3

ปารีส...เมืองแห่งรัก


3

ปารีส...เมืองแห่งรัก

 

แน่นอนว่าเรื่องเมื่อสองอาทิตย์ก่อนยังติดค้างอยู่ในหัว หลังจากจัดการปัญหาการส่งสินค้าเสร็จเรียบร้อย นอกจากงานมหาศาลที่ต้องจัดการ ทุกวันมิเกลก็จะเจียดเวลาถามผู้ติดตามด้วยประโยคเดิมซ้ำๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเอาเช็คมาขึ้นเงินรึยัง”

“ยังครับ”

“หึ! อยากจะเล่นตัวเพื่อเอาเงินมากกว่าเดิมละสิ!”

“...”

หล่อนต้องใช้ลูกไม้ปัญญาอ่อนพยายามดึงความสนใจแน่นอน ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอใครที่กล้าปฏิเสธเงื่อนไขแบบนี้ได้ แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง คงเสียใจที่ยังไม่ได้ใช้มารยามากกว่า

“โทร. ไปเช็กกับธนาคาร พวกนี้ทำงานช้ายิ่งกว่าอะไร” ผู้พูดใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะทำงาน นัยน์ตาสีครามหรี่ลงเล็กน้อย

“เงินล้านเหรียญนะครับนายท่านไม่ใช่ร้อยเหรียญ ถ้ามีการเคลื่อนไหวจริงๆ ทางธนาคารต้องแจ้งมาแล้ว” ฮาฟิซตอบโดยที่ไม่ละสายตาจากเอกสารในมือ

“แล้วแกเช็กรึยัง”

“ยังครับ”

“ฉันว่าแล้วเชียว ใครจะปฏิเสธเงินได้” เจ้านายหัวเราะในลำคอขณะเอนร่างพิงพนักเก้าอี้ ใบหน้าแข็งกร้าวฉายความพอใจอย่างปิดไม่มิด ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง...

สองผู้ติดตามฝาแฝดอดมองหน้ากันไม่ได้ น่าแปลกที่เจ้านายผู้ไม่สนใจเรื่องหยุมหยิมสามารถแบ่งเวลามาสนใจเรื่องผู้หญิงคนหนึ่ง แถมยังกินเวลานานขนาดนี้

“หลังจากที่เราปิดกั้นการส่งและขายอาวุธของชีคอาเหม็ดแล้ว สายของเรารายงานมาว่าทางนั้นค่อนข้างลำบากทีเดียว นอกจากต้องระวังพวกโจรทะเลทรายแล้วยังต้องระวังพี่น้องกันเองแย่งชิงกองสมบัตินั่นอีก” ยะตีมรายงานตามข่าวกรองที่ตนได้รับอย่างไม่มีตกหล่น

“ส่งอาวุธกับเสบียงไปเพิ่มให้พวกโจรทะเลทรายอีก ติดต่อพวกพี่น้องพวกนั้นด้วย ถ้าสนใจมาร่วมธุรกิจกันฉันก็ยินดี” ผู้เป็นเจ้านายโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

“เรื่องติดต่อคงไม่มีปัญหา แต่เรื่องอาวุธ...รอบก่อนเราก็ส่งไปให้เยอะแล้วนะครับ เกรงว่าจะน่าสงสัยเอาได้”

“ไอ้ชีคแก่นั่นจะได้รู้ว่ากำลังเล่นอยู่กับอะไร กล้ามากนะที่ส่งคนมาฆ่าฉัน ระยำจริงๆ ในเมื่อมันคิดลงมือกับฉัน คงคำนวณผลลัพธ์ตอนทำพลาดไว้แล้ว” ริมฝีปากหยักวาดรอยยิ้มเย็นเยียบ ไม่คิดจะเหลือทางรอดไว้ให้อดีตหุ้นส่วนที่แว้งกัด

“ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้นะครับ นายท่านเล่นไปเจ๊าะแจ๊ะกับสาวในฮาเร็มเขาก่อน ครั้งนี้นายท่านน่าจะโดนฟันสักทีสองทีจริงๆ” ฮาฟิซส่ายหน้าพูดติดตลก ไม่คิดจะเข้าข้างผู้เป็นเจ้านายเท่าไร

“ฉันเป็นเพื่อนเล่นแกเหรอ”

“ได้ครับ ผมจะรีบจัดการให้” สองฝาแฝดส่งสัญญาณให้กัน ก่อนจะขอตัวออกมาข้างนอก

ภายในห้องทำงานกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง ผู้เป็นเจ้าของเอนหลังนั่งไขว่ห้างมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์สวยถูกใจสมเป็นห้องราคาแพงที่สุดของโรงแรมห้าดาว ความหรูหราไม่ต้องพูดถึง แค่แจกันดอกไม้ก็แทบจะเคลือบทองคำอยู่แล้ว ผู้หญิงจนๆ คนหนึ่งคงไม่มีทางได้สัมผัสความรู้สึกอะไรแบบนี้

