บทที่ ๕
หลงทาง
ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่กำลังพยายามช่วยชีวิตหญิงชราที่ถูกยิง แพทย์เวรสั่งบุรุษพยาบาลให้ปั๊มหัวใจตามจังหวะ แม้จะรู้ว่าไม่มีหวัง แต่เมื่อคำสั่งสายตรงมาจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลให้ดูแลผู้ป่วยรายนี้ให้เต็มที่ที่สุด พวกเขาจึงต้องทำ แม้สัญชาตญาณตามวิชาชีพจะรู้ว่าไม่ได้ผลแล้วก็ตาม
“หยุดเถอะครับ” แพทย์หนุ่มคนเดิมสั่ง เขาสูดหายใจลึกแล้วเดินออกไปจากห้องฉุกเฉิน
มาลัยทองนั่งข้างๆ ชวิน ชายหนุ่มดวงตาแดงก่ำและเหม่อลอย ไม่พูดจากับใคร แม้หลายครั้งเธอพยายามสอบถามว่าเขาต้องการอะไรเพิ่มเติมไหม แต่ก็ไร้การตอบรับจากหนุ่มช่างพูดคนเดิม ส่วนพลอยแก้วนั้นอาการไม่ต่างกันนัก เธอสะอื้นไห้และพร่ำโทษตัวเองว่าเป็นคนผิด เมื่อเพื่อนชายที่พูดคุยกันทุกวันผ่านทางโทรศัพท์กลายเป็นแก๊งโจรเรียกค่าไถ่
เมื่อประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก แพทย์เวรก็เดินตรงมาหาทั้งคู่ ชวินรีบลุกขึ้นและรอฟังผลจากปากแพทย์
“คุณดวงตาเสียเลือดเพราะกระสุนโดนอวัยวะสำคัญ ทำให้เธอเสียชีวิตระหว่างที่เดินทางมาถึง...”
“หยุด หมออย่าพูดแบบนี้” ชวินแทรกขึ้นมา นัยน์ตาสั่นระริก “อย่าบอกว่าคุณรักษาย่าผมไม่ได้ ผมมีเงินมากมายแค่ไหนคุณก็รู้ หน้าที่ของคุณคือทำยังไงก็ได้ให้ย่าของผมฟื้นขึ้นมา”
“คุณชวิน เราพยายามสุดความสามารถแล้ว”
“ยัง คุณยังทำไม่เต็มที่ ไม่งั้นย่าของผมก็ต้องหายสิ ไอ้หมอบ้า” ไม่พูดเปล่า เขายังผลักแพทย์หนุ่มจนตัวเซ เจ้าหน้าที่คนอื่นรีบเข้ามากันตัวทั้งสองให้แยกจากกัน
“กลับมาไอ้หมอ คุณต้องทำทุกทางให้ย่าผมตื่นขึ้นมาให้ได้ อยากได้อะไรผมหามาได้หมด ทำสิโว้ย มองหาพระแสงอะไรอีก ทำสิ” ชวินเสียงสั่น ก่อนจะค่อยๆ ทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง “ขอร้องละ อย่าให้ย่าผมตายไปอย่างนี้ ฮือๆ”
เสียงร้องไห้ของเศรษฐีหนุ่มดังระงมทั่วโถงโรงพยาบาล พลอยแก้วเดินเข้ามาประคองปลอบพร้อมกับหลั่งน้ำตาด้วยกัน
ที่ห้องเก็บศพ มาลัยทองมองพลอยแก้วหวีผมให้ย่าบุญธรรมด้วยความเศร้าโศก เธอขอโทษดวงตาซ้ำๆ ชวินกุมมือหญิงชราไว้ เขาบรรจงประทับรอยจูบสุดท้ายพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน
จูบ...ที่ดวงตาไม่มีวันได้รับรู้อีกต่อไป
“ตื่นขึ้นมาได้ไหมครับย่า ตื่นมาด่า ตื่นมาตบหน้าไอ้หลานเลวๆ คนนี้ก็ได้ หรือหากย่าต้องการสิ่งไหน อยากให้ผมทำอะไรผมก็ทำให้ทุกอย่าง”
ชวินพร่ำเสียงเบา มองมือเหี่ยวย่นที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่ยังเล็ก เพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่หรือ ทำให้เด็กชายที่พ่อแม่ไม่สนใจได้กลายเป็นผู้เป็นคน ได้มีอันจะกินจนถึงวันนี้ แต่ดูเอาเถิด เงินทองมากมายในเวลานี้กลับยื้อย่าให้จากเขาไปไม่ได้
มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ มาลัยทองหันไปมอง พบว่าเป็นหนุ่มร่างใหญ่ คุ้นๆ ว่าเป็นบอดีการ์ดของชวิน เขาตกใจไม่น้อยที่เห็นดวงตานอนนิ่งไร้วิญญาณ
“นายครับ” เอกลิขิตหน้าซีด เดินเข้ามาหาอย่างรู้สึกผิด
ชวินไม่พูดอะไร เขาลุกขึ้นยืนและเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าลูกน้องทันที
“ไปอยู่ที่ไหนมา ฉันโทร. ไปแกก็ไม่รับ ปล่อยให้ฉันต้องไปลุยกับไอ้พวกโจร และแกดู...ย่าฉันต้อง...”
ชวินส่ายหัว ก่อนจะระดมทั้งมือทั้งเท้าทำร้ายเอกลิขิต พลอยแก้วและมาลัยทองจึงรีบเข้าไปห้าม
“ผมขอโทษครับนาย ผมไม่นึกว่ามันจะเกิดเรื่องเลวร้ายแบบนี้ได้” บอดีการ์ดร้องไห้เสียใจไม่แพ้กัน
“มึงยังจะมาแก้ตัวอีกเหรอ” เขาปรี่จะทำร้ายต่อ พลอยแก้วจึงลากตัวเอกลิขิตออกไปก่อน
“ไปเลย ออกไป อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไอ้เอก ไอ้คนเฮงซวย”
เขาถอนหายใจแรงพร้อมกับนั่งกุมขมับด้วยความเครียด มาลัยทองเห็นเช่นนั้นจึงเดินเข้าไปใกล้และเอื้อมมือไปแตะแขนเขาเบาๆ เพื่อปลอบ
“ใจเย็นๆ”
แต่ชวินกลับไม่รับความปรารถนาดีนั้น เขาสะบัดแขน ลุกขึ้นมองเธออย่างเกรี้ยวกราด
“เพราะคุณนั่นแหละ ทำให้เรื่องทั้งหมดเป็นแบบนี้” เขาชี้หน้าราวกับเธอเป็นนางมารร้าย
“ดะ...เดี๋ยว ฉันเนี่ยนะ” หญิงสาวไม่เข้าใจ
“คุณมันตัวซวย ถ้าผมไม่มาเจอคุณ ไม่ออกมากินข้าวกับคุณ ย่าของผมก็คงไม่ต้องตาย คุณมันตัวกาลกิณี”
เผียะ!
