3
คู่หมั้นในวัยเยาว์
‘กาลเวลาก็เหมือนสายน้ำ ไหลผ่านแล้วไม่อาจหวนกลับ’
-ไม่ปรากฏนาม
รถสปอร์ตสีดำจอดนิ่งอยู่ที่ชั้นจอดรถในตึกโครงการที่พักอาศัยระดับห้าดาว แต่ผู้เป็นเจ้าของรถยังไม่รู้ตัวว่านั่งเหม่อลอยอยู่ในนี้มานานแค่ไหน แววตาที่ยังเหลือร่องรอยโทสะจับจ้องความเงียบสงบด้านนอกเมื่อนึกถึงบทสนทนาที่เพิ่งประสบพบเจอมา มือที่กำพวงมาลัยพลันกลับมาสั่นเทิ้มอีกระลอกอย่างควบคุมไม่อยู่
...
‘เฟยเฟิ่ง!’ เฉินเฟยหลงสาวเท้ายาวเข้าไปทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบประโยค แต่ยังไม่ทันได้เข้าถึงตัว ร่างที่มีส่วนสูงเพียงไหล่กลับก้าวถอยหลัง เอ่ยเสียงเรียบเป็นเชิง ‘เตือน’
‘ถ้าก้าวเข้ามาอีกก้าว พรุ่งนี้ก็เตรียมตัวเลือกการ์ดแต่งงานได้เลย’ รอยยิ้มนิ่มนวลยังอยู่บนใบหน้าของผู้พูด ทว่าแววตาดูแคลนที่จ้องมองมาไม่ต่างอะไรจากคมมีดกรีดเฉือนความอดทนของเขาให้ขาดออกจากกัน
‘ฉันไม่มีวันแต่งงานกับเด็กแบบเธอ!’
‘เฟยหลง เมื่อตอนอยู่บนโต๊ะอาหารป๊าสอนว่ายังไง แค่ไม่กี่นาทีก็ลืมอีกแล้วเหรอ สถานะของพวกเราคือสิ่งที่ป๊าได้ให้สัญญากับฉัน เกือบยี่สิบปี...เกือบยี่สิบปีที่ฉัน ‘ทำใจ’ ว่าจะต้องเป็นเจ้าสาวของคุณ เกือบยี่สิบปีที่คุณโดนกรอกหูว่าเราจะต้องแต่งงานกัน ดังนั้นไม่ว่าคุณจะต้องการหรือไม่ แต่ถ้าฉัน ‘ต้องการ’ คุณไม่มีทางหนีจากสถานะคู่หมั้นของฉันได้’
‘แค่ทุกคนเข้าข้างไม่ได้หมายความว่าเธอจะมีสิทธิ์มาขู่ฉัน!’ ชายหนุ่มตะคอกด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว ประโยคที่ได้ยินทำเอาทั่วทั้งสรรพางค์สั่นเทิ้ม ทั่วร่างร้อนรุ่มราวกับโดนไฟสุม
‘ขู่เหรอ? คนอย่างฉันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้วนี่ ยังต้องให้ฉันพิสูจน์อีกเหรอ’
ผู้ฟังชะงัก จ้องใบหน้าเล็กที่ถูกเงามืดบดบัง แต่กลับไม่อาจปกปิดนัยน์ตาวาววับเชือดเฉือนได้ ท่าทีของอีกฝ่ายไม่ได้บอกว่ากำลังล้อเล่น หากเป็นแต่ก่อนเขาคงคิดหาวิธีจัดการกับอดีต ‘คู่หมั้นวัยเยาว์’ ได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ แต่เฉินเฟยเฟิ่งที่อยู่ตรงหน้า...สิบปีแปรเปลี่ยนเด็กคนนั้นให้กลายเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง
‘เบื่อที่จะเล่นละครทำตัวน่าสงสารแล้วหรือยังไง’ เสียงทุ้มห้วนเอ่ยถามเชื่องช้า ใบหน้าคมคายปรากฏเม็ดเหงื่อและเส้นเลือดทั่วขมับ
‘เฉินเฟยหลง ฉันเพิ่งเริ่มแสดงละครได้ไม่ถึงชั่วโมง คุณก็ทนดูไม่ไหวแล้ว’ เจ้าของเสียงหวานเย็นยะเยือกทอดถอนใจ ก่อนจะวกกลับไปยังความต้องการในตอนแรก
‘งั้นทำตามข้อเสนอสิ ฉันจะได้ปิดม่านเวทีนี้สักที’
‘หึ! คุกเข่าขอโทษ? คนที่ก่อเรื่องอย่างเธอต่างหากที่ควรจะทำแบบนั้น เฉินเฟยเฟิ่ง ฉันเคยรักเธอเหมือนน้องคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรฉันพร้อมปกป้องเธอทุกอย่าง อะไรที่เธออยากได้ฉันเคยไม่ให้เธอเหรอ ขอแค่เธอยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นคนทำ พวกเราก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะคิดไปเองฝ่ายเดียว สิบปีที่ผ่านมา...การศึกษาไม่ได้ขัดเกลาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเธอเลย’