“กล้าปฏิเสธเงินของฉันเหรอ...ไม่มีทาง”

 

“ฉันไม่อยากให้เธอไปเลย เธอไม่ลาออกไม่ได้เหรอ” หญิงสาวผมทองกระโดดกอดเพื่อนสาวพลางส่งสายตาละห้อยอ้อนวอน ทำงานมาด้วยกันก็นาน อยู่ๆ มาได้ยินว่าเพื่อนสนิทที่แสนจะน่ารักยื่นจดหมายลาออก มันใช่เรื่องที่จะทำใจได้เหรอ

“โธ่...อลิซ” พิมพ์นาราขยี้ผมอีกฝ่ายเบาๆ

“ฉันไม่ได้ไปดาวอังคารสักหน่อย แค่กลับไปหางานทำที่บ้านเกิดแค่นี้เอง จากมานานฉันก็คิดถึงบ้านเหมือนกันนี่นา ทีเธอยังบินไปบินมาระหว่างที่นี่กับฝรั่งเศสเป็นว่าเล่น ไม่รู้คิดถึงบ้านหรือคิดถึงใคร”

“แซวไปเถอะ ไว้มีมั่งแล้วจะรู้” ผู้ถูกแซวทำหน้างอน แต่ก็ลงมือช่วยเพื่อนสาวเก็บของใส่กล่องแต่โดยดี

“แล้วเมื่อไหร่หนูจะหาคนถูกใจล่ะลูก น้ากับอลิซรอลุ้นอยู่” เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นจากด้านหลัง

ผู้เป็นหลานยิ้มกว้างหลุดหัวเราะแทบจะทันที

“ไม่เอาด้วยหรอกค่ะ หนูอยู่รอดูหลานๆ โตดีกว่า”

“พูดไปเถอะนารา ระวังมันจะมาแบบไม่รู้ตัว” สาวชาวฝรั่งเศสหัวเราะลั่นเสียงสดใส รีบหลบสันหนังสือเป็นพัลวัน

“เธออยากจะกลับไปเก็บของที่บ้านรึเปล่า เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน”

มือของพิมพ์นารากระตุกเล็กน้อย พยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้าให้เป็นปกติ หลังจากเหตุการณ์สยองขวัญเมื่อเดือนที่แล้ว หล่อนก็ผวาไม่กล้าอยู่คนเดียว หากจะเล่าให้ใครฟังก็กลัวเป็นเรื่องใหญ่ จึงได้แต่กุเรื่องโกหกบอกเพื่อนและน้าสาวไปว่า คืนที่หล่อนออกไปซื้อของ มีโจรมาแงะประตูบ้านและทิ้งร่องรอยเอาไว้ หลังจากนั้นไม่ต้องเอ่ยอะไรให้มากความ เพื่อนสาวที่แสนรู้ใจก็ชวนให้หล่อนขนของย้ายไปอยู่ด้วยกัน

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีอะไรสำคัญ” พิมพ์นารายิ้มน้อยๆ รักษาอาการ ไม่มีทางที่หล่อนจะกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกแน่นอน

“น้าติดต่อบริษัทส่งของไว้ให้แล้ว วันอาทิตย์น้าจะเข้าไปดูพวกคนงานขนของ บางทีอาจจะไปถึงที่ไทยช้าหน่อย หนูไม่มีของมีค่าหรืออะไรสำคัญใช่ไหมลูก”

“ขอบคุณคุณน้ามากๆ นะคะที่เป็นธุระให้หนู” พิมพ์นาราไหว้ขอบคุณจากใจจริง ถึงแม้น้ารภีจะไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิด แต่ก็ดูแลหล่อนมาไม่ต่างจากดูแลลูกๆ เลย

“ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ เด็กนี่...”

หญิงสาวใช้เวลาจัดการกับเอกสารและข้าวของต่างๆ อีกสองสามวัน เมื่อดูบัญชีเงินเก็บแล้วก็อดที่จะภูมิใจในตัวเองไม่ได้ เงินเดือนและโบนัสที่สะสมมาสามปีนี้ทำเอาหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง การกลับประเทศไทยครั้งนี้ชื่นมื่นกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มากทีเดียว

 

หกเดือนต่อมา

ในโลกนี้มักมีอะไรแปลกๆ ชวนตื่นเต้นเกิดขึ้นอยู่เสมอ ชีวิตของพิมพ์นาราก็เช่นกัน เมื่อสองวันก่อนหล่อนยังนั่งจมอยู่กับกองเอกสารเรื่องงานที่ประเทศไทยอยู่เลย แต่วันนี้กลับมาเดินตากหิมะอยู่ที่ปารีส

