2
เผชิญหน้า
‘สิ่งที่ตัวเราไม่ชอบ จงอย่าทำกับคนอื่น...’
ขงจื๊อ
เฉินเฟยเฟิ่งตื่นมาอีกทีก็ตอนที่ฟ้ามืดแล้ว หลังจากบิดตัวไล่ความเมื่อยขบหลายครั้ง และดื่มน้ำตามอีกแก้วใหญ่ อาการงัวเงียเมื่อครู่พลันหายเป็นปลิดทิ้ง หากเทียบเวลากันแล้ว หัวค่ำของฮ่องกงก็คือเวลาเช้าตรู่ของนิวยอร์กพอดี ซึ่งเป็นเวลาที่เธอตื่นไปออกกำลังกายยามเช้าเป็นประจำ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำตัวกระปรี้กระเปร่าลงไปกินข้าวกับคนในครอบครัว
หญิงสาวเปิดตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่มีเสื้อผ้าแขวนอยู่ไม่กี่ตัว ก่อนจะเลือกเดรสผูกเอวสบายๆ ความยาวเสมอเข่าที่หอบข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยมาสวม เธอหยิบหวีแปรงมาสางผมยาวดำขลับอย่างเบามือ ค่อยๆ ไล่ตั้งแต่โคนผมจดปลายผม และปล่อยสยายเต็มแผ่นหลัง ก่อนจะหยุดจ้องเงาของตนเองในกระจก
เมื่อใบหน้าปราศจากเครื่องสำอางประทินโฉมก็แทบไม่ต่างอะไรไปจากเด็กหญิงผมหน้าม้าในกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กข้างเตียง คนอื่นที่เห็นก็คงคิดแบบเดียวกัน บางทีอาจจะมีแค่เธอที่รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่มีตัวตนอีกต่อไป...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณหนู ตื่นรึยังคะ” หัวหน้าแม่บ้านหลิวมาเคาะประตูเรียกตรงเวลา รอเพียงไม่นานเจ้าของห้องก็เปิดประตูออกมาพร้อมใบหน้าสดชื่นแจ่มใส
“ป๊ากลับมาแล้วใช่ไหมคะ”
“กลับมาแล้วค่ะ นายท่านกับนายหญิงกำลังรอคุณหนูอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ค่ะ”
เฉินเฟยเฟิ่งพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะกุมมือหัวหน้าแม่บ้านหลิวขึ้นมาและเอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“เราไม่ได้เจอกันนานเลย ป้าหลิวสบายดีใช่ไหมคะ”
หัวหน้าแม่บ้านหลิวมองคนที่ไม่ได้เจอกันกว่าสิบปีด้วยแววตาชื่นชม ทุกครั้งที่คุณหนูรองเฉินเฟยหลิงไปเยี่ยมคุณหนูเล็กที่อเมริกา ก็จะหอบของฝากและจดหมายกลับมาฝากเธอเสมอ ดังนั้นเธอจึงลูบหลังมือเรียบเนียนอย่างทะนุถนอม และตอบกลับด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง
“ดิฉันสบายดีค่ะ แค่เห็นคุณหนูเล็กกลับมา โรคคนแก่พลันหายเป็นปลิดทิ้ง”
ผู้ฟังยิ้มกว้างกว่าเดิม หัวหน้าแม่บ้านหลิวคืออดีตพี่เลี้ยงของสองพี่น้องตระกูลเฉิน เมื่อเธอเข้ามาเป็นสมาชิกในบ้านหลังนี้ เธอจึงได้รับการดูแลจากอีกฝ่ายเช่นกัน
ตอนที่เธอตัดสินใจไปเรียนต่อที่อเมริกา ป้าหลิวเกือบได้ตามไปช่วยดูแลเธอระหว่างที่อยู่ที่นั่น แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นคนสนิทของมารดา ช่วยแบ่งเบาภาระในการดูแลบ้านหลังนี้ คิดดูแล้วเธอไม่อยากให้มารดาเหน็ดเหนื่อยจนเกินไปจึงยืนยันที่จะไปเผชิญทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว
“โธ่ โรคคนแก่อะไรกันคะ ป้าหลิวดูสาวและแข็งแรงขนาดนี้ ยังช่วยอุ้มหนูปีนต้นไม้ได้อีกหลายปี” สมัยที่เธอยังเล็ก เธอจำได้ว่าคนที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ตามใจเธอกันทั้งนั้น ต่อให้เล่นเป็นลิงเป็นค่างแค่ไหนก็ไม่เคยถูกดุด่าเลยสักครั้ง
“คุณหนูเล็กอย่าหลอกให้คนแก่ดีใจเลยค่ะ ที่เห็นนี่...น้ำยาย้อมผมทั้งนั้น”
สองหญิงต่างวัยหัวเราะและเดินสนทนาถึงเรื่องเก่าๆ ไปพลาง โดยที่หญิงวัยกลางคนพยายามสังเกตปฏิกิริยาคุณหนูเล็กของบ้านให้ได้มากที่สุด แต่ไม่ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไร...หญิงสาวก็ยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่แสดงอาการโกรธเคืองหรือเศร้าสลด ทุกคนในคฤหาสน์ตระกูลเฉินรู้ดีถึงนิสัยตรงไปตรงมาของเฉินเฟยเฟิ่ง ถ้ารู้สึกอย่างไรก็จะแสดงออกอย่างนั้น
หัวหน้าแม่บ้านหลิวลอบถอนหายใจโล่งอก ดูท่านายหญิงคงกังวลเกี่ยวกับเรื่องในอดีตมากเกินไป
ทั้งสองใช้เวลาไม่นานในการเดินมาถึงห้องโถงรับแขก เฉินเฟยเฟิ่งมองบุรุษองอาจผู้ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาตัวยาว ถึงจะสวมแว่นตา แต่ก็ยังเห็นดวงตาดุดันคมกริบชัดเจน บุรุษคนดังกล่าวรู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องมองจึงเงยหน้าขึ้น