มาลัยทองเหลืออด ตบหน้าเขาไปเต็มแรง อย่างน้อยคงเรียกสติชายหนุ่มกลับมาได้
“ฉันไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนขี้ขลาด ไร้ความเป็นสุภาพบุรุษเท่าคุณมาก่อน” หญิงสาวเอ่ยเสียงแข็ง “ต่อหน้าศพคุณย่าคุณแท้ๆ คุณก็ยังเที่ยวโทษคนโน้นคนนี้ว่าเป็นคนผิด ลองมองย้อนเรื่องที่เกิดขึ้นสิ มันเป็นเพราะคุณเองไม่ใช่เหรอคุณชวิน ที่เอาแต่ใจ คิดว่าทุกอย่างบนโลกเป็นไปอย่างใจตัวเอง พอไม่ถูกใจก็โวยวายยังกับเด็กอมมือ”
ชวินก้มหน้านิ่ง ไม่รู้จะตอบโต้มาลัยทองอย่างไร
“และเท่าที่ฟังจากพลอยแก้ว คุณเองนั่นแหละที่ดึงดันจะออกจากบ้าน ทั้งๆ ที่คุณย่าก็ห้ามไว้แล้ว คุณไม่ให้บอดีการ์ดตามไป หึ...เพราะคงนึกสนุกที่จะแกล้งฉันได้สะดวก และคุณยังไม่ฟังฉันที่บอกให้ใจเย็นๆ ตอนที่จะเข้าไปช่วยคุณย่า แล้วเป็นไงล่ะ คงมั่นใจว่าทุกคนต้องเกรงกลัวเงินของคุณ คุณย่าท่านต้องเอาตัวเข้าบังกระสุนเพราะความห่ามของคุณนั่นแหละ แต่พอคุณย่าท่านเสียก็เอาแต่โทษคนนั้นคนนี้ ไม่เป็นลูกผู้ชายเลย”
คำพูดดูถูกจากเธอทำให้เขาหันมามองหน้า “คุณว่าอะไรนะ”
“หึ...ฉันกำลังบอกว่าคุณไม่เป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีความเป็นผู้ชายเลย กะเทยบางคนที่ฉันรู้จักเขายังแมนกว่าคุณด้วยซ้ำ และจำเอาไว้ด้วย แม้ว่าคุณจะมีเงินทองมากมาย แต่ไม่ได้มีความกล้าหาญแม้เพียงครึ่งอย่างที่ชายชาตรีควรมี คุณมันคนขี้ขลาด”
หญิงสาวเอ่ยจบแล้วออกจากห้องไป ปล่อยให้ชายหนุ่มมองตามอย่างเคืองขุ่น แต่กลับเถียงเธอไม่ได้แม้แต่คำเดียว
พลอยแก้วแขวนรูปดวงตาไว้ในห้องพระอันเป็นห้องโปรดของหญิงชรา แช่มและอนงค์ยืนมองรูปแล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตาพร้อมกับสะอื้นไห้
“คุณท่านไปสบายแล้ว อย่าเสียใจไปเลยนะคะ” คนพูดเอ่ยทั้งที่ตัวเองน้ำตานอง พลอยแก้วเข้าไปกอด
“พลอยไม่น่า...”
“มันไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้นหรอกค่ะคุณพลอย ทุกอย่างมันเป็นไปตามกรรม” แช่มพยายามปลอบ
ตำรวจสืบคดีแล้ว จอห์นและเพื่อนกลุ่มที่เจอในเฟชบุ๊กสืบรู้มาว่าพลอยแก้วเป็นหลานสาวมหาเศรษฐี จึงหาทางจับตัวมาเรียกค่าไถ่อยู่นานแล้ว จอห์นใช้ความเป็นคนรูปหล่อเข้ามาตีสนิทเด็กสาวผ่านทางสังคมออนไลน์และโทรศัพท์พูดคุย จนสบโอกาสเมื่อรู้ว่าดวงตาและพลอยแก้วออกจากบ้าน พวกเขาจึงทำตามแผนอย่างเร่งรีบ
พลอยแก้วนิ่งอยู่นาน ก่อนจะหันมาถามถึงพี่ชาย
“นั่งดื่มอยู่ที่ระเบียงค่ะ”
เด็กสาวขยับตัว อนงค์รีบถามด้วยความเป็นห่วง “คุณพลอยจะไปไหนเหรอคะ”
“พลอยว่าจะไปดูพี่วินหน่อย เห็นว่าไม่กินข้าวกินปลามาหลายวันแล้ว”
“เอ่อ...พี่ว่าอย่าเพิ่งเลยค่ะ อารมณ์เธอยังไม่นิ่ง” สาวใช้เอ่ยตามที่ประสบ ตั้งแต่ดวงตาเสียชีวิตมาจนถึงวันฌาปนกิจวันนี้ ชวินราวกับถูกดูดวิญญาณ จากที่เคยเป็นหนุ่มอารมณ์ดี เจ้าสำราญ บัดนี้เก็บตัวเงียบไม่พูดไม่จา ใครที่อยู่ใกล้ก็เจอแต่อารมณ์เกรี้ยวกราด เอกลิขิตเข้าใกล้ได้ไม่เกินหนึ่งเมตรก็ถูกเขาด่าทอต่างๆ นานา แม้แต่แช่ม ชวินก็ไม่ยอมรับความห่วงใย
“ดูท่ากำลังนั่งดื่มด้วยนะคะ คุณพลอยอย่าเพิ่งไปรบกวนเลยค่ะ ฉันเกรงว่าคุณวินจะดุเอาได้” อนงค์รายงานต่อ วันนี้หลังจากเสร็จงาน ชวินก็เดินเข้าบ้านและสั่งให้เธอเตรียมเครื่องดื่มไปให้ที่ระเบียง อนงค์ทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เธอนำเครื่องดื่มไปให้ แต่เขาไม่หันมาพูดกับเธอสักคำ
“พลอยไม่กวนหรอก แค่อยากจะไปดูแค่นั้น กลัวว่าพี่วินจะคิดมาก”
