1

การกลับมา




1

การกลับมา

 

‘ความนุ่มนวลคือดาบเล่มหนึ่ง’

โกวเล้ง

 

‘เฉินเฟยเฟิ่ง’ หรือ ‘เลลาห์ เฉิน’ เท้าคางมองออกนอกหน้าต่างดูทิวทัศน์ข้างทาง ทั้งความเจริญ ผู้คน สิ่งก่อสร้าง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากในความทรงจำ ทุกที่ที่รถแล่นผ่านมีนักท่องเที่ยวเดินขวักไขว่มากมายไม่ต่างอะไรจากนิวยอร์ก แน่นอนว่าเธอย่อมเคยเห็นภาพความเจริญของฮ่องกงจากในข่าวต่างๆ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็อดสะท้อนใจไม่ได้ พลันยิ่งตระหนักได้ว่าเวลาไม่เคยปรานีผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ‘คน’

เมื่อชมเมืองพอใจแล้วเธอจึงเอียงคอหันกลับมามองคนข้างๆ ผู้ชายคนนี้อาจจะเป็นข้อยกเว้น...หากเทียบกับเมื่อสิบปีที่แล้ว ‘เฉินเฟยหลิง’ หรือ ‘ลูคัส เฉิน’ พี่ชายบุญธรรมของเธอไม่ได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลาเท่าใดนัก หรืออาจจะเป็นเพราะว่าหากเขามีเวลาว่างก็จะบินไปหาเธอที่นิวยอร์กอยู่เป็นประจำก็ไม่รู้ ต่อให้เขาสูงขึ้น หน้าตาคมคายสมเป็นบุรุษเพศมากขึ้น แต่เธอยังจำภาพหนุ่มน้อยในชุดเครื่องแบบนักเรียนได้อยู่เลย คงเหมือนกับที่เขาเอาแต่เรียกเธอว่า ‘ตัวเล็ก’ ทั้งๆ ที่ตอนนี้เธออายุยี่สิบห้าเข้าไปแล้ว

“ไม่อยากจะเชื่อเลย ทุกถนนมีแต่โฆษณาของเฮีย” หลังจากที่เธอลองนับป้ายโฆษณาตามท้องถนนที่มีใบหน้าของเขาคร่าวๆ ดูเหมือนว่าสิบนิ้วมือก็ไม่พอเสียด้วยซ้ำ การที่เขาอุตส่าห์เจียดเวลามารับเธอที่สนามบินได้ สมกับเป็น ‘เฮียหมายเลขหนึ่ง’ ของเธอตั้งแต่เล็กยันโตจริงๆ

แม้จะโลดแล่นในวงการแค่เพียงไม่กี่ปี แต่เฉินเฟยหลิงเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในซูเปอร์สตาร์ที่ตารางงานแน่นจนแทบไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เขามีชื่อเสียงมากในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีน คงเพราะเส้นผมสีดำสนิทปรกหน้าผากตัดกับผิวกายขาวผ่อง คิ้วเข้มเฉียงขึ้นเล็กน้อย จมูกโด่งเป็นสันตรง ทว่าดูไม่แข็งกระด้าง เขาได้รับดวงตาเรียวยาวอ่อนโยนมาจากมารดา เมื่อรวมกับริมฝีปากบางเฉียบสีอ่อนแล้ว ทุกครั้งที่เขาคลี่ยิ้มก็ละลายหัวใจหญิงสาวมากมายนับไม่ถ้วน

“ปีนี้เฮียถ่ายโฆษณาไปเกือบยี่สิบตัว ทนมองหน้าเฮียหน่อยนะ” เฉินเฟยหลิงเหลือบมองคนด้านข้าง ก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้างจนดวงตาหรี่เป็นเส้นโค้ง

“นึกถึงตอนที่เฮียโทร. มาเล่าให้ฟังว่าตัดสินใจถ่ายโฆษณาตัวแรก ตัวเล็กคิดว่าตัวเองหูฝาดไป นึกภาพเฮียเข้าวงการไม่ออกเลย แต่ก่อนเฮียขี้อายจะตาย แค่ให้ไปยืนพูดบนเวทีก็เสียงสั่นแล้ว” หญิงสาวสัพยอก เธอกับเขาอายุห่างกันแค่ปีเดียว ดังนั้นความสนิทสนมจึงมากกว่าคนอื่นๆ ในบ้าน

“เวลาเปลี่ยน อะไรก็เปลี่ยน เฮียก็อยากลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง ก็เหมือนตัวเล็กนั่นแหละ ใครจะคิดว่าตัวเล็กจะช่วยป๊าดูแลสาขาที่อเมริกาได้” ผู้พูดย่นจมูกเป็นเชิงหยอกเย้า

“จำได้ไหม แต่ก่อนตัวเล็กยังวิ่งตามติดพวกเฮียอยู่เลย ถ้าไม่ยอมให้ไปด้วยก็ขี้แยใส่ตลอด ‘ไม่รักตัวเล็กแล้วเหรอคะ’ แค่ได้ยินมุกนี้ พวกเฮียเคยปฏิเสธได้เหรอ”

เฉินเฟยหลิงระเบิดเสียงหัวเราะดังก้อง อย่าว่าแต่เขากับ ‘เฮียใหญ่’ เลย ขนาดบิดาของเขาที่ว่าดุและเด็ดขาดจนบุรุษวัยฉกรรจ์ไม่กล้าสบตา ยังใจอ่อนเวลาบุตรสาวบุญธรรมคนนี้กอดแขนกอดขาออดอ้อน น้ำเสียงฉอเลาะก็ที่หนึ่ง ซุกซนก็ไม่มีใครเกิน แต่ไม่ว่าจะทำอะไรผิดก็ไม่เคยโดนดุเลยสักครั้ง ตรงกันข้ามกับพวกเขา ทำผิดแค่นิดเดียวก็เกือบจะโดนสายตาเย็นยะเยือกของบิดาแช่แข็งอยู่รอมร่อ แต่พอเฉินเฟยเฟิ่งน้ำตาคลอกล่าวว่า ‘ป๊าขา...อย่าโมโหเลยนะคะ’ พวกเขาจะได้รับอภัยโทษในทันที

“จริงด้วย...ถ้าเฮียไม่พูดถึงเรื่องในอดีต ตัวเล็กก็เกือบจะลืมไปหมดแล้ว”

