4

อีกด้านของพระจันทร์


4

อีกด้านของพระจันทร์

 

‘กาลเวลาที่ล่วงผ่านไปปีแล้วปีเล่า ได้ขโมยสิ่งต่างๆ จากเราไปทีละสิ่ง’

-เฮ้อลาซือ

 

เฉินเฟยเฟิ่งเดินเหม่อลอยเข้ามาในบ้าน แต่กลับพบเฉินเฟยหลิงเดินมาขวางทางเอาไว้ เธอไม่คิดว่าเขาจะเสร็จธุระเร็วถึงเพียงนั้น แววตาจึงปรากฏความตกใจอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะปรับกลับมาเป็นดังเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“มีงานด่วนเหรอคะ” เธอคลี่ยิ้มเอ่ยถามให้เป็นปกติที่สุด

“นี่คือเรื่องที่ตัวเล็กอยากทำเหรอ ที่ยอมกลับมาก็เพราะเหตุผลนี้ใช่ไหม” ผู้ได้ยินบทสนทนาไม่เสียเวลาอารัมภบท ถามถึงประเด็นค้างคาใจทันที

คนถูกถามชะงักงัน สีหน้าอ่อนโยนเมื่อครู่พลันสลายไปดั่งไอหมอก ก่อนจะหลบตาและหันหน้าหนี

“ตัวเล็กก็รู้นิสัยเฮียใหญ่ แบบนี้จะต่างอะไรกับการเอาน้ำมันราดบนกองไฟ”

เฉินเฟยหลิงจ้องน้องสาวบุญธรรมด้วยแววตาคาดคั้น เฉินเฟยหลง เฮียใหญ่ของเขามักจะได้คำชมเสมอว่าเป็นคนละเอียดรอบคอบ มีความเป็นผู้นำ เรื่องอารมณ์และการวางตัวก็ไม่มีขาดตกบกพร่อง สมฐานะทายาทผู้สืบทอดคนต่อไป แต่นั่นคือ ‘ด้านเดียว’ ที่คนนอกเห็น แท้จริงแล้วอีกฝ่ายเป็นประเภทหัวรั้นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับเรื่องที่ยึดมั่นถือมั่น ในสายตาของเฉินเฟยหลง ขาวคือขาว ดำคือดำ ไม่รู้จักยืดหยุ่นรอมชอมกับสิ่งใด จริงอยู่ที่อีกฝ่ายอาจต้องทำตามคำสั่งของบิดามารดาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็จะหาทางต่อต้านทุกวิธีเช่นกัน จึงไม่แปลกที่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนในครอบครัวจะห่างเหินออกไปเรื่อยๆ

“จะเอาน้ำมันราดหรือจะจุดไฟก็เรื่องของตัวเล็ก” คนถูกจับได้ตอบกลับเสียงนิ่ง ปลายคางมนที่เชิดขึ้นเล็กน้อยเป็นสิ่งยืนยันว่าเธอจะไม่เปลี่ยนความคิดเป็นอันขาด

“ถ้าตัวเล็กไม่อยากแต่งงานก็แค่ปฏิเสธไป เฮียไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม ตัวเล็กคิดเหรอว่าเฮียใหญ่เขาจะยอมทำอย่างที่ตัวเล็กต้องการ เฮียเป็นพี่น้องกับเฮียใหญ่มาทั้งชีวิต กล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่ายังไงก็ไม่มีวันนั้นแน่นอน” ท่าทางที่เต็มไปด้วยทิฐิของคนตรงหน้าทำเอาเฉินเฟยหลิงขมวดคิ้ว น้ำเสียงที่ใช้จึงเป็นเชิงตักเตือนอยู่ในที

“ทำไมกลายเป็นตัวเล็กที่ทำให้เรื่องมันยุ่งยาก เฮียไม่โทษสองคนนั้นบ้างล่ะ” หญิงสาวหันกลับมาเถียงทันควัน ดวงตาแข็งกร้าวเอาเรื่อง น้อยครั้งที่เธอจะหลุดอารมณ์ด้านลบออกมาถึงเพียงนี้ แต่คำพูดที่เหมือนกล่าวโทษนั้นไม่ต่างอะไรกับการเอาน้ำกรดมาราดรอยแผลเก่า

“ไม่ใช่ว่าเฮียไม่โทษ แต่เรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว ตัวเล็กยังจะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องอีกรอบทำไม ไม่ว่าตัวเล็กต้องการอะไรก็แค่บอกเฮียมา ทำไมเฮียจะไม่ช่วย แต่เฮียไม่เห็นประโยชน์ของการที่ตัวเล็กจะไปทะเลาะกับเฮียใหญ่เขา ถึงตัดเรื่องหมั้นหมายออกไป ยังไงก็พี่น้องกันอยู่ดี”

ในที่สุดเขื่อนความอดทนของเฉินเฟยเฟิ่งก็พังทลาย ประโยคที่ว่าราวกับลิ่มเหล็กตอกย้ำสิ่งที่เพิ่งได้ยินมา ขอบตาทั้งสองข้างจึงค่อยๆ แดงก่ำขึ้นมาเรื่อยๆ

