3

วาระจำยอม


 3

วาระจำยอม

 

                มันเป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ศราวณะร้องไห้มากที่สุดตั้งแต่จำความได้ บ่อยครั้งหญิงสาวภาวนาให้ตื่นขึ้นมาพบว่าเรื่องแย่ๆ ทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน แต่นั่นก็เป็นเพียงความหวังที่ไร้ซึ่งแสงสว่างตรงปลายอุโมงค์ ครอบครัวทางเมืองไทยต่างช็อกกับสิ่งที่เธอถ่ายทอดให้ฟัง และบิดามารดาก็รีบเดินเรื่องขอวีซาตั้งแต่รู้ข่าว เพราะอยากมาเห็นกับตาว่าศศินาราหายไปจริง 

                นางเจนิเฟอร์ มารดาของเจสันซึ่งหย่าร้างกับสามีหลายสิบปีและใช้ชีวิตวัยเกษียณอยู่ที่รัฐฟลอริดา กลายมาเป็นสมาชิกร่วมบ้านและเพื่อนคุยคลายเหงา ในขณะที่ทางฝั่งอดีตสามีอย่างนายโจนาธานกับครอบครัวใหม่นั้นแวะเวียนมาถามสารทุกข์สุกดิบเพียงครั้งเดียว ยกเว้นโจเซฟซึ่งแวะมาหาทุกวันพร้อมกับของกิน บางวันเขาก็ค้างที่บ้านของพี่ชายและอาสาช่วยเลี้ยงหลาน

                เธอได้พบพอลอีกครั้ง ในวันที่อุ้มหลานไปร่วม Wake Ceremony พิธีร่วมอำลาอาลัยผู้ตายที่ฟิวเนราลโฮม จากที่ตั้งใจว่าจะไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น ก็หักห้ามใจไม่อยู่ เมื่อหนูน้อย อลิซ จันทร์เจ้า ลิฟวิงสตัน เรียกบิดาที่นอนอยู่ในโลงศพว่าแดดดี๊และอ้าแขนขอให้อุ้ม เธอปลอบโยนหลานว่าบิดายังหลับ แล้วอุ้มออกมาจากตรงนั้นทั้งน้ำตา 

ทนายความของเจสันที่ไปร่วมพิธีเวกในเย็นนั้น ได้แจ้งแก่สมาชิกในครอบครัวของผู้ตายและเธอว่าจะทำการเปิดพินัยกรรมที่บ้านของเจสันหลังพิธีฝังศพหนึ่งวันตามที่ระบุไว้ในเอกสาร เธอไม่รู้ว่าเนื้อความในพินัยกรรมจะเป็นอย่างไร แต่ก็กลัวและเคว้งอย่างบอกไม่ถูก

เท่าที่สังเกตตั้งแต่มาเหยียบอเมริกา ครอบครัวของนายโจนาธาน ไม่ได้แสดงความรักความเอ็นดูอลิซเท่าไรนัก ส่วนนางเจนิเฟอร์ ผู้เป็นย่านั้น แม้จะเอ็นดูหลานมาก แต่ก็อายุเจ็ดสิบสองปีแล้ว เธอจึงได้แต่หวังว่า หากพินัยกรรมไม่ได้ระบุว่าจะยกหลานให้ใครเลี้ยงดู เธอจะยื่นเรื่องขอนำตัวกลับไปเลี้ยงดูที่เมืองไทยตามความประสงค์ของทุกคนในครอบครัว

“คุณโอเคหรือเปล่าคัปเค้ก” พอลก้าวมาหยุดยืนข้างหลัง กระซิบถามระหว่างพิธีฝังศพของเจสันที่เกิดขึ้นในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ ชายหนุ่มอยู่ในชุดสูทอาร์มานีสีดำเหมือนผู้ชายทุกคนในงาน กระนั้นก็ยังโดดเด่นกว่าใครเช่นเคย

                “ค่ะ” ศราวณะตอบเสียงแหบพร้อมกระชับมือที่อุ้มหลานซึ่งเพิ่งผล็อยหลับ

                “ให้ผมช่วยอุ้มอลิซดีกว่า คุณจะได้พักแขนบ้าง” เขากระซิบอ่อนโยน เพราะเห็นว่าเธออุ้มหลานมาตลอด โดยที่สมาชิกในครอบครัวของเจสันไม่ได้เสนอตัวเข้ามาช่วยเลยสักราย

                “ขอบคุณค่ะ” ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายวันทำให้ศราวณะไร้เรี่ยวแรงจะปฏิเสธ เธอยิ้มเนือยขณะส่งหลานให้เขาอุ้มอย่างระมัดระวัง

                “ผมเป็นพ่อทูนหัวของอลิซ” ชายหนุ่มพึมพำขณะหลุบตามองแม่ตัวน้อยที่หลับอุตุอย่างน่าเอ็นดู

                “พี่จันทร์เล่าให้ฟังอยู่เหมือนกันค่ะ” ไม่ใช่แค่เล่า แต่ศศินารายังส่งรูปกับวิดีโอให้เธอกับทางบ้านดูด้วย เพราะ

อยากให้ทุกคนเห็นว่าพิธีการทางศาสนาของที่นี่เป็นอย่างไร

 “คุณซูบลงเยอะ พิธีจบ ผมจะพาไปทานข้าว”

                “อย่าลำบากเลยค่ะ ถึงไปฉันก็คงทานไม่ค่อยลงเหมือนเดิม” จะให้กินลงได้อย่างไร ในเมื่อคดีของพี่สาวยังไม่มีความคืบหน้าเลยสักนิด คนร้ายพาพี่สาวของเธอหายเข้ากลีบเมฆ ชวนให้คิดว่าอาจฆ่าศศินาราและฝังศพไปแล้ว

                “คุณควรจะไป เพราะผมมีเรื่องสำคัญต้องคุย

                เพราะเข้าใจว่าเรื่องสำคัญที่เขาอยากคุยเกี่ยวกับพี่สาว ศราวณะจึงยอมพยักหน้าตกลง พอพิธีฝังศพเสร็จสิ้นเธอเดินไปกระซิบบอกมารดาของเจสันก่อนออกไปกับพอล เขาพยักพเยิดให้เธอขึ้นรถลีมูซีนคันยาวสีดำ ไปเปอร์ขึ้นเป็นคนที่สอง จากนั้นเขาก็อุ้มหนูน้อยอลิซก้าวตามขึ้นมา

                “ดีใจจังเลยค่ะที่คุณซาร่าห์...เอ่อ มิสจะไปทานข้าวที่คฤหาสน์ แฝดของฉันทำอาหารอร่อยมาก รับรองว่าคุณต้องเจริญอาหารแน่นอนค่ะ” สาวอารมณ์ดีกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น ผิดกับคนฟังซึ่งหันไปมองคนพามาด้วยนัยน์ตาตื่นตระหนกระคนแปลกใจ 

                “ผมต้องการความเป็นส่วนตัว และที่นั่นก็บรรยากาศดี น่าจะทำให้คุณผ่อนคลายขึ้นบ้าง” ยังไม่รวมเหตุผลสำคัญอีกข้อที่เขาอยากพาเธอไปที่นั่นด้วย

