าชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกัดฟันดังกรอด นี่เป็นคำถามบัดซบที่สุดเท่าที่คนถามยังมีชีวิตอยู่ นอกนั้นแค่พูดจาไม่เข้าหูก็ไปนอนคุยกับดินในหลุมแล้ว!
“ปากดีจังเลยนะ!” ผู้พูดกระตุกยิ้ม ดูน่ากลัวมากกว่าเป็นมิตร
ผู้หญิงบ้านี่ตบเข้าที่แผลเขาจนปริ แถมยังสะดีดสะดิ้งเสยคางเขาอีก หล่อนคิดว่าจะลูบหัวเสือแบบไม่ยอมให้มันกัดได้อย่างนั้นหรือ จากที่อารมณ์กำลังคุกรุ่นอยู่แล้วพลันรู้สึกเหมือนลาวาปะทุ
ตอนนั้นเขาเพียงแค่จะดึงแขนอีกฝ่ายเพื่อเข้ามาคุย แต่ผู้หญิงคนนี้กลับสำออยทำเซเหมือนจะล้มใส่ แผลก็ยังระบมอยู่ จะให้ไปเป็นเบาะให้หล่อนกระแทกหรือไง มันเป็นเรื่องปกติที่เขาจะหลบเพื่อป้องกันตัวเอง
ทั้งสองฟาดฟันกันด้วยสายตาอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่เพียงไม่นานหญิงสาวก็เริ่มตระหนักกับความล่อแหลมของ ‘ท่วงท่า’ ในขณะนี้ หากไม่มีใครยอมลดราวาศอก หล่อนไม่อยากจะคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เมื่อคิดได้จึงพยายามควบคุมเสียงที่สั่นเครือเอ่ยถามทำลายความเงียบ
“คุณต้องการอะไร”
“ก่อนหน้านี้ฉันแค่อยากจะคุยเรื่องที่เธอไม่ทำตามคำสั่งของฉันเมื่อคืน แต่ดูสิ่งที่เธอตอบ!” ชายหนุ่มชี้ไปที่บาดแผล และย้ายไปที่ริมฝีปากหยักของตน สีแดงของเลือดยิ่งขับเน้นความอึมครึมมึนตึง
“ฉันขอโทษ” หล่อนเอ่ยขอโทษเมื่อเห็นบาดแผลของอีกฝ่าย ต่อให้ไม่เต็มใจอย่างไรก็ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน
“ถ้าอย่างนั้นคุณควรจะรีบทำแผลนะ” ผู้พูดพยายามขยับตัวออกจากพันธนาการ มีเพียงนัยน์ตาสีครามเท่านั้นที่กลอกไปมา ร่างสูงใหญ่ยังคงไม่ขยับเขยื้อน
“แค่คำขอโทษแล้วทุกอย่างจะจบ?”
“แล้วฉันทำอะไรผิด คุณลองคิดดู ฉันช่วยใครก็ไม่รู้มา แต่อยู่ๆ ก็โดนคนนั้นเข้ามาทำร้าย ฉันผิดเหรอถ้าจะป้องกันตัว นี่ไม่นับรวมที่คุณผลักฉันใส่ผนัง ฉันก็กลัวเป็นนะ!”
“ป้องกันตัว?” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ สีหน้าเหมือนฟังเรื่องขำขันน่าสมเพช
“ใช่ เพราะฉันตกใจเลยทำอะไรรุนแรงไปหน่อย เอาเป็นว่าพวกเราควรหายกัน” หล่อนข่มความกลัวแล้วอธิบาย พยายามดันร่างหนักด้านบนให้ลุกออกไป
“หายกัน? ง่ายไปหน่อยมั้ง การทำธุรกิจไม่มีเสมอ มองยังไงฉันก็ขาดทุนมากกว่า” เขากล่าวเสียงราบเรียบ
“ฉันช่วยคุณมา แต่คุณบอกว่าตัวเองขาดทุน?”