ผู้คนจำนวนมากก้มหน้าเดินขวักไขว่ไม่ต่างจากในกรุงเทพมหานครเท่าใดนัก ตึกรามบ้านช่อง สิ่งก่อสร้างศิลปกรรม บรรยากาศรอบตัวที่หล่อนเคยได้ยินคนพูดถึงว่าเป็น ‘เมืองโรแมนติก’ ตอนแรกก็ไม่เชื่อเท่าใดนัก แต่เมื่อได้มาเห็นด้วยตัวเองก็พบคำตอบ ว่าเป็นเมืองที่สมกับฉายาจริงๆ

“นี่เธอใช้ชีวิตอยู่มาจนโตได้ยังไงเนี่ย สัตว์เขตร้อนแบบฉันทึ่งในวิวัฒนาการจริงๆ” สาวเอเชียบ่นอุบอิบพลางปัดละอองหิมะที่ติดอยู่บนผมออก ลมหายใจที่ออกมาเป็นไอขาว ใบหน้าที่เคยเป็นสีน้ำผึ้งแดงระเรื่อเล็กน้อย

“นี่แหละคืออากาศดี”

“เธอคิดไปเองคนเดียวรึเปล่า คนอื่นไม่เห็นทำหน้ามีความสุขแบบเธอเลย” ผู้พูดปล่อยให้เพื่อนสาวผมทองเจ้าบ้านจูงแขนเข้าร้านเครื่องประดับราคาแพงที่ตั้งอยู่บนถนนชองเซลิเซ ย่านชอปปิงสุดหรูหราที่หล่อนเห็นราคาก็ได้แต่อ้าปากค้าง

“ฉันจะให้อะไรเป็นของขวัญแต่งงานดี ฉันตื่นเต้นจนสมองตื้อไปหมดแล้ว” อลิซไม่สนใจ หันมาเอ่ยถามความเห็น

“ฉันเห็นเธอตื่นเต้นตั้งแต่โทร. หาฉันเมื่อเดือนก่อน นี่ยังตื่นเต้นอยู่อีกเหรอ ฮ่าๆๆ” พิมพ์นารารีบเอามือปิดปากตัวเองเมื่อเห็นว่าหัวเราะดังไปหน่อย จนคนในร้านและพนักงานคนอื่นหันมามอง

“จ้ะ อย่าให้เธอแต่งงานบ้างก็แล้วกัน แม่เพื่อนเจ้าสาวตัวดี”

“เธอไม่ได้หัวเราะฉันเร็วๆ นี้แน่นอน”

ระหว่างที่รอเพื่อนรักเลือกเครื่องประดับเป็นของขวัญให้แก่ว่าที่สามี อยู่ๆ พิมพ์นาราก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อโคตสีดำสองคนเดินเข้ามาในร้าน เสี้ยวหน้าด้านข้างละมุนน่ามองราวกับรูปปั้น ผมสีน้ำตาลอ่อนเซตเป็นทรงเรียบร้อย แต่งกายเหมือนเพิ่งลงจากรันเวย์ หล่อนไม่แปลกใจเลยที่การปรากฏตัวของพวกเขาเรียกสายตาสาวๆ ได้มากกว่าเครื่องประดับเสียอีก

“โธ่...พ่อทูนหัว ทำไมฉันต้องกำลังจะเป็นเจ้าสาวด้วย” อลิซกระโดดมากระซิบข้างหูเพื่อน

“ไม่ต้องเสียใจ ฉันจะสานฝันให้เธอเอง” พิมพ์นาราตอบกลับด้วยน้ำเสียงทะเล้น ยิ่งเห็นเพื่อนสาวทำหน้าย่นยิ่งหัวเราะชอบใจ

“หน้าตาเหมือนกันยังกับแกะแบบนั้นเธอเลือกได้เหรอจะว่าสานฝันกับใคร ฉันน่ะรักพี่เสียดายน้อง จะให้ทำร้ายจิตใจคนใดคนหนึ่งฉันทำไม่ได้” ว่าที่เจ้าสาวหัวเราะคิกคัก

ชายหนุ่มสองคนกวาดตามองทั่วร้าน ก่อนจะมาหยุดที่หญิงสาวสองคนที่กำลังเลือกของอยู่ไม่ไกลนัก

พิมพ์นารากับอลิซนั่นเอง...

พิมพ์นารานิ่งไปชั่วครู่ สมองประมวลความทรงจำบางอย่าง ชีวิตหล่อนเจอฝาแฝดไม่มากนัก เมื่อสบนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนชัดๆ พลันเหมือนพายุหิมะหนาวเหน็บที่สุดในโลกพัดเข้ามาฟาดหน้าอย่างจัง หัวใจที่เคยแข็งแรงเคลื่อนลงไปอยู่ที่ตาตุ่มตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

“โห ยังกับนายแบบเลย เขามองมาที่เราด้วยละ แหม...นารา อย่าบอกนะว่าเธอกำลังเลือกอยู่จริงๆ” เพื่อนสาวกระซิบกระซาบที่ข้างหูพิมพ์นาราและชนไหล่กระเซ้าเย้าแหย่

“...”