เด็กสาวพูดแล้วเดินออกจากห้องไปยังระเบียงกว้าง พลันก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเอกลิขิตและบอดีการ์ดคนอื่นๆ ยืนคุมเข้มอยู่หน้าประตู
“พี่เอก มาทำอะไรกันเยอะแยะคะ”
ชายร่างใหญ่มีท่าทางอึดอัด “นายท่านเชิญเพื่อนมาร่วมดื่มด้วยน่ะครับ และสั่งให้พวกผมคอยกันไว้ไม่ให้ใครเข้าไปรบกวน”
พลอยแก้วพยักหน้าหงึกๆ “ก็ยังดีเนาะที่พี่วินคุยกับพี่เอกแล้ว”
“คุย แต่ก็เหมือนจะยังไม่หายโกรธดี แต่คุณพลอยครับ คุณท่านเพิ่งจะเสียไป มานั่งดื่มสังสรรค์ก็กระไรอยู่” เอกลิขิตไม่สบายใจ
“พี่วินคงเครียด ปล่อยแกไปเถอะค่ะ” พลอยแก้วเอ่ย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องของเธอ
ที่ระเบียงคฤหาสน์อันมีสระว่ายน้ำกว้าง บัดนี้ถูกเนรมิตเป็นปาร์ตีขนาดเล็ก เจ้าของบ้านหัวเราะเสียงดังอยู่บนโซฟา เมื่อนางแบบสาวระดับแนวหน้าของเมืองไทยรินไวน์ราคาแพงให้เขา เธอปรนเปรอเอาใจชายหนุ่มอย่างถึงที่สุด อย่างที่คนทั้งวงการไฮโซรู้ ระดับชวินชวนใครเข้ามาที่บ้าน อยากขออะไรก็ได้ทั้งนั้น
ที่นั่งขนาบอีกข้างเป็นดาราสาวเจ้าเสน่ห์ เธอถูกชวนให้มาปลอบใจชวินด้วยเช่นกัน ส่วนอีกสามคนที่กำลังนั่งยิ้มหวานก็ระดับพริตตีค่าตัวแพง
“ตามสบายเลยนะครับทุกคน อยากได้อะไรบอกผมยกเว้นหัวใจ เพราะต้องเอาอย่างอื่นมาแลก”
เขาเอ่ยคำหวานจนห้าสาวเอียงอาย อย่างน้อยชายหนุ่มก็ไม่ใช่ชายแก่พุงพลุ้ยที่คอยแทะโลมเอาเงินแลกตัณหา แต่ชวินมีทั้งรูปโฉมและวาจา แถมยังเป็นคนร่ำรวย ใครๆ ก็อยากได้เขาเป็นสามีทั้งนั้น เสียดายที่ไม่มีใครจับเขาได้เสียที
“แค่คุณวินชวนเรามาปาร์ตีที่คฤหาสน์พวกเราก็ถือว่าได้รับเกียรติมากแล้วค่ะ” หนึ่งในสามสาวพริตตีเอ่ย แต่นางแบบกับดาราสาวที่นั่งข้างๆ ชายหนุ่มกลับแบะปากใส่
แน่นอนสิยะ การได้มาปาร์ตีกับชวิน แม่สามสาวก็คงกลับบ้านไปเล่าให้เพื่อนฝูง และอัปราคาค่าตัวในตลาดค้าเนื้อสดได้อีกโข
“ดีครับ งั้นมาดื่มกัน” ชวินยกแก้ว สาวงามทั้งห้ายิ้มรับด้วยความชื่นมื่น
ในห้องนอนใหญ่ พลอยแก้วมองโทรศัพท์ของตัวเอง เกือบสัปดาห์แล้วที่เสียงจากคนคุ้นเคยเงียบหายไป จอห์นจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
สมควรแล้ว เขาเป็นคนเลวที่คนอย่างเธอไม่สมควรไปพูดคุยด้วยสักนิด นึกถึงคำที่ดวงตาพร่ำสอนว่าเลือกคบใครให้ดูกันไปนานๆ นี่ขนาดเธอติดต่อเขาผ่านสมาร์ตโฟนเท่านั้น เขายังหลอกลวงเธอได้ถึงเพียงนี้
หญิงสาวเบือนหน้าหนีจากโทรศัพท์แล้วปีนขึ้นเตียง ยกมือไหว้พระและแผ่เมตตาถึงผู้ล่วงลับ กิจวัตรที่ดวงตาเคยสอนให้ทำทุกครั้ง ไม่นึกว่าวันนี้เธอจะต้องแผ่บทสวดนั้นถึงดวงตาเอง
“กรี๊ดดด...”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น พลอยแก้วสะดุ้งโหยง เงี่ยหูฟังหาต้นเสียง มันมาจากระเบียง เธอไม่รอช้ารีบออกจากห้องนอน อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ประตูระเบียงเปิดออกท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย หญิงสาวห้าคนวิ่งสวนออกมาด้วยท่าทางร้อนรน
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” พลอยแก้วถามดาราสาวหน้าคุ้น
“คุณวินบ้าไปแล้ว เขาทำลายข้าวของและไล่พวกเรากลับ” เธอตอบแค่นั้นก็สะบัดหน้าจากไป
เด็กสาวรีบเข้าไปดูสถานการณ์ที่ระเบียง เอกลิขิตกำลังเข้าจับตัวให้ชวินนั่งนิ่งๆ โดยที่เจ้าตัวหัวเราะลั่น คนอื่นช่วยกันเก็บกวาดข้าวของที่กระจุยกระจาย
“เกิดอะไรขึ้นคะพี่วิน” เธอถามหน้าตาตื่น
ชวินยักไหล่ “ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่รู้สึกว่าปาร์ตีมันไม่สนุก ก็เลยอยากอยู่คนเดียวมากกว่า”