“หึ! อยากลำเลิกบุญคุณสินะ งั้นก็ว่ามา ค่าแรง ค่ายาที่ทำแผล แล้วยังมีค่าอะไรอีกนะ อ้อ...ค่านอนค้างที่นี่หนึ่งคืน ทั้งๆ ที่เทียบไม่ได้กับม่านรูดถูกๆ ด้วยซ้ำ อีกอย่างฉันคงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่ คนติดตามของฉันคงโผล่มาแล้วถ้าเธอทำตามคำสั่งฉันตั้งแต่แรก แต่ไม่เป็นไร ถ้าอยากได้เงินจนตัวสั่นระริกฉันก็จะให้”
“เหอะ! คุณว่าอะไรนะ” ใบหน้าของผู้ฟังเปลี่ยนสี หล่อนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพ่นออกมา ตรรกะพังพินาศแทบฟังไม่ได้
“เธอคิดว่ามันจะหายกันไปได้งั้นเหรอ เธอมีปัญญาชดใช้ค่าเสียเวลาที่ฉันต้องมาอยู่ที่นี่เหรอ ค่าความเสี่ยงต่อชีวิตที่คนอย่างฉันต้องมาให้คนไม่มีสมองอย่างเธอช่วยอีก ถ้าเกิดแผลฉันติดเชื้อขึ้นมาเธอจะรับผิดชอบไหวเหรอ แล้วยังกล้าทำแผลฉันปริ เลือดฉันหนึ่งหยดมีค่ามากกว่าเงินเดือนเธอทั้งปีซะอีก น้ำหน้าอย่างเธอมีปัญญาชดใช้รึไง” เขาใช้นิ้วชี้กดศีรษะเล็กอย่างแรงเป็นการสั่งสอน ก่อนจะกลอกตามองบริเวณโดยรอบ...ก็แค่ผู้หญิงจนๆ คนหนึ่ง
หญิงสาวสะบัดหน้าหนี ไม่อยากจะเชื่อหูเชื่อตาตัวเองว่ามีคนแบบนี้ในโลกคำพูดคำจาก็ว่าเลวร้ายแล้ว แต่ความคิดและทัศนคตินี่เข้าขั้นเลวทราม!
“ขอโทษนะ คุณต้องล้อฉันเล่นแน่ๆ คุณต่างหากที่ควรจะทั้งขอบคุณและขอโทษฉัน ฉันช่วยคุณมาแต่คุณกลับตอบแทนฉันด้วยความหยาบคาย แล้วคุณจะให้ฉันชดใช้อะไรให้คุณมิทราบ เรื่องที่ช่วยคุณมาเหรอ!” น้ำเสียงที่ใช้เต็มไปด้วยกราดเกรี้ยว เชิดหน้ามองกลับด้วยแววตาเหยียดหยามไม่ต่างกัน
“ฉันกับคุณถึงเราจะมาจากคนละที่ คนละเชื้อชาติคนละภาษา แต่เราก็เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ฉันแค่คนที่บังเอิญผ่านไปแล้วเจอคนกำลังนอนเจ็บ ต่อให้เป็นคุณหรือไม่เป็นคุณฉันก็จะช่วย นี่เป็นน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ที่แสดงออกต่อกัน ถ้าคุณไม่พอใจขนาดนั้นก็ออกไป เพราะฉันก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วเหมือนกันที่เสียสติไปช่วยคนอย่างคุณ!”
“อยากได้ผลประโยชน์?” คำพูดของหล่อนทำให้เขาต้องคิดอะไรบางอย่าง แน่นอน...เขาไม่มีวันช่วยคนที่ไม่มีผลประโยชน์ ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตล้วนมีแต่จุดประสงค์เดิมๆ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใคร และไม่เคยให้ใครมาดูดผลประโยชน์แบบฟรีๆ
และแน่นอน...เขาไม่ยอมให้หล่อนมาลำเลิกบุญคุณยิกๆ หรอก น่ารำคาญ!
“แล้วมันราคาเท่าไหร่”
“อะไรนะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ให้เธอช่วยฉันฟรีๆ แน่” เขายักไหล่ตอบอย่างไม่ยี่หระ ราวกับการใช้เงินแก้ปัญหาเป็นเรื่องถูกต้อง
“น้ำใจบ้านคุณสิเอามาตีราคาได้ถ้าคุณเก่งขนาดนั้นทำไมไม่บวกลบคูณหารมาให้ฉันเลยล่ะ!”