ดวงตาวาววับคู่นั้นจ้องมองเขาอยู่นาน ผสมปนเปกับความรู้สึกหลากหลายที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด รอยยิ้มมุมปากของอีกฝ่ายคล้ายเฉยชาและผิดหวังไปในคราวเดียวกัน เมื่อความเงียบและความอึดอัดเข้ามากัดกินความสัมพันธ์ของคนทั้งสองจนไม่อาจหวนกลับ ท้ายที่สุดร่างเล็กจึงตัดสินใจหมุนกายกลับไปยังทางที่เดินมา แต่ยังไม่วายตบหน้าคนฟังด้วยคำพูดท้าทายอีกประโยค
‘ก็ดี ถ้าคุณให้ในสิ่งที่ฉันต้องการไม่ได้...ก็ทนอยู่แบบนี้ต่อไปเถอะ’
เฉินเฟยหลงไม่รู้ว่าเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นจากตรงไหน เฉินเฟยเฟิ่งในความทรงจำ...เป็นเด็กหญิงสดใสน่ารัก พูดจาออดอ้อนน่าฟัง ทำอะไรก็นึกถึงคนอื่นอยู่เสมอ ถึงจะติดนิสัยเอาแต่ใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยสร้างความหนักใจให้คนรอบตัวเลยสักครั้ง จวบจนวันที่คู่หมั้นตัวน้อยคนนั้นถูกความอิจฉาริษยาครอบงำ เด็กหญิงคนนั้นก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
และวันนี้เฉินเฟยเฟิ่งยิ่งพิสูจน์ความจริงให้เขาเห็น เธอไม่ใช่เด็กหญิงที่เขาเคยรักอีกต่อไป
สิบเอ็ดปีที่แล้ว
ต้นฤดูใบไม้ผลิ ภาคเรียนที่สอง
“ตัวเล็ก เก็บของเสร็จรึยัง”
เสียงพูดคุยจอแจภายในห้องเรียนเกรดแปด คลาสเอเบาลงเมื่อได้ยินเสียงแหบทุ้มของผู้มาใหม่ สายตาเกินกว่าครึ่งมองไปยังร่างสูงโปร่งในชุดเครื่องแบบนักเรียนสีน้ำเงินที่ยืนล้วงกระเป๋าอยู่หน้าประตู ถึงจะเป็นเรื่องปกติที่รุ่นพี่คนนี้จะมารับ ‘คู่หมั้น’ ไปกินข้าวที่โรงอาหารด้วยกันทุกวัน แต่เด็กหญิงหลายคนก็ไม่ชินกับ ‘รองประธานนักเรียนเฉิน’ เสียที
“อาหลง มาแล้วเหรอ”
เหล่าเพื่อนร่วมชั้นต่างหันกลับมามองร่างเล็กที่กระโดดโลดเต้นไปหาคู่หมั้น ไม่รู้ว่า ‘ตัวเล็ก’ คนนี้มีภูมิคุ้มกันพิเศษชนิดไหน นอกจากไม่เคยแสดงอาการขวยเขินแล้ว ยังมักจะย้อนถามคนที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องความรักสดใสในวัยหนุ่มสาวว่า
‘แล้วทำไมต้องเขินด้วย’
“อาหลง บ่ายนี้มานั่งเชียร์เฮียแข่งบาสด้วยกันกับตัวเล็กนะคะ” เด็กหญิงผมหน้าม้าเอ่ยชวนระหว่างทางเดินไปโรงอาหาร ‘เฮีย’ คนที่เธอกล่าวถึงคือ ‘เฉินเฟยหลิง’ หรือ ‘ลูคัส เฉิน’ พี่ชายบุญธรรมที่มีแข่งบาสเกตบอลรอบรองชนะเลิศระดับเยาวชนในบ่ายวันนี้
คนถูกเขย่าแขนก้มมองร่างเล็กซึ่งสูงแค่อกของตน อีกฝ่ายก็กำลังเงยหน้าเว้าวอนพอดิบพอดี เมื่อสบกับแววตาเป็นประกายไร้เดียงสาคู่นี้แล้ว ถามหน่อยว่าจะมีคนตระกูลเฉินคนไหนปฏิเสธ ‘เฉินเฟยเฟิ่ง’ ได้
“เฮียว่างตอนบ่ายสอง ต้องไปจัดการเรื่องในสภานักเรียนให้เสร็จก่อน ตัวเล็กไปรอเฮียที่สนามนะ เสร็จงานแล้วเฮียจะตามไป”
“ก็ได้ค่ะ แต่อาหลงต้องรีบมานะ ซื้อขนมเข้ามาให้ตัวเล็กด้วย เอาสองถุงใหญ่ไปเลย” เฉินเฟยเฟิ่งพยักหน้าเข้าใจ และทำไม้ทำมือกะขนาดถุงขนมซึ่งใหญ่กว่าตัวเธอเสียอีก ก่อนจะยิ้มกว้างจนดวงตาโค้งลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เมื่อรวมกับไฝเม็ดเล็กที่หางตาขวา ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าจิ้มลิ้มดูน่ารักมากขึ้นกว่าเดิม
“หัดกินข้าวให้เท่ากินขนมหน่อยสิตัวเล็ก หม่าม้าเครียดจะแย่ว่าทำไมขุนเท่าไรก็ไม่โตสักที”
“ตัวเท่านี้แล้วไม่ดีตรงไหน ตัวเล็กจะได้กินน้อยๆ ช่วยป๊าม้าประหยัด” ผู้พูดทำปากจู๋ หาเหตุผลมาแก้ต่างข้างๆ คูๆ สุดท้ายจึงโดนหยิกแก้มไปหนึ่งที
หมับ!
