5

อำนาจที่อยู่ในมือ



5

อำนาจที่อยู่ในมือ

 

‘ชีวิตเสมือนเกมหมากรุก ผู้วางแผนล่วงหน้าย่อมชนะ’

-ชาเอ๋อซือ ปาเค้อซือตุ้น

 

เฉินชุน...ประธานใหญ่ของหย่งคังกรุ๊ปมาถึงบริษัทแต่เช้าตรู่เฉกเช่นทุกวัน เหล่าพนักงานต่างลอบมองแขกพิเศษที่เดินควงแขนผู้นำองค์กรด้วยความสนิทสนม บุคคลผู้ซึ่งไม่คุ้นหน้าคือหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบต้นๆ ร่างบอบบางสวมเดรสกำมะหยี่เข้ารูปแขนยาวสีเขียวเข้มตัดกับผิวขาวสว่างราวหิมะ ผมดำเงางามรวบเป็นมวยต่ำเผยให้เห็นต้นคอระหงตั้งตรง ถึงจะมีรอยยิ้มนุ่มนวลเป็นกันเองแต่คางมนที่เชิดขึ้นเล็กน้อยบ่งบอกถึงบุคลิกได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อน แต่คนส่วนใหญ่ก็คาดเดาฐานะของหญิงสาวผู้นี้ได้อย่างง่ายดาย

คู่หมั้นของผู้สืบทอดรุ่นต่อไป...เฉินเฟยเฟิ่ง

การปรากฏตัวของคนที่เคยได้ยินแต่ชื่อสร้างความตื่นเต้นให้กลุ่มพนักงานอย่างมาก ทุกคนที่นี่ต่างรู้กันดีเกี่ยวกับบุตรสาวบุญธรรมของตระกูลเฉินที่ไปเรียนต่อต่างประเทศหลายปี และไม่มีทีท่าว่าจะกลับฮ่องกง เมื่อรวมกับที่ ‘เพื่อน’ ของประธานกรรมการบริหารแวะเวียนมาบริษัทอยู่ไม่ขาด จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่จะคิดว่าเรื่องการหมั้นหมายที่เคยได้ยินมาอาจจะมีบางอย่างเปลี่ยนแปลง

ทั้งสองเดินพูดคุยยิ้มแย้มนำกลุ่มผู้บริหารระดับสูงเข้าไปยังห้องประชุมใหญ่ที่จัดเตรียมไว้ เพียงก้าวขาผ่านประตูก็พบบุคคลผู้หนึ่งนั่งจิบกาแฟรอด้วยสีหน้าเฉยเมย

ประธานกรรมการบริหาร...เฉินเฟยหลง

บรรยากาศเหมือนจะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่หญิงสาวผู้มาใหม่กลับแก้สถานการณ์ได้ดียิ่ง เธอเดินไปนั่งลำดับถัดไปจากคู่หมั้นอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจะเอียงคอเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ฉันคิดว่าฉันตื่นเช้าแล้ว แต่คุณกลับตื่นเช้ายิ่งกว่า”

“...” ผู้ถูกทักทายยังคงแนบริมฝีปากกับแก้วกระเบื้อง มองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าด้วยแววตาแข็งกระด้าง ปฏิกิริยาตอบสนองน้อยเสียยิ่งกว่าลมพัดผ่าน

เฉินเฟยเฟิ่งยังคงรักษารอยยิ้มได้เช่นเดิม ราวกับรู้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะต้องออกมาแบบนี้

ถึงจะรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่คณะกรรมการบริหารยังคงรักษากิริยามารยาทได้ดียิ่ง ถึงอย่างไรเสียปัญหาที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องภายในของตระกูลเฉิน ตราบใดที่ไม่ส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัท เช่นนั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขาที่ต้องไปสอดรู้สอดเห็น

“เริ่มประชุมได้” สีหน้าผู้นำของหย่งคังกรุ๊ปนิ่งสงบจนยากที่จะเดาความคิด ก่อนจะกล่าวถึงจุดประสงค์ในการประชุมครั้งนี้อย่างรวบรัด

“วันนี้ที่เรียกทุกคนมารวมตัวกันเพราะมีใครบางคนอยากแนะนำให้รู้จักอย่างเป็นทางการ”

หญิงสาวร่างบอบบางในชุดสีเขียวเข้มลุกขึ้นยืน และคลี่ยิ้มด้วยสีหน้านุ่มนวล

“ดิฉัน เลลาห์ เฉิน รองกรรมการบริหารหย่งคังกรุ๊ปสาขาอเมริกา ดิฉันตั้งใจมาเรียนรู้ระบบการทำงานของสาขาหลักเพื่อนำไปใช้ปรับปรุงและพัฒนาจุดอ่อนของสาขาที่ดิฉันดูแลอยู่ ดังนั้นถ้าทุกคนมีข้อเสนอแนะหรือต้องการให้ดิฉันเรียนรู้อะไรเพิ่มเติม...ดิฉันยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ”