“แล้วสิบปีมานี้เขาเคยทำอะไรเพื่อพี่น้องที่ยืนอยู่ตรงนี้บ้าง เขายังมองตัวเล็กเป็นน้องของเขาอีกเหรอ” ถึงจะกัดฟัน แต่ก็ไม่อาจปกปิดเสียงสั่นเครือ สีหน้าเย็นชาไม่รู้ร้อนรู้หนาวแท้จริงแล้วก็แค่หน้ากากอันหนึ่งที่ซ่อนความเสียใจเอาไว้เบื้องหลัง

“เฮียรู้ไหมสิบปีมานี้ตัวเล็กต้องเจอกับอะไร เฮียคิดว่าอยู่ที่นิวยอร์กแล้วตัวเล็กจะหนีสายตาสงสารของทุกคนพ้นหรือยังไง แม้แต่เฮียเองบางครั้งก็ยังมองตัวเล็กด้วยสายตาแบบนั้นเลย มีใครสักคนเคยคิดจะถามไหมว่าตัวเล็กอยากได้ความสงสารรึเปล่า”

“ตัวเล็ก! ทำไมถึงคิดอะไรแบบนั้น!”

“งั้นเฮียก็ตอบสิว่าไม่เคย”

“...” เฉินเฟยหลิงตกตะลึง เม้มปากเข้าหากันแน่น เขาไม่คิดว่าภายใต้รอยยิ้มนุ่มนวลจะเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายถึงเพียงนี้ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่คนตรงหน้ากล่าวก็ทำเอาพูดอะไรไม่ออก เพราะตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในเชื้อเพลิงเผาฟางเส้นสุดท้ายโดยไม่รู้ตัว

“แค่ตัวเล็กจะเอาสิ่งที่ควรเป็นของตัวเล็กคืนมา เอาศักดิ์ศรีที่โดนสองคนนั่นเหยียบย่ำตลอดสิบปีคืนมา ทำไมกลายเป็นตัวเล็กที่ทำให้เรื่องมันยุ่งยาก ความยุติธรรมมันอยู่ตรงไหน” น้ำเสียงของผู้พูดเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจระคนผิดหวัง ก่อนที่เธอจะเบือนหน้าหนีและสูดลมหายใจข่มความร้อนลวกที่มารอตรงขอบตา

“เฮียขอโทษ เฮียไม่ได้หมายความแบบนั้น” เผียะ!

หญิงสาวสะบัดข้อมือหนีผู้ที่กำลังเอื้อมมือมาจับ เมื่อได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นมานาน ท้ายที่สุดจึงไม่อาจเก็บซ่อนความเจ็บปวดจากเบื้องลึกเอาไว้ได้อีก

“ตัวเล็กอดทนมามากพอแล้ว มากเกินพอแล้ว! เฮียจะให้ตัวเล็กอดทนไปถึงไหน ยี่สิบปี? สามสิบปี? หรือตลอดทั้งชีวิต? ถ้าเป็นคนอื่นพูดแบบนี้ ตัวเล็กจะไม่เสียเวลามาใส่ใจเลย แต่เฮียเป็นเฮียของตัวเล็กนะ! ทำไมเฮียไม่นึกถึงความรู้สึกของตัวเล็กบ้าง เฮียไม่รักตัวเล็กแล้วเหรอ หรือพี่น้องของเฮียมีแค่เขาเหรอ!”

“เฮียจะไม่รักตัวเล็กได้ยังไง ตัวเล็กเป็นน้องสาวของเฮียนะ”

เฉินเฟยหลิงดึงน้องสาวเข้ามากอด อีกฝ่ายพยายามผลักออก แต่ก็ไม่อาจสู้แรงของเขาได้ เมื่อรู้ว่าไม่อาจหนีไปไหนได้อีกสุดท้ายจึงเลิกป่ายปัด และยอมยืนนิ่งแต่โดยดี

“แต่ในสายตาของเขา...ตัวเล็กไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ไม่ใช่คู่หมั้น ไม่ใช่น้องสาว ไม่แม้แต่จะเป็นคนที่เคยใช้ชีวิตครึ่งชีวิตด้วยกันมา แล้วเฮียยังจะให้ตัวเล็กอดทนต่อไปอีกเหรอ เฮียจะให้ตัวเล็กยืนเป็นหุ่นให้พวกเขาตีซ้ำๆ ในฐานะอะไร” เสียงที่ถึงแม้จะเบาหวิวกลับให้ความหมายชัดเจนยิ่ง และเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่นาทีก่อนทั่วร่างพลันสั่นเทิ้ม มือทั้งสองยกขึ้นกุมเสื้อของคนที่สูงกว่าราวกับเป็นที่พึ่งสุดท้าย

ชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกแย่เท่าครั้งนี้มาก่อน ภาพจำของเฉินเฟยเฟิ่งคือเด็กผู้หญิงอ่อนโยนคนหนึ่ง ทุกคนหรือแม้แต่ตัวเขาเองหลงคิดไปว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นจะต้องอ่อนโยนกับทุกเรื่องตลอดไป โดยที่ลืมไปว่ามนุษย์เราก็มีขีดจำกัดด้วยกันทั้งนั้น แล้วทำไมเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะโกรธแค้นหรือเศร้าเสียใจไม่เป็น โดยเฉพาะเฉินเฟยเฟิ่งที่เสียทั้งคู่หมั้นและพี่ชายในเวลาเดียวกัน เขาสัมผัสความผิดหวังและความเจ็บปวดผ่านร่างในอ้อมกอดได้เป็นอย่างดี ทว่า...