                ศราวณะยอมจำนนต่อเหตุผลของเขา ดวงตาคู่งามทว่าโศกเศร้ามองหลานที่นอนพาดอยู่บนตักกว้างแล้วทอดถอนใจ อลิซน่าสงสารกว่าเด็กส่วนใหญ่ เพราะบิดาจากไปตั้งแต่ยังไม่ค่อยรู้ความ จากนี้แม่หนูน้อยจะไม่มีบิดาคอยดูแล ปกป้อง หรือให้ความรัก น่าเสียดายที่อีกไม่นาน ความทรงจำที่มีต่อเจสันจะรางเลือนไปตามกาลเวลา

                “ผ้าเช็ดหน้าไหม”

                “มะ...ไม่ค่ะ” เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธความหวังดีของเขาพลางกะพริบแพขนตาถี่ๆ เพื่อยับยั้งธารน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาแสดงความอ่อนแอ “คุณบอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากคุยกับฉัน”

                “เอาไว้ทานข้าวเสร็จค่อยคุยก็ได้”

                “แต่ฉันอยากคุยตอนนี้ค่ะ”

                การดื้อแพ่งของเธอทำเอาพอลนิ่งงันเพื่อใช้ความคิดนานนับนาที แล้วสบตาเลขานุการสาวซึ่งรีบหยิบสมุดโน้ตกับปากกาจากกระเป๋ามาเตรียมใช้งาน

                “แต่งงานกันไหม”

                “หา!”

เสียงนั้นมาจากปากของสองสาวที่ดังขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย พอลตวัดตาคมดุใส่ไปเปอร์ แล้วเบนมาสบตาของศราวณะที่เริ่มมองเขาด้วยสายตาแห่งความหวาดระแวง

                “อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้น ซาร่าห์ ผมชวนแต่งงานเพราะรู้ว่าพอทนายความเปิดพินัยกรรมพรุ่งนี้ สิทธิ์การเลี้ยงดูอลิซจะตกเป็นของผม” เขาสาธยายด้วยสีหน้าท่าทางประหนึ่งกำลังเจรจาธุรกิจ “ก่อนทำพินัยกรรม เจสันถามความสมัครใจของผมว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขาและภรรยา ผมยินดีจะรับอลิซเป็นลูกบุญธรรมไหม

                “ตะ... แต่คุณไม่ได้เป็นญาติกับอลิซนี่คะ พี่สาวของฉันไม่มีทางเห็นด้วยกับเรื่องบ้าบอพรรค์นี้แน่” ศราวณะจ้องเขาตาวาว ไม่ยอมหลบตาเหมือนทุกครั้ง แม้จะเห็นแววแห่งความเชื่อมั่นกึ่งถือดีในตาคมปานเหยี่ยว

                “คุณคิดผิดแล้วละ แจนเห็นดีด้วยทุกอย่าง แถมยังบอกด้วยว่า ผมคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของอลิซใบหน้าหล่อเหลาแลดูเยือกเย็น สงบนิ่งดั่งหินผา

                หญิงสาวเม้มปากแน่น ถ้าพี่สาวของเธอพูดหรือคิดแบบนั้นจริง นั่นก็คือการดูถูกเธอกับทุกคนที่เมืองไทยอย่างที่สุด จริงอยู่ที่ครอบครัวของเธออาจมั่งมีเทียบได้เพียงแค่เศษเงินของเขา แต่สิ่งที่เธอมีกว่าเขาอย่างแน่นอนก็คือสายสัมพันธ์อันเข้มข้นในสายเลือด...ในดีเอ็นเอของเธอกับอลิซ  สิ่งนี้สูงค่ากว่าเม็ดเงินเป็นหมื่นหรือแสนล้านเหรียญของเขาเสียอีก

                “ผมคิดว่าคุณคงอยากพาอลิซกลับไปเลี้ยงที่เมืองไทย” เห็นแววตาร้าวรานระคนตัดพ้อคู่นั้น ชายหนุ่มก็แทบจะเปลี่ยนแผน น้ำตาของหญิงอื่นไม่มีความหมาย แต่น้ำตาของศราวณะทำเอาเขารู้สึกเหมือนกำลังเป็นไอ้ชาติชั่วที่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการต่อรองเพื่อต้อนให้เธอจนมุม

                “แต่คุณคงไม่ยอมง่ายๆ” ไม่งั้นคงไม่ชวนเธอแต่งงานแบบนี้หรอก เธอไม่ได้ไร้เดียงสาจนอ่านเกมเขาไม่ออก

                “ไม่ใช่แค่ผม ซาร่าห์ กฎหมายของที่นี่ก็ไม่ยอมเปิดทางให้คุณทำอย่างนั้นง่ายๆ เหมือนกัน ยกเว้นก็แต่คุณจะแต่งงานกับผม และรอจนกระทั่งเป็นพลเมืองของที่นี่เสียก่อน”

ความจริงมันไม่ได้ยุ่งยากขนาดนั้น ทว่าเวลานี้เขาตั้งใจทำให้มันยุ่งยากเพราะอยากแต่งงาน ใช่ว่าไม่อยากให้ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองของความรักหรอกนะ แต่ในเมื่อสถานการณ์พลิกผัน การแต่งงานจึงกลายเป็นทางออกเดียวที่ เชส สโตน ทนายความของเขาแนะนำมา

                “คุณหมายถึงฉันต้องนอนกับคุณ รอจนกว่าจะเป็นพลเมือง คุณถึงจะยอมยกอลิซให้” เสียงของเธอดังเสียจนหลานขยุกขยิก

                “ชู่!” พอลโยกแม่ตัวน้อยบนตัก ส่งสายตาตำหนิให้ตัวต้นเหตุซึ่งหน้างอเป็นม้าหมากรุก เขารอจนกระทั่งเด็กหญิงอลิซหลับสนิทอีกครั้งจึงเปรยเสียงแผ่ว “ผมชวนคุณแต่งงาน ไม่ได้ชวนขึ้นเตียง ซาร่าห์”

ศราวณะตีอกชกลมเถียงเขาในใจ ขณะทำตาปะหลับปะเหลือกใส่เพดานรถ อยากแว้ดใส่หน้าคมคายนั่นเหลือเกินว่า แล้วมันต่างกันตรงไหน ในเมื่อคุณอยากนอนกับฉันจนตัวสั่น

                “โอเค ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าอยากนอนกับคุณมานานแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมชวนแต่งงาน เพราะอยากหาข้ออ้างนอนด้วย ผมชวนเพราะเห็นว่านี่เป็นทางออกเพียงทางเดียวสำหรับคุณ การที่เจตายและแจนหายตัวไป นั่นหมายถึงวีซาของคุณอาจถูกเพิกถอนได้ทุกขณะ” โน้มน้าวอย่างเดียวยังไม่พอ งั้นเขียนเสือให้วัวกลัวมันเลยละกัน ให้มันรู้ไปว่าคนอย่าง พอล ไวส์แมน จะไม่มีปัญญาลากสาวน้อยหลงทางเข้าคฤหาสน์