เด็กสาวมองหน้าเอกลิขิต เขาได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ
“แล้วข้าวของพวกนี้”
“ช่างมันเถอะยายพลอย เอก นายช่วยเก็บกวาดด้วยละกัน ฉันอยากไปนอนแล้ว” หนุ่มหล่อพูดและเดินโซเซไป เอกลิขิตจะเข้าไปประคองแต่เขาก็สะบัดตัวหนีและบอกว่าไม่ต้องการให้ใครมายุ่ง
เสียงฟ้าคำรามมาอีกแล้ว ลมพัดแรงจนพลอยแก้วต้องใช้มือปัดเส้นผมที่ปลิวปรกหน้า เธอเดินไปเรียกแช่มและอนงค์ให้มาช่วยเก็บกวาดข้าวของ
“เห็นคุณวินนั่งคนเดียวในห้องพระของคุณท่านค่ะ” แช่มรายงานหลังจากเดินผ่านแล้วเห็นเจ้านายหนุ่มนั่งมองรูปถ่ายดวงตา
“อาการน่าเป็นห่วงนะครับ” เอกลิขิตเอ่ย
“พลอยว่าถ้านิสัยไม่ดีแบบนี้มากๆ เดี๋ยวคุณย่าก็ด่าเขาเอง เรารีบเก็บข้าวของดีกว่าค่ะ ดูท่าฝนจะมาอีกแล้ว”
เมฆสีดำเคลื่อนมากลบหมู่ดาว ทำให้ค่ำคืนยิ่งมืดสนิท ไม่นานก็ปรากฏแสงสีขาวแลบแปลบปลาบเป็นระยะ ตามด้วยเสียงก้องกัมปนาท
เสียงตามเข้ามาถึงห้องพระของดวงตา ตู้โชว์ที่เก็บถ้วยชามสังคโลกสั่นสะเทือน แต่ไม่ได้กระทบชายหนุ่มที่นั่งมองรูปถ่ายของย่าตัวเองอยู่ เป็นอีกครั้งที่ความเศร้าและความรู้สึกผิดเกาะกินหัวใจ
และแล้วพายุฝนนอกหน้าต่างก็เริ่มโหมกระหน่ำ...
“ผมขอโทษนะครับคุณย่า ขอโทษที่เป็นหลานที่ไม่ดี ทำให้คุณย่าต้องตาย มาลัยทองอาจจะพูดถูก ผมอาจจะมีพร้อมทุกอย่าง แต่สิ่งที่ขาดหายก็คือความกล้าหาญ”
ชวินมองสร้อยพระในมือ สิ่งมงคลที่ดวงตาหามาให้ แต่เขาเองไม่ใช่หรือที่ปฏิเสธมัน ใบหน้าหล่อเหลาเริ่มเหยเก เขาร้องไห้อีกแล้ว ก่อนจะหยิบสร้อยเส้นนั้นมาสวมใส่
“ปกป้องและอยู่กับผมตลอดไปนะครับคุณย่า”
ฟ้าคะนองดังก้องเรือนใหญ่ ลมแรงพัดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ ทุกอย่างในห้องปลิวว่อน ภาพถ่ายในกรอบบนผนังกวัดแกว่ง ชวินยกมือขึ้นบังหน้า หรี่ตาสู้สายลม แสงอสนีบาตลอดเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มลุกขึ้นจะเอื้อมมือไปปิดหน้าต่าง แต่แล้วพระพายก็เล่นตลกส่งสายลมพัดแรงจนเขาเซ
เคล้ง!
ร่างชายหนุ่มเอนไปโดนบางสิ่งจนมันล้มระเนระนาด ชวินเพ่งมองแสงฟ้าแลบที่สาดเข้ามาให้เห็นดาบเงินที่ตกอยู่บนพื้น
ดาบโบราณของมาลัยทอง
คิดถึงหน้าผู้หญิงคนนั้น ความโกรธก็วิ่งวนเข้ามา เขาหยิบดาบขึ้นมาและปาใส่ผนัง
“ไอ้ดาบเฮงซวย” เขาสบถและมองอย่างหยามเหยียด พลันก็นึกถึงคำพูดของชายชาวฮ่องกงเมื่อวันก่อน จำได้ว่ามันมาพร้อมกับข้อความในกระดาษ
‘ดาบเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ชายที่ต้องการความสมบูรณ์แบบ หากคุณคิดว่าในความเป็นชายชาตรีคุณขาดสิ่งไหน คุณควรจะอธิษฐานและขอมัน’
ความสมบูรณ์แบบอย่างนั้นหรือ...ชวินคิด เขาเคยคิดมาตลอดว่าเขามีพร้อมทุกอย่างแล้ว แต่ว่าตอนนี้ความกล้าหาญน่าจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด
ชายหนุ่มยิ้มกริ่ม หันไปเก็บดาบขึ้นมาและถอดฝักออก
เสียงฟ้าคำรามดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ชายหนุ่มจับมันไว้แน่น และเปิดประตูตรงไปยังระเบียงบ้านที่ว่างเปล่า คนอื่นคงเก็บข้าวของกันเสร็จแล้ว
“ในเมื่อแกบันดาลทุกสิ่งให้ชายชาตรีได้ ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยให้ฉันมีความกล้าหาญเยี่ยงบุรุษด้วยเถิด” เขาประกาศกร้าว เดินฝ่าสายฝนกระหน่ำและลมที่พัดแรง
“มาเลย ไอ้ชายชาตรีที่กล้าหาญ โปรดเข้ามาสิงสถิตในตัวฉัน” ชวินชูดาบขึ้น ท้องฟ้าสีแสงแปรปรวนก่อนจะมีสายฟ้าพุ่งลงมายังปลายดาบ
เปรี้ยง!