ชายหนุ่มหันมองใบหน้าจิ้มลิ้มจากทางด้านข้างด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนหน้านี้หุบลงไปกว่าครึ่ง ไฝเม็ดเล็กที่หางตาข้างขวายิ่งขับเน้นความอึมครึมของเจ้าตัวชัดเจน เขาเพิ่งจะตระหนักถึงประโยคคลุมเครือที่อีกฝ่ายกล่าว พลันอยากจะกัดลิ้นตัวเองแรงๆ สักหลายที ไม่รู้เรื่องราวในอดีตจะยังส่งผลกระทบต่ออีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่ยังไม่ทันได้คิดคำกล่าวปลอบโยนใดๆ อีกฝ่ายกลับชิงพูดขัดขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“พอโตขึ้นทุกคนก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง มีภาระมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น โดยเฉพาะพวกเราพี่น้อง เฮียอยู่ที่นี่ก็ทำงานหนักเป็นภาพลักษณ์ให้บริษัท ‘เขา’ ก็ช่วยป๊าบริหารกิจการแถบนี้ทั้งหมด ตัวเล็กที่อยู่ที่นู่นจะนั่งงอมืองอเท้าเฉยๆ ได้ยังไงคะ อะไรที่ช่วยป๊าม้าได้ก็ต้องช่วยกันเนอะเฮีย” ผู้ถูกมองกลับมายิ้มกว้างเช่นเดิมเมื่อสัมผัสถึงแววตาเป็นห่วงเป็นใยจากพี่ชายบุญธรรม เธอใช้คำว่า ‘พวกเรา’ ได้อย่างคล่องปาก ต่อให้ในความทรงจำ ‘เขา’ จะเบื่อหน่ายหรือเกลียดชังเธอเช่นไร ถึงยังไง ‘สถานะ’ พวกนั้นก็ยังคงอยู่

“รู้ไหม ตอนที่ป๊าม้าได้ยินว่าปีนี้ตัวเล็กจะกลับมาก็รีบสั่งคนมาทำความสะอาดบ้านยกใหญ่ สั่งคนมาจัดสวนใหม่ซะสวยเชียว นี่ก็ให้คนไปตามพ่อครัวแม่ครัวมาเพิ่มด้วย กลัวอาหารไม่ถูกปากลูกสาว” เฉินเฟยหลิงรีบเฉไฉไปเรื่องอื่นอย่างแนบเนียน ไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆ ตั้งแต่วันแรกที่อีกฝ่ายมาถึงฮ่องกง

ครั้งแรกที่เขาได้เห็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มที่บิดามารดาพาเข้าบ้านมาแนะนำตัวในฐานะ ‘คู่หมั้น’ ของ ‘เฮียใหญ่’ ก็ยี่สิบปีมาแล้ว และไม่นานเด็กผู้หญิงคนนั้นก็กลายมาเป็นหนึ่งในคนตระกูลเฉินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เฉินเฟยเฟิ่งจึงเป็นทั้ง ‘คู่หมั้น’ ของพี่ชายและ ‘น้องสาวบุญธรรม’ ของเขา

“เฮียไม่น่าบอกป๊าม้าเลย เรื่องนอกบ้านก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว ยังต้องมาเหนื่อยกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก” คิ้วเรียวของผู้พูดขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดูทอดถอนใจมากกว่าหงุดหงิดใจ

“รู้แบบนี้ตัวเล็กกลับมาเงียบๆ คนเดียวดีกว่า”

“อย่าพูดแบบนั้นสิ ตัวเล็กกลับบ้านมาก็ถือเป็นเรื่องสำคัญของครอบครัวเราเหมือนกัน ลงเฮียรู้แต่ไม่ยอมบอกสิ ป๊าม้าได้บ่นหูชาแน่” ชายหนุ่มส่ายหน้าปราม ถึงจะไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกัน แต่เพราะเติบโตมาด้วยกัน เฉินเฟยเฟิ่งจึงเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวคนหนึ่งของเขาเสมอ

ไม่ต้องกล่าวถึงบิดามารดา ทั้งสองรักและเอ็นดูลูกสาวบุญธรรมคนนี้มาก ตอนที่อีกฝ่ายย้ายไปเรียนต่อที่อเมริกาใหม่ๆ บิดามารดาของเขาก็เป็นห่วงจนนอนไม่หลับและกินข้าวไม่ลงไปหลายวัน ดังนั้นการกลับมาฮ่องกงครั้งแรกในรอบสิบปีของเฉินเฟยเฟิ่ง ฉลองแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ

นอกเหนือจากนั้น เรื่องสิบปีที่แล้วไม่ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา เมื่อใดที่มีวันหยุดยาวที่ควรอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัว ตัวต้นเหตุอย่างเฮียใหญ่มักจะกลายเป็นอากาศธาตุในสายตาของบิดาอยู่หลายวัน ปีนี้ถึงค่อยยังชั่วหน่อย ข่าวการกลับมาของเฉินเฟยเฟิ่งสร้างบรรยากาศครื้นเครงให้สมกับงานเลี้ยงฉลองใหญ่ที่ใกล้จะมาถึง

“คิดถึงป๊ากับหม่าม้าจัง”

“คิดถึงก็อยู่ให้นานๆ ไม่ต้องกลับเลยก็ได้ น้องคนเดียว เฮียเลี้ยงไหว” เขานึกถึงกระเป๋าลากใบเดียวด้านหลัง ทั้งๆ ที่วันแซยิดของป๊าอีกตั้งเดือนหน้า แต่อีกฝ่ายกลับเตรียมข้าวของเหมือนจะมาอยู่แค่สองสามวัน

“เฮียพูดแล้วนะ เอาหลักประกันมาเลย” เฉินเฟยเฟิ่งแสร้งตีหน้าขรึม แต่ไม่อาจซ่อนความซุกซนที่ประดับบนหางตาได้

“จะเอาอะไร ไหนลองบอกมาก่อน”

“บัตรเครดิต รถ เพนต์เฮาส์ด้วย รู้นะว่าเฮียแอบซื้อไว้ซุกเด็กนอกบ้าน”

“ไอ้หยา! ดูคำพูดคำจา เฮียไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก ป๊าได้ยินคงตีหัวเฮียแตกแน่” รถที่ขับมาดีๆ พลันส่ายไปมาเล็กน้อย ก่อนที่ผู้เป็นสารถีจะหันมามองค้อนคนพูดจาเหลวไหล

“แบบนี้เขาเรียกว่าร้อนตัวรึเปล่าคะ”

“ตัวเล็ก!”

“ก็ได้ ก็ได้ค่ะ ตัวเล็กไม่แกล้งแล้ว” หญิงสาวหลุดขำเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของพี่ชาย ตั้งแต่จำความได้ น้อยครั้งที่เขาจะพูดโกหก และด้วยนิสัยของเขา...ไม่มีทางทำเรื่องอะไรที่จะส่งผลเสียต่อครอบครัวแน่

ตรงกันข้ามกับอีกคน...