“ที่นั่นก็มีระบบจัดการที่ดีอยู่แล้ว เหมาะสมกับอเมริกาที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากพวกเรา คุณหนูเฉินอยากเรียนรู้ระบบการทำงานของที่นี่ก็ย่อมได้ แต่กฎระเบียบยิบย่อยของฮ่องกงอาจจะคร่ำครึเกินไปสำหรับสาขาที่นั่น แบบนั้นจะไม่เป็นการเสียเวลาหรอกหรือ” หนึ่งในคณะกรรมการกล่าวขึ้น เนื้อหาอาจจะดูไม่มีอะไรมาก แต่ใจความคือการลองเชิงดีๆ นี่เอง

ริมฝีปากแดงระเรื่อวาดรอยยิ้มกว้างกว่าเดิม เธอรู้ว่าตัวเองไม่ใช่อัจฉริยะด้านการบริหารธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยเหมือนนักธุรกิจดังๆ หลายคน การที่เธอมายืนอยู่ที่นี่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโอกาสที่บิดาบุญธรรมมอบให้ ดังนั้นเธอจะไม่มีวันทำให้ความไว้วางใจของบุพการีเสียเปล่า

“จริงอยู่ที่ความแตกต่างด้านวัฒนธรรมทำให้ดิฉันไม่สามารถนำรูปแบบการทำงานของฮ่องกงไปใช้ได้ทั้งหมด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสำเร็จของสาขาอเมริกาเกิดจากกฎระเบียบเคร่งครัดที่พวกคุณทุกคนสร้างขึ้น จนหย่งคังกรุ๊ปเป็นหย่งคังกรุ๊ปดั่งเช่นในปัจจุบัน ตึกสูงย่อมเกิดจากรากฐานที่แข็งแรง ดังนั้นก่อนที่ดิฉันจะเริ่มเรียนก่ออิฐให้สูงมากยิ่งขึ้น ดิฉันควรจะเรียนรู้โครงสร้างและรากฐานของตึกให้ละเอียดถี่ถ้วนไม่ใช่เหรอคะ”

ผู้ที่อยู่ในห้องประชุมเกือบทั้งหมดพยักหน้า หากนั่งอยู่เฉยๆ เฉินเฟยเฟิ่งก็ไม่ต่างอะไรไปจากคุณหนูดาษดื่นในฮ่องกง ทว่าเมื่อเริ่มพูดจาปราศรัย...ความมั่นใจและความเป็นผู้นำที่แฝงอยู่ในตัวทำให้ทุกคนเชื่อโดยสนิทใจว่า หญิงสาวอายุน้อยตรงหน้าคือหนึ่งในผู้บริหารหลักของหย่งคังกรุ๊ปคนหนึ่ง

“คุณหนูเฉินก็ชมเกินไป ทั้งหมดก็เพราะวิสัยทัศน์กว้างไกลของท่านประธานใหญ่เฉินทั้งนั้น”

ผู้อาวุโสที่มีบุตรชายวัยไล่เลี่ยกันกับสามีภรรยาตระกูลเฉินอดชื่นชมไม่ได้ สองสามีภรรยาคู่นี้ตาแหลมยิ่งนัก เลือกคู่หมั้นที่มีความสามารถโดดเด่นให้แก่บุตรชายตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้ว ชาติกำเนิดต้อยต่ำแล้วอย่างไร เห็นอยู่ทนโท่ว่าหินไร้ค่าเจียระไนออกมาให้เป็นเพชรเม็ดงามได้สำเร็จ

เฉินเฟยหลงลอบขมวดคิ้ว สาขาอเมริกามีมือขวาของบิดาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารดูแลมาตั้งแต่ต้น ผลประกอบการของสาขาฝั่งนั้นอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีเยี่ยมเสมอ ครั้งล่าสุดที่ผู้บริหารอาวุโสผู้นั้นกลับมาฮ่องกงก็เปรยถึง ‘คนรุ่นใหม่ไฟแรง’ ด้วยน้ำเสียงชื่นชมต่อหน้าทุกคน เขาย่อมคิดว่าอีกฝ่ายก็พูดไปเช่นนั้นตามมารยาท หากจะให้เชื่อก็คงต้องหารห้าสิบเสียก่อน แต่เมื่อได้ยินคำตอบฉะฉานจากคนที่เขาคิดว่าคงจะมีความรู้งูๆ ปลาๆ เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ จึงอดที่จะเหลือบมองคนด้านข้างไม่ได้

ภาพเด็กหญิงผู้ทุ่มเทฝึกซ้อมดนตรีราวกับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตยังคงชัดเจนในความทรงจำ เด็กหญิงผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเปียโนระดับโลก ในเวลานั้นอีกฝ่ายแทบจะหันหลังให้วิชาการโดยสิ้นเชิง แล้วทำไมถึงเบนเข็มมาทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ

ชายหนุ่มดึงสายตากลับมาและไล่ความคิดเหลวไหลในหัว เขาไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามใดๆ กับคู่หมั้นที่เปรียบเสมือนคนแปลกหน้าตั้งนานแล้ว