เสียงดังสะเทือนคฤหาสน์ทั้งหลัง นกน้อยใหญ่ที่เกาะกิ่งไม้ต่างบินหนี ต้นไม้พัดโบกสะบัดราวกับหวาดกลัวบางอย่าง บนระเบียง ร่างของชวินนอนนิ่งอาบน้ำฝน มือยังจับดาบชาตรีไว้แน่น
ในห้วงนิทรานั้น มาลัยทองเห็นชายหนุ่มในนิมิตอีกครั้ง เธอยิ้มแสนสุขใจ หลายคืนแล้วที่ไม่ได้พบเจอเขา ชายในฝันเดินเข้ามา เขาสวมชุดเจ้าบ่าวเหมือนเช่นคืนนั้น เธอสบตาและร้อนวูบวาบหวามใจ ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมจางๆ มาลัยทองยื่นหน้าเผยอริมฝีปาก รอรับรอยจูบ แต่แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อใบหน้างามนั้นกลับเปลี่ยนเป็นดุดัน แววตาเหี้ยมเกรียมแถมหนวดเคราก็รกรุงรัง เธอสังเกตเห็นรอยแผลเป็นทางยาวบนแก้มซ้าย
“คุณเป็นใคร” เธอถามเพราะไม่คุ้นกับเขาเสียเลย
บุรุษคนนั้นไม่ตอบ กลับยิ้มกริ่มและยกมือขึ้นเหนือหัว มาลัยทองได้ยินเสียงฟ้าร้อง และเมื่อลากสายตามองไปยังสิ่งที่เขาถืออยู่นั้น เธอก็ต้องเบิกตาโพลง
ดาบชาตรี...
ไม่ทันได้พูดสิ่งใดต่อ เขาก็ฟาดดาบลงมาที่ตัวเธอ พร้อมกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง
“แฮ่กๆ”
หญิงสาวตกใจตื่น สิ่งที่ไม่ใช่ความฝันคงเป็นเสียงสายฟ้าเมื่อครู่ เธอรีบลุกขึ้นหวังจะไปปิดหน้าต่าง ผ้าม่านในห้องปลิวสะบัด และเมื่อมองออกไปเธอจึงเห็นพายุฝน ท้องฟ้าเหนือมหานครแสนน่ากลัวยิ่งนักราวกับมีปีศาจเคลื่อนไหวอยู่ในเงาเมฆ ทันใดนั้นแสงสีขาวก็พุ่งลงมาจากฟ้าตามมาด้วยเสียงดังสนั่น มาลัยทองตกใจร้องเสียงหลง รีบปิดหน้าต่างแล้วกลับมาคลุมโปงบนที่นอน
ฝันเมื่อครู่น่ากลัวเหลือเกิน ชายในนิมิตที่เห็นเมื่อใดก็เปี่ยมสุข บัดนี้เห็นชัดว่าหน้าตาดุร้าย แถมยังจับดาบชาตรีมาฟันเธอ สะดุ้งตื่นก็มีแต่เสียงท้องฟ้ากัมปนาท
หญิงสาวมิอาจรู้ว่า สายฟ้านั้นกำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่ชายหนุ่มที่เธอแสนชิงชังนัก
อาการเจ็บศีรษะอย่างรุนแรงทำให้ชวินลืมตาตื่น ก่อนจะค่อยๆ ทุเลาลงเมื่อสติมาเยือน เขากะพริบตาถี่เพื่อปรับสายตาให้เข้ากับแสงในห้อง พบว่าตัวเองกำลังนอนนิ่งอยู่ในห้องแคบๆ ผนังทำจากแผ่นไม้ ไม่ใช่วัสดุอย่างดีเหมือนคฤหาสน์ของตน
“พี่เมือง พี่เมือง”
ภาพตรงหน้าค่อยๆ ชัดขึ้นเมื่อใครคนหนึ่งตบหน้าเขาเบาๆ สัญชาตญาณที่เป็นคนขี้ระแวงทำให้ชวินดีดตัวลุกขึ้นและถอยฉากจนชิดผนังห้อง
“โล่งอก ข้านึกว่าพี่จะโดนฟ้าผ่าตายเสียแล้ว” หนุ่มน้อยถอนหายใจพร้อมรอยยิ้ม
ชวินมองเขาอย่างสงสัย เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน อายุอานามน่าจะเข้าสู่วัยรุ่น ผิวพรรณสะอาดสะอ้าน เขาหยิบผ้ามาชุบน้ำและเดินเข้ามาเช็ดตัวให้ชวิน แต่คนแก่กว่ารีบปัดมันทิ้ง
“ไม่อยากเช็ดตัวดอกรึ” เขาถาม ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ จึงเก็บผ้าและขันน้ำที่ตกเรี่ยราด “เช่นนั้นเดี๋ยวข้าไปหาอะไรให้พี่กินนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยพร้อมกับหมุนตัวจะออกจากห้อง
“เดี๋ยว” ชวินตะโกนเรียก
“พี่ต้องการสิ่งใดอีก” สำเนียงของเด็กหนุ่มไม่เหมือนคนทั่วไป แถมการแต่งกายก็ดูโบราณคร่ำครึ เขานุ่งโจงกระเบนแถมท่อนบนยังเปลือยเปล่า
ฝัน...เขาคงต้องฝันประหลาดมาที่ใดที่หนึ่งแน่
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหนเหรอเจ้าหนู”
คำถามนั้นทำให้คนฟังแปลกใจ “ก็ที่เรือนพี่อย่างไรเล่า”
“เรือน?” ชวินขมวดคิ้ว เอาเถอะ คงเป็นฝันย้อนยุค
“เอ่อ แล้วเอ็งเห็นเอกลิขิตหรือเปล่า ผู้ชายตัวใหญ่ๆ ที่คอยดูแลฉันน่ะ”
เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่ก่อนจะส่ายหัว เศรษฐีหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าแล้วถามคำถามใหม่
“งั้นฉันเป็นใครลองเล่าให้ฟังหน่อย คือ...ฉันจำอะไรไม่ค่อยได้”
คราวนี้หนุ่มวัยรุ่นหันมาและมองหน้าเขาใกล้ๆ