เมื่อนึกถึงข่าวคราวที่ ‘บังเอิญ’ แล่นเข้าหูตลอดสิบปีที่ผ่านมา เธอพลันเบือนสายตาออกไปนอกกระจก แม้เสียงหัวเราะจะยังคงอยู่ แต่แววตากลับเฉยชาไร้อารมณ์อย่างถึงที่สุด

 

ประตูเหล็กสีดำเปิดออกโดยอัตโนมัติ รถสปอร์ตเลี้ยวเข้าไปในอาณาเขตของคฤหาสน์ตระกูลเฉิน เฉินเฟยเฟิ่งอดเบิกตามองอย่างประหลาดใจไม่ได้ ขณะที่ภายนอกเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ทุกสิ่งในสถานที่แห่งนี้แทบไม่เปลี่ยนแปลงไปจากในความทรงจำ

คฤหาสน์สีขาวสไตล์คลาสสิกยังคงเหมือนเดิม ตัดกับกรอบหน้าต่างไม้สีเขียวเข้มและหลังคาสีอิฐหม่น ตั้งโดดเด่นบนสนามหญ้าเขียวขจี พุ่มไม้ประดับสองข้างทางได้รับการตัดแต่งเป็นอย่างดี รวมถึงต้นไม้ใหญ่ที่ทุกคนเคยปีนเล่นยังคงยืนต้นตระหง่านผ่านวันเวลาหลายสิบรอบฤดู ศาลาในสวน น้ำพุ เสาโคมไฟ หรือแม้กระทั่งหินอ่อนสีเทาสว่างที่ปูพื้นทุกก้อน ทั้งหมดนี้ยังเหมือนเดิมในความทรงจำ ราวกับมีมนตร์ขลังย้อนเวลา เธอพลันรู้สึกว่าไม่ได้จาก ‘บ้าน’ ไปสิบปี แต่เหมือนไปทัศนศึกษาสิบวันแล้วเพิ่งกลับมามากกว่า

“ไม่จริงน่า...” คนที่ไม่ได้กลับบ้านมานานยกมือเกาะกระจกรถมองตาค้าง หลุดอุทานเสียงหวานปนประหลาดใจออกมา ตลอดหลายปีที่อยู่อเมริกา...เธอไม่เคยเสียกิริยามากถึงขนาดนี้ แต่เมื่อเห็นบ้านที่เติบโตมาพลันรู้สึกคล้ายกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

“หืม? หมายถึงบ้านน่ะเหรอ”

รถสปอร์ตหยุดล้อในโรงจอดรถที่ไม่ห่างจากตัวบ้านนัก เฉินเฟยเฟิ่งรีบเปิดประตูก้าวลงจากรถทันที มือบางยกขึ้นลูบตามแนวกำแพงอย่างไม่อยากจะเชื่อ นอกจากรถที่เป็นรุ่นทันสมัยขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เธอยังจำสัมผัสลื่นๆ เย็นๆ ของกำแพงหินเหล่านี้ได้ด้วยซ้ำ

“อืม...บ้านยังเหมือนเดิมเลย”

ซ่า ซ่า

หญิงสาวเดินออกจากโรงจอดรถ ผิวกายขาวเนียนละเอียดที่โผล่พ้นเสื้อยืดคอกว้างตัดกับแมกไม้สีเขียวขจีที่อยู่รอบตัว มือบางยกขึ้นป้องแสงแดดที่ส่องผ่านเงาต้นไม้สูงเข้ามากระทบหน้า เธอหลับตารับสายลมซึ่งนำพาความร่มรื่นมาโอบล้อมไปทั่วร่าง สูดหายใจรับความสดชื่นจากพรรณไม้หลากชนิด แก้มเนียนใสค่อยๆ ปรากฏริ้วแดงระเรื่อจากไอแดดยามบ่าย

“มีเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่านี้อีก” เฉินเฟยหลิงมองน้องสาวบุญธรรมพลางคลี่ยิ้ม ก่อนจะลากกระเป๋าเดินทางนำเข้าไปยังห้องโถงใหญ่

ผู้ที่ไม่ได้กลับบ้านมากว่าสิบปีพลันกระจ่างแจ้งถึง ‘เซอร์ไพรส์’ ที่ว่า ในบ้านแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย วอลล์เปเปอร์สีครีมสะอาดตา แชนเดอเลียร์ระย้าสีทอง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นยังตั้งอยู่ที่เดิม ตู้โชว์ของสะสมก็ยังมีพี่น้องแจกันลายครามจากราชวงศ์ต่างๆ อวดสัดส่วนโค้งเว้าเรียงราย หากเทียบจากในความทรงจำ เหมือนจะมีมาเพิ่มแค่เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

“แล้วจะให้เฮียพาเพื่อนมาที่บ้านได้ยังไง ป๊าหวงบ้านขนาดนี้” ชายหนุ่มกล่าวถึงเจ้าของบ้านที่แท้จริงซึ่งอายุเจียนจะหกสิบอยู่แล้ว แต่ยังออกไปทำงานแต่เช้าเป็นกิจวัตรอยู่ทุกวัน

“ป๊าเคยบอกกับพวกเราว่าภูมิใจกับบ้านหลังนี้มาก ข้าวของทุกชิ้นมาจากหยาดเหงื่อแรงกายของป๊าทั้งนั้น กว่าจะเป็นอย่างที่พวกเราเห็นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจ บิดาบุญธรรมของเธอเริ่มต้นทุกอย่างจากศูนย์ ไม่แปลกที่เขาจะรักบ้านหลังนี้

“อืม...สมแล้วที่เป็นลูกสาวป๊า ฮ่าๆๆ”

“ถูกต้องค่ะ เฮียนั่นแหละที่ถูกเก็บมาเลี้ยง” เฉินเฟยเฟิ่งหัวเราะคิกคักกับพี่ชายต่างสายเลือด ก่อนที่เขาจะลากกระเป๋าพาเธอมายังห้องนอนของตัวเธอเอง

แกร๊ก

ทันทีที่เปิดประตู ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพลันเบิกกว้างอีกรอบ หญิงสาวกวาดมองภายในห้องอย่างตื่นตะลึง นอกจากสีผ้าม่านและชุดผ้าปูที่นอนที่เปลี่ยนไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น ข้าวของทุกอย่างก็อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ เธอสามารถเดินหลับตาภายในห้องที่ไม่ได้กลับมาเป็นสิบปีได้ด้วยซ้ำ

“หม่าม้าสั่งให้คนเก็บข้าวของในห้องให้เหมือนเดิม บอกว่ารอตัวเล็กกลับมาจัดการเอง” ชายหนุ่มบอกแก่คนข้างกายที่ทำสีหน้าตื่นตะลึงของ ก่อนจะดันแผ่นหลังเล็กให้เธอเข้าไปข้างใน

“ตอนแรกทุกคนคิดว่าตัวเล็กคงตัดสินใจแบบอารมณ์ชั่ววูบไปอยู่ที่นั่นแค่ไม่กี่เดือน ใครจะเชื่อว่าจะลากยาวมาจนป่านนี้”

“คิดถึงหม่าม้าจัง ตัวเล็กไปหาหม่าม้าก่อนดีกว่า” หญิงสาวแข็งขืน หมุนกายจะเดินไปอีกทาง แต่จนแล้วจนรอดก็ถูกคนสูงกว่าล็อกคอลากเข้าไปในห้องจนได้