“ประหยัดตรงไหนกันฮึ เงินค่าขนมไม่เคยเหลือเลย ต้องมาเกาะแกะเฮียสองคนอยู่ทุกวัน ที่อาหลิงไม่ได้เครื่องเล่นเพลงใหม่สักทีก็เพราะต้องแบ่งเงินค่าขนมมาเลี้ยงตัวเล็กนั่นแหละ” เฉินเฟยหลงส่ายหน้าระอาใจ แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปฏิเสธคู่สนทนาได้
เด็กผู้หญิงคนนี้คือ ‘คู่หมั้น’ ที่บิดามารดาพาเข้าบ้านมาแนะนำตัวกับเขาเมื่อเก้าปีก่อน ตอนนั้นอีกฝ่ายเพิ่งจะอายุสามสี่ขวบเท่านั้นเอง เขาถูกบิดามารดาเรียกเข้าไปคุยอย่างจริงจังว่า
‘โตขึ้นอาเฟิ่งจะเป็นเจ้าสาวของอาหลง ฉะนั้นดูแลน้องให้ดีๆ รักน้องให้มากๆ อย่าให้ป๊ากับหม่าม้าผิดคำพูดที่รับปากเขามา อาหลงเข้าใจที่ป๊าพูดรึเปล่า’
เฉินเฟยหลงในวัยเจ็ดขวบหันกลับไปมองเด็กตัวขาวหน้าตาจิ้มลิ้มซึ่งกำลังน้ำตาคลอเบ้ามองรอบตัว ‘เจ้าสาว’ คืออะไร เขายังไม่รู้ความหมายเลยด้วยซ้ำ แต่เขาสงสารเด็กคนนี้ จึงคว้ามือที่ใหญ่กว่าก้อนซาลาเปานิดเดียวมากุมไว้ และในเมื่อเป็นคำสั่งของบิดามารดา เขาเชื่อว่าจะต้องเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงรับปากรับว่าที่เจ้าสาวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
‘ผมจะดูแลน้องให้ดีๆ ผมจะรักน้องให้มากๆ ผมจะไม่ให้ป๊าม้าผิดคำพูดที่รับปากเขามา ป๊าม้าไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ’
‘สัญญากับน้องสิ’
‘อาเฟิ่ง ต่อไปเฮียจะดูแลอาเฟิ่งให้ดีๆ จะรักอาเฟิ่งให้มากๆ เฮียจะไม่ทำให้อาเฟิ่งร้องไห้สักครั้งเดียว’
หลังจากนั้นไม่นาน ‘อาเฟิ่ง’ คนนั้นก็ได้กลายมาเป็น ‘เฉินเฟยเฟิ่ง’ เพราะง่ายกว่าในการดำเนินเรื่องทางกฎหมายและการทำธุรกรรมต่างๆ อีกทั้งทางบิดามารดาของเขาก็ให้สิทธิ์ในมรดกแก่เฉินเฟยเฟิ่งเท่าเทียมกับเขาและน้องชายในฐานะบุตรสาวคนหนึ่ง เฉินเฟยเฟิ่งจึงเป็นทั้ง ‘คู่หมั้น’ และ ‘น้องสาวบุญธรรม’ ตอนนั้นเขายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจว่ามีอะไรแปลก แต่ทุกวันนี้ที่พอจะเริ่มเข้าใจอะไรได้มากขึ้น...ก็สายเกินกว่าจะคัดค้านอะไรได้แล้ว
“อาหลง กินเยอะๆ นะ จะได้โตไวๆ ไปช่วยป๊าทำงาน พอทำงานแล้วก็เก็บเงินไว้เยอะๆ มาเลี้ยงตัวเล็กด้วยนะ”
เสียงสดใสปลุกเด็กหนุ่มออกจากภวังค์ เขามองท่าทางและฟังคำพูดแก่แดดของคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วทั้งฉิวทั้งขำ อีกฝ่ายคีบของที่เขาชอบจากจานตนเองมาวางเต็มจานของเขา ก่อนจะก้มหน้าก้มตาจัดการกับส่วนที่เหลือต่อ
“ตัวเล็กสิต้องกินเยอะๆ ตัวแค่นี้แล้วเมื่อไหร่จะช่วยป๊าทำงานได้” เขาคีบของกินกลับคืนไปให้ ไม่ใช่ไม่รับน้ำใจ แต่ตัวเองเป็นพี่จะแย่งน้องกินก็กระไรอยู่
ถึงจะเป็นคู่หมั้นกัน...แต่หลายครั้งที่เขาเผลอมองเฉินเฟยเฟิ่งในฐานะน้องสาวคนเล็กของบ้าน ผิดกับอีกฝ่ายที่เหมือนจะไม่เคยมองเขาเป็นพี่ชายเลยสักนิด เด็กคนนี้ไม่เคยเรียกเขาลำดับศักดิ์ตามอาวุโส ไม่เคยแนะนำว่าเขาเป็น ‘พี่’ ต่อหน้าคนอื่น อีกทั้งบิดามารดาของเขาก็เห็นดีเห็นงามด้วย ถึงจะสอนให้รักและเคารพกันดุจพี่น้องในสายเลือด แต่ถึงอย่างไร ‘น้อง’ คนนี้ก็ต้องกลายเป็นเจ้าสาวของเขาสักวัน