“ไหน คนที่หม่าม้าฟ้องว่าผอมเหลือแต่กระดูก มาให้ป๊าดูหน้าให้ชัดๆ หน่อย” เอ่ยเสียงทุ้มทรงอำนาจ ทว่าแฝงความอ่อนโยนทักทาย หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันก่อนหน้านี้คลายออกทันทีที่เห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร
“ป๊า! หนูคิดถึงป๊าที่สุดในโลกเลยค่ะ” หยาดน้ำคลอหน่วยทันทีที่จบประโยคดังกล่าว คนร่างเล็กวิ่งเข้าไปกอดเอวบิดาบุญธรรมด้วยความคิดถึง ครั้งล่าสุดที่ได้สัมผัสอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นนี้ก็เมื่อสองปีก่อนตอนวันงานรับปริญญาของเธอ ดังนั้นกิริยาจึงดูออดอ้อนออเซาะคล้ายเด็กน้อยคนหนึ่ง
เฉินชุนไม่ตอบอะไร เพียงยกมือลูบเส้นผมยาวสลวยเบาๆ ริมฝีปากใต้หนวดเคราที่ตัดแต่งเป็นทรงยกโค้งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่แววตาก็ยังไม่เหลือร่องรอยดุดันอย่างเมื่อครู่
“อะไรกัน คิดถึงป๊า คิดถึงหม่าม้า แต่ไม่เห็นเคยบอกคิดถึงเฮียสักคำ” เฉินเฟยหลิงที่กำลังนั่งเล่นหมากล้อมกับมารดาเอ่ยแทรกขึ้น มองภาพอบอุ่นด้วยแววตาเบิกบาน
“คนคิดถึงเฮียกันทั่วประเทศ ถ้าเฮียไม่เชื่อก็ออกไปดูข้างนอกก็ได้ จะไปถนนสายไหนก็มีแต่หน้าเฮียแปะเต็มไปหมด ขาดตัวเล็กไปคนเดียว เฮียก็ไม่รู้ตัวหรอก” บุตรสาวบุญธรรมคนเล็กของบ้านเงยหน้าตอบ ทั้งน้ำเสียงและท่าทางจีบปากจีบคอดูน่ามันเขี้ยวสุดคณานับ
“หน็อยแน่! ยายตัวเล็กกระจิ๋วหลิว! กล้าล้อเลียนเฮียเหรอ!” ใบหน้าของผู้ถูกเย้าแหย่แดงก่ำ ปลายนิ้วเรียวยาวที่คีบตัวหมากสีดำทำท่าจะโยนออกไป แต่กลับถูกขัดด้วยเสียงทุ้มของบิดา
“อาหลิง...”
“ป๊า! ผมก็ลูกชายป๊านะ” เฉินเฟยหลิงโอดครวญเสียงหลง อาจเพราะตลอดปีที่ผ่านมาเขาถ่ายภาพยนตร์ไปหลายเรื่อง ไหนจะโฆษณาอีกเกือบยี่สิบตัว เมื่อเอาทั้งหมดมารวมกันแล้ว การแสดงออกจึงดู ‘โอเวอร์แอกติง’ ไปบ้าง
“ใครบอก ป๊าเก็บแกมาเลี้ยงต่างหาก”
“ป๊า!”
คนทั้งหมดต่างพร้อมใจกันประสานเสียงหัวเราะครื้นเครง ด้วยช่องว่างระหว่างวัย ปกติแล้วเฉินชุนกับเฉินฮุ่ยก็ไม่ได้คุยเล่นกับบุตรชายเท่าใดนัก ส่วนคนที่วัยไล่เลี่ยกันกับเฉินเฟยหลิงก็ไม่ค่อยกลับบ้าน คงไม่เกินจริงหากจะบอกว่าการกลับมาของเฉินเฟยเฟิ่งเปรียบเสมือนพู่กันแต่งแต้มสีสันให้ครอบครัวมีความเป็นครอบครัวมากยิ่งขึ้น
“คุณหนูใหญ่มาถึงตั้งแต่เมื่อไรคะ” หัวหน้าแม่บ้านหลิวเป็นคนแรกที่เหลือบไปเห็นผู้มาใหม่อีกคน จึงเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงนอบน้อม แต่ชื่อที่ว่ากลับทำเอาเสียงหัวเราะทั้งหมดเงียบลงทันควัน
ร่างสูงตระหง่านในชุดสูทยืนมองภาพความอบอุ่นเบื้องหน้า ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะวาดยิ้มเย้ยหยันบรรยากาศอึมครึมที่กำลังเข้ามาแทนที่ ในเมื่อไม่มีเขา ทุกคนก็ดูมีความสุขกันดี เช่นนั้นจะเรียกเขามาเป็นส่วนเกินเพื่ออะไร
“อาหลง ทุกคนกำลังรออยู่เลย หิวรึเปล่าลูก” เฉินฮุ่ยเป็นคนทำลายบรรยากาศพิกล รีบลุกขึ้นเดินไปหาบุตรชายคนโตด้วยสีหน้าอ่อนโยนเหมือนอย่างเคย ลืมคำสั่งเด็ดขาดก่อนหน้านี้ไปสิ้น
ชื่อที่ว่าทำเอาลมหายใจเฉินเฟยเฟิ่งขาดห้วงผิดจังหวะ ทว่าใบหน้าสวยละมุนกลับยังคงรักษารอยยิ้มละไมได้ดังเดิม เธอช่วยบิดาบุญธรรมเก็บหนังสือ พิมพ์เข้าที่ ไม่ได้มองหรือเอ่ยทักทายผู้มาใหม่สักคำเดียว
“ผมกลับมาอย่างที่หม่าม้า ‘สั่ง’ แล้ว รีบจัดการธุระเถอะครับ ผมยังมีงานที่ต้องสะสางเหลืออยู่” ทายาทคนโตของตระกูลเฉินไม่แม้แต่จะชายตามองคนที่ไม่ได้พบหน้ากันมาเป็นสิบปี เขาจงใจเอ่ยถึงเหตุผลในการมาให้ทุกคนรับรู้โดยทั่วกัน
“ถ้างานเยอะขนาดนั้นก็กลับไปทำงานเถอะ ป๊าไม่อยากรบกวนเวลาอันมีค่าของแก” เสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้นในทันที แววตาที่มองบุตรชายเย็นยะเยือกไม่ต่างอะไรกับฤดูหนาวหฤโหด ก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังห้องรับประทานอาหาร โดยไม่สนใจบุคคลที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
เฉินเฟยหลงยืนนิ่ง แววตาฉายความน้อยใจชัดเจน ประโยคที่ว่าไม่ต่างอะไรกับการโดนฝ่ามือที่มองไม่เห็นตบหน้าฉาดใหญ่ จากที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้อนรับอยู่แล้ว...คำพูดของบิดายิ่งตอกย้ำว่าตัวเขาเองอยู่ผิดที่ผิดทางขนาดไหน จวบจวนกระทั่งน้องชายเพียงคนเดียวต้องเดินวกกลับมา และลากคนที่ไม่ยอมขยับเขยื้อนหนึ่งเดียวในโถงรับแขกให้ตามยังห้องรับประทานอาหารด้วยกัน