“พูดได้ดี” เฉินชุนหัวเราะในลำคอ สีหน้าเก็บความภาคภูมิใจเอาไว้ไม่มิด

“เลลาห์ เฉิน จะอยู่ที่นี่ในฐานะพนักงานใหม่คนหนึ่ง ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก ทุกคนไม่ต้องเกรงใจฉัน ส่วนเรื่องที่จะให้ใครรับผิดชอบดูแลโดยตรง ฉันจะมอบหน้าที่ให้ประธานกรรมการบริหาร ลีออน เฉิน เป็นคนจัดการ”

“ผมเองก็มีประสบการณ์ทำงานไม่นาน ผมคิดว่าผู้อาวุโสท่านอื่นๆ คงจะตอบข้อสงสัยได้ดีกว่าผม” ผู้รับภาระค้านด้วยน้ำเสียงสุขุม แม้ว่าในใจจะไม่เห็นด้วยอย่างที่สุด แต่ก็ยังยกเหตุผลที่เหมาะสมมาอ้างมากกว่าใช้อารมณ์

หย่งคังกรุ๊ปแห่งนี้ให้ความสำคัญแก่ตำแหน่งหน้าที่เป็นหลัก ดังนั้นถึงจะเป็นผู้สืบทอดรุ่นต่อไป แต่เขาก็ไม่อาจใช้ความรู้สึกส่วนตัวหรือสายสัมพันธ์ในครอบครัวมาเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธคำสั่งได้

“คนหนุ่มอย่างคุณอย่าถ่อมตัวนักเลย คนวัยไล่เลี่ยกันมีมุมมองใกล้เคียงกัน พูดจาภาษาเดียวกัน การตัดสินใจของท่านประธานใหญ่นับว่าเหมาะสม ทุกคนเห็นด้วยหรือไม่” ผู้อาวุโสย่อมอ่านเกมทะลุปรุโปร่ง จึงกันตัวเองและคนอื่นไม่ให้เป็นขวากหนามต่อแผนการของท่านประธานใหญ่แห่งหย่งคังกรุ๊ป

ก่อนที่เฉินเฟยหลงจะได้อ้าปากค้านอีกรอบ พลันก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาของคนนั่งหัวโต๊ะที่จ้องมองมา ด้วยฐานะทำให้เขาไม่อาจแสดงออกในสิ่งที่คิด จึงต้องก้มหน้ารับคำสั่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

“เป็นเกียรติที่พวกคุณเชื่อมั่นในตัวผม”

คณะกรรมการบริหารลุกขึ้นทักทายต้อนรับผู้บริหารคนใหม่ด้วยความยินดี แสร้งทำเป็นลืมความขัดแย้งเล็กๆ เมื่อครู่เหมือนไม่เคยเกิดขึ้น เพียงไม่นานทุกคนก็ออกไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ ในห้องจึงเหลือแค่บุคคลในครอบครัวทั้งสาม

“เฉินเฟยหลง ตั้งใจทำตามที่ฉันสั่งให้ดี ถ้าฉันระแคะระคายว่าแกเป็นพวกผักชีโรยหน้า ฉันจะเปลี่ยนให้แกมาเรียนกับอาเฟิ่งแทนว่าอะไรคือการทำงาน” ผู้นำสูงสุดลุกขึ้นยืน ส่งสายตาตำหนิการแสดงออกของบุตรชายก่อนหน้านี้ ก่อนจะออกจากห้องประชุมไปโดยไม่รอฟังคำพูดระคายหูใดๆ อีก

ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบงัน เฉินเฟยเฟิ่งรีบคว้ากระเป๋าเพื่อที่จะออกไปจากสถานการณ์อึดอัด แต่ยังไม่ทันถึงประตู กลับถูกร่างสูงตระหง่านเข้ามาขวางทางเอาไว้เสียก่อน

“ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ เข้ามายุ่งกับพื้นที่ส่วนตัวของฉันมากเกินไปรึเปล่า” ผู้ถามขมวดคิ้วเข้าหากันขณะก้มมองคนที่สูงเพียงบ่า เขาพอจะรู้จากสัญชาตญาณว่าคนตรงหน้าคงไม่หยุดง่ายๆ แต่ไม่คิดว่าจะใช้วิธียืมมือคนอื่นมากดดัน

“คุณมองโลกในแง่ร้ายเกินไป ฉันแค่มาเรียนรู้งานเท่านั้น” เธอไม่คิดที่จะเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทุ้มซึ่งดังอยู่เหนือศีรษะ ตอบกลับเสียงเรียบและเบี่ยงตัวหนี ทว่าเจ้าของร่างสูงก็ยังตามมาขวางอย่างไม่ลดละ

“เรียนรู้งาน? เก็บข้ออ้างสวยหรูไว้ใช้กับคนอื่นเถอะ คิดว่าฉันไม่รู้จุดประสงค์แอบแฝงของเธอหรือยังไง เฟยเฟิ่ง...กลับอเมริกาไปซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเธอ” เมื่อนึกถึงบทสนทนาหลายคืนก่อน เนื้อตัวของผู้พูดพลันร้อนรุ่มขึ้นมาทันใด เสียงจึงห้วนกระด้างแฝงอำนาจสั่งการอยู่ในที