“เฮียช่วยตัวเล็กไม่ได้ เพราะเฮียใหญ่ก็เป็นพี่ชายของเฮียเหมือนกัน” ทันทีที่พูดจบ แรงยึดเหนี่ยวที่เสื้อของเขาพลันค่อยๆ คลายออก ดังนั้นเขาจึงรีบคว้ามือเล็กมากุมไว้แน่น

“แต่เฮียจะไม่ห้าม เพราะเฮียถือว่าตัวเล็กโตแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าตัวเล็กอยากทำอะไรก็ทำเลย เฮียเคารพทุกการตัดสินใจของตัวเล็ก”

“แล้วถ้าตัวเล็กทำให้เฮียผิดหวังล่ะ”

“ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง...เฮียจะยืนข้างตัวเล็กเสมอ เฮียใหญ่จะโกรธ จะโมโหก็ช่างเขา หรือถ้าป๊าม้าจะดุ...ก็ดุเราสองคนพร้อมกันนี่แหละ ช่วยกันขอโทษซ้ายคน ขวาคน เดี๋ยวป๊าม้าก็หายโกรธแล้ว ขอแค่ตัวเล็กมีอะไรในใจก็มาบอกกับเฮียตรงๆ อย่าตัดสินใจหุนหันพลันแล่นคนเดียว เข้าใจที่เฮียพูดไหม”

ผู้ฟังนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะหลับตาแน่น เธอพยักหน้าตอบรับแผ่วเบาก่อนจะโผเข้ากอดคนที่สูงกว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พี่ชายคนนี้ก็เข้าใจและอยู่เคียงข้างเธอตลอด หรือแม้กระทั่งรู้ทั้งรู้ว่าเธออาจจะสร้างปัญหาเข้าสักวัน แต่เขาก็ยังยืนยันที่จะอยู่ตรงนี้กับเธอ

เธอเคยมีความรู้สึกเช่นนี้กับคนคนหนึ่ง คนที่เธอคิดว่าเขาคือเพื่อน คือครอบครัว คืออนาคต คือโลกทั้งใบให้เธอยึดเหนี่ยว คือทุกความอบอุ่นที่เธอต้องการ ความคิดเช่นนั้นช่างไร้เดียงสายิ่งนัก เธอไม่เคยคิดเผื่อใจเลยสักนิดว่าหากวันหนึ่งไม่มีเขาอยู่แล้วเธอจะใช้ชีวิตบนเส้นทางที่เหลือยังไง ในเมื่อทุกตารางนิ้วบนเส้นทางของเธอล้วนแล้วแต่มีเงาของเขาอยู่ทั้งนั้น

สิบปีที่ผ่านมา...มันไม่ง่าย และไม่เคยง่ายเลยสักวัน

เฉินเฟยหลิงลูบศีรษะปลอบประโลมอยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะสงบลง ทว่าสีหน้าและแววตาของเขากลับเผยความหนักใจอย่างเก็บไม่มิด

ในฐานะคนกลาง...เขาไม่ได้กังวลเรื่องที่ทั้งสองคนจะเผชิญหน้าหรือทะเลาะกัน เพราะถึงยังไงก็ดีกว่าความอึดอัดใจ ไม่พูดไม่จากันอย่างเช่นทุกวันนี้ บางทีการทำอะไรให้ชัดเจนไปเลยอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดมากกว่า แต่เรื่องที่เขากังวลกลับเป็นความรู้สึก

ของคนที่พยายามทำเป็นเข้มแข็ง เขาไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจความหมายแฝงของคำว่า ‘สิ่งที่ควรเป็นของตัวเล็ก’ ผิดไปหรือไม่ แต่ถ้าเขาเข้าใจถูก...สุดท้ายคนที่จะเจ็บปวดที่สุดคงหนีไม่พ้นคนในอ้อมกอดนี่เอง

 

คืนนี้เฉินเฟยเฟิ่งนอนกระสับกระส่าย แม้ดวงตาจะปิดสนิท แต่คิ้วเรียวกลับขมวดแน่นราวกับปมเชือก ไม่รู้ว่าเพราะก่อนนอนเธอนึกถึงเรื่องเก่าๆ มากเกินไปรึเปล่า ภาพความทรงจำในอดีตที่ปรากฏในห้วงความฝันถึงได้ชัดเจนราวกับว่าเธอกลับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง

“อาเฟิ่ง...ไปอยู่ด้วยกันนะ ต่อไปลุงกับป้าจะเป็นคนดูแลหนูเอง ให้เหมือนกับที่ป๊าม้าเคยดูแลหนู” หญิงวัยสามสิบต้นๆ ย่อกายนั่งให้เสมอกับคนที่สูงประมาณเอว น้ำเสียงที่พูดกับเด็กหญิงอ่อนโยนอย่างยิ่ง

‘เฉวียนเฟิ่ง’ มองหน้าผู้พูด ดวงตาไร้เดียงสากะพริบปริบ แขนเล็กขาวผ่องกอดตุ๊กตากระต่ายที่มีเทปกาวแปะตามรอยขาดกันเศษผ้าทะลักออกมาอยู่หลายจุด หากเป็นเด็กที่มี ‘บ้าน’ คงทิ้งของเล่นเก่าซอมซ่อชิ้นนี้ไปแล้ว แต่ ‘เด็กกำพร้า’ แค่มีของเล่นเป็นของตัวเองก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว

“ไปไหน ทำไมต้องไป” เด็กหญิงถามกลับ ทั้งคำพูด น้ำเสียง กิริยาล้วนห้วนกระด้าง ไม่มีสัมมาคารวะ หากโตขึ้นไปยังติดนิสัยแบบนี้อยู่คงจะต้องถูกผู้อื่นว่า ‘พ่อแม่ไม่สั่งสอน’ เข้าสักวัน แต่จะกล่าวแบบนั้นก็ไม่ผิดนัก เพราะเด็กที่นี่มีใครมี ‘พ่อแม่สั่งสอน’ บ้าง

“ไปอยู่ฮ่องกงกับป้านะ ที่นั่นมีขนมอร่อยๆ มีเสื้อผ้าสวยๆ มีของเล่นเยอะแยะให้หนูเลือกเต็มไปหมด หนูจะต้องชอบแน่นอน” ผู้พูดไม่ถือเอาเรื่องเหล่านั้นมาใส่ใจ พยายามยิ้มแย้มและทำตัวเป็นมิตรให้มากที่สุด

เด็กหญิงเอียงคอครุ่นคิดถึงคำชวนดังกล่าว ก่อนจะกวาดตามองเพื่อนร่วมบ้านหลายคนซึ่งกำลังวิ่งเล่นอยู่ที่สนามหญ้า หลายคนในนั้นชอบตีเธอแรงๆ ดึงผมเธอ ผลักเธอล้ม และแย่งข้าวไปจากจานเธอทุกวัน ทุกครั้งที่เพื่อนพวกนั้นให้เธอเข้าไปเล่นด้วยก็มักจะพูดกรอกหูเธอด้วยถ้อยคำทำนองว่า คนที่มีผู้ใหญ่มารับตัวไปจะต้องอยู่คนเดียว หรืออาจจะโดนจับไปขายก็ได้ ดังนั้นหากได้ยินคำชักชวนทำนอง ‘ไปอยู่ด้วยกัน’ หรือ ‘จะดูแล’ ให้รีบส่ายหน้าปฏิเสธเข้าไว้

อย่างไรก็ตาม...เธอไม่ได้ด่วนตัดสินใจ มือเล็กลูบปลายผมเปียของตัวเอง อาการปวดแสบยังแล่นไปทั่วศีรษะ และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอลังเลก็ได้

“จะตีหนูรึเปล่า” ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเบือนกลับมาจ้องมองคนที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าคำตอบจะออกมาเป็นเช่นไร เธอล้วนแต่คิดว่ามันคือ ‘ความจริง’ ทั้งนั้น

หญิงที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘ป้า’ มองแววตาใสสะอาดซึ่งบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เด็กกำพร้าต้องเจอ มือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดปากคล้ายคนพูดอะไรไม่ออก ก่อนจะเงยหน้าสบตากับชายที่มาด้วยกัน ดวงตาของคนทั้งสองเต็มไปด้วยความสะเทือนใจอย่างยิ่งยวด ทว่าก็สูดหายใจลึกและหันกลับมาให้คำตอบด้วยเสียงติดจะสั่นพร่าอยู่บ้าง

“อาเฟิ่ง ต่อไปจะไม่มีใครตีหนู ลุงกับป้า...และเฮียๆ จะดูแลหนูให้ดีที่สุด หรือถ้ามีใครกล้ารังแกหนูแล้วละก็...ลุงกับป้าจะจัดการให้”

ผู้หญิงคนนั้นเอื้อมมือมาลูบผมเธอแผ่วเบา แต่เธอเบี่ยงศีรษะหนีด้วยความไม่คุ้นชิน

เฉวียนเฟิ่งนิ่งงัน คำพูดของเพื่อนๆ พลันลอยเข้ามาในความคิด อยู่ที่นี่อาจจะเจ็บตัวไม่รู้จบ แต่ถ้าไปอยู่กับผู้ใหญ่สองคนนี้...เขาบอกว่าจะไม่ตี ดังนั้นถ้าต้องเลือกระหว่างโดนตีกับไม่มีเพื่อนเล่น สำหรับเธอแล้วอะไรน่ากลัวกว่ากัน

เธอไม่คิดจะเสียเวลาเลือกอีกต่อไป จึงให้คำตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“ไม่ตีจริงเหรอ งั้นเอาน้องต่ายไปด้วยนะ” เด็กหญิงชู ‘เพื่อน’ ในมือขึ้น ยิ้มกว้างจนไม่เห็นดวงตา ไฝเม็ดเล็กที่หางตาข้างขวาทอประกายระยิบระดับดุจดวงดาวบนฟากฟ้ามืดสนิท

หากมีน้องต่ายแล้วจะกลัวอะไรกับการไม่มีเพื่อน เธอเล่นกับน้องต่ายก็ได้...

“ได้สิ เอาน้องต่ายไปด้วย น้องต่ายต้องดีใจแน่ๆ เลย”

ผู้ใหญ่ทั้งสองยิ้มแย้มมองหน้ากัน ก่อนที่เจ้าของดวงตาคมกริบเปี่ยมอำนาจจะเข้ามาอุ้มเธอและน้องต่ายออกจาก ‘บ้าน’ ภายในบ่ายวันนั้น นั่นเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตที่เธอคงไม่มีวันลืม

 

ทุกอย่างมันควรจะราบรื่น หากไม่...