ช่างเถอะ...จะน้องสาวหรือเจ้าสาว ขึ้นชื่อว่ารักก็คือรัก คงไม่มีอะไรต่างกันนักหรอก
“ตัวเล็กเคยได้ยินว่าผู้หญิงแต่งงานไปก็อยู่ดูแลเรื่องในบ้านให้เรียบร้อยก็พอ เพื่อนผู้หญิงในห้องก็ไม่เห็นมีใครอยากทำงานสักคน พอถามหม่าม้า หม่าม้าก็บอกว่าแล้วแต่ตัวเล็กเลย”
“ไม่ได้ ต่อให้เป็นผู้หญิงก็ต้องเรียนให้เก่ง ทำงานให้เก่ง ที่ว่าผู้หญิงจะต้องอยู่แต่บ้าน ตามคนนั้นคนนี้ต้อยๆ นั่นมันโบราณสมัยไหนแล้วก็ไม่รู้” เด็กหนุ่มพยายามอธิบายเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากให้คนตรงหน้าถูกฝังความเชื่อผิดๆ เข้าหัว
“อยากให้ตัวเล็กเก่งเหรอ”
“อืม ถ้าจะเป็นเจ้าสาวของเฮียจะต้องเก่ง ช่วยป๊าทำงานได้ ช่วยเฮียทำงานได้ ไม่สิ...เจ้าสาวของอาหลิงก็ต้องเก่งเหมือนกัน พาไปไหนจะได้ไม่อายคนอื่น” เขาไม่มีความเขินอายในการพูดเรื่องแต่งงานหรือพูดถึงเจ้าสาวในอนาคต เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็มีคู่หมั้นตัวน้อยเกาะแขนเกาะขาคอยย้ำเตือนวันละสามเวลา นานวันเข้าก็เปลี่ยนเป็นความเคยชินเอาซะดื้อๆ
เฉินเฟยเฟิ่งพยักหน้าแทนคำตอบ แววตาซ่อนความหนักใจเอาไว้ไม่มิด
เฉินเฟยหลงอดขำไม่ได้ อีกฝ่ายบ่นเรื่องเรียนอยู่ทุกวัน ไม่ชอบอย่างนั้น ไม่ชอบอย่างนี้ ทุกสุดสัปดาห์ที่มีครูสอนพิเศษเข้าไปที่บ้านก็เอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมออกมาเรียน ไม่ว่าจะหลอกล่อหรือขู่เข็ญก็ไม่เป็นผล ดังนั้นผลการเรียนของเฉินเฟยเฟิ่งจึง ‘แค่ผ่าน’ แต่ตัวเลขพวกนั้นไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าเด็กหญิงคนนี้หัวทึบ เฉินเฟยเฟิ่งหัวไวมาก ฉลาด และความจำดี แต่เธอจะให้ความสนใจเฉพาะกับเรื่องที่ตัวเองสนใจเท่านั้น เช่น เปียโน ไม่ว่าโน้ตเพลงจะยากหรือซับซ้อนแค่ไหนก็จำได้หมด ดังนั้นขอเพียงแค่เฉินเฟยเฟิ่งขึ้นเวที ขยับปลายนิ้วบรรเลงท่วงทำนอง เด็กคนนี้ไม่เคยที่จะไม่ได้รางวัลกลับมา
ทั้งสองคนนั่งรับประทานอาหารกลางวันพลางพูดคุยสัพเพเหระไปเรื่อย นี่เป็นหนึ่งในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นทุกวันมาหลายปี จริงๆ แล้วควรจะมีเฉินเฟยหลิงมาร่วมวงอีกคน แต่ติดที่วันนี้อีกฝ่ายมีแข่งบาสเกตบอลจึงต้องไปเตรียมตัวที่ชมรมตั้งแต่เช้า
กริ๊ง!
เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณบอกว่าหมดเวลาพักกลางวัน ทั้งสองจึงแยกย้ายไปทำกิจกรรมใคร กิจกรรมมัน
“ไปรอเฮียที่สนามนะ เดี๋ยวเฮียตามไป”
“อาหลงรีบมานะ อย่าลืมขนมของตัวเล็กด้วยนะคะ” เด็กหญิงกำชับอีกครั้ง ก่อนจะเดินยิ้มร่าเริงออกไปโดยมีสายตาเอ็นดูมองตามไม่ห่าง
ถึงมันออกจะแปลกๆ อยู่บ้างที่ต้องแต่งงานกับคนที่เติบโตมาด้วยกันเสมือนพี่น้อง แต่คิดไปคิดมาแบบนี้ก็ไม่เลว เฉินเฟยเฟิ่งเป็นเด็กน่ารักรู้ความ ไม่เคยก่อเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจให้คนในบ้าน อีกทั้งยังเป็นคำสั่งของบิดามารดา ต่อให้อนาคตจะต้องแต่งงานกันจริงๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหาย...