คนถูกเปิดโปงไม่ได้มีอาการตกใจเลยสักนิด ในเมื่อเธอทำตัวเป็นมารความสุขชัดเจนขนาดนี้ หากเขามองไม่ออกนั่นสิถึงจะเป็นเรื่องแปลก แต่คำพูดขับไสไล่ส่งก็ทำเอาเธอตัวชาไม่น้อย จึงต้องประกาศสถานะของตนเองให้คนที่อาจจะความจำเสื่อมฟังอีกรอบ

“เผื่อว่าคุณจะลืมบางอย่างไป ถึงฉันจะอยู่ที่อื่นมานาน แต่ฮ่องกงก็ยังเป็นบ้านของฉัน ฉันยังเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฉิน เป็นส่วนหนึ่งของหย่งคังกรุ๊ป และยังเป็นคู่หมั้นของคุณด้วย ทั้งหมดทั้งมวลมากพอที่ฉันจะใช้สิทธิ์อยู่ที่นี่นานตราบเท่าที่ฉันอยากจะอยู่” เธอกล่าวจบก็หมุนกายหนีออกไปอีกทาง แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกฉุดไว้ด้วยแรงมหาศาลให้กลับมาเผชิญใบหน้ามึนตึง

หมับ!

“เฟยเฟิ่ง! หยุดยั่วโมโหฉันสักที!” เฉินเฟยหลงคว้าแขนเล็ก ด้วยอารมณ์ที่เริ่มปะทุจึงไม่ได้ยั้งมือ คนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงถูกดึงมากระแทกอกอย่างแรง

พลั่ก!

เฉินเฟยเฟิ่งสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมและผลักร่างสูงให้ห่างออกไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี ทว่าด้วยขนาดตัวที่ต่างกันมากจึงกลายเป็นตัวเธอเองที่เซถอยหลัง เพราะผลลัพธ์ไม่เป็นดั่งใจคิดจึงทำให้เธอยิ่งเดือดดาลมากขึ้นกว่าเดิม สีหน้าละมุนที่รักษาอาการสงบมาได้โดยตลอดเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว เป็นสัญญาณเตือนถึงความอดทนที่ใกล้จะสิ้นสุด

“ไม่มีใครเคยสั่งสอนเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษเหรอ! หรือว่าสั่งสอนแล้ว แต่สมองของคุณมีที่เอาไว้เก็บแต่เรื่องไร้สาระ!” เธอตะคอกกลับไปด้วยเสียงดังไม่แพ้กัน โชคดีที่ห้องประชุมเก็บเสียงได้ดีเยี่ยม ไม่เช่นนั้นเรื่องในวันนี้คงถูกใส่สีตีไข่เป็นประเด็นให้พนักงานนินทากันสนุกปาก

นัยน์ตาสีดำสนิทฉายความตกใจที่วาบผ่านเสี้ยววินาที ไม่ว่าจะเวลาผ่านไปนานสักแค่ไหน...สิ่งที่เฉินเฟยหลงไม่เคยอยากให้เกิดขึ้นคือการเห็นเด็กหญิงผมหน้าม้าในความทรงจำเจ็บตัว แต่คำพูดดังกล่าวไม่ต่างอะไรจากการราดน้ำมันบนกองไฟ ด้วยอารมณ์ชั่ววูบมือหนาจึงคว้าไหล่เล็กทั้งสองข้างและลากร่างบางเข้ามาใกล้ ยิ่งอีกฝ่ายพยายามปัดออก เขาก็ยิ่งกุมแน่นกว่าเดิม

“ในเมื่อเธอเป็นคนร่ำร้องทวงสิทธิ์ความเป็นคู่หมั้นเอง นี่ไง! สุภาพบุรุษที่เธอต้องการ! เธอยังอยากบีบให้ฉันจนตรอกอีกไหม ใช่...ทุกคนเข้าข้างเธอ ฉันขัดคำสั่งป๊าม้าไม่ได้ ถ้าฉันถูกสั่งให้แต่งงานกับเธอ ฉันก็จะแต่ง แต่จำไว้ว่าสักวันหนึ่งเราจะหย่ากัน ถ้าอยากเป็นม่ายก็ตามใจ!”

“คุณคิดว่าฉันกลัวคำขู่หลอกเด็กพวกนี้? ฉันไปคุยกับป๊าให้จัดงานของพวกเราให้เร็วที่สุดเลยดีไหม ฉันก็อยากจะรู้ว่าใครจะขาดใจตายก่อนกันระหว่างคุณกับผู้หญิงคนนั้น แต่ฉันขอลงพนันข้างคุณก็แล้วกัน เพราะดูเหมือนจะเป็นเดือดเป็นร้อนจนนั่งไม่ติด” เธอเชิดหน้าสบนัยน์ตาสีดำสนิทอย่างไม่หวั่นเกรง รอยยิ้มยั่วโมโหยิ่งทำให้ตัวเธอเองถูกเขย่าแรงขึ้นกว่าเดิมจนร่างคลอนแคลน สุดท้ายจึงต้องจับแขนแข็งแรงของผู้กระทำการเพื่อยึดเหนี่ยวไม่ให้ล้มหากเขาปล่อยเธอกะทันหัน

“เฉินเฟยเฟิ่ง! ทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้!”