“ฉันจะให้เงินเธอไปตั้งตัวแล้วกัน ฉันแน่ใจว่ามันจะมากกว่าที่เธอทำงานทั้งชีวิต”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโพลงด้วยความตกใจ ตอนแรกชายหนุ่มเดาว่าหล่อนอาจจะดีใจจนเก็บอาการไม่มิด แต่ไม่นานเขาก็ได้คำตอบ แววตานั้นไม่ได้มีความดีใจสักกระผีก กลับเต็มไปด้วยความเหยียดหยามปนสมเพชเวทนา จ้องมองโดยปราศจากคำพูด
ผู้ถูกมองพลันรู้สึกหน้าชา นั่นเป็นแววตาที่เขาไม่เคยได้จากใครมาตลอดชีวิต
“หนึ่งล้านเหรียญ มันน้อยไปเหรอ!”
สิ่งที่เขาต้องการจะเห็นคือแววตาลุกวาวด้วยความดีใจ ความตะกละโลภมาก หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้รู้สึกเป็นฝ่ายควบคุมมากกว่านี้ แต่ท่าทีของอีกฝ่ายช่างตรงกันข้าม ตาคู่นั้นมีแววเหยียดหยาม นิ่งเฉย และหล่อนก็แสยะยิ้มออกมานิดๆ
“หรืออยากได้เท่าไหร่ก็ว่าราคามาเลย!”
“เก็บเงินไว้ดูแลตัวเองเถอะ ฉันไม่อยากได้อะไรจากคุณ”
หญิงสาวไม่รู้เลยว่าตนเองได้จุดอารมณ์บางอย่างของอีกฝ่ายให้ลุกโชนขึ้น หล่อนเพียงแค่คิดสมเพชในหัวว่าเขาช่างเก่งกาจเสียจริง ตีราคาทุกอย่างออกมาเป็นตัวเงินได้หมด คำว่าน้ำใจหรือขอบคุณคงไม่ต้องหวังว่าจะมีในคนแบบนี้ คนซึ่งไม่สมควรต่อล้อต่อเถียงเอามาเป็นอารมณ์
“ไม่อยากได้เงิน หรือว่าเธออยากได้อย่างอื่น...” นัยน์ตาสีครามหรี่ลงจ้องอย่างเจ้าเล่ห์ ผู้หญิงก็เหมือนกันหมด
“ฉันไม่อยากได้อะไรจากคุณทั้งนั้น นอกจากให้คุณออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้!” หญิงสาวพลันรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา พยายามบิดแขนออกจากมือหยาบกระด้างของอีกฝ่าย
“เล่นตัวไปก็ไม่ทำให้ฉันอัปราคาให้หรอก!”
“ฉะ...” ยังไม่ทันที่คำพูดจะเล็ดลอดออกมา ริมฝีปากร้อนผ่าวของคนตรงหน้าก็ประทับลงบนริมฝีปากหล่อนอย่างหนักหน่วง
หญิงสาวเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ จากนั้นมือบางก็ทั้งทุบและต่อยไปที่แผงอกกำยำของคนสารเลวด้านบนทันที แต่แรงของเขามีมากกว่าทำให้หล่อนไม่อาจสู้ ร่างบางจึงได้แต่ดิ้นขลุกขลักพยายามเบี่ยงหน้าหลบความป่าเถื่อนจากผู้รุกราน
ชายหนุ่มคำรามในลำคอเมื่อรู้สึกถึงฟันคมกัดเข้าที่ริมฝีปากสร้างรอยแผลใหม่ เขาถอนจุมพิตออกจากคนใต้ร่างและตวาดเสียงกร้าว
“ชอบแบบซาดิสม์เหรอ!”
ไม่ปล่อยให้หญิงสาวได้หายใจอีกรอบ มือแข็งแรงประดุจคีมเหล็กก็บีบเข้าที่แก้มนิ่มอย่างไม่ปรานี ครั้งนี้ริมฝีปากหล่อนเปิดอ้าออกรับสัมผัสกักขฬะได้อย่างถนัดถนี่
หญิงสาวหวีดร้องในลำคอ คนสารเลวด้านบนใช้ฟันกัดริมฝีปากของหล่อนคืนจนรู้สึกถึงรสเลือดในโพรงปาก ลิ้นสากรุกล้ำเข้ามาเหมือนสัตว์ป่าหิวกระหาย แม้จะเจ็บ อับอาย และรังเกียจแค่ไหน แต่หล่อนไม่สามารถหลีกหนีจากการรุกรานครั้งนี้ได้เลย
สะใจได้เพียงไม่นาน อีกฝ่ายกลับทำในสิ่งที่ชายหนุ่มไม่คาดคิด เล็บทั้งห้าจิกเข้าที่หลังคอของเขาอย่างแรง รู้สึกเหมือนเนื้อจะหลุดติดมือเล็กนั่นออกมาด้วยก็ไม่ปาน ความเจ็บปวดทำให้เขากุมหลังคอและผงะถอยหลัง โมโหจนแทบจะฉีกคนใต้ร่างให้ตายคามือ
เผียะ!