ภายในห้องเรียนเกรดสิบเอ็ด คลาสเอมีกลุ่มเด็กหนุ่มนั่งจับเข่าคุยกันถึง ‘นางฟ้านักเรียนทุน’ ที่เพิ่งย้ายเข้ามาเรียนเมื่อฤดูใบไม้ร่วงเทอมที่แล้ว ถึงจะไม่ได้อยู่คลาสเดียวกัน แต่ก็มีโอกาสพบปะกันโดยบังเอิญอยู่หลายครั้ง ใครที่เชื่อว่าเด็กทุนจะต้องแต่งตัวเชยเฉิ่ม สวมแว่นหนาเตอะ มีพฤติกรรมแปลกประหลาด ไม่กล้าสบตาคน หากเห็นนางฟ้าคนนี้จะต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะเพียงไม่นานที่เข้ามาเรียน เด็กสาวผู้นี้ก็ติดอันดับสาวพอปพิวลาร์ กลายเป็นความฝันของเหล่าเด็กหนุ่มนับไม่ถ้วน
ในห้องสภานักเรียน เด็กสาวผู้เป็นหัวข้อสนทนากำลังจัดการกับเอกสารรายงานตัวนักกีฬากองใหญ่ โดยมีรองประธานนักเรียนเฉินนั่งตรวจสอบความเรียบร้อยเป็นขั้นตอนสุดท้ายอยู่ฝั่งตรงกันข้าม
เด็กสาวเจ้าของดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มช้อนตาขึ้นมองใบหน้าคมคายเป็นระยะ เส้นผมสีดำสนิทของเขาตัดกับผิวขาวเนียน จมูกโด่งเป็นสันตรง และริมฝีปากบางเฉียบสีอ่อนน่ามองยิ่งกว่าเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นไหนๆ เมื่อเจ้าของใบหน้ารับรู้ว่าถูกแอบมอง นัยน์ตายาวรีจึงละจากเอกสารในมือและมองกลับ เมื่อตาทั้งสองคู่สบกัน...ทำเอาแก้มเนียนใสของคนที่ถูกจับได้คาหนังคาเขาขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอาย
“มีอะไรเหรอ” เด็กหนุ่มถามเสียงแหบทุ้มทำลายความเงียบ เขาไม่ได้มีท่าทีแตกต่างไปจากปกติในการอยู่สองต่อสองกับเด็กสาวเจ้าของฉายา ‘นางฟ้า’ แม้เพียงสักนิด
“ไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมประธานนักเรียนเหยียนถึงยกหน้าที่ให้คุณจัดการเรื่องนี้ทั้งหมด คุณทำงานไวมาก”
“ช่วยที่บ้านบ่อยน่ะ” เฉินเฟยหลงเพียงยกมุมปากรับคำชม ก่อนจะก้มหน้าจัดการกับงานที่ค้างไว้ต่อ
‘จางฉี’ หรือ ‘เอลล่า จาง’ ยังคงแอบมองอยู่อย่างนั้น จนใจที่เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจเธอมากกว่าเดิม ถึงพยายามคลี่ยิ้มหวานล้ำแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจปิดบังแววตาผิดหวังได้มิด
“คุณเอาเอกสารพวกนี้ล่วงหน้าไปให้ประธานนักเรียนเหยียนก่อนเลย เดี๋ยวผมตามไป” เด็กหนุ่มกล่าวหลังจากดูนาฬิกาข้อมือ ท่าทางดูรีบร้อนขึ้นมาในทันใด
“รองประธานจะไปไหนเหรอคะ” จางฉีอดความสงสัยไม่ได้ ถามโพล่งออกไปเสียอย่างนั้น เมื่อเห็นคิ้วเข้มของผู้ถูกถามเลิกขึ้น จึงค่อยรู้ตัวว่าตนเองเสียมารยาทมากไป
“เอ่อ...ขอโทษค่ะที่ถามก็เพราะเผื่อว่าเอลล่าจะช่วยอะไรคุณได้ อุ๊ย! ขอโทษอีกครั้งค่ะ เอลล่า...เอ่อ ฉัน” สาวน้อยรีบยกมือปิดปากแทบไม่ทัน หลบตาด้วยท่าทางเขินอายที่เผลอแทนตัวเองด้วยชื่อออกมา แก้มทั้งสองข้างกลายเป็นสีแดงก่ำยิ่งกว่าผลแอปเปิลสุก ท่าทางอ่อนหวานไร้เดียงสาเช่นนี้มักจะละลายหัวใจเพศตรงข้ามนับไม่ถ้วน
แต่ไม่ใช่ทุกครั้ง...
“ช่างเถอะ แค่เรื่องเล็ก ผมขอตัวก่อนนะ ไว้เจอกันที่สนามกีฬา” มุมปากของเด็กหนุ่มยกขึ้นมากกว่าเดิม โบกไม้โบกมือเป็นเชิงไม่ถือสา ก่อนจะรีบออกไปจัดการธุระสำคัญอีกอย่างที่ยังค้างไว้
เพียงเงาหลังของร่างสูงหายไปจากห้อง สีหน้าเขินอายเมื่อครู่จึงกลับมาเป็นปกติ ร่างบอบบางเดินไปรวบกองเอกสารที่ผ่านการตรวจทานแล้วเข้าด้วยกัน แต่พลันเหลือบไปเห็นโทรศัพท์สีดำเครื่องหนึ่งถูกกระดาษแผ่นหนึ่งวางปิดไว้
ถึงจะรู้ว่าเป็นของใคร แต่จางฉีก็เลือกที่จะเปิดหน้าจอขึ้นดู สิ่งที่เห็นคือภาพของเด็กหญิงผมม้าคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นเปียโน โดยมีเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ยืนกอดอกพิงผนังมองอยู่ ดูคล้ายเป็นภาพแอบถ่าย...แต่เขากลับเต็มใจเอาตั้งเป็นภาพพื้นหลังหน้าจอ
เมื่อเห็นเช่นนี้มือบางที่ถือโทรศัพท์พลันสั่นระริก เผลอกัดปากอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ ปลายจมูกและขอบตาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“เลลาห์!”
ปรี๊ดดด!!!
เสียงเป่านกหวีดหมดเวลาดังขึ้นพร้อมกับเหล่ากองเชียร์ในเครื่องแบบสีน้ำเงินต่างลุกขึ้นแสดงความดีใจกับชัยชนะสดๆ ร้อนๆ เด็กหญิงผมหน้าม้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ร่างเล็กแทบจะกระโจนลงจากอัฒจันร์ทันทีที่สิ้นสุดเสียงสัญญาณ ร้อนถึงเด็กหนุ่มที่นั่งข้างกันต้องเอื้อมมือไปคว้าแขนไม่ให้อีกฝ่ายกลิ้งหัวคะมำตกลงไปเป็นที่อับอายต่อสายตานับร้อยคู่
“ระวังหน่อยสิตัวเล็ก!”