ภายในห้องรับประทานอาหารสว่างไสวยังคงอนุรักษ์วัฒนธรรมจีนดั้งเดิมไว้ โต๊ะกลมที่ทำจากไม้สีเข้มขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง มีเก้าอี้ไม้แกะสลักเข้าชุดกัน เหล่าแม่บ้านเตรียมอาหารและอุปกรณ์ต่างๆ เรียบร้อยเสร็จสรรพ สมาชิกที่เพิ่งมาถึงต่างนั่งประจำที่ของตนเอง เฉินชุน ผู้นำของบ้านนั่งกึ่งกลาง ด้านซ้ายคือเฉินฮุ่ยผู้เป็นภรรยา ตามด้วยเฉินเฟยหลิง บุตรชายคนรอง ส่วนฝั่งขวาคือเฉินเฟยหลง บุตรชายคนโต ถัดมาคือที่นั่งว่างอีกหนึ่งที่
เฉินเฟยเฟิ่งดึงเก้าอี้และทรุดนั่งข้างคู่หมั้นในนามที่ไม่ได้เจอกันมาสิบปี คู่หมั้นที่ไม่คิดจะเหลือบมองเธอแม้แต่หางตา การแสดงออกของเขาเป็นเรื่องที่เธอคาดหมายอยู่ก่อนแล้ว เธอจึงไม่ได้รู้สึกรู้สามากนัก
“กินเยอะๆ อาเฟิ่ง หม่าม้าของเราเข้าครัวตั้งแต่บ่ายเชียว” เฉินชุนกล่าวกับคนที่ไม่ได้กลับบ้านมานาน และหันไปสบตาภรรยาด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะเริ่มรับประทานเป็นคนแรก
“ขอบคุณนะคะหม่าม้า น่ากินไปหมดทุกอย่างเลย” เฉินเฟยเฟิ่งมองอาหารหลากหลายตรงหน้า รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
สองสามปีมานี้เธอเป็นตัวแทนบริษัทจัดการเรื่องดินเนอร์ขอบคุณลูกค้าวีไอพีอยู่เป็นประจำ แน่นอนว่าเธอจะต้องพิถีพิถันเลือกร้านอาหารที่ดีที่สุด ซึ่งมักจะมาพร้อมกับขั้นตอนการรับประทานยิบย่อย รวมถึงต้องรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารและการพูดคุยไม่ให้ด่างพร้อย ถึงอาหารจะเลิศรสขนาดไหน แต่เมื่อแบกสิ่งเหล่านี้ไว้บ่นบ่า อาหารเลิศหรูเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะจืดชืดไปเสียหมด
“ไอ้หยา ผมไปถ่ายซีรีส์มาตั้งหลายเดือน น้ำหนักลดจนจะเหลือแต่กระดูกแล้ว กลับมารอบนี้มีแต่ของโปรดทั้งนั้นเลย หม่าม้ารู้ใจลูกชายที่สุด” เฉินเฟยหลิงมองสีหน้าตื้นตันของคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ถึงจะมีรอยยิ้มหวานละไมประดับอยู่ แต่กลับสัมผัสถึงความเศร้าหมองจางๆ เขาจึงพยายามสร้างบรรยากาศให้กลับมาครื้นเครง โดยเริ่มต้นคีบเป็ดย่างเข้าปากด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“หม่าม้าทำแต่ของโปรดของอาเฟิ่งทั้งนั้น เรามันก็แค่ผลพลอยได้ เอ้านี่ เห็นบ่นว่าอยากกินมาตั้งหลายวันแล้วไม่ใช่เหรอ อย่างนั้นก็กินเยอะๆ” ผู้เป็นมารดาสัพยอกพลางใช้ตะเกียบคีบหมูหันไปวางบนชามบุตรชายคนรองซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ
“พวกเรากับอาเฟิ่งก็ชอบอะไรหลายอย่างเหมือนกัน หม่าม้าทำให้อาเฟิ่งก็เหมือนทำให้พวกเรานั่นแหละ ใช่ไหมเฮีย” ชายหนุ่มเคี้ยวหมับๆ พลางขอเสียงสนับสนุนจากผู้เป็นพี่ชาย ก็ได้ความเงียบและสีหน้าเฉยชาเป็นคำตอบ ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปยังอีกคน
“เอ้า! ตัวเล็ก กินเยอะๆ หม่าม้าอุตส่าห์เข้าครัวตั้งหลายชั่วโมงเชียวนะ” ขณะเขาทำท่าจะคีบอาหารข้ามโต๊ะไปยังน้องสาวบุญธรรมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ถูกมารดาจับแขนห้ามเอาไว้เสียก่อน
“อาหลง ดูแลน้องให้หม่าม้าด้วย หม่าม้ากับอาหลิงเอื้อมไปไม่ถึง” เฉินฮุ่ยกล่าวกับบุตรชายคนโตที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้น ก่อนจะกวาดมองอาหารหลากชนิดเป็นเชิงสั่ง
คนสามคนพร้อมใจกันเหลือบมองคู่หมั้นทั้งสอง เฉินเฟยเฟิ่งเพียงยิ้มมุมปากน้อยๆ ไม่ได้คัดค้านอะไร แต่เฉินเฟยหลงกลับยังคงตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารด้วยกิริยาเรียบร้อยดังเดิม มีเพียงมือกับปากเท่านั้นที่ขยับเขยื้อน ทำราวกับว่าคำสั่งเมื่อครู่ไม่ได้ลอยเข้าโสตประสาทเลยสักนิด
ผู้นำครอบครัวขมวดคิ้วเพราะท่าทางไม่ใส่ใจของบุตรชาย ดวงตาดุดันจ้องมองผู้ที่นั่งไม่หือไม่อือให้รู้ตัว แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร เสียงหวานกลับดังขึ้น
“หม่าม้าขา ไม่มีร้านอาหารร้านไหนสู้ฝีมือของหม่าม้าได้เลย โดยเฉพาะเป็ดย่างน้ำแดง ทั้งหอมทั้งชุ่มฉ่ำ หนูเริ่มอิจฉาเฮียแล้วที่ได้กินบ่อยๆ” เฉินเฟยเฟิ่งกล่าวทั้งรอยยิ้มและตั้งใจบริการตัวเอง คีบนั่นนี่ใส่ชามข้าวจนไม่เหลือที่ว่าง เธอเลือกที่จะใช้ไม้อ่อนในการแก้ปัญหา ไม่อยากให้บรรยากาศดีๆ มาเสียไปเพราะตนเอง