เสี้ยววินาทีที่หญิงสาวเป็นอิสระ ฝ่ามือร้อนฉ่าก็ฟาดเข้าที่ใบหน้าคนสารเลวแทบจะทันที จังหวะที่ร่างหนาหงายไปด้านหลังหล่อนก็ใช้กำลังทั้งหมดพลิกตัวคลานหนีออกมาจากเงื้อมมือมัจจุราช แต่ยังไม่ทันที่จะได้ลุกขึ้น มือหยาบกระด้างก็คว้าหมับเข้าที่ข้อเท้าลากหล่อนกลับมาเหมือนเด็กเล่นของเล่น
“ดี! ดิ้นเข้าไป!”
“กรี๊ดดด!"
หญิงสาวกรีดร้องเมื่ออีกฝ่ายดึงทึ้งกระดุมเสื้อคลุมของหล่อนออก ตามด้วยฝ่ามือหยาบหนาปิดปากปิดจมูกจนได้ยินแค่เสียงอู้อี้ ร่างบางดิ้นขลุกขลักเหมือนปลาเอาชีวิตรอดบนบก ขยะแขยงจนแทบอ้วกเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดที่ทะลักเข้ามาเต็มปากและจมูก หล่อนไม่แน่ใจว่าเป็นเลือดของตัวเองหรือว่าเป็นเลือดที่ไหลมาจากแผลของเขา แต่ไม่ว่าจะข้อไหนมันก็น่ารังเกียจอยู่ดี!
“แบบนี้ฉันก็ถนัดนะ!”
ชายหนุ่มกัดไปที่ซอกคอขาวจนขึ้นเป็นรอยฟันแดงๆ มือที่ว่างจากการปิดปากก็บีบเคล้นทรวงอกเต่งตึงจนแทบทะลักออกมาจากซอกนิ้ว ทั้งคอ เนินอก ต่างมีรอยเขี้ยวและรอยมือประทับอยู่หญิงสาวแผลงฤทธิ์แผลงเดชอยู่ได้ไม่นาน เมื่อเห็นว่าหล่อนสงบลง เขาจึงหยุดการกระทำและจ้องมองอย่างผู้กุมชัยชนะ
ร่างบางหยุดการต่อต้านและนอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ ผมยาวสีดำพันกันยุ่งเหยิงอยู่บนพื้น ใบหน้าเรียวเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นของใคร ดวงตาโตแดงก่ำเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ริมฝีปากอวบอิ่มสั่นระริกกลับไร้ซึ่งเสียงสะอื้น
คนสารเลวถอยออกไปเพื่อให้อิสระ แต่นัยน์ตาดุดันกลับยังคงจ้องมองไม่วางหล่อนได้แต่ข่มร้อยแปดความหวาดกลัวไว้ในใจ ก่อนจะยันตัวขึ้นและเขยิบถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ
“เอาเงินของคุณมาแล้วออกไปจากที่นี่ซะ!” พิมพ์นาราข่มเสียงไม่ให้สั่นไหวไปมากกว่านี้ ถึงจะขัดกับหยาดน้ำตาที่เอ่อนองเต็มใบหน้าก็เถอะ
เมื่อเห็นสภาพของหญิงสาวชัดๆ กลับเป็นเขาเองที่หมดอารมณ์สานต่อ ความเดือดดาลเมื่อครู่ค่อยๆ ลดลง ใบหน้าเล็กมีรอยแดงจากนิ้วมือของเขาครบทั้งห้า แทบไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเผลอใช้กำลังมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร คู่ขาคู่ควงที่ผ่านมาก็ล้วนแต่พึงพอใจในความบ้าคลั่งดิบเถื่อน แม้เริ่มต้นจะร้องวี้ดว้ายแต่สุดท้ายก็จบลงด้วยเสียงครวญคราง ทว่าสภาพของหล่อนดูเหมือนจะต่างออกไป แทบไม่มีอะไรต่างไปจากโสเภณีราคาถูกโดนรุมโทรม
“หึ! เธอได้เงินที่ต้องการแน่” ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างกดบาดแผลที่แขนของตน ความเจ็บค่อยๆ ปลุกอารมณ์ให้แจ่มใส
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้ายิ่งกว่าครั้งไหนๆ เขามั่นใจว่าได้ยินกระทั่งเสียงเข็มนาฬิกาบอกวินาที ในใจได้แต่สบถและก่นด่าผู้ติดตามทั้งสอง ป่านนี้แล้วทำไมถึงยังไม่เสนอหน้ามาอีก!