“มีใครบ้างที่ไม่เปลี่ยน! ตัวคุณงั้นเหรอ”

ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน แววตาของอีกฝ่ายช่างคุ้นเคยในความรู้สึก ทว่ากลับรู้สึกห่างไกลราวกับอยู่คนละโลก ต่างฝ่ายต่างไม่สามารถอ่านความหมายที่แฝงอยู่เบื้องหลัง ความเงียบจึงเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว สุดท้ายเฉินเฟยเฟิ่งจึงปัดกรงเล็บที่ยึดหัวไหล่ของตนออก และเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนี

“ในเมื่อคุณเองก็ตอบไม่ได้ คราวหลังก็อย่าตั้งคำถามประเภทนี้อีก”

“ความดันทุรังของเธอจะทำให้ทุกอย่างพัง ฉันขอถามเธออีกครั้ง นี่คือสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ ใช่ไหม” ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเบา พิจารณาเสี้ยวหน้าด้านข้างที่เขาจดจำได้ทุกรายละเอียด ใบหน้าที่เคยคลี่ยิ้มไร้เดียงสาบัดนี้เต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ดึงดันราวกับกำลังประกาศว่าจะไม่ยอมถอยแม้สักก้าว

“ใช่...ฉันต้องการแบบนี้”

อารมณ์มากมายที่เคยปรากฏอยู่บนใบหน้าคมคายค่อยๆ จางหายไปทีละนิด เขามองหญิงสาวที่โตมาด้วยกันอย่างมองคนไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง ถึงจะยอมรับว่าที่สถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากตัวเขา...ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ความผิดของตนเอง หากเฉินเฟยเฟิ่งต้องการคำขอโทษแล้วจบเรื่องทุกอย่าง เขาก็พร้อมที่จะมอบให้โดยไม่อิดออด แต่สิ่งที่อีกฝ่ายเรียกร้องมันมากเกินไป จะให้จางฉีมาคุกเข่าขอโทษเรื่องในอดีตทั้งๆ ที่เป็นผู้เสียหายที่สุด แบบนั้นมันยิ่งกว่าอยุติธรรมเสียอีก และเขาไม่ได้ถูกสอนมาให้บีบคั้นคนที่อ่อนแอกว่า ในเมื่อพูดดีก็แล้ว ใช้เหตุผลก็แล้ว แต่คนตรงหน้าก็ยังไม่ยอมหยุด เช่นนั้นเขายังจะเหลือทางเลือกอะไรอีก

“อย่าโทษว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน”

 

เลขาฯ เจียง...เลขาฯ ส่วนตัวของเฉินเฟยหลงยืนรอจวบจนกระทั่งบุคคลสำคัญทั้งสองออกมาจากห้องประชุม เธอได้รับคำสั่งจากเลขาฯ ของท่านประธานใหญ่ให้ดูแลแขกพิเศษให้ดีที่สุด

“เอ่อ...” เธอกำลังจะขอคำสั่งเพิ่มเติมจากผู้เป็นเจ้านาย แต่กลับเปล่งเสียงช้าไปกว่าชายร่างสูงสง่าที่เดินจากไปด้วยสีหน้ามึนตึง ดังนั้นจึงได้แต่เหลือบมองหญิงสาวผู้ที่จะมาเป็นเจ้านายอีกคนอย่างทำอะไรไม่ถูก

“เอ่อ...สวัสดีค่ะคุณหนูเฉิน ดิฉัน เจนนี่ เจียง เป็นเลขาฯ ส่วนตัวของท่านประธานกรรมการบริหาร ลีออน เฉิน ดิฉันได้รับมอบหมายจากท่านประธานใหญ่ให้อำนวยความสะดวกทุกอย่างให้คุณหลังจากนี้ค่ะ”

“เรียกฉันว่าเลลาห์ก็ได้ค่ะ”

“รับทราบค่ะคุณเลลาห์”

เลขาฯ เจียงรีบนำทางเจ้านายคนที่สองไปยังห้องทำงานชั่วคราว พลางลอบมองใบหน้านุ่มนวลภายใต้เครื่องสำอางประณีตด้วยใจตุ๊มๆ ต้อมๆ ในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์ไม่ดีไม่งามตลอดหลายปีที่ผ่านมา...หากอีกฝ่ายเกิดถามเกี่ยวกับเจ้านายหนุ่มที่อยู่ห้องข้างๆ อาชีพเลขาฯ ก็จะดูไม่มั่นคงเสียแล้ว

“โต๊ะทำงานของดิฉันอยู่ด้านหน้า ถ้าคุณเลลาห์ต้องการอะไรเพิ่มเติม สามารถเรียกใช้ดิฉันได้ตลอดเวลานะคะ” ผู้พูดไม่อาจวางคออยู่บนเขียงเชือดได้นานกว่านั้น จึงพยายามหาทางเอาตัวรอดอย่างถึงที่สุด