“หม่าม้าออกไปข้างนอกยังไม่กลับ ระหว่างรอก็พักผ่อนก่อนเถอะ ตอนเย็นเฮียค่อยให้คนมาตามไปกินข้าว เอ๊ะ! หรือจะออกไปหาป๊าที่บริษัทดี เดี๋ยวเฮียขับรถไปส่ง” ผู้เป็นพี่ชายแสร้งถามด้วยสีหน้าใสซื่อ ถึงแม้เขาพอจะคาดเดาคำตอบได้อยู่แล้วก็เถอะ

“ตัวเล็กรอป๊าม้าอยู่ที่นี่ดีกว่า ว่าแล้วก็อยากนอนสักงีบเหมือนกันค่ะ ปวดเนื้อปวดตัวไปหมดแล้ว” ผู้ถูกถามรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน และยกมือปิดปากหาวหวอดๆ เป็นการยืนยัน อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากพักขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

เฉินเฟยหลิงหลุดขำและเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู ก่อนจะถอยออกมาเพื่อให้คนที่เหนื่อยจากการเดินทางได้พักผ่อน

“งั้นก็อย่านอนเยอะล่ะ เดี๋ยวจะยิ่งปรับเวลาไม่ได้เข้าไปใหญ่”

 

เฉินเฟยเฟิ่งไม่ได้กระโดดขึ้นเตียงในทันที แต่เลือกที่จะสำรวจนั่นนี่ภายในห้อง

สิบปีที่แล้วหลังจากที่เธอไม่อาจฝืนทนกับ ‘เรื่องนั้น’ และขออนุญาตบิดามารดาบุญธรรมเรียบร้อย วันต่อมาเธอก็ตัดสินใจบินไปเรียนต่อที่อเมริกาทันที ข้าวของอะไรที่ไม่จำเป็นล้วนแล้วแต่ถูกทิ้งไว้ที่นี่ทั้งหมด แต่ข้าวของพวกนี้กลับยังอยู่ในที่เดิมของมัน ในตู้เสื้อผ้ายังมีชุดนักเรียนของเธอแขวนอยู่ครบทุกตัวเลยด้วยซ้ำ

ขวับ!

ที่มุมห้องมี ‘ของ’ หนึ่งสิ่งถูกผ้าขาวคลุมไว้ ผ้าเรียบลื่นค่อยๆ หล่นไปกองบนพื้นเมื่อถูกเจ้าของดึงออก เปียโนไม้สภาพเก่าผุพังเกินเยียวยาพลันปรากฏสู่สายตา ร่างเล็กเหยียดหลังตรงยืนนิ่งงันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะยกมือบางขึ้นลูบไล้ไปตามผิวไม้เย็นเฉียบ รอยแตก รอยบิ่น รอยถลอกนับสิบยังคงเด่นชัดเหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ไม่ต่างอะไรกับความฝันในวัยเด็กที่พังพินาศไม่มีชิ้นดี แววตาแห่งความสุขเมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความเศร้าหมองทันใด

คนเราจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกับการทำให้แผลสดตกสะเก็ด...สิบปีก็ยังไม่นานพอหรอกเหรอ

พึ่บ!

หญิงสาวไม่เสียเวลากับของที่พังไปแล้วนานไปกว่านั้น ย่อตัวลงเก็บผ้าขึ้นมาคลุมเครื่องดนตรีชิ้นใหญ่ดังเดิม

ร่างบางเดินไปหยุดที่ตู้ไม้ขนาดสูงกว่าตัวและเปิดออกสำรวจภายใน มีกล่องกระดาษหลายขนาดวางซ้อนเรียงกันเป็นตั้งๆ เธอเลือกยกกล่องใบที่อยู่บนสุดออกมา ของจิปาถะส่วนใหญ่ยังอยู่ครบเหมือนเดิม แต่ไม่อาจดึงความสนใจของเธอไปมากกว่าอัลบัมรูปถ่ายสีซีด เธอจึงหอบของทั้งหมดและย้ายร่างกลับมาที่เตียง

เมื่อเปิดอัลบัมภาพหน้าแรกสุดก็พบรูปเด็กหนุ่มร่างสูงสองคนยืนขนาบข้างกอดคอเด็กหญิงตัวเล็กที่อยู่ตรงกลาง เด็กหญิงที่ว่าสูงเพียงแค่อกของพวกเขาเท่านั้น ทั้งสามสวมเครื่องแบบนักเรียนสีน้ำเงินแบบเดียวกัน ยิ้มแย้มจนหางตาทั้งสามคู่โค้งลงเหมือนกัน ต่อให้วันเวลาผ่านมานานขนาดนี้ แต่เธอยังสัมผัสถึงความสุขจากรูปถ่ายได้อยู่เลย

เธอเปิดหน้าถัดไป เป็นรูปถ่ายเด็กหญิงผมหน้าม้านั่งเล่นเปียโนคู่กับหนึ่งในเด็กหนุ่มจากภาพถ่ายแรก เขาก้มหน้าต่ำเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจปิดบังแววตาตั้งอกตั้งใจที่จดจ่ออยู่บนคีย์บอร์ดสีขาวดำ

ทำไมเธอจะจำไม่ได้...ลูกศิษย์คนเดียวในชีวิต

นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ ‘เขา’ ยอมเล่นเปียโนคู่กับเธอ โดยที่เธอไม่ต้องบีบน้ำตาบังคับ มุมปากแดงเรื่อพลันยกขึ้นเล็กน้อย เธอในตอนนั้นเคยหลงเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะคงอยู่ตลอดไป แต่เมื่อหลายสิบฤดูผันผ่านไปตามกาลเวลา เธอก็เรียนรู้ได้เองว่าตลอดไปมันไม่มีจริง

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูปลุกเจ้าของห้องออกจากภวังค์ หญิงสาวจึงรีบเก็บของในมือและดันกล่องเก็บของไว้ใต้เตียงอย่างลวกๆ ร่างบางยืนหลังตรงและสูดหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากมั่นใจว่าสีหน้ากลับมาเป็นปกติเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยเดินไปเปิดประตูต้อนรับผู้มาใหม่

“หม่าม้า!” ทันทีที่เห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร เสียงแหลมก็เกือบจะกลายเป็นหวีดร้อง เฉินเฟยเฟิ่งพลันโผเข้าซุกอ้อมกอดของมารดาบุญธรรมด้วยความตกใจระคนดีใจ

“ไหนเฮียบอกว่าหม่าม้าไม่อยู่บ้าน! หนูคิดถึงหม่าม้าที่สุดในโลกเลยค่ะ”

“หม่าม้าเพิ่งกลับมาเมื่อกี้เอง ได้ยินคนข้างล่างคุยกันว่า ‘คุณหนูเล็ก’ กลับมาถึงบ้านแล้ว หม่าม้าก็เลยรีบขึ้นมาหา ไหน! ให้หม่าม้าดูหน้าให้ชัดๆ หน่อย ผอมลงตรงไหนรึเปล่า” เฉินฮุ่ยก็ดีใจไม่ต่างกัน รีบผละออกสำรวจร่างเล็กที่ดูเหมือนจะผอมแห้งยิ่งกว่าตอนที่เจอกันในงานรับปริญญาเมื่อสองปีที่แล้ว