หญิงสาวกุมสาบเสื้อนั่งกอดเข่าจ้องเขม็งไปยังประตู กัดริมฝีปากไม่ให้หลุดสะอื้นออกมา ภาวนาต่อฟ้าดินให้ใครก็ได้เอา ‘สัตว์’ ตัวนี้ออกไปจากบ้านของหล่อนที ถึงแม้จะไม่ได้มองหน้าคนสารเลว แต่รู้สึกถึงสายตาเหยียดหยามไม่เป็นมิตร เหมือนความดันอากาศลดลงทำให้หายใจไม่ถนัด ร่างบางได้แต่กระชับวงแขนกอดตัวเองแน่นขึ้นอีก ข่มความกลัวไม่ได้ และกลั้นน้ำตาก็ไม่ไหว
‘ทำบุญให้สัตว์โลก!’
หญิงสาวถูเนื้อตัวอย่างแรง อยากจะวิ่งไปล้วงคออ้วกเอาความขยะแขยงออกมาให้หมด แล้วใช้แอลกอฮอล์บ้วนปากซ้ำสักร้อยรอบ ความหวาดกลัวและเกลียดชังทำให้หล่อนแทบจะลุกขึ้นไปเอามีดมาฆ่าชายผู้นี้
เวลาที่นานราวชั่วกัลปาวสานถูกทำลายลงเมื่อเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น มันเป็นเวลาไม่ถึงครึ่งวินาทีที่หล่อนมองเฉียดเขาไป แน่นอนว่าสายตานั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่หล่อน
ผู้ถูกกระทำข่มความอับอายลุกขึ้นไปส่องตาแมวมองผู้มาใหม่ แม้ไม่มีกระจกก็พอจะรู้ว่าสภาพตนเองตอนนี้มันเละเทะแค่ไหน แต่หล่อนไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ ขอแค่ให้เขาไสหัวออกไปจากชีวิตก็พอ!
ประตูไม้ถูกเปิดต้อนรับผู้มาเยือน ชายหนุ่มสองคนในชุดสูทสีดำยืนรออย่างสงบ ด้านหลังของพวกเขามีรถหรูจอดอยู่หลายคัน และชายฉกรรจ์อีกนับสิบยืนรออย่างเป็นระเบียบ ลางสังหรณ์บอกหล่อนว่าสิ่งที่คนสารเลวพูดน่าจะเป็นความจริง พวกนี้น่าจะเป็นคนติดตามที่ว่า
เมื่อเห็นเจ้าบ้าน รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าผู้ติดตามก็พลันหุบลงทันควัน ทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่คนหนึ่งจะพูดขึ้นมา
“เอ่อ...ไม่ทราบว่ามี เอ่อ...คนบาดเจ็บ” ฮาฟิซหุบปากแทบไม่ทันเมื่อโดนพี่ชายฝาแฝดหยิกให้ที่กลางหลัง เขาเพิ่งจะนึกได้ หากถามถึงคนบาดเจ็บ...เจ้าของบ้านควรไปโรงพยาบาลก่อนคนแรกเลย
“เอ่อ...ไม่ใช่ครับ พวกผม...” เขาพยายามเอ่ยแก้
“ถ้ามาหาคนก็รีบเอากลับไป” หญิงสาวเบี่ยงตัวให้ฝาแฝดคู่นี้เข้ามาในบ้าน ทั้งใบหน้าและรูปร่าง ทั้งสองเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว
“กว่าจะเสนอหน้ามาได้!” เสียงทุ้มดังมาจากข้างหลังก่อนที่มือหยาบของผู้พูดจะดึงร่างของหล่อนให้ถอยห่างจากประตูอย่างแรง
พิมพ์นารากำมือแน่น สาปแช่งตัวเองที่ช่วยคนแบบนี้มา
“ผมดีใจที่นายท่านปลอดภัย” แฝดผู้พี่กล่าว
“แต่ฉันคิดว่าพวกแกคงเป็นผีเฝ้าทะเลทรายไปแล้ว”
“น่าจะเป็นทีหลังนายท่านนะครับ” แฝดอีกคนกล่าวเมื่อเห็นสภาพของผู้เป็นเจ้านาย
“ฉันเป็นเพื่อนเล่นแกตั้งแต่เมื่อไหร่!”