“อยู่คุยกันก่อนสิคะ ฉันยังใหม่กับที่นี่ ถ้าต้องอยู่คนเดียวคงเหงาแย่” เฉินเฟยเฟิ่งมองท่าทางกระวนกระวายของคนตรงหน้าออก เธอพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ จะเรียกว่าแกล้งคนก็ฟังดูเกินไป เรียกว่า ‘ทำความรู้จัก’ คงจะเหมาะสมกว่า

“เอ่อ...ค่ะ”

หญิงสาวในชุดกำมะหยี่สีเขียวเข้มทรุดกายนั่งหลังเหยียดตรงเบื้องหลังโต๊ะทำงาน เท้าศอกทั้งสองข้างบนโต๊ะกระจกด้วยอิริยาบถผ่อนคลาย ทว่ายังรักษาท่วงท่าเรียบร้อยได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

“ทำงานที่นี่มานานรึยังคะ”

“สี่ปีได้แล้วค่ะ”

เลขาฯ เจียงลอบพิจารณาเจ้านายสาวตรงหน้า ดวงตาที่เชิดขึ้นเล็กน้อยดูสงบราวกับควบคุมทุกสถานการณ์ไว้ในอุ้งมือได้ รอยยิ้มถึงจะดูเป็นกันเอง แต่ก็ยังแฝงความเหินห่างและการไว้ตัวอยู่ในที ไม่ว่าจะวิธีการพูด การยืน การนั่ง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเพอร์เฟกต์ไม่มีที่ติ แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าได้รับการอบรมเรื่องมารยาทมาเป็นอย่างดี

“นานเหมือนกันนะคะ ฉันเพิ่งเริ่มทำงานจริงจังได้แค่สองปีเอง แบบนี้คุณก็เป็นรุ่นพี่ของฉันน่ะสิ”

“อย่าเทียบกันเลยค่ะ คุณเลลาห์เป็นผู้บริหารของหย่งคังกรุ๊ป ดิฉันเป็นแค่พนักงานธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเองค่ะ” ด้วยหน้าที่เลขาฯ ทำให้เธอมีโอกาสพบเจอบุคคลสำคัญมาพอสมควร ทว่ากลับยังไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนสร้างบรรยากาศกดดันไม่ต่างอะไรจากการยืนต่อหน้าท่านประธานใหญ่เฉินชุนเฉกเช่นเจ้านายสาวสวยคนนี้ได้ ดังนั้นถึงจะพยายามอย่างไรก็ไม่อาจซ่อนอาการประหม่าได้ทั้งหมด

“คุณก็พูดเกินไป อย่างเลขาฯ เจียงจะเป็นพนักงานธรรมดาได้ยังไงคะ คุณเป็นถึงเลขาฯ ส่วนตัวของคู่หมั้นของฉัน...ที่ผ่านมาคงช่วยเขาอำนวยความสะดวกหลายอย่าง ฉันควรเรียนรู้อะไรๆ จากคุณถึงจะถูก หรือไม่ก็ต้องเพิ่มโบนัสปลายปีเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับการทุ่มเททำงานอย่างหนัก” ริมฝีปากแดงเรื่อคลี่ยิ้มเป็นนัย ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนก็ยังจับจ้องอยู่อย่างนั้น

เสียงหวานเนิบนาบทำเอาผู้ฟังเสียวสันหลังวาบ เลขาฯ เจียงลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อก หากแปลความหมายแฝงในประโยคไม่ออกก็เตรียมหางานใหม่ได้เลย

“ขอบคุณคุณเลลาห์มากค่ะ หลังจากนี้ฉันจะตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง”

“ถ้าฉันทำอะไรผิดพลาดตรงไหนก็แนะนำมาได้เลยนะคะ ถึงยังไงคุณก็อยู่ที่นี่มาก่อน คงรู้ดีว่าอะไรควรหรือไม่ควร”

“รับทราบค่ะ”

เมื่อรู้ว่าไม่จำเป็นต้องแยกเขี้ยวขู่อีกต่อไป ท่าทางนุ่มนวลจึงกลับมาอีกครั้ง เฉินเฟยเฟิ่งนึกถึงเจ้านายโดยตรงของเลขาฯ สาวเบื้องหน้า นับว่าเขาตาแหลมที่เลือกคนหัวไวและรู้จักปรับตัวเข้ามาทำงาน แต่เรื่องอื่นกลับตาบอดสนิทเกินเยียวยา ไม่รู้ว่าควรจะสงสารหรือหัวเราะเยาะดี

หญิงสาวพลันนึกถึงเรื่องสำคัญอีกอย่าง เวลากระชั้นชิดที่ใกล้เข้ามาทำให้เธอไม่อาจชักช้ารีรออีกต่อไป และโอกาสเหมาะเจาะแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ เสียด้วย