“อาหลงก็เร็วๆ ซีคะ!” แทนที่เฉินเฟยเฟิ่งจะฟังคำห้ามปราม กลับพลิกข้อมือลากร่างสูงให้รีบลงไปข้างล่างด้วยกัน
“จะไปเร็วไปช้าก็ถึงเหมือนกันนั่นแหละ ดูทำท่าทางเข้า ไม่เรียบร้อยเลย” เฉินเฟยหลงขมวดคิ้วเอ็ด
อาจเป็นเพราะว่าเขาอยู่ในฐานะบุตรชายคนโตที่ต้องเป็นหน้าเป็นตาให้แก่ครอบครัว รวมถึงต้องคอยเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่น้องๆ สุดท้ายจึงถูกกฎเกณฑ์เข้มงวดผูกรัด ไม่อาจทำอะไรตามใจชอบได้ ดังนั้นถึงจะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมเดียวกัน บิดามารดาสอนสั่งเหมือนกัน แต่เขาที่เป็นผู้ชายกลับเรียบร้อยกว่าเด็กหญิงตรงหน้าเป็นเท่าตัว
คนบางคนหน้างอเพราะถูกดุ สะบัดมือที่จับแขนในเสื้อสูทสีน้ำเงินออก และไปคว้าข้อมือของเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนแทน
“ไปกันเถอะลิซซา อย่าไปฟังคนบ่นเลย”
‘เมลิซซา อู๋’ ส่งสายตาขอโทษขอโพยไปให้รุ่นพี่ที่กำลังยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เบื้องหลัง เฉินเฟยเฟิ่งจะทำอะไรก็ได้ ชี้เดือนเป็นเดือน ชี้ดาวเป็นดาว หนึ่งคู่หมั้นและหนึ่งพี่ชายก็พร้อมสรรหามาวางให้เสมอ แต่เธอไม่ได้อยู่ในสถานะแบบเดียวกัน ต่อให้ครอบครัวจะเป็นลูกค้าวีไอพีของหย่งคังกรุ๊ป แต่เรื่องของมารยาทก็ไม่ควรให้ขาดตกบกพร่อง
“เอ่อ...รองประธานเฉินคะ...” ก่อนที่คนถูกทิ้งจะได้ตามเด็กเอาแต่ใจไปก็ถูกเสียงหวานเรียกไว้ เมื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นเพื่อนร่วมชมรมสภานักเรียนที่ทำงานด้วยกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน คิ้วเข้มจึงเลิกขึ้นเป็นเชิงถาม
“ประธานนักเรียนให้มาแจ้งว่าเย็นนี้เราจะมีประชุมสำหรับงานปิดกีฬาเชื่อมสัมพันธ์ เลยให้ฉันมาแจ้งคุณค่ะ” จางฉียิ้มแย้มกล่าว ก่อนจะรีบล้วงโทรศัพท์สีดำออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูทเมื่อเห็นเขามองมาด้วยแววตาสงสัย
“คุณลืมไว้ที่ห้องน่ะค่ะ ประธานนักเรียนเลยติดต่อไม่ได้ ไหนๆ ฉันก็ต้องเอาของมาคืนคุณอยู่แล้ว เลยอาสาเป็นนกพิราบมาแจ้งข่าวค่ะ”
“ขอบใจมาก คุณล่วงหน้าไปก่อนเลย เดี๋ยวผมบอกน้องๆ เสร็จแล้วจะตามไป”
“บังเอิญจังเลยค่ะ ประธานนักเรียนให้ฉันมากำชับกัปตันทีมบาสเกตบอลว่าให้คว้าถ้วยรางวัลชนะเลิศมาให้ได้ หลังจากเสร็จธุระเราค่อยไปพร้อมกันก็ได้ค่ะ” เด็กสาวยิ้มกว้างมากกว่าเดิม พร้อมยกเหตุผลที่เข้าท่าที่สุดมาอ้าง
“แบบนั้นก็ได้” เฉินเฟยหลงไม่ได้คิดอะไรมากจึงพยักหน้าตอบตกลง
เมื่อ ‘รองประธานเฉิน’ กับ ‘นางฟ้านักเรียนทุน’ เดินข้างกัน ก็เรียกสายตาจากกลุ่มนักเรียนที่อยู่แถวนั้นได้มากมาย เฉินเฟยหลงจัดอยู่ในกลุ่มทายาทตระกูลดังที่พรั่งพร้อมไปด้วยหน้าตา มันสมอง และบุคลิกความเป็นผู้นำอันโดดเด่น ขณะที่จางฉีเองก็เป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวย กิริยาเรียบร้อยอ่อนหวาน แถมยังเป็นนักเรียนทุนไม่กี่คนในโรงเรียนนี้ เมื่อทั้งสองยืนคู่กัน...ไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าคำว่า ‘กิ่งทองใบหยก’
อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็คงได้แต่หัวเราะกับเรื่องสนุกชั่วยามที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีใครในฮ่องกงไม่รู้ว่าเฉินเฟยหลงหรือ ลีออน เฉิน คนนั้นมีคู่หมั้นที่ครอบครัวเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว และคู่หมั้นที่ว่าก็กำลังกอดอกมองคนทั้งสองด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก
“อาหลิง วันนี้เฮียกลับบ้านมืดหน่อยนะ ฝากบอกป๊าม้าด้วยว่าเฮียมีประชุมที่สภานักเรียน”
“โอเคครับ ว่าแต่เฮียจะกลับกี่โมง ผมจะได้บอกให้คนขับรถมารอก่อน” เฉินเฟยหลิงมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับพี่ชายอย่างยิ่ง แต่ดวงตาของเขาอ่อนโยนกว่าหลายเท่า และบุคลิกก็ดูเป็นกันเองมากกว่า
“เดี๋ยวเฮียโทร. บอกเองก็ได้”
“เฮีย งั้นตัวเล็กรอกลับพร้อมอาหลงนะคะ” เฉินเฟยเฟิ่งหันไปเขย่าแขนพี่ชายบุญธรรมเพื่อบอกกล่าว แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบกลับถูกขัดด้วยเสียงอ่อนหวานของเด็กสาวอีกคนที่ยืนอยู่ในวงสนทนามาตั้งแต่ต้น
“ลูคัสใช่ไหมคะ เกมเมื่อกี้เล่นได้ดีมากค่ะ พรุ่งนี้ถ้วยรางวัลชนะเลิศจะต้องเป็นของเราแน่” นักเรียนที่นี่นิยมเรียกชื่อภาษาอังกฤษกันมากกว่าชื่อภาษาจีน ซึ่งเธอเองก็ชอบธรรมเนียมเช่นนี้ เพราะ ‘เอลล่า’ ฟังแล้วรื่นหูกว่า ‘จางฉี’ เป็นไหนๆ
“ครับ ผมก็หวังว่าอย่างนั้น” เด็กหนุ่มในชุดกีฬาที่กำลังยืนเช็ดเหงื่อตามใบหน้าและลำคอยิ้มแย้มพลางพยักหน้ารับ แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตทิ่มแทงจากด้านข้าง เมื่อก้มลงมองก็เห็นตาเขียวปั้ดคู่หนึ่งกำลังจ้องเขม็งอยู่ ต่อให้เป็นผู้ชายก็อดสะดุ้งโหยงไม่ได้
เฉินเฟยเฟิ่ง...เป็นเด็กขี้หวง หากอะไรที่เป็นของเธอแล้วจะหวงยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ หวงยิ่งกว่าแม่เสือหวงลูก หากเธอไม่พยักหน้าอนุญาต คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องของชิ้นนั้น เขาที่เป็นพี่ชายก็จัดอยู่ในหมวดของของเธอด้วยเช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับเฮียใหญ่ที่เป็นของ ‘ชิ้นแรก’ ของเด็กคนนี้
“ขอตัวก่อนนะคะ”
โชคดีที่จางฉีถอยออกไปก่อนที่สถานการณ์จะตึงเครียดมากกว่านั้น เฉินเฟยหลิงจึงเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กเป็นเชิงปลอบประโลมให้อีกฝ่ายสงบสติอารมณ์
“งั้นผมกับตัวเล็กรอกลับบ้านพร้อมเฮียนะ เฮียก็ไปประชุมของเฮียไป เสร็จเมื่อไรก็โทร. บอก เดี๋ยวผมจะพาตัวเล็กไปเดินเล่นรอ”
เฉินเฟยหลงไม่ได้ให้คำตอบ แต่กลับกอดอกก้มมองคนหน้าง้ำ เมื่อเห็นอีกฝ่ายสะบัดหน้าหนีอย่างแรงจึงค่อยทักขึ้น
“ไม่กลัวคอจะเคล็ดเหรอ” จะว่ารู้อยู่แล้วก็คงไม่เกินไป ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้หรือพูดคุยกับผู้หญิง เฉินเฟยเฟิ่งก็มักจะมีอาการเช่นนี้ตลอด แต่โรงเรียนแห่งนี้ไม่ใช่โรงเรียนชายล้วน จะให้เขาเลี่ยงการมีปฏิสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คงเป็นไปไม่ได้
คงกลัวถูกแย่งความสนใจละมั้ง เด็กหนอเด็ก
“ถ้าไม่ตอบ เฮียจะไปแล้วนะ”
“เลลาห์...” เมลิซซาแอบใช้ศอกสะกิดแขนเพื่อน ถึงรู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็เถอะ แต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนทำตัวเป็นคนขี้น้อยใจมากเกินไปนัก
“เฮีย ลิซซา พวกเราไปกันเถอะ ตัวเล็กหิว...โอ๊ย!” น้ำเสียงกระเง้ากระงอดเปลี่ยนเป็นโอดโอยเมื่อถูกดีดเข้าที่หว่างคิ้ว มือเล็กยกขึ้นกุมหน้าผาก
“อาหลงกล้าตีตัวเล็กเหรอ! ตัวเล็กจะฟ้องป๊า!”
หากเป็นเฉินเฟยหลิง น้องชายของเขาคงถอยกรูดเพราะคำขู่นี้ แต่เฉินเฟยหลงไม่เหมือนกัน ตั้งแต่เล็กจนโตเขาถูกบิดาเอ็ดเรื่องแกล้งน้องจนชินเสียแล้ว ในเมื่อทุกคนในบ้านยอมอ่อนข้อให้เฉินเฟยเฟิ่งกันหมด บางครั้งก็ต้องมีสักคนลุกขึ้นมากำราบเด็กเอาแต่ใจบ้าง
“จะฟ้องอีกแล้วเหรอ ได้! ไหนๆ เฮียก็จะโดนป๊าลงโทษอยู่แล้ว ขออีกสักทีแล้วกัน”
แป๊ะ!