หากใครบางคน ‘ถูกบังคับ’ ให้ดูแลเธอแบบไม่เต็มใจ เช่นนั้นเธอก็ไม่ขอรับไว้
“อิจฉาเฮียเหรอ งั้นก็กลับมาอยู่บ้านสิ จะกินวันละสองตัวก็ไม่มีใครว่า หรือถ้าจะให้ดีก็เรียนเข้าครัวกับหม่าม้าไปเลย หม่าม้ากำลังอยากได้ลูกศิษย์สืบทอดตำรับสักคน ใช่ไหมครับหม่าม้า” เฉินเฟยหลิงรีบผสมโรงไม่ให้บรรยากาศอึดอัดไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะเมื่อมองสีหน้าของบิดาที่เริ่มจะเย็นเยียบขึ้นมาทุกขณะ
แต่ไหนเลยที่เฉินเฟยหลงจะรับน้ำใจ กลับกล่าวถึงคนอีกคนที่ไม่อยู่ในที่นี้ด้วยแววตาชื่นชมให้ ‘ทุกคน’ เห็นชัดเจน
“หม่าม้า จางฉีก็ทำอาหารเก่งนะครับ ผมเคยชิมฝีมือของเธอหลายครั้ง ทั้งของคาวและของหวานอร่อยใช้ได้เลย ถ้าหม่าม้าอยากได้ลูกมือ ผมจะให้เธอแวะมาที่นี่บ่อยๆ”
ชื่อ ‘จางฉี’ ทำเอาทุกคนเงียบกริบ ตะเกียบที่กำลังคีบอาหารต่างหยุดชะงัก เฉินฮุ่ยจึงแก้สถานการณ์ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และสบตาบุตรชายคนโตเป็นเชิงตักเตือนไม่ให้พูดจาเหลวไหลอีก
“หม่าม้าตั้งใจเอาไว้ว่าจะสอนแค่คนในครอบครัว หรือไม่ก็ลูกสะใภ้ จะได้เป็นตำรับลับของบ้านเรา ส่วนคนนอก...ก็ให้เขาไปเรียนที่อื่นเถอะ โรงเรียนสอนทำอาหารออกจะเยอะแยะไป”
“แบบนั้นก็ยิ่งดีสิครับ จางฉียิ่งควรจะมาเรียนรู้กับหม่าม้าให้เร็วที่สุด ทุกคนก็รู้ว่าเราสองคนคบกันมานาน อนาคตก็คง...”
“อาหลง! หยุดพูดอะไรเหลวไหลได้แล้ว” เฉินฮุ่ยเอ็ดบุตรชายก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดจบประโยค น้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อครู่สลายไปราวกับหมอกควัน แม้แต่ความอยากอาหารก็มลายไปจนหมดสิ้น
“ผมไม่เคยต้องการ ‘คนอื่น’ นอกจากจางฉี” เฉินเฟยหลงเน้นย้ำบางคำ ไม่นำพาต่อสถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้น
ไม่มีใครคาดคิดว่าเฉินเฟยหลงจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีคู่หมั้นของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ เมื่อมองไปที่ผู้เสียหายหลักกลับเห็นหญิงสาวหลุบตารับประทานอาหาร ไม่พูดไม่จา มือที่จับตะเกียบก็คีบอาหารเข้าปากด้วยกิริยามารยาทเรียบร้อยดังเดิม แต่รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าหายไปกว่าครึ่ง ตรงกันข้ามกับผู้กระทำการที่ยังลอยหน้าลอยตาเหมือนพวกไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เมื่อเปรียบเทียบกันเช่นนี้ ความเห็นใจถึงเทเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งอย่างง่ายดาย
“เฮีย พูดแบบนี้มันเกินไปไหม ‘คนอื่น’ ที่ว่าเฮียหมายถึงใคร นี่น้องผม นี่คู่หมั้นเฮียนะ น้องอยู่ของน้องดีๆ ทำไมเฮียต้องไปหาเรื่องด้วย” เฉินเฟยหลิงขมวดคิ้วไม่พอใจเช่นกัน ถึงแม้เฉินเฟยเฟิ่งจะไม่ใช่น้องสาวโดยสายเลือด แต่พวกเขาก็เติบโตมาด้วยกัน ความรักใคร่สนิทสนมไม่ได้น้อยไปกว่าที่มีให้พี่ชายแท้ๆ ที่คลานตามกันออกมา เมื่อเห็นอยู่ทนโท่ว่าอีกฝ่ายกำลังโดนคนไม่มีเหตุผลพูดจาแย่ๆ ใส่ พี่ชายที่ไหนจะอดกลั้นได้
“อาหลิง เฮียกำลังพูดความจริง ถ้า ‘คู่หมั้น’ ที่ป๊ากับหม่าม้าเตรียมไว้ให้เฮียเป็นคนดีอย่างที่พยายามกรอกหูเฮียอยู่ทุกวัน คนดีที่ว่ายังจะกล้าหน้าไม่อายแยก ‘คนรัก’ ออกจากกันอีกเหรอ แล้วคนที่ทำให้เรื่องมันค้างคามาเป็นสิบปีแบบนี้เรียกว่าคนดีอย่างนั้นเหรอ”
นัยน์ตาคมกริบแบบที่ได้รับมาจากบิดากวาดมองไปทั่วโต๊ะ โดยจงใจเว้นคนคนหนึ่งเอาไว้ เขาไม่เคยอยากต่อล้อต่อเถียงกับบุพการี และไม่เคยอยากจะมีปากเสียงกับน้องชายเพียงคนเดียว ถึงรู้ดีว่าการพูดถึงจางฉีในสถานการณ์แบบนี้คงทำให้คนในครอบครัวไม่พอใจ แต่วันนี้เขาตั้งใจที่จะแสดงเจตนารมณ์ให้ชัดเจน เหตุการณ์จะได้ไม่รุนแรงเลยเถิดเหมือนเมื่อสิบปีที่แล้ว เพราะถึงอย่างไรเขาก็เลือกทางนี้ เขาเลือกที่จะเดินหน้าออกจากการรอคอยอันยาวนาน ดังนั้นมันไม่สำคัญว่าเขาจะคิดอย่างไร ไม่สำคัญว่าเขาจะจำทุกอย่างได้หรือไม่ เพราะความจริงแล้วเรื่องในอดีตไม่มีทางหวนย้อนกลับ
เฉินเฟยเฟิ่งวางตะเกียบลง รีบซุกมือสั่นระริกไปซ่อนใต้โต๊ะอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เมื่อครู่ทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจเธอ จึงไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกตินี้
แกร๊ก!