“มีอีกเรื่องที่ฉันอยากให้คุณไปทำ ติดต่อออร์แกไนเซอร์ที่จะจัดงานแซยิดของท่านประธานใหญ่เดือนหน้าให้ฉันที บอกไปว่าฉันต้องการดูบรีฟงานคร่าวๆ ทั้งหมดเย็นนี้”

“แต่ท่านประธานเฉินเป็นคนดูแลเรื่องจัดงาน ดิฉันคิดว่าอาจจะต้องถามความเห็นก่อนค่ะ” เลขาฯ เจียงค้านเสียงอ้อมแอ้มเพราะรู้ความเข้มงวดของเจ้านายดี หากมีการเปลี่ยนแปลงแบบไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า เธอต้องถูกตำหนิชุดใหญ่แน่นอน

“ถามความเห็นเรื่องอะไรคะ หรือว่าฉันทำผิดหน้าที่มากเกินไป”

ผู้ฟังสะดุ้ง อะไรคือความหมายของ ‘ผิดหน้าที่’ ในเมื่อหญิงสาวผู้นี้ควบตำแหน่งยาวเป็นหางว่าว เป็นทั้งรองประธานกรรมการบริหารของหย่งคังกรุ๊ปสาขาอเมริกา เป็นคู่หมั้นของเจ้านาย และที่สำคัญคือเป็นบุตรบุญธรรมของท่านประธานใหญ่ ยังจะต้องพูดถึงเรื่องถามความเห็นอะไรอีก

“ดิฉันจะรีบจัดการให้ทันทีค่ะ” พนักงานตัวน้อยอย่างเธอได้แต่ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างว่าง่าย อยู่ตรงกลางระหว่างขั้วอำนาจสองขั้วแบบนี้ห้ามทำตัวแข็งข้อเด็ดขาด

“ขอบคุณค่ะ”

เลขาฯ เจียงรีบออกจากห้องทันทีที่ได้รับอนุญาต ยืนกุมอกสูดหายใจราวกับนักโทษที่รอดจากแดนประหาร เธอคิดว่าตัวเองอยู่ในนั้นเป็นชั่วโมง แต่แท้จริงแล้วเข็มนาฬิกาเพิ่งเดินไปแค่ไม่กี่นาที พลันเข้าใจถึงอำนาจโดยชอบธรรมของบุคคลที่เป็น ‘ตัวจริง’

สง่างาม...แต่น่ากลัว นี่คือคำจำกัดความที่มีต่อคู่หมั้นของเจ้านาย ต่อแต่นี้ใครจะว่าเธอเป็นนกสองหัวก็ช่าง ถึงอย่างไรก็ต้องเอาตัวรอดเพื่อรักษาอาชีพการงานไว้ก่อน

‘คู่หมั้น’ กับ ‘เพื่อนสนิท’ ของเจ้านาย ถ้าเลือกข้างผิดก็บ้าเต็มที

 

ภายในภัตตาคารห้าดาวซึ่งทุกโต๊ะถูกจับจองจนเต็ม ชายหญิงคู่หนึ่งต่างไม่มีใครยอมละศักดิ์ศรีของตนเริ่มต้นบทสนทนาก่อน ทั้งสองนั่งก้มหน้าจัดการกับอาหารในจานราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนคำสั่งให้ทำตามหน้าที่ บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความอึมครึม จนแม้แต่พนักงานเสิร์ฟก็ยังไม่กล้าเฉียดกรายเข้าใกล้โดยพลการ

ครืด!

เสียงสั่นแผ่วเบาเรียกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนให้จับจ้องไปยังเสื้อสูทสีเข้ม การรับโทรศัพท์ในเวลาเช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่เสียมารยาท แต่เธอก็คาดการณ์ไม่ผิดว่าชายหนุ่มคงไม่ใส่ใจ

“เอลล่า” เสียงทุ้มฟังดูอ่อนโยนเมื่อเรียกชื่อผู้ที่โทร. เข้ามา แม้แต่ความเฉยเมยเมื่อครู่ก็ยังดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด

“ผมออกมาทำธุระตามคำสั่งของป๊า คงกลับไม่เกินบ่าย”

‘ธุระ’ ที่กล่าวถึงเคี้ยวอาหารเชื่องช้า พลางนึกชื่นชมคำพูดไหลลื่นที่วิ่งเข้าหู จะว่าไปเขาก็ไม่ได้โกหก การที่เธอและเขามานั่งอยู่ตรงนี้ภายใต้สายตาของกาคาบข่าวรอบตัวล้วนแล้วแต่เป็นคำสั่งของบิดาทั้งสิ้น

“ไว้ผมจะไปรับคุณที่สตูดิโอตอนเย็น” ชายหนุ่มเหลือบมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ภายในเวลางานต้องทำตามคำสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าเลิกงาน...นั่นหมายถึงเวลาส่วนตัว

“ผมก็คิดถึงคุณ” เขาไม่มีความคิดเรื่องจะลุกไปคุยที่อื่น ตั้งใจเปิดเผยความสัมพันธ์สนิทสนมต่อผู้ร่วมโต๊ะอย่างเต็มที่ หากทนฟังไม่ได้ก็เป็นปัญหาของฝ่ายนั้น ไม่ใช่ปัญหาของเขา