“อาเฟิ่ง! รอบก่อนที่เจอกันหม่าม้าบอกให้เรากินเยอะๆ แต่ทำไมถึงเหลือแต่กระดูกแบบนี้”

“จะไปร้านอาหารที่ไหนก็ไม่เห็นจะอร่อยเหมือนหม่าม้าทำสักนิด ครัวของหม่าม้าอร่อยที่สุดในโลกแล้วค่ะ” หญิงสาวเบะปากคล้ายเด็กกำลังร้องไห้ คิ้วย่นเข้าหากันดูน่าสงสารเหลือทนเมื่อเห็นปฏิกิริยาราวกับใจสลายมารดา เธอพลันรีบดึงสีหน้าให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแทบไม่ทัน ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี...อีกฝ่ายไม่เคยทนลูกอ้อนเช่นนี้ได้เลย

“อย่ามาพูดให้คนแก่ดีใจเลย ถ้าหม่าม้าทำอาหารอร่อยจริง เราคงไม่รอจนถึงสิบปีแล้วค่อยกลับมาหาหม่าม้าหรอก” ดวงตาอ่อนโยนเป็นนิตย์ของเฉินฮุ่ยมีน้ำคลอขัง มือขาวผ่องทั้งสองลูบเนื้อตัวของคนตรงหน้าไปมา ทั้งคิดถึงและอาทรปะปนกันไปหมด แม้จะผ่านไปหลายปี แต่เฉินเฟยเฟิ่งยังคงเป็นเด็กในสายตาของเธอเสมอ ดังนั้นจึงดึงร่างบางเข้ามากอดแน่นอีกรอบเหมือนอย่างที่เคยทำตอนที่อีกฝ่ายยังสูงเท่าเอว

“โธ่ หม่าม้าขา หนูงานยุ่งนี่นา ไม่อย่างนั้นหนูคงกลับมาเร็วกว่านี้” เฉินเฟยเฟิ่งรีบประคองมารดาเข้ามาในห้อง สองหญิงต่างวัยนั่งจับมือกันที่โซฟาผ้าไหมปักสีขาว

“อาหลิงชวนหม่าม้าไปหาเราที่นั่นหลายรอบ จนใจที่หม่าม้าแก่แล้ว เดินทางไกลทีไรไม่ปวดขาก็ปวดหลังตลอด ส่วนป๊าเราก็งานยุ่ง ทั้งงานราษฎร์งานหลวงเยอะแยะไปหมด เราไม่น้อยใจป๊ากับหม่าม้าใช่ไหม” เฉินฮุ่ยถอนหายใจ แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจทำหน้าที่ ‘แม่’ ได้อย่างเต็มที่

“หม่าม้า...อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ทั้งหมดเป็นความผิดของหนูเอง หนูควรจะกลับมาที่นี่บ่อยๆ ไม่ใช่ให้ป๊ากับหม่าม้าลำบากลำบนเดินทางไปหา หม่าม้าอย่าโกรธหนูเลยนะคะ ต่อไปหนูจะไม่หายหน้าไปนานๆ แบบนี้อีกแล้ว หนูขอโทษนะคะ” หญิงสาวดึงมือนุ่มขึ้นมาหอมหลายที ก่อนจะทอดมองใบหน้าอ่อนโยนที่แซมไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยด้วยความคิดถึง ต่อให้เทคโนโลยีจะล้ำสมัยเพียงใด แต่มองผ่านกล้องมีหรือจะสู้มองตัวจริงที่อยู่ตรงหน้าได้

“อาเฟิ่ง ย้ายกลับมาอยู่ด้วยกันที่นี่ดีไหม งานที่อเมริกาก็ให้คนอื่นทำแทนไป คนของป๊าอยู่ที่นั่นเยอะแยะ ถ้าขาดเราไปสักคนแล้วจะทำงานไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป ป๊ากับหม่าม้าก็แก่ตัวขึ้นทุกวัน อาหลงก็ทำแต่งาน อาหลิงก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน คนแก่สองคนเริ่มเฉาเป็นไม้โรยราแล้ว” เฉินฮุ่ยเอ่ยถามพลางลูบแก้มเนียนใสด้วยความรักใคร่

“หม่าม้า...หนูรักการทำงานจริงๆ นะคะ หนูอยากช่วยป๊าเยอะๆ ทุกวันนี้หนูเก่งแล้วน้า ปีก่อนหนูก็ได้ขึ้นปกแมกาซีน Business World ป๊าชมหนูใหญ่เลยว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ หม่าม้าไม่ภูมิใจในตัวหนูเหรอคะ” ผู้ถูกถามตอบเฉไฉ เธอย่อมไม่กล้าปฏิเสธแววตาคาดหวังของคนที่เธอรักอย่างตรงไปตรงมาแน่นอน

“หม่าม้าภูมิใจในตัวอาเฟิ่งเสมอ ตั้งแต่เล็กจนโต เราไม่เคยทำให้ป๊ากับหม่าม้าต้องกลุ้มใจสักครั้ง ไม่เหมือน...เฮ้อ” หญิงวัยกลางคนถอนหายใจ ก่อนจะกุมมือเล็กและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง

“อาเฟิ่ง หม่าม้ามีเรื่องจะถาม”

“มีอะไรเหรอคะ”

“เรา...หายโกรธ ‘อาหลง’ เขาหรือยังลูก” สีหน้าของผู้ถามเต็มไปด้วยความวิตกกังวล หากไม่จำเป็น เธอก็ไม่อยากแตะต้องประเด็นอ่อนไหวนี้

“โธ่ หม่าม้าขา! หนูอายุยี่สิบห้าแล้วนะคะ ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เรื่องมันผ่านมาตั้งเป็นสิบปี หนูจะไปโกรธอาหลงนานขนาดนั้นได้ยังไง พวกเราโตมาด้วยกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องรักและสามัคคีกันอย่างที่ป๊ากับหม่าม้าสอนถึงจะถูก” กล่าวเสียงหวานไหลลื่นปนออดอ้อนเช่นทุกครั้ง แววตากลับมาใสซื่อราวกับเด็กหญิงอายุสิบห้า

ภายใต้กิริยานุ่มนวล ใครจะรู้ถึงความนึกคิดข้างในจิตใจ ต้องขอบคุณมือขวาของบิดาที่สอนบทเรียนการทำธุรกิจกับพวกเขี้ยวลากดินที่อเมริกา เธอสามารถซ่อนความรู้สึกได้อย่างเรียบร้อยหมดจดตั้งแต่อายุยังไม่ทันขึ้นเลขสองด้วยซ้ำ