ทั้งสองแย้มยิ้มเมื่อเห็นว่าผู้เป็นเจ้านายไม่เพียงแค่ปลอดภัย แต่ยังมีแรงพูดจาแดกดัน ฮาฟิซลอบมองไปทางหญิงสาวเจ้าของบ้านด้วยสายตาฉงนเป็นพักๆ หรือจะเป็นพวกนักฆ่าที่โดนนายท่านจัดการแต่ดันไม่ตาย เพราะสภาพอีกฝ่ายดูยังไงก็ไม่เหมือนคนปกติจริงๆ
“ฉันจะจ่าย ‘ค่ารักษาพยาบาล’ ไปเอาเช็คมา” ผู้เป็นเจ้านายออกคำสั่ง นัยน์ตาสีครามปรายมองด้านข้างเล็กน้อย
ยะตีมไม่ถามอะไรให้มากความ หยิบบางสิ่งออกมาจากข้างในเสื้อสูท และเหลือบมองไปยังหญิงสาวชั่วครู่ เขาก็มีความสงสัยอย่างเดียวกับน้องชายฝาแฝด
“หนึ่งล้านน่าจะพอนะ!” ชายหนุ่มเขียนตัวเลขและเซ็นชื่อลงบนเช็คอย่างรวดเร็วตามความเคยชิน ก่อนจะปากระดาษใบน้อยซึ่งมีมูลค่าพอสมควรใส่หน้าเจ้าของบ้านอย่างหยาบคาย
ดวงตาโตมองกระดาษสีขาวค่อยๆ ตกลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก คล้ายกับความอดทนของหล่อนที่สุดท้ายก็มาถึงจุดสิ้นสุด มือบางกำหมัดแน่นจนตัวสั่นเทิ้ม
เหมือนผู้ติดตามทั้งคู่จะคาดเดาอะไรออก แฝดผู้น้องจึงพูดขึ้นทำลายบรรยากาศอึมครึม
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือเจ้านายของพวกผมครับคุณผู้หญิง”
“เชิญพวกคุณไปเถอะค่ะ” หล่อนไม่แม้แต่จะปรายตามอง สายตาทะลุพวกเขาออกไปเสมือนเป็นอากาศธาตุ
“หึ! คนเขาจะรีบไปใช้เงิน พวกแกอย่าไปขวางเลย” ผู้บาดเจ็บเดินตัวปลิวออกจากบ้านตรงไปที่รถ ก่อนจะตะโกนเรียกเมื่อเห็นว่าผู้ติดตามของตนไม่ตามมาสักที
“ชักช้าทำไม!”
ผู้ติดตามทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่คนหนึ่งจะล้วงนามบัตรออกมาส่งให้เจ้าบ้านผู้โชคร้าย
“ถ้ามีปัญหาอะไรติดต่อมาที่ผมได้เลยนะครับ เจ้านายพวกเราคงทำให้คุณลำบากไม่น้อย” ยะตีมกล่าวด้วยความสุภาพยิ่งเพราะรู้จักนิสัยผู้เป็นเจ้านายดี
ปัง!
ไม่มีคำตอบใดทั้งสิ้น หญิงสาวปิดประตูใส่หน้าคนทั้งสองแบบไม่ต้องรักษาคำว่ามารยาท ทั้งคู่มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรให้มากความ
พิมพ์นาราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าการกระทำทั้งหมดของตนตกอยู่ในสายตาของชายนิรนาม ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย เขาไม่เชื่อว่าจะมีอะไรในโลกนี้ที่เงินซื้อไม่ได้!
ความคิดเห็น |
---|