                “คุณหมายถึงแต่งงานกันเพียงในนาม ไม่มีเรื่องบนเตียงมาเกี่ยวใช่ไหมคะ” ตากลมโตของคนพูดหรี่ลงเกือบครึ่งอย่างจับผิด หารู้ไม่ว่าปฏิกิริยานั้นเรียกรอยยิ้มขันของไปเปอร์ ซึ่งนั่งฟังเธอต่อปากต่อคำกับเจ้านายสุดหล่ออย่างครื้นเครง

                “ไม่มี ยกเว้นคุณจะเป็นฝ่ายต้องการเอง” หลุดปากพูดไปแบบนั้นแล้วเขาก็อยากกัดลิ้นตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ช่างเถอะ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการต้อนเธอเข้าคฤหาสน์

                น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนได้ ประสาอะไรกับการอยู่ใกล้กันฉันสามีภรรยา ถ้าเจอลูกอ้อน ลูกรุก ลูกหวานของเขาบ่อยๆ เธอต้องอ่อนไหวและเผลอตัวเผลอใจบ้างสิน่า

                “แล้วคุณจะได้อะไรจากการแต่งงานแค่ในนามกับฉันคะ” ศราวณะคาดคั้นต่อ เขาเป็นนักการเงินที่ได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม นั่นหมายถึงต้องเก่งรอบด้าน ลูกล่อลูกชนแพรวพราว และเจ้าเล่ห์แบบหาตัวจับยาก เธอไม่เชื่อว่าเขาจะเสนอตัวมาเป็นสามีทางนิตินัยโดยไม่มีอะไรแอบแฝง

                “โอกาส”

ตาสีน้ำทะเลประสานกับดวงตาของเธอแน่วแน่ นิ่งนานเหมือนจะพิสูจน์ให้เห็นว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ และสิ่งที่สะท้อนอยู่ในนั้นก็พานให้เธอร้อนผ่าวทั่วทุกองคาพยพจนต้องเสมองนอกหน้าต่าง

“โอกาสอะไรคะ” เธอถามออกไปโดยอัตโนมัติ แต่หัวใจกลับเต้นรัวเป็นกลองมโหระทึก

                “โอกาสให้เราได้ใกล้ชิดและทำความรู้จักกันมากขึ้นไง ซาร่าห์” โหนกแก้มของพอลเข้มขึ้นเมื่อต้องมาสารภาพความในใจต่อหน้าบุคคลที่สาม อ้อ...สี่ ซามูเอล และห้า คนขับรถ

รู้ถึงไหน อายถึงนั่น

สำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ แค่เขาชายตามองหรือยิ้มให้ก็ปรี่เข้ามาแนะนำตัว อยากสานต่อให้ถึงเตียงแล้ว แต่คนที่อยากได้มาทำแม่ของลูก ทำไมถึงเข้าใจอะไรยากอย่างนี้นัก กุหลาบช่อใหญ่ที่ส่งให้ตอนวาเลนไทน์ ยังไม่สื่อความหมายไม่พออีกเหรอว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอ หรือต้องคุกเข่าอ้อนวอน ขอความรักต่อหน้าลูกน้องทั้งโขยง ถึงจะยอมเชื่อว่ารักจริงหวังแต่ง

“ฉันเปลี่ยนใจแล้วค่ะ เราค่อยคุยกันต่อตอนถึงบ้านของคุณดีกว่า” เมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกต้อนสู่ช่องแคบ ศราวณะจึงเลือกยืดเวลาออกไปอีกหน่อย อย่างน้อยเธอจะอาศัยเวลาของการเดินทางที่เหลือ คิดใคร่ครวญทุกอย่างสักสิบตลบก่อนตัดสินใจว่าจะเลือกอะไร

 

คฤหาสน์ของ พอล ไวส์แมน ตั้งอยู่ในโอลด์ เวสต์เบอรี วิลเลจ เขตนอร์ตชอร์บนลองไอส์แลนด์ ห่างจากบ้านของเจสันประมาณสี่สิบห้านาที ความใหญ่โตมโหฬารของคฤหาสน์แต่ละหลังในย่านนั้น ชวนให้ศราวณะรู้สึกตัวลีบเล็กเหมือนฮอบบิทจากเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ที่เข้าไปในหมู่บ้านของมนุษย์ ไปเปอร์ทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็น สาธยายให้เธอฟังถึงประวัติความเป็นมาของย่านไฮโซโก้หรูแห่งนี้ และชี้ชวนให้ดูว่าหลังไหนเป็นของคนดังคนใดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

เมื่อรถลีมูซีนคันหรูเลี้ยวเข้าสู่ไดรฟ์เวย์ส่วนตัวของคฤหาสน์ไวส์แมน หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงความร่มรื่นแห่งแมกไม้ แม้จะเป็นปลายฤดูหนาวแต่ใบสนก็ยังคงความเขียวขจีตัดกับบรรยากาศอึมครึมรอบตัว เธอเดาว่าเขาคงเหมือนมหาเศรษฐีทั่วไปที่ต้องการความเป็นส่วนตัว จึงไม่ยอมให้ตัดต้นไม้เหล่านั้นออก หากมองจากถนนด้านหน้าจะไม่เห็นตัวคฤหาสน์เลย

เธอบอกตัวเองไม่ให้ตื่นตาตื่นใจกับความร่ำรวยอู้ฟู่ของเขา แต่เอาเข้าจริงก็แอบร้องโอ้โหอยู่ในใจหลายครั้ง เมื่อรถวิ่งพ้นแนวสนสูงใหญ่ แล้วเห็นคฤหาสน์สไตล์โมเดิร์นคลาสสิกสีเทาอ่อนตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า

มันช่างใหญ่โตและโดดเด่นสมกับเป็นเคหสถานของผู้ชายที่ชื่อ พอล ไวส์แมน เสียเหลือเกิน 

                “ให้ฉันพาอลิซไปนอนที่ห้องดีไหมคะ คุณจะได้พามิสทัวร์คฤหาสน์” ไปเปอร์ถามขณะที่รถแล่นไปจอดเทียบเชิงบันไดหน้าวงเวียนน้ำพุ

                “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่อยากให้อลิซตื่นขึ้นมาในที่ที่ไม่คุ้นแล้วขวัญเสีย” ศราวณะชิงปฏิเสธเร็วปรื๋อ

                “อย่าห่วงเลย อลิซเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว เขาคุ้นเคยกับทุกคนเป็นอย่างดี” พอลค้านเสียงยานคางพร้อมกับส่งหนูน้อยที่ยังหลับคอพับอยู่บนตักให้เลขานุการ ไม่นานทั้งรถก็เหลือเพียงเขากับเธอ เพราะทั้งบอดีการ์ดและคนขับต่างก็เผ่นแผล็วตามหลังไปเปอร์อย่างรู้งาน

                “เอ่อ...คุณจะพาฉันทัวร์คฤหาสน์ไม่ใช่เหรอคะ” หญิงสาวเริ่มกระสับกระส่ายเมื่อเขาเอาแต่นั่งจ้องอยู่ในรถ