“เด็กดีของหม่าม้า มาให้หม่าม้าหอมแก้มให้ชื่นใจหน่อย” เฉินฮุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ภาพที่อีกฝ่ายอ้อนวอนทั้งน้ำตานองหน้าเมื่อสิบปีที่แล้วยังติดตา หากเธออายุเท่ากันกับเฉินเฟยเฟิ่งในตอนนั้น...บอกได้คำเดียวว่าคงต้องมีใครสักคนตายกันไปข้าง

แต่ก็นั่นละ...คนเราไม่ได้แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน หลายสิบปีผ่านไปเธอเรียนรู้ว่าการประคองชีวิตให้มีความสุขไม่อาจใช้เพียงความมุทะลุดุดัน แต่บางครั้งก็ยังต้องใช้ความนิ่งสงบร่วมด้วย

“หนูตัวเหม็นจะตาย ไม่ได้อาบน้ำมาจะวันแล้วค่ะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคักและบิดตัวหลบราวกับกังวลว่าเชื้อโรคจะกระเด็นเปื้อนคนที่เข้ามาใกล้

“ไปๆ รีบไปอาบน้ำได้แล้ว จะได้สบายเนื้อสบายตัว เดี๋ยวหม่าม้าไปสั่งให้คนยกของว่างมาให้”

“ขอบคุณนะคะ หนูคิดถึงหม่าม้าจัง คิดถึงหม่าม้าที่สุดในโลก” เธอหอมมือนุ่มอีกรอบ ก่อนจะวิ่งไปกอดอดีตพี่เลี้ยงที่ยืนรออยู่หน้าประตู

“หนูคิดถึงป้าหลิวด้วยค่ะ”

หญิงต่างวัยยิ้มแย้มให้กันและกัน ไม่นานร่างเล็กก็หายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว โดยมีสายตาอ่อนโยนของผู้เป็นมารดามองตามไม่ห่าง

 

“เด็กนี่! ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ” เฉินฮุ่ยทั้งขำทั้งเอ็นดู มีลูกชายย่อมดี แต่การมีลูกสาวสักคนย่อมกระชุ่มกระชวยหัวใจไปอีกแบบ พลันนึกอยากให้ ‘สัญญาหมั้นหมาย’ ที่ยืดเยื้อมานานเป็นจริงสักที จะได้รวมกันเป็นครอบครัวโดยสมบูรณ์ บ้านเงียบเหงาที่มีแต่ตาเฒ่าและยายเฒ่าจะได้ครึกครื้นขึ้นมาบ้าง

“คุณหนูเล็กสวยน่ารักขนาดนี้ ดีกว่าผู้หญิงมากจริตที่เกาะแกะคุณหนูใหญ่อีกค่ะ” หัวหน้าแม่บ้านหลิวเดินเข้ามาในห้องพลางซับน้ำตาด้วยความตื้นตัน เพียงแค่คุณหนูเล็กย่างเท้าเข้ามาในบ้าน บรรยากาศโดยรอบก็ดูสดใสขึ้นมาทันใด

“ชู่! ป้าหลิว อย่าให้อาเฟิ่งได้ยินเรื่องนี้เชียว อีกอย่างอย่าได้เอาผู้หญิงพรรค์นั้นมาเทียบกับลูกสาวที่ฉันเลี้ยงมาเองกับมือ ทั่วทั้งฮ่องกงนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าอาหลงมีคู่หมั้นคู่หมายที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้ ผู้หญิงคนนั้นยังกล้ามาเกาะติดอาหลงอยู่ได้ คนดีๆ ที่ไหนเขาทำกัน”

เฉินเฟยเฟิ่ง หรือชื่อในอดีต ‘เฉวียนเฟิ่ง’ อยู่ในฐานะคู่หมั้นของ ‘เฉินเฟยหลง’ ทายาทคนโตของตระกูล ที่เธอและสามีประกาศทั่วฮ่องกงตั้งแต่วันแรกที่รับเด็กหญิงผู้นี้เข้าบ้าน และตอนนั้นเธอได้ประกาศชัดเจนกับทุกคนไปแล้ว

‘ไม่ว่าในอนาคตอะไรจะเกิดขึ้น...เจ้าสาวของเฉินเฟยหลงคือเฉวียนเฟิ่งไม่อาจแปรเปลี่ยน งานแต่งงานระหว่างสองคนนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน’

แม้ในตอนหลังเฉวียนเฟิ่งจะกลายมาเป็นหนึ่งในคนของตระกูลเฉินเพราะง่ายกว่าในการทำธุรกรรมต่างๆ แต่สถานะที่มีมาแต่แรกก็ไม่ได้เปลี่ยนไป และตัวของเด็กทั้งสองเองก็เข้าใจเรื่องนี้มาโดยตลอด

แต่ไหนแต่ไรมาเฉินเฟยเฟิ่งเป็นเด็กอ่อนโยน ฉลาดเฉลียว ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังเป็นที่หนึ่ง พูดได้ว่าได้ดั่งใจไปซะทุกเรื่อง ต่อให้ไม่ใช่บุตรที่คลอดมาเองแล้วอย่างไร ใครจะอดใจไม่รักเด็กคนนี้ได้ เพราะเหตุนี้ต่อให้ทุกคนรับรู้ว่าเฉินเฟยเฟิ่ง ‘เคย’ อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่จะมีใครหน้าไหนในฮ่องกงกล้าไม่ให้เกียรติเฉินเฟยเฟิ่ง

“อาหลงนะอาหลง เห็นกงจักรเป็นดอกบัวแท้ๆ” เฉินฮุ่ยรำพัน เมื่อนึกถึงบุตรชายตัวดีพลันต้องโมโหขึ้นมาอีกรอบ หัวหน้าแม่บ้านหลิวถึงกับต้องรีบพัดวีแก้วิงเวียนให้ยกใหญ่

“ใจเย็นๆ นะคะนายหญิง ถึงยังไงคุณหนูเล็กก็กลับมาแล้ว หลังจากนี้เรื่องทุกอย่างจะต้องคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ”

“ป้าหลิวโทร. ไปย้ำกับอาหลงอีกสักรอบ บอกไปว่าถ้าไม่กลับบ้านวันนี้ ฉันจะให้คนขนข้าวของตามไปส่งให้ถึงที่ แล้วต่อไปก็ไม่ต้องกลับมาที่บ้านหลังนี้อีก ถ้าคิดว่าฉันไม่กล้าก็ลองดู!” นายหญิงใหญ่ของบ้านสั่งเสียงแข็ง คราวนี้จะไม่ยอมให้บุตรชายทำตัวเหลวไหลอีกต่อไป

“รับทราบค่ะนายหญิง”

...