“นารา...นารา”

สติของหล่อนถูกดึงกลับมาอีกครั้งเมื่อเพื่อนสาวเขย่าแขนเรียก และรีบหันหน้าไปอีกทางเพื่อหลบชะตาที่กลั่นแกล้งถึงปารีส แต่ดูเหมือนจะช้าไป เพราะหนึ่งในสองหนุ่มเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มหวานละลายใจ จนหล่อนโดนเพื่อนตัวดีล็อกแขนไม่ให้ไปไหน

“ผมว่าเราเคยเจอกันนะครับ” ฮาฟิซฉีกยิ้มกว้าง ยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์น่ามองมากขึ้นไปอีก

“ฉันเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก คุณคงจำผิดแล้วค่ะ” พิมพ์นาราปฏิเสธเสียงแข็ง พยายามดึงแขนเพื่อนสาวออกจากร้าน แต่โชคไม่ดีเท่าไรเพราะอีกฝ่ายรั้งให้หล่อน ‘สานฝันร้าย’ ต่อ

“ฉันชนะ เป็นเธอจริงๆ ด้วย” แฝดผู้น้องหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้ผู้เป็นพี่ชายที่เดินตามหลังมา

“รู้จักกันด้วยเหรอ ทำไมเธอไม่เคยบอกฉันเลยว่ามีเพื่อนหล่อขนาดนี้” อลิซแอบกระซิบ ตีไหล่เพื่อนเบาๆ

“เขาจำคนผิดน่ะ” พิมพ์นารากระซิบกลับ ไม่คิดว่าบุคคลแปลกหน้าจะได้ยิน

“ผมความจำดีนะครับ ต้องเป็นคุณแน่ๆ” ฮาฟิซยังคงยืนยัน

“แต่ฉันไม่เคยเจอคุณ”

“ผมไม่ได้หมายถึงที่นี่ครับ ผมหมายถึงที่ไคโร” แฝดผู้น้องยิ้มแย้มกล่าว ไม่ได้สังเกตว่าหญิงสาวหน้าซีดเผือดฉับพลัน

อลิซอ้าปากค้างจ้องหน้าเพื่อนเขม็ง พิมพ์นาราตีแขนเพื่อนสาวเบาๆ ตอนอยู่ที่ไคโรทำแต่งาน จะเอาเวลาที่ไหนออกไปเจอผู้ชาย

เมื่อเห็นว่าจวนตัว พิมพ์นาราจึงออกแรงมากกว่าเดิมเพื่อลากแขนเพื่อนสาวออกจากร้าน มันเป็นเรื่องตลกร้ายชัดๆ ที่ฝันร้ายตามมาหลอกหลอนถึงที่เมืองโรแมนติก ไม่ทราบว่าเทพองค์ใดเล่นตลกอยู่ อยากจะร้องเรียนว่าหล่อนขำไม่ออกสักนิด!

“ผมเห็นคุณที่ตรงหัวมุมนั่น ตอนแรกคิดว่าตาฝาด แต่ดูอีกทีผมก็ว่าผมจำคุณได้ เลยคิดว่าควรจะมาทักทายครับ”

หากเป็นหญิงสาวคนอื่นคงละลายเหมือนไอศกรีมเมื่อมีหนุ่มหล่อตาหวานมาเดินตาม แต่สำหรับพิมพ์นารามันไม่ใช่ หล่อนไม่อยากร่วมถนนเดียวกับคนพวกนี้ด้วยซ้ำ!

“ว่าแต่คุณชื่อ...”

“ลืมมันไปซะเถอะค่ะ” ในที่สุดหล่อนก็หันกลับไปตอบ คิ้วเรียวขมวดแน่นบ่งบอกถึงความยุ่งยากใจ

“ฉันไม่อยากพบพวกคุณอีก ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกคุณ ดังนั้นไม่ต้องมาทักฉัน ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ลาก่อนนะคะ”

ไม่ต้องรอคำตอบ พิมพ์นาราก็ลากแขนเพื่อนสาวที่กะพริบตาปริบๆ ออกมาทันที ไม่สนใจว่ามารยาทจะแย่แค่ไหน ถึงยังไงก็คงไม่ได้เจอคนพวกนี้อีกแล้ว

อย่าได้พบอย่าได้เจอ ไปที่ชอบๆ เถอะ!