“พี่ก็เป็นพี่เมืองอย่างไรเล่า อยู่เรือนนี้กับข้าสองคน ข้าก็ไอ้คำสา จำได้หรือยัง” เด็กหนุ่มยิ้มแววตาสดใส
ฝันย้อนอดีต แถมตัวเองยังชื่อเมืองหรือนี่...ชวินพยักหน้าก่อนจะสำรวจโดยรอบ เขานอนบนเสื่อกกในห้องที่ไม่มีของมีค่าอะไรมากนัก มีเพียงหีบไม้ คนโทใส่น้ำ และดาบเล่มยาว
“แล้วฉัน...สลบไปงั้นเหรอ” ชายหนุ่มพยายามสืบสาวราวเรื่อง
“ใช่ พี่ขออำนาจจากดาบชาตรี แล้วก็โดนฟ้าผ่าล้มไป ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ แล้วเป็นอย่างไร พี่ได้สิ่งที่ต้องการหรือยัง” คำสาเอ่ย แต่คนฟังกลับหน้าซีดเผือด
“ดาบอะไรนะ”
“แน่ะ ทำลืมอีกแล้ว ก็ดาบที่ข้าให้พี่นี่อย่างไรเล่า”
เด็กหนุ่มชูดาบสีเงินให้เห็น ชวินเบิกตาโพลง ถ้านี่เป็นความฝัน แสดงว่าเจ้าดาบโบราณมันยังคงตามหลอกหลอนอย่างนั้นหรือ
“พี่เสียใจเรื่องแม่หญิงบัวหอม เลยดื่มเมรัยขนาดหนัก ซ้ำยังบอกข้าว่าอยากให้ดาบชาตรีช่วยให้พี่รูปงาม วาจาคมคาย” คำสาเอ่ยฟื้นความจำ
ชวินกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอ “เดี๋ยวนะ ฉันเป็นคนอธิษฐานจากดาบชาตรีเล่มนี้อย่างนั้นหรือ”
“ใช่ พี่จับดาบลงไปริมท่าน้ำ แล้วฟ้าก็ผ่าลงร่าง นิ่งไปนานพวกเราจึงช่วยกันยกพี่มาไว้บนเรือน ข้าเองก็นึกว่าพี่จะตายไปเสียแล้ว แต่เห็นยังหายใจและหน้าอกยังขยับ เลยคิดว่าคงแค่หลับไป”
ชวินเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว เหตุการณ์เหมือนกัน ที่ต่างกันคือสถานที่และคำขอพรจากดาบ ไม่สิ รวมถึงคนรอบข้างเขาด้วย
ชวินรีบลุกขึ้นอย่างลำบาก
“เหี้-!” ชายหนุ่มสบถดังเมื่อเห็นว่าตัวเองอยู่ในร่างที่เปลือยท่อนบน ส่วนท่อนล่างนุ่งโจงกระเบน เนื้อตัวก็ล่ำสัน ดำมะเมื่อม หาใช่ชายเจ้าสำอางคนเดิมไม่
“ไม่...” เขาร้องเสียงหลง ยกมือหยาบหนามาลูบคลำใบหน้า มันอุดมไปด้วยหนวดเคราครึ้ม ผมเผ้าก็ยาวไม่เรียบร้อย ชวินหันมามองเด็กหนุ่ม
“มีอะไรหรือเปล่าพี่เมือง”
“นายพอจะมีกระจกไหม”
“กระจก?” คนถูกถามทำหน้างง
“ที่ใช้ส่องหน้าไง” ชวินอธิบาย
“หรือพี่หมายถึงคันฉ่อง”
“เออ นั่นแหละ”
“ไม่มีหรอก เรือนนายทหารจะมีของแบบนั้นได้อย่างไร” เด็กหนุ่มอธิบายแต่กลับหลบตา
ชวินใจคอไม่ดี รีบหยิบดาบชาตรีลงจากเรือน เขาต้องการแสงสว่างจากภายนอก เมื่อก้าวลงบันไดก็พบว่ามีสองหนุ่มร่างผอมและอ้วนปุ๊กลุกรีบวิ่งหนี หลบไปอยู่หลังโอ่งใบใหญ่ ชวินแกล้งทำเป็นไม่สนใจ รีบชักดาบเล่มงามออกมาและมองเงาสะท้อนจากใบดาบ
เขาพบว่าใบหน้าของเขาไม่ได้เกลี้ยงเกลาเช่นชวินคนเดิม ตรงกันข้าม ภาพสะท้อนที่เห็นคือชายหนุ่มหน้าตาโหดร้าย ดวงตาแข็งกร้าว ผมเผ้าหนวดเครารุงรังไปหมด
“ไม่ มันต้องเป็นความฝัน” ชวินบอกตัวเองพร้อมกับตบหน้าซ้ำๆ อย่างนั้น จนสองหนุ่มที่ซ่อนตัวอยู่มองด้วยความตกใจ
“ไอ้คำสา” มิ่ง หนุ่มร่างผอมตะโกนเรียกเด็กหนุ่มที่กำลังเดินตามลงมาจากเรือน คำสารีบเข้ามาหา
“พี่มึงเป็นอะไรไปวะ” หลังจากเมื่อคืนเขาและเพื่อนช่วยกันแบกร่างเมืองจากท่าน้ำมาไว้บนเรือน ตื่นเช้ามาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเมือง
คำสาส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกันพี่มิ่ง พี่มั่น ตื่นขึ้นมาก็พูดจาแปลกๆ แล้วยังถามหาคันฉ่อง บอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย”
“หรือว่าพอฟ้าผ่าก็กลายเป็นคนจิตวิปลาสไปเสียแล้ว” มั่นเอ่ย “นอกจากจะน่ากลัวเป็นทุนเดิม ตอนนี้ยังจิตใจไม่ปกติด้วยหรือนี่” หนุ่มร่างท้วมเอ่ยตามประสาคนขี้กลัว
“ไม่ดอก ข้ายังเชื่อมั่นว่าพี่เมืองต้องค้นพบอะไรบางอย่างหลังขอพรจากดาบชาตรี” คำสาเอ่ย
“ขออะไรจากไหนนะ” มิ่งรีบถาม
“ไม่มีอะไรดอก” เด็กหนุ่มรีบปัด เขายังไม่อยากให้ใครรู้เรื่องดาบและสิ่งที่เกิดขึ้นกับพี่ชายของเขา
“นี่พวกนายน่ะ”