“ในเมื่อฉันเป็นคนตกลงเรื่องการหมั้นหมายเอง แปลว่าตอนนี้ฉันกลายเป็นคนหน้าไม่อายไปแล้ว?” ต่อให้เป็นพระอรหันต์ก็ไม่อาจทนการ ‘จงใจ’ ยั่วโมโหเช่นนี้ได้ เฉินชุนพลันรวบตะเกียบเข้าหากัน เสียงที่พูดทั้งห้วนและแข็งกระด้าง
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เมื่อโดนบิดาถามย้อนเช่นนี้ เฉินเฟยหลงพลันรีบก้มหน้ายอมรับผิด ทว่ามือทั้งสองกลับกำหมัดแน่นเพื่อแบ่งเบาความอึดอัดที่กำลังกัดกินไปทั่วร่าง
“ฉันสอนแกว่ายังไง ‘สัจจะ’ และ ‘ซื่อสัตย์’ ทำให้พวกเรามีทุกวันนี้ได้ ตลอดทั้งชีวิตฉันไม่เคยเสียคำพูดกับใคร ถ้าแกอยากทำลายความภาคภูมิใจข้อนี้ของฉัน ให้ฉันกลายเป็นคนถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเองต่อหน้าคนทั้งฮ่องกง งั้นแกก็อย่ามาเรียกฉันว่าป๊า ฉันจะได้ไม่มีสิทธิ์ไปบงการชีวิตแก”
ก่อนหน้านี้เฉินชุนตั้งใจจะให้เวลาแก่บุคคลทั้งสองเพื่อปรับตัวเข้าหากัน รวมถึงสะสางเรื่องเก่าๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วจึงค่อยเกริ่นถึงเรื่องสำคัญที่คั่งค้างมานานหลายปี แต่เมื่อบุตรชายของเขา ‘ไร้ความเป็นสุภาพบุรุษ’ อีกทั้งยังเห็นคนนอกสำคัญกว่าคนในครอบครัว เช่นนั้นขั้นตอนประนีประนอมที่เตรียมไว้ก็ไม่จำเป็น เมื่อเป็นแบบนี้ก็อย่ามาโทษว่าเขาใช้ไม้แข็งเข้าข้างคนอื่นมากกว่าบุตรในสายเลือดเลย ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นก็ล้วนแต่เป็นเพราะอีกฝ่ายทำตัวเองทั้งนั้น
“ป๊า! ผมไม่เข้าใจว่าป๊าจะเสียคำพูดกับใคร ก็แค่ยกเลิกการมะ...” เฉินเฟยหลงเงยหน้าถาม แต่ก่อนที่จะได้พูดจบกลับถูกเสียงทุบโต๊ะดังสนั่นกลบถ้อยคำที่เหลือทั้งหมด
ปัง!