 

“นารา! นี่เหรอโจรที่เธอบอกว่ามาแงะบ้านเธอ” อลิซถามด้วยความตกใจหลังจากฟังเรื่องเล่าที่พิมพ์นาราแต่งขึ้นอีกหน สีหน้าไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าใดนัก

“ฉันเห็นแวบๆ แต่ก็ประมาณนั้นแหละ” คนโกหกที่ไหนจะจำรายละเอียดได้ ดังนั้นหล่อนจึงไม่ได้เจาะลึกเรื่องราวมาก

“นี่ไม่ใช่โจรธรรมดาแล้วนารา พวกเขาคือโจรปล้นใจ!”

“ให้ไปปล้นบ้านเธอไหมล่ะ”

“กรี๊ด ฉันยอมให้พวกเขาปล้นสวาทนะ”

พิมพ์นารากลอกตาให้เพื่อนสาว ไม่อยากจะเชื่อว่าฝรั่งผมทองก็เล่นมุกไร้สาระแบบนี้เป็นด้วย

“ถ้าเธอเจอแบบฉัน เธอจะไม่พูดแบบนี้แน่นอน”

“ไม่เจอก็โชคดีแล้ว ไม่งั้นเปลี่ยนว่าที่เจ้าบ่าวแน่นอน”

“ฉันจะเอาคำพูดนี้ไปฟ้องปิแอร์” คำพูดติดตลกของเพื่อนทำเอาพิมพ์นาราได้แต่ขำและส่ายหน้าอย่างระอาใจ อารมณ์ขุ่นมัวเมื่อครู่ลดลงไม่น้อย

“ฉันแค่พูดเล่น ฉันรักว่าที่สามีฉันที่สุดแล้ว ฮ่าๆๆ” สาวผมทองหัวเราะลั่น ก่อนจะกลับมาสงสัยในจุดบอดของเนื้อเรื่อง

“ดูสองคนนั้นไม่น่าจะเป็นโจรได้เลยนะ ตั้งแต่หัวจดเท้ามีชิ้นไหนไม่แพงบ้าง บางทีที่พวกเขาเข้ามาทักอาจเป็นเพราะอยากจะขอโทษเธอก็ได้ อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด”

“ใครจะไปรู้ว่าเบื้องหลังของแพงๆ ซ่อนอะไรไว้บ้าง คนดีคนเลวตัดสินกันที่รูปร่างหน้าตาไม่ได้หรอก สมัยนี้คนโรคจิตเยอะแยะไป” หล่อนนึกไปถึงคนเลวอีกคน หัวคิ้วที่เพิ่งจะคลายออกจากกันกลับมาผูกแน่นอีกรอบ

“ก็จริง...” อลิซเหลือบมองเพื่อน ดูท่าอีกฝ่ายจะไม่อยากพูดถึงจริงๆ

“สรุปฉันยังไม่ได้ของขวัญเลยนะ ถ้าไม่ได้วันนี้ฉันไม่กลับจริงๆ ด้วย” สาวฝรั่งเศสพยายามกลบเกลื่อน ชี้ไม้ชี้มือไปยังร้านรวงข้างทางมากมายที่ยังไม่ได้เข้าไป

“รับคำสั่งค่ะมาดาม จะไปทางไหน ร้านไหน ได้โปรดบัญชามาเลยเจ้าค่ะ”

“พูดแล้วนะ วันนี้ฉันไม่ปล่อยเธอจริงๆ ด้วย”

พิมพ์นารามองเพื่อนสาวที่หัวเราะคิกคักมีความสุข รู้สึกมีความสุขไปกับอีกฝ่ายด้วย เรื่องพวกนั้นมันก็แค่อดีตที่ผ่านไปแล้ว อย่าไปให้ค่าจนทำลายช่วงเวลาดีๆ ในปัจจุบันเลย

 

วันแห่งการเป็นเพื่อนเจ้าสาวของพิมพ์นารามาถึง ช่วงกลางวันอลิซและปิแอร์จัดงานแต่งงานแบบเรียบง่ายที่โบสถ์เล็กๆ แห่งหนึ่ง มีสักขีพยานเป็นคนในครอบครัวของแต่ละฝ่ายและเพื่อนของทั้งคู่ ตั้งแต่รู้จักกันมาหล่อนไม่เคยเห็นอลิซมีความสุขเท่านี้มาก่อน เพื่อนสาวหัวเราะทั้งวัน ยิ้มแย้ม และร้องไห้เมื่อกล่าวสาบานรัก ก่อนจะเดินมามอบช่อดอกไม้ให้หล่อนหลังจากงานจบ

“เธอเป็นเพื่อนรักของฉัน เป็นเพื่อนเจ้าสาวที่ดีที่สุด ฉันได้แต่หวังให้เธอพบคนที่ใช่ มีความสุขมากๆ เป็นความรักที่ดีที่สุดในชีวิต” เจ้าสาวกล่าวทั้งน้ำตา และมองสามีหมาดๆ ด้วยแววตาหวานซึ้ง