ทว่าชายหนุ่มคาดการณ์ผิดไป ยิ่งอยู่ใกล้ เขายิ่งเห็นความจริงที่ว่าเฉินเฟยเฟิ่งไม่ได้เรียบร้อยอย่างที่พยายามแสดงออกต่อหน้าคนอื่น เบื้องหลังใบหน้าละมุนละไมซ่อนความคิดซับซ้อนยิ่งกว่าเขาวงกต ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน อยู่ๆ หญิงสาวก็ปิดปากหัวเราะเหมือนพบเจอเรื่องชวนหัว จากที่ผ่อนคลายได้ไม่กี่วินาทีพลันต้องกลับมาขมวดคิ้วอีกรอบ

“ไว้ผมจะโทร. กลับ”

เฉินเฟยเฟิ่งหัวเราะจนไหล่สั่น เธอเคยจินตนาการว่าหากต้องเห็นชายหญิงคู่นี้พลอดรักกันต่อหน้าคงหนีไม่พ้นการหาเรื่องให้ตัวเองหงุดหงิดเปล่าๆ ที่แท้เป็นเธอเองที่คิดมากไป

“นี่คือมารยาทที่เรียนมาจากนิวยอร์กเหรอ” เฉินเฟยหลงตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า ไม่คาดคิดว่านอกจากผลลัพธ์จะไม่ต่างอะไรจากการกำหมัดชกลม ยังโดนอัปเปอร์คัตสวนกลับอย่างจัง

“ฉันเห็นคุณทำตัวไร้มารยาทใส่ก่อน เลยเผลอคิดว่าพวกเราเป็นคนกันเอง”

“คนกันเอง? เข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ฉันกับเธอไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” น่าแปลกที่ถึงแม้จะเป็นคนพูดประโยคนี้ แต่ข้างในกลับคัดค้านอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่เมื่อเห็นท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของคนถูกตำหนิ อาการดังกล่าวพลันหายวับไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

หญิงสาวไม่สนใจถ้อยคำพวกนั้น ยกแก้วน้ำขึ้นจิบด้วยท่าทางกรีดกรายราวกับนางพญา ก่อนจะหยิบยื่นคำแนะนำอันแสนมีประโยชน์ให้แก่เพื่อนร่วมโลกที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนเอง

“เสียใจที่ต้องบอกว่าคุณคงไปตามนัดที่วางไว้ไม่ได้ รีบโทร. ไปยกเลิกดีกว่า ฉันไม่อยากทำบาปให้คนมานั่งรอเก้อ”

“เธอสั่งฉันได้หรือยังไง” นัยน์ตาแข็งกร้าวจ้องเขม็ง หากเป็นคนอื่นคงก้มหน้างุดหลบไปแล้ว แต่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบื้องหน้ากลับยิ่งทอแสงเจิดจ้าท้าทาย

“ได้สิ ถ้าฉันอยากจะทำ” ใบหน้าของผู้พูดประดับรอยยิ้มนุ่มนวลแฝงนัยบางอย่าง การทดสอบความอดทนอาจไม่ใช่เรื่องที่เธอทำได้ดีที่สุด แต่ก็มั่นใจว่าฝีมือไม่แพ้ใครแน่นอน

“เทียวฟ้องคนนั้นคนนี้เหมือนตอนเด็กๆ น่ะเหรอ นั่นไม่ใช่วิธีของผู้ใหญ่นะ รู้รึเปล่า” ผู้พูดแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ หากไม่ใช่คำสั่งของบิดามารดา เขาไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของใครทั้งสิ้น

“กลับกันเถอะ ฉันไม่อยากทำตัวเถลไถลตั้งแต่วันแรก คุณเองก็อาจจะถูกมองไม่ดีไปด้วย” หญิงสาวไม่ต่อล้อต่อเถียง เป็นฝ่ายลุกขึ้นก่อนเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลา

เฉินเฟยหลงพยายามคาดเดาลูกไม้เล่ห์เหลี่ยมแอบแฝง ทว่านอกจากรอคอยอย่างใจเย็นสลับกับดูนาฬิกาข้อมือก็ไม่มีความผิดปกติใดอีก สุดท้ายหนุ่มร่างสูงจึงต้องลุกขึ้นตามอย่างเสียไม่ได้

ทั้งสองเดินออกจากภัตตาคารไปยังรถหรูที่จอดอยู่ริมถนน ถึงร่างกายจะอยู่ห่างกันแค่เพียงคืบ แต่ความคิดกลับกระจัดกระจายออกไปกันคนละเรื่อง

เฉินเฟยเฟิ่งเหลือบมองเงาของบุคคลผู้หนึ่งที่พยายามหลบอยู่หลังป้ายโฆษณา เมื่อมองค้างจนแน่ใจว่าเห็นในสิ่งที่คิด จึงจงใจวาดรอยยิ้มหวานล้ำมากขึ้นไปอีก

อย่าเรียกว่าแผนสกปรกเลย เธอก็แค่...เรียนรู้

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น