                “ที่นี่เป็นแค่คฤหาสน์ในตอนนี้ แต่อนาคต ผมหวังว่าจะเรียกมันว่าบ้านได้เต็มปาก”

                คนฟังเพียงแค่แกล้งยิ้มใสซื่อกับคำพูดเต็มไปด้วยความหมายนั้น เธอก้าวลงจากรถทันทีที่เขาผายมือเชิญ ถือโอกาสนั้นสำรวจภายนอกคฤหาสน์ ซึ่งฝรั่งที่นี่เรียกกันว่าแมนชันอย่างคร่าวๆ ตอนรถเลี้ยวเข้ามา เธอสังเกตเห็นว่าคฤหาสน์สองชั้นหลังนี้ดีไซน์เป็นรูปตัวเอช ปีกที่อยู่ฝั่งขวามือของเธอมีโรงจอดรถมากถึงสี่โรง แต่ละโรงจอดรถได้สองคันหรืออาจมากกว่านั้น มองภาพรวมแล้วใหญ่โตกว่าบ้านของเจสันนับสิบเท่า

                “ที่นี่แบ่งออกเป็นสองส่วน ปีกด้านซ้ายมือของคุณกับตรงกลางมีแปดห้องนอน สิบห้องน้ำ นอกจากผม ก็มีแค่ไคลน์กับแซมที่นอนที่นี่ ส่วนปีกขวามือเป็นห้องพักของคนที่ทำงานที่นี่ ด้านหลังมีพูลเฮาส์ติดสระว่ายน้ำ มีห้องพักแบบสองห้องนอนสามห้องน้ำสำหรับแขก นอกจากคฤหาสน์นี่แล้ว ริมอ่างเก็บน้ำในป่าด้านหลังก็มีล็อกเคบินหลังหนึ่ง ไว้อากาศดีกว่านี้ ผมจะพาไปดู เราเข้าไปข้างในกันเถอะ พ่อบ้านชาร์ลีจะแนะนำให้คุณรู้จักทุกคนที่นี่” พอลแตะมือเข้าที่บั้นเอวด้านหลังของคนฟังเล็กน้อย เขายิ้มขำๆ เมื่อสาวเจ้าสะดุ้งราวกับโดนไฟชอร์ตแล้วก้าวฉับๆ นำไปยังประตูคฤหาสน์ แต่พอหมุนลูกบิดสีทองแล้วพบว่ามันล็อกจึงเปลี่ยนมายืนกอดอกรอ

                “ที่นี่เหมือนจะเข้าง่าย แต่ความจริงไม่เลย คัปเค้ก” ชายหนุ่มบุ้ยใบ้ไปยังแผงควบคุมข้างประตู “ระบบรักษาความปลอดภัยแบ่งออกเป็นสามระดับ เวลากลางวันที่คนอยู่เยอะ แค่ใส่คีย์เวิร์ดหกตัวก็เปิดได้แล้ว แต่ถ้าคนน้อยก็จะปรับเป็นระดับสอง คือใส่คีย์เวิร์ดและสแกนลายนิ้วมือ ส่วนกลางคืนหรือเวลาที่ต้องการความปลอดภัยสูงสุด ระบบจะปรับเป็นระดับสามซึ่งเพิ่มการสแกนม่านตาเข้าไป ระดับหนึ่งนั้นทุกคนที่ทำงานที่นี่จะรู้เลขรหัส ระดับสองมีแค่ผม บอดีการ์ดทั้งหมด และพ่อบ้าน ส่วนระดับสามจะมีแค่ผม แซม และชาร์ลี

                “เหมือน...เอ่อ...บ้านของพวกนักการเมืองใหญ่เลยนะคะ นี่ถ้ามีหมาพันธุ์พิตบูลหรือร็อตไวเลอร์สักสองสามตัวละก็ ใช่เลย” หญิงสาวเปลี่ยนใจใช้คำว่านักการเมืองแทนคำว่าคุก เพราะกลัวเขาจะหาว่ากระแนะกระแหน เพียงเท่านี้เธอก็รู้แล้วละ ว่าเขาคงมีศัตรูรอบด้านจริง ถึงได้วางระบบรักษาความปลอดภัยเสียแน่นหนาอย่างกับทัณฑสถาน

“ผมไม่ชอบหมา แม่ผมเคยเลี้ยงโกลเด้นรีทรีฟเวอร์แล้วขนมันร่วงเต็มบ้านทุกฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง น่าขยะแขยงมาก” สีหน้าของเขาบ่งบอกว่ารู้สึกอย่างนั้นจริง และมันก็ทำให้คนเห็นช่องโหว่ถึงกับแอบยิ้มเจ้าเล่ห์

                “แต่ฉันชอบหมาค่ะ โดยเฉพาะพันธุ์โกลเด้น มันน่ารักและเฟรนด์ลี เข้ากับคนได้ทุกเพศทุกวัย คฤหาสน์กว้างๆ แบบนี้น่าจะมีไว้สักสองสามตัวนะคะ ฉันเคยได้ยินมาว่าการเลี้ยงสัตว์ทำให้จิตใจของคนอ่อนโยน ไม่หยาบกระด้าง” 

                “ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นคนหยาบกระด้างหรอกนะคัปเค้ก แต่ถ้าการเลี้ยงสัตว์เป็นความสุขของคุณ ผมก็ยินดี” เขาเปิดบานประตูไม้โอ๊กหนาหนักสองบานแล้วผายมือเชื้อเชิญคนฟัง “เชิญครับคุณผู้หญิง”

                ศราวณะก้าวสู่ด้านใด้วยกิริยาสงบเสงี่ยม รองเท้าส้นสูงที่กระทบกับพื้นหินอ่อนก่อให้เกิดเสียงดังก้อง ทำเอาเธอต้องเปลี่ยนไปทิ้งน้ำหนักลงที่ปลายเท้าแทน ห้องโถงขนาดใหญ่ของที่นี่ตกแต่งเป็นโทนสีขาวและครีม ตัดกับสีดำและทองของบันไดวนซ้ายขวาอย่างน่ามอง แชนเดอเลียร์คริสตัลสามชั้นขนาดใหญ่ห้อยระย้าลงมาสะกดสายตาพาให้ตื่นตะลึง เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งที่จัดวางอย่างมีสไตล์อยู่ข้างทางเดินล้วนแต่เป็นโซฟากับเก้าอี้หลุยส์โทนสีครีมเหลือบทอง สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่าที่นี่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาคือโต๊ะไม้โอ๊กทรงกลมกลางทางเดิน ซึ่งมีกระถางสีขาวขนาดใหญ่อัดแน่นด้วยกุหลาบก้านยาวหลากสีสันนับร้อยดอก ส่งกลิ่นหอมฟุ้งจนเผลอสูดเอาความหวานหอมนั้นเข้าเต็มปอด

“เรามีแปลงกุหลาบกับดอกไม้หลายชนิดในกรีนเฮาส์ด้านหลัง กุหลาบในแจกันนี่ เปปน่าจะเพิ่งตัดมาเมื่อเช้า” เห็นหญิงสาวทำท่าชื่นชอบดอกกุหลาบ เขาก็อดเล่าให้ฟังไม่ได้ “มาทางนี้ก่อนเถอะ ชาร์ลีกับทุกคนรอพบคุณอยู่