“ตุ๊กตาของเด็กคนนี้หายไปไหน!” เฉินชุนขมวดคิ้วถามแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดห้องพักโรงแรม ถึงจะไม่ได้ตะคอก แต่สีหน้าและแววตาก็ทำเอาผู้ฟังตัวสั่นงันงกอยู่ดี

พวกเขาหยุดพักที่นี่หนึ่งคืน และวางแผนข้ามจากจีนกลับไปยังฮ่องกงในวันพรุ่งนี้ แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดปัญหาขึ้นมาเสียก่อน

“ดะ...ดิฉันเห็นตกอยู่ที่ระเบียง มันทั้งเก่าทั้งขาด ดิฉันคิดว่าเป็นขยะ...เลยเก็บไปทิ้งแล้วค่ะ” แม่บ้านก้มหน้าตอบ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“กรี๊ด! น้องต่ายไปไหน! เอาน้องต่ายคืนมา!”

เจ้าของตุ๊กตากระต่ายร้องไห้ไม่หยุด กรีดร้องเสียงแหลมเล็กปานจะขาดใจ หยาดน้ำตารินไหลจนคอเสื้อเปียกชุ่ม อวัยวะทุกส่วนบนใบหน้าแดงก่ำแทบจะคั้นเลือดออกมาได้

“อาเฟิ่ง...ใจเย็นๆ นะ”

“กรี๊ด! เอาน้องต่ายคืนมา!” เผียะ!

ร่างเล็กพยายามดิ้นออกจากอ้อมแขนที่กอดรัดสุดแรงเกิด ทั้งตบทั้งข่วนสารพัด แต่วงแขนของเฉินฮุ่ยไม่คลายออกแม้เพียงสักนิด ท้ายที่สุดเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เธอเพิ่งสวมใส่ให้แก่เด็กหญิงก็ยับยู่ยี่ ไม่ต่างอะไรกับผมเปียสองข้างที่หลุดลุ่ย

“คุณคะ ยายหนูจะขาดใจแล้ว” เฉินฮุ่ยเอ่ยขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นสามี เฉวียนเฟิ่งร้องไห้อยู่เช่นนี้มาเป็นชั่วโมง หากไม่ทำให้อีกฝ่ายสงบลงได้ เกรงว่าอาจจะล้มป่วยก่อนไปถึงฮ่องกง

“ไปหามา! ยังไงก็ต้องเอากลับมาให้ได้!” เจ้าของดวงตาดุดันสั่งแม่บ้านด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด รอจนคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจนหมด เขาจึงรีบเข้าไปอุ้มร่างเล็กที่กำลังอาละวาดมาจากภรรยาอย่างรวดเร็ว

“อาเฟิ่ง ลุงกำลังให้คนไปหามาคืนให้ อย่าร้องไห้เลย” แววตาดุดันเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความสงสาร มือหนาลูบแผ่นหลังสั่นสะท้านเพื่อปลอบโยน

“กรี๊ดๆๆ น้องต่าย! เอาน้องต่ายคืนมา!” ทว่าผู้ถูกปลอบโยนไม่ฟังสิ่งใดทั้งนั้น ยังคงร่ำร้องหาสิ่งที่หายไปอย่างไม่ยอมแพ้ จวบจนหายใจไม่ทันและอาเจียนออกมารดบ่ากว้างของผู้ที่อุ้มอยู่

“อาเฟิ่ง!” เฉินชุนไม่ได้ห่วงเรื่องความสะอาดของตัวเอง แต่ห่วงคนที่อยู่ในอ้อมแขนมากกว่า ถึงเนื้อตัวจะเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษอาหาร แต่ก็ยังคงกอดร่างเล็กไม่ยอมปล่อย

สามีภรรยาทั้งสองไม่เคยรับมือกับเด็กผู้หญิงมาก่อน จึงได้แต่มองหน้ากันด้วยความหนักใจ ไม่ว่าจะปลอบโยนหลอกล่อยังไงเฉวียนเฟิ่งก็ยังคงร้องไห้ไม่หยุด สะอึกสะอื้นจนพูดไม่เป็นภาษา โชคดีที่เด็กตัวแค่นี้ไม่มีแรงอาละวาดติดต่อกันได้นาน สุดท้ายจึงผล็อยหลับไปทั้งคราบน้ำตา

“ค่อยๆ นะคะคุณ”

เฉินชุนวางร่างหลับใหลบนโซฟา ขณะที่เฉินฮุ่ยก็ไปหาผ้าชุบน้ำมาเช็ดใบหน้าซีดเซียวอย่างเบามือ การปล่อยให้เด็กตัวแค่นี้ร้องไห้จนหมดแรงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กที่มีที่ยึดเหนี่ยวเพียงหนึ่งเดียวอย่างเฉวียนเฟิ่ง หากตื่นขึ้นมาแล้วยังไม่พบของที่ตามหา สุดท้ายก็คงจบลงเช่นนี้อีกรอบ

“ของถูกทิ้งไปแล้ว โรงแรมก็ใช่ว่าจะเล็ก คุณคะ...ถ้าเกิดหาไม่เจอจะทำยังไงดี ฉันสงสารอาเฟิ่ง ยายหนูจะต้องเกลียดพวกเรามากแน่ๆ”

เฉวียนเฟิ่งติดตุ๊กตาที่หายไปมาก มักจะพูดคุยกับตุ๊กตาเป็นตุเป็นตะราวกับตุ๊กตาผ้าเก่าโทรมเป็นสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะทำอะไรก็ถือเอาไว้ตลอด แม้แต่อาบน้ำก็ยังเอาเข้าไปอาบด้วยกัน สุดท้ายเมื่อตุ๊กตาเปียกโชก เธอเกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะยอมเอาตุ๊กตาออกไปตากที่ระเบียง ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