“ไม่เอาไม่ร้องไห้นะอลิซ วันนี้เป็นวันที่เธอควรจะมีความสุขและสวยที่สุด มีที่ไหนร้องไห้จนมาสคาราเลอะแบบนี้” พิมพ์นาราขู่เสียงสั่น ข่มใจไม่ให้ขี้แยตามอีกฝ่าย

“ฉันจะหยุดร้องไห้ ถ้าเธอไปคุยกับเพื่อนเจ้าบ่าว” เจ้าสาวยิ้มเจ้าเล่ห์ น้ำตาหยุดไหลเหมือนสั่งได้ จะปล่อยให้เพื่อนเจ้าสาวคนสวยโสดต่อไปเรื่อยๆ ได้ยังไงกัน

“งั้นฉันไปหยิบทิชชูให้นะ”

“...”

 

หลังจากเสร็จสิ้นพิธีในตอนเช้า ตกค่ำปิแอร์ก็เซอร์ไพรส์เจ้าสาวด้วยงานปาร์ตีสุดหรูที่โรงแรมห้าดาวในปารีส ที่พิมพ์นาราไม่คาดคิดคือการที่โดนเพื่อนสาวคนอื่นจับแต่งตัวใหม่ด้วยชุดที่ขัดกับสภาพอากาศข้างนอกเหลือเกิน เพราะเปิดนั่นโชว์นี่ และรองเท้าส้นสูงแหลมปรี๊ดที่ทำให้เดินเซไปเซมาทุกสองก้าว เข้าทางแม่สื่อผมทองเมื่ออลิซพยายาม ‘ยัดเยียด’ หล่อนให้ไปชนกับเพื่อนเจ้าบ่าวอยู่บ่อยๆ

“ขอบคุณค่ะฟราสซิส” หล่อนกล่าวขอบคุณเพราะชายหนุ่มช่วยพยุงเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ ค่อยๆ แกะมือของอีกฝ่ายที่โอบเอวออกอย่างละมุนละม่อมเพื่อไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไป

“เป็นเกียรติของผมที่ได้ช่วยคุณครับ” ดวงตาของชายหนุ่มพราวระยับ การได้ใกล้ชิดสาวสวยแบบนี้...เป็นใครจะไม่ชอบ

หญิงสาวตรงหน้าสวมชุดเดรสสั้นรัดรูปแขนยาวปักเลื่อมระยับสีดำ ด้านหลังของชุดเว้าลึกจนเกือบจะถึงบั้นเอวเผยให้เห็นแผ่นหลังเนียนยั่วยวนสายตา ผมยาวสลวยที่เคยเห็นเมื่อตอนกลางวันถูกรวบเป็นมวยต่ำๆ ระต้นคอระหง คิ้วตาจมูกปากประดับอยู่บนใบหน้ารูปไข่ทรงเสน่ห์ หญิงสาวไม่ได้สวยหยาดเยิ้ม แต่เขาก็ไม่อาจละสายตาไปได้ โดยเฉพาะเวลาที่ริมฝีปากอวบอิ่มแย้มยิ้มจนหางตาโค้งลง จะมีผู้ชายสักกี่คนเชียวที่ไม่ยอมใจอ่อนให้ดวงตาคู่นี้

ปาร์ตีล่วงเลยมาจนเกือบเที่ยงคืน สำหรับพิมพ์นาราแล้ว...มันเกือบจะเป็นงานเลี้ยงที่สนุกที่สุดที่หล่อนเคยเข้าร่วม เว้นแต่ต้องคอยยิ้มแห้งๆ ตอบคำถามหนุ่มฝรั่งเศสตรงหน้าที่พูดไม่หยุด และพยายามหลบมือปลาหมึกที่เลื้อยมาพันรอบเอวได้ทุกเวลา

“ว่าแต่คุณพิมพ์นาราไม่สนใจจะมาทำงานที่นี่เหรอครับ”

“คงไม่ไหวค่ะ ฉันฟังพูดอ่านเขียนฝรั่งเศสไม่ได้สักตัว” หญิงสาวตอบเลี่ยง

“ผมพอจะรู้จักครูสอนดีๆ หลายคนนะครับ อย่างน้อยๆ ก็ผมคนหนึ่งที่พร้อมสำหรับคุณเสมอ”

ระหว่างสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่อีกฝ่ายจ้องพิมพ์นาราไม่วางตา เพื่อนสาวตัวดีก็แทรกเข้ามาเหมือนสวรรค์โปรด อลิซขอโทษเพื่อนสามีเพื่อไม่ให้เสียมารยาท ก่อนจะดึงแขนหล่อนออกมาคุยอย่างเป็นส่วนตัว