                “รอฉันทำไมคะ” คิ้วเรียวขมวดมุ่น เห็นรอยยิ้มแปลกๆ บนใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ่งไม่เข้าใจ

                “คุณคือผู้หญิงคนแรกที่ผมพามาที่นี่ ซาร่าห์” ดวงตาคมจ้องคนฟังอย่างมีความหมาย เขาแบไพ่ในมือทั้งหมดให้ดูขนาดนี้แล้ว ถ้ายังไม่เชื่อว่ารักจริงก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้วละ

                “แล้วปกติคุณพาสาวๆ ไปไหนคะ อืม... ฉันเดาว่าคุณน่าจะพาพวกเธอไปดินเนอร์ที่ภัตตาคารห้าดาว จากนั้นก็ไปส่งเธอที่ห้อง แล้วเธอก็คงจะชวนคุณอยู่ต่อเหมือนในหนัง” หญิงสาวเจื้อยแจ้วขณะจ้องตาคมไม่ยอมหลบ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิด ด้วยการทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาเวลาคุยเรื่องของเขากับสาวๆ   

“เปล่าเลยก๊อดเดส ผมไม่ชอบนอนค้างอ้างแรมห้องคนอื่น ปกติผมพาพวกเธอไปค้างที่เพนต์เฮาส์ และเรียกอูเบอร์ให้ส่งกลับที่พักในเช้าของวันถัดไปต่างหาก

ใจดำชะมัด! อย่างนี้มันก็ไม่ต่างกับการใช้บริการสาวไซด์ไลน์หรือโสเภณีที่เมืองไทยเลยน่ะสิ ถ้าเธอถูกกระทำแบบผู้หญิงเหล่านั้นบ้าง โอ๊ะ…ไม่สิ! ไม่มีทาง! เธอไม่มีวันลดตัวลงไปคั่วกับผู้ชายที่ปฏิบัติตัวต่อผู้หญิงแย่ๆ แบบเขาเป็นอันขาด

ความคิดของหญิงสาวสะดุด เมื่อสายตาปะทะเข้ากับผู้คนที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ในโถงเล็กที่เพิ่งเดินมาถึง นับรวมแล้วมากถึงสิบห้าชีวิต สายตาทุกคู่มองพอลด้วยความยำเกรง แล้วเปลี่ยนเป็นฉงนสนเท่ห์ยามมองมายังเธอ

                “ซาร่าห์ นั่นชาร์ลี พ่อบ้านของที่นี่ ชาร์ลีมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างภายในคฤหาสน์ เขาตัดสินใจทุกเรื่องเกี่ยวกับที่นี่แทนผมได้” พอลแตะมือขวาเข้าที่แผ่นหลังเธอ ในขณะที่ผายมือซ้ายแนะนำให้รู้จักหัวหน้าคนรับใช้

                “สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ชาร์ลี” ศราวณะยื่นมือออกไปสัมผัสมือของบุรุษสูงวัยตามธรรมเนียมอเมริกัน

                ชาร์ลีอายุประมาณหกสิบปี เขามีโครงร่างสูงใหญ่ตามแบบชาวตะวันตก ทว่ายังดูแข็งแรง สูงเพรียว ไม่อวบอ้วนเหมือนคนอเมริกันวัยเดียวกันที่เธอเห็นเจนตา

                “ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบครับ มิส ผมขอแนะนำให้รู้จักทุกคนที่เหลือเลยนะครับ นี่เปปเปอร์ ลูกสาวอีกคนของผม ส่วนนั่น...

                เมื่อการแนะนำตัวสิ้นสุดลง หญิงสาวก็แอบหัวเราะในใจเพราะจำได้แค่ไม่กี่ชื่อ หนึ่งในคนที่จำได้แม่นก็เปปเปอร์ เพราะเป็นคู่แฝดของไปเปอร์ แม้รูปร่างหน้าตาจะเหมือนแฝดผู้พี่ราวกับแกะ แต่คำพูด กิริยา และการแต่งตัวของทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ไปเปอร์ซึ่งเธอคุ้นเคยระดับหนึ่งแล้ว เสื้อผ้าหน้าผมฉายรัศมีแห่งความโฉบเฉี่ยวมาดมั่นเต็มเปี่ยม ส่วนเปปเปอร์เป็นสาวขี้อาย การแต่งกายสไตล์อนุรักษนิยม สะท้อนถึงนิสัยอ่อนหวานน่าทะนุถนอม 

                ถ้าไปเปอร์คือกุหลาบแดง เปปเปอร์ก็คือกุหลาบขาว 

                “หิวหรือยัง ถ้าหิวผมจะได้บอกชาร์ลีให้สั่งเด็กตั้งโต๊ะ” 

                “นิดหน่อยค่ะ เอ่อ... ไปป์พาอลิซไปนอนที่ไหนคะ” หญิงสาวแลซ้ายแลขวาเพราะตั้งแต่ก้าวเข้ามา ก็ยังไม่เห็นเงาของไปเปอร์กับหลานเลย

                “ตั้งโต๊ะได้เลย อีกสิบนาที เราจะลงมาทานข้าว” พอลสั่งพ่อบ้านก่อนหันมารวบข้อมือคนข้างกาย ดึงกึ่งลากไปหาบันไดขึ้นสู่ชั้นสองโดยไม่สนการต่อต้านของเธอ

“คุณจะพาฉันไปไหนคะ ฉันอยากไปหาหลาน”

                “ก็กำลังจะพาไปนี่ไง เลิกทำท่าเหมือนผมจะลากขึ้นเตียงเสียทีได้ไหม ผมไม่ชอบฝืนใจผู้หญิงหรอกนะซาร่าห์ ที่ผ่านมาไม่เคยทำเลยด้วยซ้ำ

                “เคย แต่มันนานจนคุณจำไม่ได้แล้วมั้งคะ” เห็นสีหน้าเหมือนมั่นใจในเสน่ห์ตัวเองของเขาอย่างล้นเหลือ เธอก็อดเอาปมในอดีตมาแขวะเขาไม่ได้ ซึ่งมันได้ผลชะงัด เพราะคำพูดกระแทกแดกดันส่งผลให้เขาหยุดฝีเท้าลงแบบกะทันหัน

                นัยน์ตาคมกริบกรุ้มกริ่มล้อเลียนจนน่าหมั่นไส้

โอเค คุณเป็นผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่ผมเคยฝืนใจ แต่ผมไม่เสียใจ และไม่คิดจะขอโทษคุณหรอกนะคัปเค้ก เพราะมันเป็นหนึ่งในประสบการณ์และความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของผม” นักการเงินหนุ่มมองปากรูปกระจับแล้วยิ้มกว้าง ถ้าเธอรู้ว่าเขาแอบจูบอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอจะสวมวิญญาณนางแมวป่า กางเล็บมาตะกุยหน้าไหมนะ