ซู่ ซู่ ซู่

เบื้องหลังประตูห้องน้ำมีร่างเล็กยืนพิงอยู่ แม้จะมีเสียงเปิดน้ำรบกวน แต่ผู้เป็นเจ้าของห้องก็ยังได้ยินบทสนทนาตั้งแต่ต้นจนจบ ดวงตาหงส์เรียวยาวหลุบลงมองพื้นกระเบื้องอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะถอนหายใจด้วยความชินชา ใบหน้าละมุนละไมแทบจะเรียกได้ว่าไร้อารมณ์ และคลี่ยิ้มที่เกือบจะเรียกได้ว่า ‘ไม่ไยดี’

 

หย่งคังกรุ๊ป ทาวเวอร์

‘หย่งคังกรุ๊ป’ คือกลุ่มบริษัทรักษาความปลอดภัยระดับโลกที่ดำเนินกิจการมากว่าสามสิบห้าปี ก่อตั้งโดย ‘เฉินชุน’ ฉายามังกรตะวันออก เฉินชุนเริ่มธุรกิจจากร้านรวมแรงงานเล็กๆ ที่มีชื่อว่า ‘หย่งคัง’ ในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน หากใคร

ต้องการแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นจับกัง คนส่งของ หรือแม้กระทั่งผู้คุ้มครองมือฝีมือ ที่แห่งนี้จัดหาให้ได้ทั้งหมด ไม่กี่ปีหลังจากนั้น ‘หย่งคัง’ ได้จดทะเบียนเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยในชื่อ ‘หย่งคังกรุ๊ป’ และขยายสาขาทั้งในเอเชียและอเมริกาเหนือ

ธุรกิจหลักของหย่งคังกรุ๊ปคือการจัดหาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมากฝีมือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับพื้นฐานของหย่งคังกรุ๊ปนอกจากได้รับการฝึกฝนฝีมือมาเป็นอย่างดี ยังซื่อสัตย์และทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง หรือหากผู้ว่าจ้างต้องการความสามารถพิเศษขนาดไหน หย่งคังกรุ๊ปก็หามาให้ได้ทั้งนั้น แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ ‘ถูกกฎหมาย’ และ ‘ไว้ใจได้’ คงไม่เกินจริงหากจะกล่าวว่าบริษัทที่มีชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งผู้ทรงอิทธิพลแนวหน้าส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็น ‘คู่ค้า’ กับหย่งคังกรุ๊ปจนถึงปัจจุบัน

‘เฉินเฟยหลง’ หรือ ‘ลีออน เฉิน’ ประธานกรรมการบริหาร หรือซีอีโอคนปัจจุบันของหย่งคังกรุ๊ปกำลังนั่งขมวดคิ้วอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ใบหน้าตึงเครียดยิ่งกว่าการยื่นข้อเสนอเจรจาธุรกิจหลายสิบเท่าเมื่อนึกถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายไปเมื่อครู่ รอยลึกบนหัวคิ้วก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก

‘เฉินเฟยเฟิ่ง’

สิบปีมานี้...เขาได้ยินชื่อนี้เป็นพันครั้งหมื่นครั้ง และทุกครั้งก็คิดเพียงว่าคำสามพยางค์คงผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่เคยนึกถึงวันที่ต้องกลับไปเจอหน้าเจ้าของชื่อมาก่อน

หลายครั้งที่เฉินเฟยหลิงผู้เป็นน้องชายมักจะเอาภาพถ่ายที่นิวยอร์กมาอวด แต่เขาก็เลี่ยงที่จะดูมาโดยตลอด เขาเคยคิดว่าหากทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะลืมความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเด็กคนนั้นไปเอง จริงอยู่ที่เขาไม่รู้ว่าปัจจุบันหน้าตาของเด็กคนนั้นเป็นอย่างไร เติบโตขึ้นมาเป็นเช่นไรบ้าง แต่ภาพเด็กหญิงผมหน้าม้าผู้มีไฝเม็ดเล็กประดับที่หางตาข้างขวากลับยังคงชัดเจนไม่เปลี่ยน เขาจำได้แม้กระทั่งน้ำเสียงของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่เคยหายไปไหน

‘อาหลง’

เมื่อเห็นท่าทางเหม่อลอยของเจ้านาย เลขาฯ สาวที่เข้ามาวางเอกสารถึงกับไม่กล้าส่งเสียงรบกวน รีบวางแฟ้มหนักลงบนโต๊ะอย่างเบามือ และย่องออกมาด้วยฝีเท้าเงียบกริบที่สุด แต่ยังไม่ถึงไหนกลับมีคนเปิดประตูพรวดเข้ามาเสียก่อน

“ลีออนคะ วันนี้เราจะไปดินเนอร์ที่ไหนกันดี”

‘จางฉี’ หรือ ‘เอลล่า จาง’ ดาราสาวชื่อดังเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มหวานหยดย้อย ร่างผอมเพรียวในเดรสลูกไม้สั้นสีขาวดูน่าทะนุถนอมเข้ากันได้ดีกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มเป็นประกาย ภาพลักษณ์บริสุทธิ์ไร้เดียงสาครองใจชายหนุ่มทั่วทั้งฮ่องกงมาตั้งแต่เข้าวงการ ต่อให้มีข่าวลือสนิทสนมเกินเพื่อนกับทายาทคนโตของหย่งคังกรุ๊ปมาหลายปี แต่ตำแหน่ง ‘นางฟ้าผู้อ่อนหวาน’ ก็ไม่เคยสั่นคลอน

“เอ่อ สวัสดีค่ะคุณเอลล่า” เลขาฯ เจียงทักทายดาราสาวที่เห็นหน้าค่าตากันเกือบทุกวัน ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับก็รีบก้าวเท้ายาวๆ ออกไปจากห้องอย่างรู้หน้าที่

“เอลล่า” เฉินเฟยหลงพลันได้สติ คิ้วเข้มพาดเฉียงที่ขมวดหากันเมื่อครู่คลายออกจากกันทันทีที่เห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร เขารีบปรับสีหน้ากลับมานิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ยังช้าไปกว่าสายตาของอีกฝ่าย

“งานยุ่งเหรอคะ เอลล่าบอกแล้วไงคะว่าอย่าเครียดมาก เห็นคุณเครียด เอลล่าก็พลอยเครียดไปด้วย มาค่ะ เดี๋ยวเอลล่านวดขมับให้”

“มานี่สิ” ชายหนุ่มหลุดขำเล็กน้อย มือหนาตบตักเป็นการเชิญชวน

เขาแค่ต้องการอะไรบางอย่างที่จะทำให้ไม่เสียสมาธิ...