“เฉินเฟยหลง! ฉันเคยสอนให้ปลิ้นปล้อนไร้ความรับผิดชอบเหรอ! แกไปเอานิสัยชั้นต่ำแบบนี้มาจากใคร!!!” เฉินชุนตบโต๊ะอย่างแรง ตวาดเสียงดังลั่น สีหน้าที่สุขุมพลันเต็มไปด้วยโทสะ
“คุณคะ...” เฉินฮุ่ยลูบแขนผู้เป็นสามี ส่งสายตาห้ามปรามบุตรชายคนโตให้หยุดต่อล้อต่อเถียงได้แล้ว
“ตัวเล็ก ออกไปเอาขนมที่ห้องครัวเป็นเพื่อนเฮียหน่อย เฮียยกคนเดียวไม่ไหว” เฉินเฟยหลิงลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะไปยังร่างเล็ก เขาไม่รู้ว่าพี่ชายจะหลุดพูดจาไม่น่าฟังอะไรอีก จึงเลือกที่จะพาหญิงสาวออกไปจากสถานการณ์ตึงเครียดตรงหน้า
เฉินเฟยเฟิ่งไม่ปฏิเสธ เธอลุกขึ้นและเดินออกไปตามความหวังดีที่พี่ชายบุญธรรมมอบให้ ทิ้งบรรยากาศอึมครึมเอาไว้เบื้องหลัง
‘ไปเอาขนม’ ก็แค่ข้ออ้าง ดังนั้นสองร่างที่มีส่วนสูงต่างกันจึงไม่ได้เดินตรงไปยังห้องครัว เฉินเฟยหลิงเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของน้องสาวบุญธรรมอยู่นาน สีหน้าสงบนิ่งและดวงตาที่หลุบมองพื้นทำให้เดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ พลันเขานึกถึงบทละครต่างๆ ที่เคยแสดง ก่อนจะเลือกสรรประโยคปลอบใจที่ดีที่สุดออกมาประโยคหนึ่ง
“อย่าไปฟังคำพูดพวกนั้นเลย มีแต่อะไรก็ไม่รู้ ไร้สาระทั้งนั้น” เขาเอ่ยขึ้นเมื่อมาถึงห้องนั่งเล่นที่อยู่ไม่ไกลจากห้องโถงรับแขกนัก
“เฮียหมายถึงเรื่องจางฉีหรือเรื่องที่เขาด่าตัวเล็กว่าทำตัวหน้าไม่อายคะ”
เฉินเฟยเฟิ่งยิ้มกว้าง ทิ้งท่าทางไร้อารมณ์เมื่อครู่ไปในทันที ก่อนจะเดินเลยร่างสูงตรงไปยังหน้าต่างยาวจดพื้นที่อยู่อีกด้าน เธอกอดอกและเอนพิงผนัง ขณะที่ดวงตาหงส์เรียวยาวจ้องมองออกไปยังภายนอก ไฝที่หางตายิ่งขับเน้นความโดดเดี่ยวไม่ต่างจากบรรยากาศยามค่ำคืน
ชายหนุ่มไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยชื่อผู้หญิงคนนั้นออกมาเหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร ท่าทางของเขาจึงดูประดักประเดิดเล็กน้อย ก่อนจะทรุดกายนั่งลงบนโต๊ะพลางถอนหายใจ
“ตัวเล็กรู้เรื่องของสองคนนั้นมากน้อยแค่ไหน”
“เฮีย นี่คือยุคที่อินเทอร์เน็ตเชื่อมโลกทั้งหมดเข้าหากัน นับประสาอะไรกับแค่เรื่องในฮ่องกง กดคลิกเดียวมีเรื่องอะไรที่อยากรู้แล้วไม่ได้รู้บ้าง โดยเฉพาะพวกข่าวซุบซิบคนดัง ถึงพยายามปิดบังเป็นความลับ แต่จะหลบสายตาคนเป็นแสนเป็นล้านได้ตลอดเหรอ ไม่รวมกับที่ ‘จงใจ’ เปิดเผยทุกอย่างเต็มที่นะ” หญิงสาวหลุดขำออกมา พี่ชายของเธอทำราวกับว่าอยู่ในยุคพิราบสื่อสารยังไงยังงั้น
“ตัวเล็กเชื่อข่าวพวกนั้นเหรอ เรื่องแค่ยี่สิบ คนก็เล่าต่อให้เป็นร้อยได้”
“ยี่สิบของเฮียมันก็แปลว่ามีมูลไม่ใช่เหรอ”
ต้องขอบคุณ ‘ผู้หวังดี’ ที่ส่งทั้ง ‘รูป’ และ ‘คลิป’ รายงานทุกสถานการณ์ตลอดสิบปีที่ผ่านมา...ต่อให้เธอพยายามไม่สนใจมากแค่ไหน แต่เธอก็ได้ยินและรับรู้ความเคลื่อนไหวในฮ่องกงทุกอย่างเสมือนเรื่องเกิดขึ้นอยู่หน้าบ้านตัวเอง
ที่ขาดไม่ได้...ต้องขอบคุณ ‘คู่หมั้น’ ที่เธอเคยชื่นชมและฝากฝังความฝันทุกอย่างเอาไว้กับเขา เฉินเฟยหลงตอบแทนเธอได้สาสมยิ่งนัก
“แล้ว...ตัวเล็กคิดยังไงกับเรื่องนี้” เฉินเฟยหลิงเอ่ยถาม ที่อีกฝ่ายพูดมาล้วนถูกต้องทุกอย่าง ฮ่องกงก็เล็กแค่นี้เอง อีกทั้งคู่กรณีทั้งสองก็ถือว่าเป็นคนดังที่สื่อจับตามอง ต่อให้ทั้งสองคนจะเคยตั้งโต๊ะแถลงข่าวว่าเป็น ‘เพื่อนสนิท’ ไม่มีอะไรเกินเลย แต่เรื่องความสัมพันธ์พรรค์นี้มีหรือที่คนนอกจะมองไม่ออก ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะปิดคนที่มีสถานะคู่หมั้นตัวจริงได้มิด
“เป็นคำถามที่ยากจังเลย เฮียอยากได้คำตอบแบบไหนคะ ตอบแบบคู่หมั้น หรือตอบแบบคนนอกดี” เธอเบือนสายตากลับมายังคู่สนทนา รอยยิ้มบนหน้าไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
เฉินเฟยหลิงจ้องหน้านวลราวกับจะเค้นความจริง หากเป็นแต่ก่อน...ไม่ว่าจะมีความสุขหรือทุกข์ใจ รู้สึกอย่างไร เด็กผู้หญิงคนนั้นก็จะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ไม่สลับซับซ้อนแบบหญิงสาวผู้เพียบพร้อมที่ยืนอยู่ตรงหน้า
หลายชั่วโมงก่อนเขาเคยคิดว่าเฉินเฟยเฟิ่งยังคงเหมือนเดิม แต่เวลานี้เขาขอถอนคำพูด อดีตก็คืออดีต เป็นเพียงภาพความทรงจำอันหอมหวาน แต่เมื่อถูกกาลเวลากัดกินก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมทั้งนั้น
“เฮียอยากได้คำตอบของเฉินเฟยเฟิ่ง ไม่สำคัญว่าจะฐานะไหน แค่ตอบเฮียมาตามตรงก็พอ”
ผู้ถูกถามนิ่งเงียบอยู่นาน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลอกไปมาราวกับกำลังชั่งใจ แต่สุดท้ายก็ให้คำตอบด้วยความสัตย์จริง
“โกรธค่ะ ตัวเล็กกำลังโกรธมาก โกรธจนเลือดข้างในสั่นไปทุกหยด ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป เขาก็เลือกเชื่อในสิ่งที่เขาอยากจะเชื่อเสมอ ไม่เคยสนใจว่าจะทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นมากน้อยแค่ไหน” ขณะที่พูด ขอบตาก็ยิ่งร้อนผ่าว ต้องสูดหายใจเพื่อสงบอารมณ์
“ทำไมไม่บอกความจริงเรื่องนั้นไป...”