                “คุณควรจะหาเวลาไปพบจิตแพทย์บ้างนะคะ” ศราวณะเค้นเสียงลอดไรฟัน สะบัดมือจากการเกาะกุม แล้วแจ้นขึ้นบันไดเพื่อซ่อนความอุธัจ บ้าจริง ที่เธอร้อนวูบวาบเพียงเพราะคำพูดบ้าๆ และสายตาหื่นหิวคู่นั้น

                “ดีใจจังที่ซาร่าห์เป็นห่วงสุขภาพจิตของผม” ปากเปล่งเสียงรื่นรมย์ไล่หลัง แต่ตาคมจับจ้องสะโพกกับขาเรียวงามภายใต้ถุงน่องสีดำไม่กะพริบ

นักการเงินหนุ่มพาแขกสาวไปยังปีกซ้ายของคฤหาสน์ เปิดประตูให้ชมห้องนอนแต่ละห้องท่ามกลางสีหน้าเรียบเฉย ไร้อาการยินดีปรีดาของแขกวีไอพี จากนั้นจึงพาชมส่วนกลาง ซึ่งห้องนอนสุดท้ายที่พาเข้าไปชม คือห้องที่บอกว่าไปเปอร์พาอลิซขึ้นมาพัก พอเปิดประตูก็เห็นเลขาฯ นั่งเหยียดขาอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาเบดด้วยท่วงท่าสบายอารมณ์ ส่วนแม่หนูน้อยหลับอยู่บนเตียงขนาดควีนไซซ์ 

                “ยังไม่ตื่นอีกเหรอคะ” หญิงสาวทำหน้านิ่ว เริ่มแปลกใจที่หลานนอนกลางวันนานผิดปกติ

                “ยังค่ะ แต่เมื่อกี้ส่งเสียงครางแปลกๆ อยู่หลายนาที ตอนแรกฉันนึกว่าจะตื่น แต่ก็ไม่”

คำบอกเล่าของอีกฝ่ายทำให้คนฟังรีบตรงไปหยุดข้างเตียง โน้มตัวลงไปดูหลานซึ่งนอนคว่ำ หันหน้าไปอีกด้าน แล้วอังมือกับแก้มยุ้ย ก่อนจะหันมามองพอลกับเลขาฯ ของเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

                “อลิซตัวร้อนจี๋เลยค่ะ ที่นี่พอจะมีปรอทวัดไข้บ้างไหมคะ”

                “มีค่ะ เดี๋ยวฉันหามาให้ เอายาแก้ไขด้วยไหมคะ

                “อลิซยังไม่สองขวบเต็มดี ถ้าเป็นยาของผู้ใหญ่ คงทานไม่ได้หรอกค่ะ ความจริงที่บ้านของพี่จันทร์มียา แต่ฉันก็สะเพร่า ไม่ได้หยิบใส่กระเป๋า” นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นหลานป่วย จึงต้องรื้อฟื้นความจำทุกอย่างที่พี่สาวเคยถ่ายทอดให้ฟัง

                “ไม่ยากหรอก ไปป์สั่งเคนให้ออกไปซื้อยาที่ CVS1* ให้ที บอกหมอนั่นให้ฟาร์มาซีช่วยจัดยาและข้าวของทุกอย่างที่คิดว่าเด็กจำเป็นต้องใช้ด้วย คืนนี้ซาร่าห์กับอลิซจะค้างที่นี่” พอลสั่งเสียงเข้มแล้วทรุดลงนั่งหมิ่นๆ ข้างเตียง มองอาการกระวนกระวายของศราวณะที่จับหลานนอนหงาย และอังมือไปทั่วใบหน้าแดงก่ำราวมะเขือเทศสุกด้วยแววตาลึกซึ้ง

“มีอะไรให้ผมช่วยไหม”

                “ช่วยถอดชุดให้อลิซด้วยค่ะ ฉันจะหาผ้าชุบน้ำเย็นมาเช็ดตัวให้แก

                เสียงนั้นสั่นจนคนฟังอยากรวบเข้ามากอด แต่เธอเคลื่อนไหวเร็วจนคว้าเอวไว้ไม่ทัน เขาจึงเริ่มถอดชุดเดรสสีดำกับไทออกจากร่างของแม่ตัวเล็กอย่างเงอะๆ งะๆ เหลือไว้แค่ผ้าอ้อมเด็กเพราะไม่กล้าแตะ

                ร่างสมส่วนกลับมาอีกครั้งพร้อมกับผ้าขนหนูสีขาวสะอาดซับน้ำเย็นหมาดๆ เธอบรรจงเช็ดตัวให้หลานสาวซึ่งละเมอร้องไห้และปัดป้องเป็นการใหญ่ 

                “ไม่ร้องนะคะคนเก่ง อลิซมีไข้สูง น้าต้องเช็ดตัวให้” ปากบอกหลานให้หยุดร้อง แต่น้ำตากลับร่วงเผาะๆ จนคนมองทนยืนดูต่อไม่ไหว เขาเดินออกจากห้อง ปิดประตูและต่อสายหาคนรู้จักที่เป็นหมอเพื่อขอคำแนะนำว่าควรทำอย่างไร ไม่ถึงสองนาทีก็กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งพร้อมกับไปเปอร์ที่นำปรอทวัดไข้มาให้ตามที่ขอ

                “104 องศาฟาเรนไฮต์ นี่กี่องศาเซลเซียสคะ” หญิงสาวถามเสียงสั่นแข่งกับเสียงร้องไห้ของหลานที่นอนตาปรือปรอยเพราะพิษไข้

                “เมื่อกี้ผมโทร. ถามหมอที่รู้จัก เขาบอกว่าถ้าไข้สูงมากให้จับแช่น้ำอุณหภูมิห้อง ไข้จะลดเร็วกว่าการเช็ดตัว

                “104 ฟาเรนไฮต์คือ 40 องศาเซลเซียสค่ะมิส” ไปเปอร์เอ่ยแทรกเมื่อได้คำตอบที่ใช้โทรศัพท์เสิร์ชหา

                “ไข้สูงมาก ฉันคงต้องให้แช่น้ำ แล้วก็ต้องโทร. หาหมอประจำตัวของแกด้วยค่ะ” ศราวณะอุ้มหลานขึ้นมากอดแนบอก “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวนะอลิซ น้าจะไม่ยอมให้อลิซเป็นอะไรไปอย่างเด็ดขาด

                “เอาโทรศัพท์มา เดี๋ยวผมโทร. หาหมอประจำตัวของอลิซเอง” พอลบอกเสียงเครียด เขาโล่งใจที่คนฟังลนลานหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าถือมาส่งให้ ก่อนเดินเข้าห้องน้ำโดยมีไปเปอร์คอยช่วยเหลืออยู่ไม่ห่าง

เสียงร้องไห้ของเด็กหญิงอลิซทำให้เขาไม่คิดจะก้าวตามเข้าไป เพราะกลัวจะคุยกับทางคลินิกของแพทย์เด็กไม่รู้เรื่อง ใช้เวลาอธิบายอยู่หลายนาทีกว่าคนรับสายจะเข้าใจว่าบิดาของเด็กเสียชีวิตและมารดาหายตัวไปอย่างลึกลับ คนรับสายถึงยอมโอนสายให้คุยกับผู้ช่วยแพทย์ กระนั้นก็ยังตะโกนถามศราวณะอยู่หลายครั้ง เพราะแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่หนูน้อยเลย