“แหม ฉันไม่ได้ขัดจังหวะพวกเธอใช่ไหม เขาเป็นยังไงบ้าง” ผู้เป็นเจ้าสาวเอ่ยถาม

“ขัดจังหวะที่ฉันจะมะเหงกเขาน่ะสิ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน

“ไม่จับคู่ได้ไหม ฉันยังไม่พร้อมจริงๆ” พิมพ์นาราเอ่ยขอร้องอย่างจริงจัง

“เอาน่า เธอไม่ชอบคนนี้ก็ไม่เป็นไร นี่...ฉันว่าจะเซอร์ไพรส์ปิแอร์ตอนพูดส่งท้าย”

“อย่าบอกนะว่าเธอตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น คือฉันลืมกล่องของขวัญไว้ข้างบนน่ะ แล้วฉันก็แยกร่างออกไปไม่ได้จริงๆ ถ้าปิแอร์มองหาฉันแล้วไม่เจอ เขาก็ต้องตามหาฉัน เซอร์ไพรส์มันก็จะไม่เป็นเซอร์ไพรส์น่ะสิ เธอช่วยฉันได้รึเปล่า”

“ฉันเต็มใจช่วยเธอมากๆ เลยเพื่อนรัก อะไรก็ได้ที่ไม่ต้องกลับไปยืนฉีกยิ้มอยู่ตรงนั้น”

 

พิมพ์นาราปลีกตัวมาเอาของขวัญให้เพื่อนสาว ห้องสวีตของโรงแรมห้าดาวนี่สมชื่อจริงๆ ทิวทัศน์จากหน้าต่างคือหอไอเฟลซึ่งประดับประดาด้วยไฟสวยงามท่ามกลางหิมะโปรยปราย พระจันทร์ทอแสงนุ่มนวลราวกับภาพวาด หล่อนอดที่จะยืนชื่นชมความงามของบรรยากาศไม่ได้จนลืมเวลาที่ควรออกไป

“โอ๊ะ!”

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนสาวกำลังรออยู่ หล่อนก็รีบหมุนตัวกลับไปหยิบกล่องของขวัญออกจากห้อง โชคร้ายเมื่อส้นสูงที่หล่อนคิดว่ามันอาจจะสร้างปัญหา...มันดันสร้างปัญหาจริงๆ ข้อเท้าของหล่อนบิดผิดองศาในจังหวะที่หมุนตัว แม้จะเล็กน้อยแต่ด้วยความสูงสี่นิ้วทำให้ทุกอย่างยากขึ้น เมื่อเสียการทรงตัว ร่างบางจึงล้มโครมลงไปกองกับพื้นทันที

“โอ๊ย! อะไรเนี่ย!”

หญิงสาวถอดรองเท้าและพยายามลุกขึ้น แต่ดูเหมือนจะเป็นหนักกว่าที่คิด กระทั่งไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ หล่อนพยายามคลานไปกับพื้นอย่างทุลักทุเล ได้แต่บ่นในใจว่าทำไมห้องแพงๆ มันถึงได้กว้างเสียจริง แต่ก่อนที่จะถึงทางออก คู่บ่าวสาวกลับเปิดประตูเข้ามาก่อน

“นารา! ฉันก็นึกว่าเธอหลงทางไปไหน” อลิซและปิแอร์รีบเดินเข้ามาพยุงหญิงสาว กวาดตามองว่ามีส่วนไหนของเพื่อนเจ้าสาวเสียหายหรือเปล่า

“ฉันขอโทษ ฉันข้อเท้าแพลงน่ะ ลุกเดินออกไปไม่ไหวจริงๆ” เมื่อเห็นหน้าปิแอร์ พิมพ์นาราก็พลันนึกได้ว่าเพื่อนสาวกำลังวางแผนเซอร์ไพรส์สามีหนุ่ม คิดได้ดังนั้นจึงรีบซ่อนกล่องของขวัญกล่องเล็กไว้ด้านหลัง

“นี่เธอจะปล้นของขวัญสามีฉันเหรอ” อลิซหัวเราะ เอื้อมมือไปหยิบกล่องของขวัญมาวางบนโต๊ะ

“ฉันบอกปิแอร์หมดแล้ว นึกว่าเธอหลงทางไปไหน เลยชวนออกมาเดินตามหา”

“แค่มีคุณเข้ามาในชีวิต ผมก็ไม่ต้องการเซอร์ไพรส์อะไรอีกแล้ว” เจ้าบ่าวหมาดๆ พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหวานเชื่อม ทั้งสองมองหน้ากัน บรรยากาศแห่งความรักลอยตลบอบอวล

“ฉันว่าฉันออกไปจากที่นี่ดีกว่า น้ำผึ้งพระจันทร์กำลังหวานได้ที่เลย” ก้างขวางคอสาวหัวเราะให้เจ้าสาวที่ยืนหน้าแดงก่ำ