“เฮียยย! ช่วยตัวเล็กด้วยยย” ร่างเล็กวิ่งหลบรอบตัวที่พึ่งสุดท้ายเป็นพัลวัน และที่พึ่งที่ว่าก็ยกมือห้ามทัพดุจดั่งพระพุทธรูป ‘ปางห้ามญาติ’
“เฮีย พอได้แล้ว...”
“รุ่นพี่ลีออนคะ ใจเย็นๆ นะคะ” ในฐานะเพื่อนที่ดี เมลิซซาก็พยายามช่วยเหลือเหยื่อที่กำลังวิ่งหลบไปมา ถึงแม้จะแอบเข้าข้างรุ่นพี่ลีออนหกในสิบส่วนก็เถอะ
“ตัวเล็กจะเงียบใส่เฮียอีกไหม ไหน...ตอบเฮียให้ชัดๆ”
สุดท้ายเฉินเฟยหลงก็คว้าแขนเด็กหญิงผมหน้าม้าได้สำเร็จ มือที่ว่างอีกข้างดึงแก้มเนียนใสยืดออกเหมือนแป้งขนมปังหนึ่งก้อน ถึงอีกฝ่ายจะพยายามดิ้นเท่าไรก็ไม่อาจหลุดไปจากการลงโทษครั้งนี้ได้
“อัวเอ๊กไอ้เอี้ยบแอ๊ว (ตัวเล็กไม่เงียบแล้ว)”
คนขี้งอนยกธงขาวยอมแพ้ เมื่อถูกปล่อยเป็นอิสระจึงได้แต่ยืนคลำผิวหน้าอันน่าสงสารป้อยๆ
ผู้ลงมือหลุดขำท่าทางน่าสงสาร มองผิวขาวละเอียดที่เริ่มปรากฏรอยนิ้วมือของเขาจางๆ ก่อนจะค้อมกายลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน
“ตัวเล็กกลับบ้านไปก่อนนะ ป๊าม้ารอกินข้าวอยู่ ไว้เฮียประชุมเสร็จจะรีบกลับบ้านเลย จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลารอกันไป รอกันมา”
“ก็ได้ค่ะ แต่ถ้าอาหลงกลับบ้านเกินสองทุ่ม ตัวเล็กจะไม่คุยกับอาหลงหนึ่งวัน ไม่...สองวันไปเลย!”
“เฮียให้ห้าวันไปเลย แต่ตัวเล็กต้องรักษาสัญญาว่าจะไม่มายุ่งกับเฮียนะ เฮียจะได้หนีไปเที่ยวคนเดียวบ้าง ข้อเสนอนี้ตัวเล็กว่ายังไง”
“ตัวเล็กจะฟ้องป๊า”
“ฟ้องอีกแล้ว ฟ้องได้ทุกเรื่อง ขี้ฟ้องจริงๆ” เฉินเฟยหลงยิ้มกว้าง จับศีรษะเล็กโยกไปมา ยิ่งเห็นคนในอุ้งมือหน้างอคอหักก็ยิ่งมันเขี้ยว สุดท้ายจึงอดยืดแก้มนุ่มที่เหลือรอดอีกข้างไม่ได้
“อาอ๋งงง (อาหลงงง)”
...
ไม่ไกลออกไปนัก...กลุ่มนักบาสเกตบอลของโรงเรียนกำลังตื่นเต้นที่มีนางฟ้าแวะมาให้กำลังใจถึงขอบสนาม รอยยิ้มหวานหยดย้อยละลายหัวใจทุกคนได้อยู่หมัด
แต่เจ้าของรอยยิ้มกลับเหลือบมองไปยังคนกลุ่มหนึ่งเป็นระยะ มีเสี้ยววินาทีที่สบกับดวงตาเรียวยาวของเด็กหญิงผู้หนึ่ง ไฝเม็ดเล็กบนหางตาเพิ่มความเย่อหยิ่งท้าทายโดยที่แม้แต่ผู้เป็นเจ้าของก็ยังไม่รู้ตัว อีกฝ่ายมองเธออย่างพิจารณาเพียงครู่เดียว ก่อนจะเบือนสายตาหนี กลับไปหัวเราะคิกคักกับเด็กหนุ่มร่างสูงที่เอาแต่แกล้งไม่หยุด
ถึงรอยยิ้มจะยังคงอยู่ แต่มือทั้งสองกลับกำแน่นเข้าหากัน จางฉีเผลอจ้องเช่นนั้นอยู่นานจนบทสนทนาขาดช่วง
“พรุ่งนี้เอลล่าจะมาเชียร์พวกผมแข่งไหมครับ”
“...”
“เอลล่าครับ”
“คะ? เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะคะ”
“ผมถามว่าพรุ่งนี้เอลล่าจะมาเชียร์พวกผมแข่งไหมครับ แต่ดูเหมือน...” กัปตันทีมบาสเกตบอลเหลือบตาไปยังเพื่อนร่วมทีมอีกคนที่ยังยืนอยู่กับพี่น้องของตน
“มาอยู่แล้วค่ะ ยังไงก็ต้องมา ทุกคนทำให้เต็มที่นะคะ เอลล่าเป็นกำลังใจให้” จางฉีรีบพูดกลบเกลื่อนพิรุธเมื่อครู่ หันกลับมายิ้มแย้มเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จังหวะที่เธอดึงสายตากลับมาให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า จึงไม่เห็นว่าเจ้าของดวงตาคู่เดิมเหลือบมองเธอซ้ำอีกรอบเช่นกัน
ความคิดเห็น |
---|