                “นาว...นาว โคลด์”

แม่หนูน้อยบอกปนสะอื้นขณะที่เขาเปิดประตูห้องน้ำเข้ามา มือน้อยพยายามไขว่คว้าผู้เป็นน้าซึ่งทั้งร้องไห้ ทั้งขอโทษ ทั้งปลอบโยน
                “หมอบอกว่าถ้าเขาเริ่มตัวสั่นก็พอได้” ชายหนุ่มคว้าผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่จากมือของไปเปอร์มากางออกรอรับเด็กป่วย เมื่อศราวณะยกขึ้นมาส่งให้ก็พันผ้าหนานุ่มกับร่างเล็ก “ไม่ร้องนะอลิซ เดี๋ยวอาพาลงไปหม่ำไอศกรีมดีไหม”
                “ไอ-กรีม” คำนั้นเหมือนจะช่วยปัดเป่าความทรมานให้หายเป็นปลิดทิ้ง เพราะแม่หนูน้อยยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา

                “อ่าฮะ ไอศกรีม มีให้เลือกหลายรสด้วยนะ” เขาอุ้มร่างเล็กไปผ่อนลงบนเตียง แล้วถอยออกไปยืนหันหลังให้อย่างรู้หน้าที่ เมื่อเห็นว่าศราวณะจะใส่ผ้าอ้อมและแต่งตัวให้หลานใหม่

“หมอบอกว่าใส่แค่แพมเพิร์สให้ก็พอ ป่านนี้เคนน่าจะได้ยากลับมาแล้ว เราลงไปทานข้าวกันเถอะ อลิซจะได้กินยา อีกหนึ่งชั่วโมงหมอจะโทร. กลับมาเช็กอาการ

                “เราไม่พาแกไปโรงพยาบาลเหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

                “ผมถามแล้ว หมอบอกว่ายังไม่ต้อง เว้นแต่กินยาแล้วไข้ไม่ลด หรือแกไม่ยอมกินน้ำหรือนม สิ่งสำคัญที่สุดคือให้อลิซดื่มน้ำ นม หรือจิบเกลือแร่เด็ก เพราะถ้าร่างกายขาดน้ำอาการจะยิ่งแย่” 

                “ขอบคุณนะคะ ฉันไม่เคยเห็นอลิซป่วย แล้วที่นี่ก็ไม่ใช่เมืองไทย เลยไม่รู้ว่าต้องทำยังไงบ้าง” ศราวณะใส่ผ้าอ้อมเสร็จก็อุ้มหลานขึ้นกอดแนบอก สารภาพทุกอย่างทั้งน้ำตาด้วยความกลัวสุดขีด “ฉันเหลืออลิซแค่คนเดียวที่นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับแก ฉันคงไม่มีหน้ากลับไปพบทุกคน”

                “อย่ากังวลไปเลยซาร่าห์ คุณอาจจะคิดว่าไม่เหลือใครให้พึ่งพา แต่ความจริงคุณยังมีผม และผมจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเลวร้ายกับอลิซหรือคุณเป็นอันขาด” แขนแข็งแรงรวบคนฟังกับหลานเข้ามากอด ใจเต้นแรงเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ต่อต้าน
                หญิงสาวซุกศีรษะกับอกกว้าง นิ่งเงียบในอ้อมแขนของเขาโดยไม่ขืนตัวออก วันนี้เธออ่อนแอ อ่อนล้า หวาดกลัว และขวัญเสียเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับปัญหาทุกอย่างตามลำพัง เมื่อเขาเสนอตัวเป็นเสาให้ยึด จึงไม่คิดปฏิเสธความหวังดี

“ไอ-กรีม”

เสียงใสๆ ของแม่ตัวน้อยส่งผลให้ผู้ใหญ่ทั้งสองผละจากกัน พอลยีผมที่ยังเปียกหมาดๆ อย่างเอ็นดู อาสาอุ้มแม่เด็กอวบลงไปชั้นล่าง โดยมีสองสาวเดินตามหลัง

 

ห้องอาหารที่เห็นวิวสวนกับสระว่ายน้ำด้านหลังคฤหาสน์กว้างขวางเสียจนศราวณะคิดว่าเหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกอย่างต่ำยี่สิบคน มากกว่าจะนั่งกันหร็อมแหร็มแค่สามชีวิต เธอเคยคิดว่าเขาคงร่วมโต๊ะกับคนสนิทอย่างซามูเอล ไปเปอร์ เปปเปอร์ และชาร์ลี แต่พอเลียบเคียงถาม กลับได้คำตอบว่าปกติเขานั่งกินข้าวคนเดียวตลอด  

                “ทำไมคุณไม่เรียกคุณชาร์ลี แซม ไปเปอร์ หรือเปปเปอร์มาทานด้วยล่ะคะ”
                “พวกเขาไม่ใช่คนในครอบครัวของผม ถึงผมจะให้ความเป็นกันเอง แต่พวกเขาก็ยังทำงานและรับเงินเดือนจากผม” ใบหน้า
สมบูรณ์แบบราวสวรรค์ปั้นแต่งแผ่รัศมีแห่งการถือตัวอยู่ในที

                “ฉันกับอลิซก็ไม่ใช่คนในครอบครัวของคุณเหมือนกัน” เป็นเธอหน่อยไม่ได้ จะสั่งให้ทุกคนมานั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันเสียให้หมด       

“ผมคือพ่อทูนหัวของอลิซ ส่วนคุณก็เป็นแขกของผม ซาร่าห์” ยังไม่รวมถึงตำแหน่งภรรยาที่เขากำลังหาทางยัดเยียดให้ในอนาคตอันใกล้อีกต่างหาก

                “เรื่องอลิซ มันไม่มีทางออกที่ดีกว่าการแต่งงานแล้วเหรอคะ” หญิงสาวเปรยหลังจากวางส้อมกับมีดหั่นสเต๊ก ตาดำขลับมองหลานสาวที่กำลังตักไอศกรีมกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ที่เก้าอี้ตัวติดกัน แล้วก็รู้สึกหนักอึ้งในอกเหมือนมีหินก้อนใหญ่ถ่วงอยู่
                “แล้วการแต่งงานกับผมมันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอซาร่าห์ ผู้หญิงทั้งอเมริกาอยากเป็นแฟน อยากเป็นคู่รักของผมทั้งนั้น มีแต่คุณนี่แหละที่วิ่งหนีผมมาตลอด

ชายหนุ่มวางอุปกรณ์รับประทานอาหารในมือ ดึงผ้ากันเปื้อนจากตักขึ้นมาซับปากด้วยมาดผู้ดีจ๋า ก่อนจะพับมัน แล้ววางลงบนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ การกระทำนั้นทำเอาศราวณะมองผ้ากันเปื้อนของตัวเองที่เพิ่งวางลงบนโต๊ะอย่างไร้ระเบียบด้วยอาการหน้าม้าน กินข้าวกับผู้ดีนี่มันลำบากลำบนเสียจริง ดีนะที่เมื่อกี้เธอไม่แลบลิ้นเลียทำความสะอาดริมฝีปากเหมือนที่ทำประจำ

                “มันไม่ได้เลวร้ายหรอกค่ะ เพียงแต่ฉันคิดว่ามันน่าจะมีวิธีที่ดีกว่านั้น”
                “ถ้าคุณไม่อยากแต่งงานกับผมมากขนาดนั้น จะกลับเมืองไทยและบินมาเยี่ยมอลิซเป็นครั้งคราวก็ได้นะ” พอลพูดไม่มองหน้าคนฟัง แต่เอื้อมมือไปลูบศีรษะแม่ตัวน้อยที่นั่งคั่นกลางและพูดเสียงนุ่มว่า “ไว้เราค่อยบินไปเมืองไทยทุกสามหรือสี่ปีก็ได้เนอะอลิซ”
                “สามหรือสี่ปี!”