“ผมกับอลิซขับรถไปส่งคุณที่อะพาร์ตเมนต์ดีกว่า ผมไม่กล้าปล่อยให้แขกนั่งแท็กซี่กลับไปแบบนี้แน่” ชายหนุ่มกวาดตาพิจารณาหญิงสาวด้วยความกังวล

“ขอบคุณมากๆ นะคะ แต่ฉันกลับเองได้จริงๆ” พิมพ์นาราส่ายหน้าปฏิเสธคู่บ่าวสาวที่กำลังช่วยพยุงหล่อนออกมาข้างนอก และตบแขนอลิซเบาๆ เป็นเชิงบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’

“นี่ไง เดี๋ยวฉันให้พนักงานช่วยพยุงไปส่งข้างล่างก็ได้ ไม่รบกวนพวกเธอหรอก” ไม่เพียงแค่กล่าวแต่ยังพยักพเยิดไปทางพนักงานสาวชุดแดงที่เดินมาได้จังหวะพอดี

“ไม่ได้นะนารา” อลิซขัด แต่ก็ยังช้าไป

“ขอโทษนะคะ” พิมพ์นาราร้องขอความช่วยเหลือจากพนักงานสาวชุดแดง

“มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าคะคุณผู้หญิง” พนักงานสาวขานรับและเดินเข้ามาใกล้

“คือฉันจะลงไปเรียกแท็กซี่ข้างล่าง แต่ขาฉันแพลงค่ะ รบกวนคุณช่วยพยุงฉันลงไปหน่อยได้ไหมคะ” หญิงสาวกล่าวรัวโดยไม่เปิดโอกาสให้คู่บ่าวสาวได้พูดขัด วันนี้เป็นวันสำคัญของทั้งสอง หล่อนไม่อยากให้พวกเขามาเสียเวลาและกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ฉะนั้นขอดูแลตัวเองดีกว่า

“ด้วยความยินดีค่ะ” พนักงานสาวเข้ามาพยุงตามคำร้องขอ

“เธอสองคนกลับเข้าห้องไปได้แล้ว ไม่ต้องห่วงฉันหรอก”

“แต่...” อลิซทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาช่วย

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ฝันดีนะคะคู่บ่าวสาว”

“งั้นก็...รบกวนฝากเพื่อนฉันด้วยนะคะ” อลิซหันไปกำชับพนักงาน โดยมีคนขาเจ็บดันร่างให้กลับเข้าไปในห้อง

เมื่อเห็นว่าคู่ข้าวใหม่ปลามันเข้าห้องหอไปเรียบร้อย พนักงานจึงพาพิมพ์นาราไปยังลิฟต์เพื่อที่จะลงไปรอแท็กซี่ที่ชั้นล่าง อีกฝ่ายระวังให้หล่อนทุกฝีก้าวจนหล่อนขอบคุณไม่หวาดไม่ไหว หญิงสาวอดชื่นชมในใจไม่ได้ สมกับเป็นโรงแรมห้าดาว ทุกอย่างดีไปหมด ผู้บริหารต้องเข้มงวดเอาใจใส่มากแน่ๆ

“ลิฟต์ฝั่งซ้ายเปิดแล้วค่ะคุณผู้หญิง”

พิมพ์นารายิ้มให้พนักงานเพื่อแสดงความขอบคุณ แต่ก่อนที่จะได้เข้าไปในลิฟต์ ชายหญิงคู่หนึ่งกลับเดินสวนออกมาเสียก่อน

พลั่ก!

“ขอโทษค่ะ!” หญิงสาวรีบขอโทษเมื่อรองเท้าในมือไปชนกับชุดสูทของอีกฝ่ายตอนเดินสวนโดยไม่ได้ตั้งใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด อยากจะตีตนเองแรงๆ หลายทีที่สะเพร่ากับหลายเรื่อง

แต่เมื่อสายตาปะทะสายตา ความทรงจำบางอย่างที่หล่อนคิดว่าลืมไปแล้วกลับแล่นเข้ามาพร้อมภาพและเสียง หัวใจหล่นวูบเป็นครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้...มันเลวร้ายยิ่งกว่าครั้งแรกหลายสิบเท่า

ให้ตายเถอะ...ปารีสไม่ใช่เมืองโรแมนติก มันคือนรกบนดินชัดๆ!

เมื่อเห็นหน้ากันและกันชัดเจน นัยน์ตาตาสีครามก็พลันหรี่ลงเล็กน้อย เขากระตุกยิ้มเอ่ยคำทักทายที่ชวนให้หล่อนอยากเอารองเท้าฟาดปากเขาสุดๆ

“เธอมาทวงหนี้ฉันเหรอ...”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น