“รีบพาอาเฟิ่งกลับฮ่องกงเถอะ อยู่ที่นั่นแกจะได้มีเพื่อน เด็กวัยไล่เลี่ยกันคงเข้าใจกันมากกว่า ขืนอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะทรมานใจแกเปล่าๆ” เฉินชุนกล่าวขณะที่กำลังใช้มือประคองศีรษะเล็กให้หนุนหมอนในท่วงท่าที่สบาย เขาก็ไม่คิดว่าของที่หายไปแล้วจะกลับมาได้เหมือนกัน

บุคคลทั้งสองคาดเดาไม่ผิด ไม่นานหลังจากนั้นผู้จัดการโรงแรมก็พาแม่บ้านมาขอโทษด้วยสีหน้านอบน้อมรู้สึกผิดอย่างยิ่ง หากจะดึงดันเอาผิดก็ออกจะแล้งน้ำใจเกินไป อีกทั้งยังไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจพาเด็กหญิงที่กำลังหลับใหลกลับฮ่องกงทันที

เฉินชุนมองใบหน้าขาวซีดของ ‘ว่าที่ลูกสะใภ้’ ตลอดการเดินทาง...เฉวียนเฟิ่งไม่ยอมพูด ไม่ยอมกินข้าว และไม่ยอมให้ใครเข้าไปปลอบ เด็กหญิงเอาแต่ร้องไห้ถึงเพื่อนที่หายไปไม่หยุด ไม่ว่าเขาและภรรยาจะใช้วิธีหลอกล่อหรือข่มขู่ก็ไม่เป็นผล ความทระนงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังดวงตาแดงก่ำคู่นั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้าตัวแน่วแน่ในจุดยืนแค่ไหน หากไม่ยินยอมก็ไม่มีใครบังคับฝืนใจได้

บุรุษที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบสี่สิบปีไม่รู้จะชื่นชมหรือกังวลดี เด็กอายุไม่ถึงสี่ขวบแต่กลับใจแข็งทรมานตนเองเช่นนี้ โตขึ้นจะเป็นคนเช่นไร

เขาอดที่จะทอดถอนใจเพราะชะตาของเฉวียนเฟิ่งไม่ได้ หากบิดามารดาของอีกฝ่ายเข้มแข็งอดทนกว่านี้อีกสักนิด เด็กหญิงคงไม่ต้องใช้ตุ๊กตาไร้ชีวิตเป็นที่พึ่งพิงทางจิตใจแทนครอบครัว

 

การรับสมาชิกใหม่เข้าบ้านควรจะทำให้เป็นเรื่องมงคล แต่เฉวียนเฟิ่งกลับมีหมอตามติดมาด้วย เด็กหญิงล้มป่วยเพราะพิษไข้อยู่หลายวัน งานฉลองที่เตรียมไว้จึงต้องยกเลิกทั้งหมด

ทุกคนในบ้านช่วยกันดูแลประคบประหงมเด็กหญิงจนหายดี โดยเฉพาะเฉินฮุ่ยที่เฝ้าไข้อยู่ข้างเตียงไม่ห่าง แต่สมาชิกใหม่ของบ้านกลับเอาแต่นอนคลุมโปง ไม่พูดไม่จา แม้แต่เฉินชุนที่บริหารงานคนใต้อาณัติหลายร้อยคนก็ไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้

เด็กชายสองคนก็ได้ยินข่าวที่คนในบ้านพูดกัน จึงชวนกันมาแอบเกาะประตูห้องมองเข้าไปข้างในด้วยความอยากรู้อยากเห็น โชคร้ายที่สมาชิกใหม่ของบ้านไม่คิดจะเลิกชายผ้าแล อีกทั้งพวกเขายังถูกมารดาปรามว่า ‘อย่าเพิ่งทำให้น้องตกใจ’ นานวันเข้าเด็กทั้งสองคนจึงไม่มารบกวนอีก

จนกระทั่งล่วงเข้าสัปดาห์ที่สอง...เฉินฮุ่ยที่กำลังคนโจ๊กให้หายร้อนมองร่างผ่ายผอมด้วยความกลุ้มใจ เดิมทีเฉวียนเฟิ่งก็ตัวเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันอยู่แล้ว แต่นี่ยังอดอาหารประท้วงอีก หากบิดามารดาของเด็กคนนี้ที่อยู่บนสวรรค์รับรู้เข้าจะต้องตำหนิเธอและสามีที่ไม่ทำตามสัญญาอย่างแน่นอน

เอาเถอะ...คิดเสียว่าเป็นการโกหกสีขาวก็แล้วกัน

“อาเฟิ่ง ถ้าหนูลุกขึ้นมากินข้าวหมดชาม ป้าจะพาหนูไปหา ‘เพื่อน’ ของน้องต่ายดีไหม” เฉินฮุ่ยเปรยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมา หลังจากที่เธอซักซ้อมนิทานเรื่องนี้มาหลายวัน ในที่สุดก็ได้นำออกมาใช้เสียที

ประโยคดังกล่าวเรียกความสนใจจากคนที่นั่งอยู่บนเตียงได้เป็นอย่างดี จากที่กำลังเหม่อมองต้นไม้ใบหญ้านอกหน้าต่างเด็กหญิงพลันหันขวับไปมองผู้พูด ใบหน้าซีดเซียวดูมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย

“หนูไม่อยากเจอเพื่อนของน้องต่ายเหรอจ๊ะ เขามารอหนูหลายวันแล้วนะ”

“แล้วน้องต่ายอยู่ด้วยรึเปล่า ไหนล่ะ อยู่ไหน” ในที่สุดเด็กหญิงก็ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหว คนตัวเล็กเอ่ยถาม แววตาฉงนปนดีใจเผยออกมาอย่างไม่ปิดบัง

เฉินฮุ่ยเห็นดังนั้นจึงรีบยกชามโจ๊กขึ้นมา ก่อนจะป้อนเด็กหญิงที่เบิกตาโตจ้องมองเธอไม่กะพริบ

“อาเฟิ่ง...น้องต่ายของหนูไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย แต่น้องต่ายฝากเพื่อนให้มาดูแลอาเฟิ่งแทน น้องต่ายบอกกับป้าว่าถ้าอาเฟิ่งเป็นเด็กดี...สักวันน้องต่ายจะกลับมาเยี่ยมใหม่”

แววตาของผู้ฟังหม่นหมองลงทันที ก่อนจะเบือนหน้าหนีชามอาหารหอมกรุ่นกลับไปมองนอกหน้าต่างเช่นเดิม ถึงจะไม่ได้ร้องไห้ออกมาอีกรอบ แต่การแสดงออกทั้งหมดก็อธิบายชัดเจนว่าเธอใจสลายกับการสูญเสียเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวมากขนาดไหน

“หนูคิดถึงน้องต่าย หนูออกไปอยู่ข้างนอกกับน้องต่ายได้ไหม หนูไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียว”

เฉินฮุ่ยรีบวางของในมือและขึ้นไปนั่งบนเตียง ดึงร่างเล็กมาโอบกอดหลวมๆ พลางหยิบตุ๊กตากระต่ายหลายสิบแบบซึ่งวางอยู่รอบตัวมาวางใส่ในอ้อมอกของอีกฝ่าย

“น้องต่ายตัวอื่นๆ ที่ลุงกับป้าหามาให้ไม่น่ารักเหรอ อาเฟิ่งลองอุ้มดูสักครั้ง หนูจะต้องชอบแน่ๆ” เธอให้คนไปกว้านซื้อตุ๊กตากระต่ายมามากมาย จนใจที่เด็กหญิงไม่ยอมสัมผัสเลยสักครั้ง

พลั่ก!

เด็กหญิงปัดออกทันที ตุ๊กตาโชคร้ายกลิ้งหลุนๆ หล่นลงจากเตียง ปลายคางกลมมนเชิดขึ้นอย่างไม่ยอมจำนน ก่อนที่เธอจะให้คำตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“ไม่เหมือนกัน”

ผู้ฟังนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามถึงเหตุผลด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ทำไมไม่เหมือนล่ะ อธิบายให้ป้าฟังได้รึเปล่า”

“เพราะน้องต่ายเป็นเพื่อน น้องต่ายไม่เคยตี น้องต่ายไม่แย่งข้าวกิน น้องต่ายไม่ทิ้งให้อยู่คนเดียว น้องต่ายไม่แกล้งให้ร้องไห้” ทุกครั้งที่พูดถึงเพื่อนเพียงหนึ่งเดียว ใบหน้าจิ้มลิ้มพลันประดับรอยยิ้มน่ารัก แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนที่ว่าหายตัวไปแล้ว น้ำตาที่สกัดกั้นไว้เมื่อครู่พลันทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก

“แต่น้องต่ายทิ้งหนูไปแล้ว ฮึก ต่อไป...หนูต้องอยู่คนเดียว ฮึก”

“โธ่ อาเฟิ่ง” เฉินฮุ่ยลูบศีรษะเล็กด้วยความสงสารจับใจ คำตอบไร้เดียงสาเรียกน้ำตาของเธอให้เอ่อคลอด้วยเช่นกัน

“น้องต่ายของหนูบอก ‘อาหลง’ หมดแล้วว่าห้ามตีอาเฟิ่ง ห้ามแย่งข้าวอาเฟิ่งกิน ห้ามทำให้อาเฟิ่งร้องไห้เด็ดขาด ต่อไปนี้ ‘อาหลง’ จะดูแลหนูแทนน้องต่าย เขาจะอยู่กับหนูทุกวัน จะเป็นเพื่อนเล่น จะเป็นครอบครัว จะเป็นทุกอย่างที่หนูอยากให้เขาเป็น เขาจะดีกับหนูมากๆ จะไม่ทิ้งให้หนูอยู่คนเดียวแน่นอน”

“จริงเหรอ อาหลงจะไม่ทิ้งหนูใช่ไหม” เอ่ยเสียงเล็กทวน ไม่นานก็เงยหน้าเอ่ยถามเหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้

“อาหลงคืออะไร” ในความหมายของเธอ ‘อาหลง’ คือตุ๊กตาสัตว์ชนิดหนึ่ง เธอคาดหวังให้เจ้าของชื่อที่ว่าน่ารักเหมือนน้องต่าย ให้เธออุ้มได้กอดได้ ไม่เอาของน่ากลัว

“หนูอยากเจอ ‘อาหลง’ รึเปล่า เดี๋ยวป้าจะพาไป”

เด็กหญิงนิ่งคิดอยู่นาน ก่อนจะให้คำตอบด้วยเสียงเบาหวิว “อยากเจอ...”