ทั้งสามสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินคนที่อยู่กลางลานบ้านเรียก
“ขอรับ พี่เมือง”
“บอกฉันทีว่าที่นี่มันคือที่ไหน และฉันเป็นใคร”
มั่นรีบกระซิบถามมิ่ง “จะให้ตอบว่าอย่างไรดี”
“ก็ตอบไปตามตรงน่ะสิวะ” มิ่งตอบ
“เร็วๆ สิวะ” ชวินหงุดหงิด
“เอ่อ ท่านก็คือเมือง ทหารของพระยานเรนทร์อย่างไรเล่า”
ชวินเหงื่อแตกพลั่ก นี่คงไม่ใช่ความฝันเสียแล้ว ตบหน้าตัวเองเท่าไรก็มีแต่เจ็บตัว หรือจะมีใครแกล้งก็ไม่น่าเป็นไปได้ รอบตัวแสนสงบเงียบไร้เสียงรบกวนจากเทคโนโลยีใดๆ
“ถ้างั้นบอกมา ตอนนี้มันยุคอะไร”
สามชีวิตทำหน้าเหลอหลา ชวินเดาได้ทันทีว่าพวกเขาไม่เข้าใจแน่
“ตอนนี้ฉันอยู่ในแผ่นดินของกษัตริย์องค์ใด” น่าจะเป็นคำถามที่ทุกคนเข้าใจได้ง่ายที่สุด
“ข้าจะเอ่ยนามกษัตริย์ได้อย่างไรเล่า” มั่นทำหน้าเสีย
“งั้นก็บอกมา นี่มันปีอะไร” ชวินยังไม่ยอมแพ้”
คราวนี้คำสาดูท่าจะเข้าใจคำถาม
“จุลศักราช หนึ่งพันหนึ่งร้อยหกสิบโทศก อย่างไรเล่า”
“จุลศักราช ใครมันจะนับแบบนี้พุทธศักราชสิวะ” ชวินถามต่อ
หนุ่มน้อยนับมือชั่วครู่ ก่อนจะตอบให้หายสงสัย “ก็ สองพันสามร้อยสี่สิบสามอย่างไรเล่าพี่เมือง”
“อะไรนะ ปีสองพันกว่างั้นเหรอ” คนหลงทางร้องเสียงหลง
“ใช่ ลืมไปแล้วหรือว่าท่านก็เป็นทหารสังกัดพระยานเรนทร์ ข้าหลวงของในหลวง”
เหงื่อแทรกซึมทั่วผิวกาย ชวินคิดคำนวณปีตามที่เด็กหนุ่มบอก...พระเจ้า นี่มันย้อนมาสองร้อยกว่าปี น่าจะเป็นแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่หนึ่ง
ชายหนุ่มแทบล้มทั้งยืน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทำไมจากหนุ่มเพลย์บอยผู้สูญเสียครอบครัว กลับต้องมาอยู่ในยุคอดีตในร่างใครไม่รู้ด้วย
เป็นเวลานานพอสมควรที่พลอยแก้วหาวิธีปลุกพี่ชายจากนิทรา เมื่อคืนหลังจากเขาเมามายด้วยฤทธิ์สุราแถมยังไปอาละวาดในห้องพระ หยิบดาบโบราณที่ประมูลได้มาขว้างทิ้ง มีสาวใช้เห็นว่าเขาหยิบมันไปล่อสายฟ้าที่ระเบียงต่อกลางดึก หลังจากนั้นทุกคนที่คฤหาสน์ก็ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังก้อง เอกลิขิตพบเจ้านายตนนอนนิ่งตัวเปียกโชก เขาเข้าใจว่าชวินอาจจะถูกฟ้าผ่าเสียชีวิตไปแล้ว
ทุกคนรีบพาชวินไปที่โรงพยาบาล แต่ผลการตรวจรักษาเบื้องต้นพบว่าเขามีอาการปกติ ลมหายใจ ชีพจร หรือแม้แต่ระบบต่างๆ ในร่างกายไม่เป็นอะไร เพียงแต่เขายังไม่ฟื้นขึ้นมาเท่านั้น
แพทย์ลงความเห็นว่าชวินอาจจะหลับไปเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ให้เขากลับไปพักผ่อนที่บ้าน
เมื่อตะวันโผล่พ้นฟ้า รอบกายเริ่มเปลี่ยนสีตามแสงจากเจ้าแห่งทิวา หนุ่มหล่อเจ้าของคฤหาสน์ก็ยังหลับเป็นตาย พลอยแก้วคอยดูแลด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป แต่เสียงกรนที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เด็กสาวคิดว่าควรจะปลุกชวินเสียที
“พี่เอกจะเอานาฬิกาปลุกมาทำไมคะ ขนาดเราลากไปกลับจากโรงพยาบาลพี่วินยังไม่ตื่นเลย” พลอยแก้วกลอกตาเมื่อเห็นหนุ่มร่างใหญ่หยิบนาฬิกาปลุกเรือนเล็กลายคิตตี้มาวางที่หัวเตียง
“งั้นเราจะทำยังไงดีครับ”
“ไปเอาน้ำมาค่ะ”
ทั้งแช่ม อนงค์ และเอกลิขิตต่างตกใจในสิ่งที่พลอยแก้วพูด
“เราจะปลุกเศรษฐีหนุ่มอันดับต้นๆ ของประเทศด้วยน้ำหรือคะคุณพลอยแก้ว”
“แก้วเดียวก็พอ พลอยไม่ล่อเป็นถังหรอก”
เอกลิขิตเข้าใจ เขาจึงไปหาสิ่งที่เด็กสาวต้องการ ไม่นานก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำ ขณะเอกลิขิตกำลังลังเลที่จะสาดน้ำใส่หน้าชวิน พลอยแก้วก็รีบคว้ามาสาดแทนด้วยความรำคาญ
ร่างที่นอนนิ่งผุดลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แถมยังไม่พูดพร่ำทำเพลง ตะบันหมัดใส่หน้าเอกลิขิตจนล้มคว่ำ
“กรี๊ด”
แช่มและอนงค์ต่างกรีดร้อง ชวินหันไปมอง แต่กลับพุ่งตัวไปอีกทางเพื่อจับแขนพลอยแก้วไพล่หลัง