“หืม? เป็นอะไรไปคะวันนี้” เจ้าของชื่อไม่ปฏิเสธ นำพาร่างผอมเพรียวของตนไปนั่งซบอย่างที่เคยทำ

“วันนี้ผมต้องกลับบ้าน คงไปดินเนอร์กับคุณไม่ได้แล้ว”

“ลีออนคะ เรื่องแค่นี้เอง ไม่เห็นต้องทำหน้าเครียดเลยค่ะ คุณกลับไปดินเนอร์กับครอบครัวเถอะ ที่บ้านคงคิดถึงคุณ” หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ สมฉายานางฟ้าผู้อ่อนหวานเป็นอย่างยิ่ง

“หรือว่าคุณอยากให้เอลล่าไปด้วย งั้นเราไปเลือกขนมกลับไปฝากป๊าม้าของคุณดีไหมคะ เพื่อนในวงการเพิ่งแนะนำร้านเปิดใหม่มาเอง ป๊าม้าของคุณอาจจะชอบ”

“น้องสาวของผมเพิ่งกลับมาถึงฮ่องกงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน”

คำว่า ‘น้องสาว’ ทำเอาใบหน้าสวยหยาดเยิ้มเปลี่ยนสีในทันใด มือที่กำลังลูบไล้แผงอกแข็งแรงพลันหยุดชะงักไปด้วย แต่เมื่อรู้ตัวว่าแสดงออกมากไปจึงรีบปรับกลับมาเป็นอย่างเดิมด้วยความร้อนรน

“มะ...หมายถึงเลลาห์เหรอคะ” ถึงจะเป็นดารานักแสดง แต่เธอก็ไม่ได้ตีบทแตกถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะเมื่อความตกใจเมื่อครู่เป็นสิ่งเหนือความคาดหมายที่เกิดขึ้นจริง

เฉินเฟยหลงพยักหน้าแทนคำตอบ ซ่อนแววตาหนักใจไว้ให้ลึกที่สุด

“งั้นคุณไปเถอะค่ะ เลลาห์คงไม่อยากจะเจอหน้าเอลล่าเท่าไรหรอก” เธอรีบปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าไม่กล้าเจอหน้าเด็กคนนั้น แต่...เธอยังไม่พร้อม ยัง...ยังไม่ใช่ตอนนี้

“ถ้าผมคุยกับเลลาห์ถึงเรื่อง...” ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้พูดคำว่า ‘ระหว่างเรา’ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของผู้ฟังพลันเบิกกว้าง รีบชิงเอ่ยเสียงหวานตัดพ้อปนน้อยใจขึ้นเสียก่อน

“คุณจะคุยอะไรก็คุยไปเถอะค่ะ ยังไงก็ ‘คู่หมั้น’ ของคุณนี่คะ เขาทำอะไรก็ไม่เคยผิดอยู่แล้ว จะ ‘ทำร้าย’ ใครก็ไม่มีใครโกรธเขาลงหรอกค่ะ ขนาดเอลล่ายังเลือกที่จะให้อภัยเขาเลย” เธอเน้นย้ำบางคำ จงใจใช้มือข้างซ้ายที่ยังเหลือรอยแผลเป็นจางๆ บนหลังมือเกลี่ยหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอขึ้นมากะทันหัน

“เอลล่า” เมื่อเห็นปฏิกิริยาที่ว่า แววตาที่ทอดมองร่างในอ้อมแขนจึงฉายความสงสารอย่างที่เคยเป็น เขาไม่รู้ว่านี่เป็นผลกระทบจากเรื่องในอดีตหรือเป็นเพราะบาดแผลตรงหน้ากันแน่ ดังนั้นแม้แต่เสียงอธิบายยังอ่อนลงไปด้วย

“ผมบอกคุณกี่ครั้งแล้วว่า ‘คู่หมั้น’ มันก็แค่สถานะ” ชายหนุ่มหลุบตาซ่อนแววตาขณะที่พูด แต่เพราะปกติเขาไม่ค่อยแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้ามากมายนัก ปฏิกิริยาดังกล่าวจึงไม่เป็นที่สงสัย

“แล้วเอลล่าล่ะคะ เอลล่าเป็นแค่สถานะแก้เบื่อระหว่างที่คุณรอแต่งงานกับคู่หมั้นรึเปล่า”

“ในเมื่อคุณทำเพื่อผมมามากแล้ว รออีกหน่อยนะ ผมจะจัดการเรื่องของเราให้ถูกต้อง”

“เอลล่าไม่ได้อยากเร่งเร้าคุณ เอลล่าแค่อยากมีสิทธิ์ดูแลคุณโดยที่ไม่ต้องมากังวลกับสายตาคนอื่นว่าใครจะมองยังไง เอลล่าไม่อยากหลบซ่อน เอลล่าอยากให้ทุกคนรู้ว่าเรารักกันมากแค่ไหน” เมื่อเห็นท่าทีดังกล่าว รอยยิ้มหวานจึงปรากฏบนริมฝีปากสีชมพูอ่อน ก่อนที่เธอจะโน้มตัวเข้าไปจูบปลายคางของแฟนหนุ่มแผ่วเบา

เฉินเฟยหลงเชยคางมนและจุมพิตริมฝีปากเย้ายวนเบื้องหน้า อีกฝ่ายก็ตอบสนองด้วยการบดเบียดร่างยั่วยวนถึงใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นมือหนาจึงอดไม่ได้ที่จะลูบไล้เอวคอด ลดต่ำลงไปตามแนวสะโพกกลมกลึงจนถึงต้นขาเรียว ตามด้วยปลายนิ้วหยาบกระด้างที่เลิกชายกระโปรงลูกไม้และค่อยๆ ไล่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่ทันได้จุดเพลิงร้อนแรงกลับถูกจับล็อกข้อมือแน่นเป็นเชิงห้ามปราม

“ยังไม่ใช่ตอนนี้ค่ะ เก็บไว้คราวหน้าที่เราเจอกันนะคะ วันนี้คุณต้องกลับบ้าน รีบไปเตรียมตัวเถอะค่ะ เอลล่าไม่อยากให้ครอบครัวของคุณเข้าใจผิดในตัวเอลล่าอีก” จางฉีพูดเสียงค่อย รอยยิ้มเย้ายวนเมื่อครู่หายไปในพริบตา ดูหม่นหมองอย่างเช่นทุกครั้งเมื่อพูดถึงประเด็นนี้

เฉินเฟยหลงมองสีหน้าเศร้าสลดของแฟนสาวด้วยความสงสาร หญิงสาวในอ้อมแขนพยายามพิสูจน์ตัวเองกับคนในครอบครัวเขามากมาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือ ‘ลงแรงเสียเปล่า’ ไม่ว่าจะทำอย่างไรทุกคนก็ไม่ยอมลดอคติเปิดใจรับจางฉีในฐานะ ‘คนที่เขาเลือก’ เมื่อนึกถึงความอยุติธรรมข้อนี้ก็ยิ่งเห็นใจคนตรงหน้ามากขึ้น

“ไม่ว่าจะนานแค่ไหนเอลล่าก็รอคุณได้ เอลล่ารักคุณนะคะ รักคุณแค่คนเดียว”

จางฉีซบศีรษะบนไหล่กว้าง ถูคลอเคลียราวกับลูกแมวต้องการที่พึ่ง เมื่อไม่เห็นสีหน้ากันและกันเช่นนี้ เธอจึงไม่จำเป็นต้องเก็บซ่อนแววตากังวลใจอีกต่อไป

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น