 

ในโลกนี้ ‘ของสิ่งหนึ่ง’ จะแทนที่ ‘ของสิ่งหนึ่ง’ ได้ยังไง

ในความทรงจำของเฉวียนเฟิ่ง เพื่อนของน้องต่ายไม่น่ารักเท่าน้องต่าย ไม่สิ...เขาคือคนตัวเป็นๆ ที่เธออุ้มไม่ได้ กอดไม่ได้ เขาตัวสูงจนเธอต้องเงยหน้ามอง สีหน้าและท่าทางก็ไม่ชวนให้เข้าใกล้

ความทรงจำเมื่อตอนอยู่บ้านเด็กกำพร้าลอยกลับเข้ามา เธอมักจะถูกเพื่อนที่นั่นรังแกอยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าคน อะไรก็น่ากลัวไปหมด แต่น้องต่ายไม่เหมือนกัน...อย่างน้อยก็ไม่เคยทำให้เธอต้องเจ็บตัวแม้สักครั้งเดียว

ร่างเล็กหลบอยู่หลังเสา ไม่พูดไม่จา ปลายเล็บจิกไม้เนื้อแข็งแน่นจนชาไปทั้งฝ่ามือ ความเจ็บปวดแผ่กระจายจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูก มันเต็มไปด้วยคิดถึงและทรมาน คิดถึงในสิ่งที่เธอก็รู้ว่าไม่มีวันได้คืนมา ก่อนหน้านี้เธอเคยคิดว่าการโดนตีน่ากลัวแล้ว แต่วันนี้กลับได้เรียนรู้ว่าความสูญเสียน่ากลัวยิ่งกว่า

“ลองเข้าไปใกล้ๆ อาหลงสิ เขาจะต้องดีกับหนูเหมือนน้องต่ายแน่ๆ”

ร่างเล็กถูกดันให้ไปยืนข้าง ‘อาหลง’ ที่ว่า และยังไม่ทันได้ตั้งตัว มืออบอุ่นคู่หนึ่งก็เอื้อมมาคว้ามือเธอไว้ เด็กหญิงแข็งขืนจะชักมือออกตามสัญชาตญาณ แต่เขากลับจับมือเธอแน่นไม่ปล่อย คนที่สูงกว่าค้อมตัวจนดวงตาอยู่ในระดับเดียวกัน เธอจึงพบเงาเล็กจิ๋วของตัวเองอยู่ในนัยน์ตาสีดำขลับแวววาวของเขา

น้องต่ายก็เคยมองเธอเช่นนี้...

“อาเฟิ่ง ต่อไปเฮียจะดูแลอาเฟิ่งให้ดีๆ จะรักอาเฟิ่งให้มากๆ เฮียจะไม่ทำให้อาเฟิ่งร้องไห้สักครั้งเดียว”

เฉวียนเฟิ่งจ้องมองนัยน์ตาคู่นั้นอยู่นาน ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาเป็นสาย คนตรงหน้าเข้ามากอดเธออย่างแผ่วเบา ลูบแผ่นหลังด้วยมือที่เล็กกว่าคุณลุงเฉินชุนเป็นเท่าตัว ทว่ากลับอบอุ่นเหมือนช่วงเวลาที่เธอยังมีน้องต่ายในอ้อมแขน

นับตั้งแต่วันนั้น...หากเธอล้ม เขาจะวิ่งมาปัดฝุ่นให้เธอเป็นคนแรก หากเธอกลัว เขาจะจับมือเธอเอาไว้ไม่ปล่อย หากเธอร้องไห้ เขาจะมอบอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นให้โดยไม่ต้องร้องขอ ไม่ว่าเธอจะทำอะไร...แค่หันกลับไปก็จะมีเขายืนมองอยู่ข้างๆ เสมอ

เธอย่อมรู้ว่าความสูญเสีเป็นยังไง มันเศร้าและทรมานมากแค่ไหน ครั้งนี้ที่เธอได้ ‘น้องต่าย’ กลับคืนมาอีกครั้ง เธอจะไม่ยอมเสียสิ่งที่รักที่สุดไปอย่างแน่นอน...

ไม่มีวัน...

 

เฉินเฟยเฟิ่งลืมตาขึ้น เพดานขาวโล่งพร่ามัวกว่าที่ผ่านมา เธอรู้สึกถึงของเหลวร้อนผ่าวไหลผ่านผิวหน้าและซึมหายเข้าไปในหมอนอย่างเงียบเชียบ สัมผัสอบอุ่นในความฝันยิ่งตอกย้ำว่าเวลานี้เธอหนาวเหน็บเข้าไปในกระดูกถึงเพียงใด

ทั้งๆ ที่ภาพยังคงชัดเจนถึงเพียงนั้น...เหตุใดเขาถึงลืมล่ะ

มือบางทั้งสองข้างกำชายผ้าห่มแน่น กัดริมฝีปากไม่ให้หลุดสะอื้นออกมาแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบังคับตัวเองให้เก็บความรู้สึกกับทุกเรื่อง แต่เธอก็จำเป็นต้องทำ เธอเรียนรู้ว่าร้องไห้ไปก็เท่านั้น น้ำตารังแต่จะทำให้เขาคิดว่าเธอเล่นละครฉากหนึ่ง

“คนโกหก...”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น