“ตัวเล็กพูดไปหมดทุกอย่างแล้ว แต่เขาก็ไม่ฟังอยู่ดี และตัวเล็กไม่คิดจะอธิบายรอบสอง เขาอยากจะคิดอะไรก็ช่างเขาเถอะ โอกาสมีให้สำหรับคนที่อยากได้ แต่ถ้าเขาไม่อยากได้ ฝืนยัดเยียดให้เขาไปก็มีแต่เราที่เหนื่อยเปล่า”
เฉินเฟยหลิงนึกถึงเหตุการณ์ที่เป็นจุดแตกหักระหว่างคนทั้งสอง ที่เฉินเฟยเฟิ่งพูดมาล้วนถูกต้องทั้งหมด เฮียใหญ่ของเขาไม่คิดจะฟังใครทั้งสิ้น ต่อให้ตัวเขา ป๊า หรือหม่าม้าช่วยกันอธิบาย อีกฝ่ายก็จะคัดค้านว่าพวกเขาเอาแต่เข้าข้างเฉินเฟยเฟิ่งเกินไป ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเองนั่นละที่เอาแต่ฟังคนอื่นจนไม่ลืมหูลืมตา
“ฟังเฮียนะ ไม่ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ตัวเล็กแค่บอกเฮียมาว่าต้องการอะไร เฮียช่วยคุยกับป๊าให้ดีไหม” ชายหนุ่มถอนหายใจพลางเดินไปหยุดเบื้องหน้าน้องสาว และยกมือลูบศีรษะของคนที่ตัวเล็กกว่าอย่างที่เคยทำมาตลอด
“เฮียไม่ต้องห่วง ตัวเล็กมีเรื่องที่อยากทำมานานแล้ว และครั้งนี้จะต้องทำให้ได้ด้วย” แววตาของผู้พูดขณะกล่าวประโยคนี้เกือบจะเรียกได้ว่าว่างเปล่า เธอยอมรับว่าเมื่อบ่ายที่ได้สัมผัสความอบอุ่นจากคนในครอบครัวทำให้เธอลังเลกับบางเรื่อง แต่ความลังเลที่ว่าถูกบดขยี้เป็นผุยผงเมื่อได้ยินถ้อยคำกล่าวต้อนรับจากคนคนนั้น
ครืด! ครืด! ครืด!
เสียงสั่นจากโทรศัพท์มือถือขัดจังหวะบทสนทนา ผู้เป็นเจ้าของหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงและดูชื่อคนที่โทร. มารบกวนเวลานี้ ก่อนจะได้กดตัดสาย เสียงหวานละมุนกลับพูดขึ้นเสียก่อน
“รับสายเถอะค่ะ อาจจะเป็นเรื่องสำคัญก็ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวเขาก็โทร. มาอีก” หญิงสาวพยักพเยิดไปยังอุปกรณ์สื่อสาร ด้วยอาชีพของอีกฝ่าย เธอไม่แปลกใจที่เขาจะงานยุ่งแบบไม่จำกัดเวลา
“ก็ได้ คงจะเป็นเรื่องงานน่ะ งั้นเดี๋ยวเฮียมานะ” เฉินเฟยหลิงรับคำอย่างจำยอม ก่อนจะเดินออกไปคุยโทรศัพท์นอกห้อง
บุคคลที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวกลับมาจดจ้องความมืดนอกหน้าต่างเช่นเดิม เธอกำลังเฝ้ารอใครบางคนที่ยังไม่ได้เอ่ยทักทายกันแม้แต่คำเดียว เฝ้ารออย่างที่เคยซ้อมกับตัวเองในกระจก เพียงไม่นาน...ก็เห็นร่างในชุดสูทเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไปจากตัวบ้าน
เฉินเฟยเฟิ่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินผ่านสวนดอกไม้ คืนเดือนแรมเช่นนี้ยิ่งขับเน้นให้บรรยากาศดูขมุกขมัว เสียงฝีเท้าที่เหยียบย่ำบนแผ่นหินเชื่องช้าลงเมื่อตามทันบุคคลที่กำลังจะเข้าไปในโรงจอดรถ ก่อนจะหยุดไล่ตามในระยะห่างเกือบยี่สิบก้าว
เธอมองเงาหลังตระหง่านด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคย เวลาสิบปีเปลี่ยนเด็กหนุ่มในความทรงจำให้กลายเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ หากพบเจอกันข้างนอกคงเดินสวนกันแบบ ‘คนไม่รู้จัก’ อีกฝ่ายคงรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง ไม่นานจึงหันกลับมาเผชิญหน้า
หญิงสาวสบนัยน์ตาสีดำสนิทอย่างไม่หวั่นเกรง การที่เธอกลับมาที่ฮ่องกงรอบนี้จุดประสงค์หลักไม่ได้มีแค่มาร่วมงานแซยิดของบิดาบุญธรรม แต่เธอยังตั้งใจมาจัดการ ‘เรื่องอยุติธรรม’ ที่ค้างคามานาน สิบปีที่แล้วมันจบยังไง เธอจำได้ทุกวินาทีของเหตุการณ์ ตอนนั้นเธอแพ้ราบคาบ ไม่เหลือแม้กระทั่งแรงที่จะใช้โต้เถียงเรื่องที่ตัวเองไม่ได้เป็นผู้กระทำ ต่อให้หนีไปอีกฟากหนึ่งของโลก แต่บาดแผลจากความอัปยศครั้งนั้นไม่ได้หายไปไหน มันยิ่งย้ำเตือนว่าเธอพบเจอกับเรื่องต่ำช้าอะไรมาบ้าง เมื่ออายุมากขึ้น แผลสดก็เริ่มตกสะเก็ด เธอไม่ใช่เด็กหญิงวัยสิบห้าที่มองโลกในแง่ดีอีกต่อไป ทำไมถึงต้องเป็นเธอที่ทุกข์ทรมานใจอยู่คนเดียว หากพวกเขาสำนึกผิดก็แล้วไป แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็ยังมีความสุขกันดี
ในเมื่อฟ้ายังเมตตาเหลือ ‘สถานะ’ นี้ให้เธอ เหตุใดจะต้องปฏิเสธไม่ใช้มันด้วยล่ะ