“พี่วิน นี่พลอยเอง จำไม่ได้เหรอ” เด็กสาวเองก็ตกใจไม่น้อย
“ข้าอยู่ที่ใด” ชวินกระซิบถามน้องสาว แต่เสียงนั้นดูแข็งกร้าว
“พี่วินก็อยู่ที่บ้านไงคะ ปล่อยก่อนได้ไหม พลอยเจ็บ” พลอยแก้วร้องขอ
จังหวะนั้นเองบอดีการ์ดคนอื่นที่เดินเข้ามาทำให้เจ้าของบ้านหันไปมองอย่างระวัง
“คุณวินเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ปล่อยคุณพลอยเถอะ”
ชวินไม่สนคำพูดของใครอีก เขาปล่อยมือจากเด็กสาว แต่กลับพุ่งตัวระดมทั้งหมัด เข่า ศอกใส่ชายฉกรรจ์ที่เหลือ ทุกคนค่อยๆ ล้มลงด้วยฝีมือเขา ก่อนที่เขาจะหายออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
“คุณพลอยเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” อนงค์เข้ามาประคองเด็กสาว
“ไม่เป็นไรค่ะ รีบสั่งคนให้จับตัวพี่วินไว้เถอะค่ะ ดูเหมือนว่าเขาจะ...บ้าไปแล้ว”
เอกลิขิตถูกประคองให้ลุกขึ้นพร้อมกับบอดีการ์ดทั้งสองที่ล้มเจ็บ แช่มตกใจที่เห็นเลือดไหลจากจมูกเขา
“ทำไมนายถึงหมัดหนักขนาดนี้ เมื่อก่อนจะเตะจะต่อยผม ผมก็ไม่รู้สึกอะไร”
ในห้องที่ไร้แสงไฟ ชายหนุ่มเดินเข้ามาอย่างระวังตัว เขาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมาอยู่ในที่แห่งนี้ได้ ที่ที่รอบตัวช่างเปลี่ยนแปลง ไม่คุ้นตาเลยสักอย่าง
นอกห้องมีเสียงเอะอะโครมคราม คนพวกนั้นคงตามล่าหาตัวเขาอยู่เป็นแน่ หรือบางทีเขาอาจจะถูกพวกพม่ารามัญจับตัวมายังเมืองมันฑะเลย์แล้วก็เป็นได้ ชายหนุ่มทำได้เพียงซ่อนตัวเงียบๆ อยู่ในมุมมืด
ทันใดนั้นเองประตูห้องก็เปิดออก
“หรือจะอยู่ในห้องพระ” แช่มสงสัย เธอเดินเข้ามาและเปิดสวิตช์ไฟ หญิงวัยกลางคนสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นชวินอยู่กลางห้อง
“โธ่...คุณวิน อย่าเล่นแบบนี้เลย กลับไปที่ห้องเถอะค่ะ”
ชายหนุ่มยังคงนิ่ง นัยน์ตาที่จับจ้องแม่บ้านไม่ได้มีแววขี้เล่นและใจดีเหมือนทุกครั้ง เขาดูสุขุมราวกับเป็นคนละคนจนแช่มเองเริ่มแปลกใจ
“คุณวิน เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ข้าไม่ได้ชื่อวิน บอกมาตอนนี้ข้าอยู่ที่ใด ใครกันรึที่จับตัวข้ามา” ระหว่างสนทนากับแม่บ้าน เขาก็เริ่มสอดส่ายสายตาในห้อง
“พูดจาแปลกๆ จะมาเล่นเป็นพระเอกลิเกหรือคะ นี่ก็คือบ้านของคุณวิน ไม่มีใครจับตัวคุณมาหรอก อ้อ นอกจากว่าคุณอาจจะสมองเลอะเลือนจากการโดนฟ้าผ่า”
“ฟ้าผ่า” ประโยคนั้นทำให้ชายหนุ่มเบิกตาโพลง นึกย้อนว่าก่อนที่จะมาอยู่ในที่ประหลาดนี้ เขาจำได้รางๆ ว่าหยิบดาบโบราณของคำสาออกไปยังท่าน้ำ
“พวกเรา คุณวินอยู่ในห้องนี้” แช่มหันไปตะโกนบอกคนที่เหลือ
ชายหนุ่มเห็นเงาสะท้อนบางอย่างเข้าตา ดาบเล่มหนึ่งวางอยู่บนโซฟา จำได้ว่ามันคือดาบที่น้องชายมอบให้ ไม่รอช้า เขารีบกลิ้งตัวไปบนพื้นและหยิบมันขึ้นมา
เอกลิขิตนำทีมสามหนุ่มเข้ามาในห้อง ตั้งใจจะไปตามจับเจ้านายไม่ให้แผลงฤทธิ์อีก แต่เมื่อประจันหน้ากัน เขาหยุดฝีเท้าแทบไม่ทันเพราะชวินจับดาบมายืนมาดองอาจอยู่ตรงหน้าแล้ว
“เอ่อ นายครับ วางดาบลงก่อน”
ไม่เป็นผล เจ้านายตนกลับชักดาบออกฝักและฟาดฟันออกไปทันที หนุ่มบอดีการ์ดรีบหลบกันจ้าละหวั่น
“ระวัง พี่เอก” พลอยแก้วหวาดเสียวจนยกมือขึ้นปิดตา ทุกอย่างค่อยๆ สงบลงพร้อมกับที่พี่ชายของเธอวิ่งหนีลงบันไดไปแล้ว
“มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ครับ” เอกลิขิตตอบ
“พี่เอกรีบหาทางจับพี่วินเร็วเถอะค่ะ พลอยกลัวว่าเขาจะคลั่งและออกจากบ้านไป”
“ผมก็อยากจะทำเช่นนั้นครับ แต่คุณพลอยก็เห็น คุณวินมือเปล่าก็ต่อย ตอนนี้ยังมีดาบอีก ผมว่างานนี้เราลำบากแล้วละ”
เอกลิขิตเอ่ยก่อนจะวิ่งนำลูกน้องตามชวินไป ขณะที่พลอยแก้วถอนหายใจ สมองปั่นป่วนไปหมด
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของเธอกันแน่...
ความคิดเห็น |
---|