บุคคลทั้งสองมองหน้ากัน แสงสีส้มสลัวจากโคมไฟประดับสวนสาดส่องใบหน้าครึ่งซีก ทว่าส่วนที่เหลือกลับตกอยู่ภายใต้เงามืด สะท้อนตัวตนความเป็นมนุษย์ได้ชัดเจนยิ่งกว่าถ้อยคำใดๆ
ด้านสว่างเป็นสิ่งสวยงามที่แต่ละคนพยายามปรุงแต่ง และเลือกสรรเป็นอย่างดีที่จะแสดงออกให้คนภายนอกได้เห็น แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าด้านมืดที่แสงส่องไปไม่ถึงกำลังซุกซ่อนอะไรเอาไว้ เสียงสายลมพัดหวีดหวิวคล้ายจะเป็นเรื่องไกลตัว อากาศตอนกลางคืนทั้งมืดมนและเย็นยะเยือกไม่ต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง
“กลับมาทำไม”
ประโยคแรกในรอบสิบปีที่ไม่ได้เจอกัน ไม่ว่าจะเป็นในฐานะ‘น้องสาวบุญธรรม’ หรือ ‘คู่หมั้น’ ก็ไม่ควรได้รับคำทักทายเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เตรียมใจมาล่วงหน้าว่าอาจจะเจ็บปวดเหมือนตอนที่เขาไล่เธอ ‘ไปตาย’ แต่เอาเข้าจริงๆ กลับไม่มีความรู้สึกอะไรหลงเหลืออยู่ จึงกล่าวคำพูดที่เตรียมไว้ออกมาอย่างง่ายดายยิ่ง
“เฟยหลง เรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ”
สีหน้าตึงเครียดของเฉินเฟยหลงพลันสลายไปเมื่อได้ยินประโยคที่ว่า สายตาที่จับจ้องใบหน้าเรียวเล็กเผยความโล่งอก แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปก็จะพบความเจ็บปวดบางเบาที่ยากจะปล่อยผ่าน...จึงได้แต่พร่ำบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าแบบนี้ดีที่สุดแล้ว
ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตนเองใช้คำพูดรุนแรงเกินไป อีกทั้งยังจงใจยั่วโมโหเพื่อให้สถานการณ์เลวร้ายมากยิ่งขึ้น แต่บางครั้งคนเราก็ไม่อาจทำตามในสิ่งที่ใจปรารถนา เพราะไม่ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร สุดท้ายก็จำเป็นต้องทำแบบนี้ เรื่องระหว่างเขากับเฉินเฟยเฟิ่งยืดเยื้อมานานเกินไปแล้ว ความสัมพันธ์คลุมเครือระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่ต่างอะไรจากเนื้อร้ายกัดกินบ่อนทำลายทุกฝ่าย ไม่ว่าจะทำร้ายความคาดหวังของครอบครัว ทำร้ายความรู้สึกของจางฉี ทำร้ายตัวเขาเอง และที่สำคัญไปกว่านั้น...
เฉินเฟยเฟิ่งควรเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน
“ดี ฉันดีใจที่เธอเข้าใจอะไรง่ายขึ้น” ชายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย วางท่าไม่แยแสต่อแววตาว่างเปล่าที่กำลังมองมา เขาพยายามพร่ำบอกตัวเองว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาจะต้องใส่ใจ ในเมื่ออีกฝ่ายพูดคำว่า ‘จบ’ นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาและเฉินเฟยเฟิ่งปรารถนาตรงกันไม่ใช่เหรอ...
“อยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นเหรอ” เฉินเฟยเฟิ่งเอ่ยถามพลางคลี่ยิ้มลึกล้ำกว่าเดิม
ปฏิกิริยาที่ผู้พูดแสดงออกทำเอาคิ้วเข้มของชายหนุ่มขมวดหากัน เป็นครั้งแรกที่เขาตั้งใจพินิจ ‘คู่หมั้น’ ให้ชัดเจน เฉินเฟยเฟิ่งสูงขึ้นไม่มาก ใบหน้าจิ้มลิ้มที่เขาเคยชมว่าน่ารักแทบไม่เปลี่ยนไปจากอดีต รอยยิ้ม น้ำเสียง ดวงตาเรียวยาวแฝงความเอาแต่ใจ ทั้งหมดทั้งมวลล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยทั้งสิ้น ทว่าเฉินเฟยเฟิ่งที่แข็งกระด้างเช่นนี้กลับไม่เคยปรากฏในความทรงจำมาก่อน
“คนที่ฉันจะแต่งงานด้วยมีแค่จางฉี เธอยอมถอยแต่โดยดีเถอะ”
“ไม่ต้องห่วง...ฉันจะให้คุณได้แต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นสมใจ” เสียงหวานหัวเราะในลำคอก่อนที่สีหน้าจะกลับมาละมุนละไมเช่นเดิม แต่ความนิ่มนวลนั้นกลับแฝงไปด้วยความเย้ยหยัน และประโยคที่ตามมายิ่งจุดเพลิงโทสะของผู้ฟังจนมอดไหม้ไปทั้งร่าง
“รักกันมากนักเหรอ...”
เฉินเฟยหลงพลันตระหนักถึงความน่ากลัวของกาลเวลาที่แปรเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งราวกับฝันตื่นหนึ่ง ลบภาพเด็กหญิงในความทรงจำที่มีออกไปจนหมด และยิ่งตอกย้ำว่าแท้จริงแล้วเขาและเฉินเฟยเฟิ่งอยู่ห่างกันเพียงใด
“แค่คุณกับจางฉีมาคุกเข่าขอโทษฉันตรงหน้า แล้วฉันจะให้สิ่งที่คุณต้องการ...”
ความคิดเห็น |
---|