                “งั้นสิ ผมไม่มีเวลาบินไปทุกปีหรอก งานผมเยอะ แล้วบางครั้งถ้าหยุดงาน ผมก็อยากพาอลิซไปพักผ่อนแถบฮาวาย แคริบเบียน ยุโรป หรือออสเตรเลียบ้าง คงพาไปหาพวกคุณที่เมืองไทยทุกปีไม่ได้” เขายักไหล่หนาคล้ายไม่แยแสความทุกข์ร้อนที่เกิดขึ้นบนใบหน้าของคู่สนทนา ในเมื่อชวนดีๆ แล้วยังไม่อยากแต่ง ก็ต้องกดดันกันแบบนี้ละ
                ศราวณะเม้มปากแน่น มองหน้าเขาสลับกับหลานด้วยความหวาดหวั่น ครึ่งชั่วโมงก่อนเธอมองว่าเขาใจดีและพึ่งพาได้ แต่นาทีนี้เขากลายเป็นผู้ชายใจดำ เห็นแก่ตัวจนน่าเขวี้ยงมีดหั่นสเต๊กใส่ ตัวตนที่แท้จริงของ พอล ไวส์แมน คือเทพบุตร หรือจิ้งจอกเจ้าเล่ห์กันแน่ ทำไมถึงได้มีหลายบุคลิกนัก 

“ถ้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแต่งงานกัน เราก็ต้องทำข้อตกลงก่อนแต่งกันเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนค่ะ ฉันถึงจะยอมจดทะเบียนสมรสกับคุณ” ศราวณะเขม้นมองคนฟังด้วยแววตาเอาจริง

ไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอรอดจากเงื้อมมือของเขามาได้กว่าสี่ปี แต่สุดท้ายต้องมาตกม้าตายเอาตอนบินมาถึงอเมริกา เธอรู้ว่าพอลต้องการร่างกายของเธอมากกว่าการจดทะเบียนสมรส ตาคมกล้าคู่นั้นเปิดเปลือยความรู้สึกข้างในมาตลอดว่า ที่เขาต้องการเหนือสิ่งอื่นใดคือ...ร่างกายของเธอ หาใช่ทะเบียนสมรส หรือหัวใจ! 

          “ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว คุณอยากให้ใส่อะไรลงไปในสัญญาก่อนสมรสก็บอกมาเลย ผมจะให้ไปเปอร์ส่งรายละเอียดให้ทนายความของผมร่างสัญญา แล้วส่งกลับมาให้คุณดูภายในสามวัน” พอลเอ่ยเหมือนคู่ค้าใจดีที่พร้อมจะทำตามการร้องขอของเธอ

                “รอให้ไปป์มานั่งกับเราก่อนดีกว่าค่ะ เพราะมีหลายอย่างเหลือเกินที่ฉันต้องการใส่ในข้อตกลง”

                ชายหนุ่มผงกศีรษะอย่างเข้าใจภายใต้สีหน้าเรียบเฉย ผิดกับข้างในที่กำลังดีอกดีใจเพราะทุกอย่างกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ต้องการ เขาไม่ได้หวาดกลัวว่าสิ่งที่เธอต้องการให้ใส่ลงไปในข้อตกลงมีอะไรบ้าง เขากลัวแค่การถูกปฏิเสธ

                เมื่อหนูน้อยอลิซอิ่มแปล้ ทั้งสองก็ฝากให้เปปเปอร์กับสาวใช้อีกสองคนดูแล ก่อนไปเจรจาต่อที่ห้องทำงานในคฤหาสน์พร้อมกับไปเปอร์

“เชิญครับ” พอลผายมือเชิญให้ว่าที่ภรรยานั่งเก้าอี้นวมตัวใหญ่หลังโต๊ะทำงานอย่างใจป้ำ

ศราวณะทำท่าจะปฏิเสธในคราแรก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เดินไปทรุดตัวลงนั่งเอนหลังไขว่ห้าง ราวกับนั่นคือเก้าอี้ประจำตำแหน่งของเธอ อยากแต่งงานกับเธอนักใช่ไหม แล้วเขาจะรู้ว่านามสกุลแผลงฤทธิ์มันเหมาะกับเธอมาก คนรู้จักต่างก็ชมเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอเกิดมาเพื่อครอบครองนามสกุลนี้ ต่อให้นามสกุล Wiseman ซึ่งแปลว่าคนฉลาด ก็อาจจะปวดหัวได้ถ้าริจะแต่งงานกับสาวนามสกุล ‘แผลงฤทธิ์

                “นั่งสิไปป์” เขาสั่งเลขานุการสาวให้ทรุดลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน ในขณะที่ตัวเองยืนกอดอกพิงสะโพกกับหน้าต่าง จ้องสาวที่ยึดพื้นที่หัวใจมาหลายปีนิ่งๆ รอฟังว่าเธอต้องการสร้างเงื่อนไขอะไรบ้าง

               “หนึ่ง ทันทีที่จดทะเบียนกัน คุณจะต้องเดินเรื่องให้ฉันรับอลิซเป็นบุตรบุญธรรมร่วมกับคุณทันที” หญิงสาวกล่าวในสิ่งที่ครุ่นคิดมานานนับชั่วโมง จ้องเขาไม่หลบเพื่อดูปฏิกิริยา

มันจะเป็นไปตามที่คุณต้องการ พอลตอบรับเสียงเข้ม

“สอง ฉันไม่ต้องการทรัพย์สมบัติใดๆ ของคุณหลังจากที่เราหย่าขาดจากกันค่ะ

“อือฮึ” คนตอบพยักหน้ารับรู้อย่างง่ายๆ

“สาม คุณต้องให้คนตามหาตัวพี่สาวของฉันไปจนกว่าจะแน่ใจว่าเขาตายจริง

พอลขยับตัวเล็กน้อย “นั่นเป็นความตั้งใจของผมอยู่แล้ว คัปเค้ก”

ศราวณะเริ่มยิ้มออก “และสี่ ระหว่างที่แต่งงานกับฉัน คุณสามารถหลับนอนกับคนอื่นได้ แต่ห้ามพามานอนค้างที่นี่ เพราะฉันถือว่ามันเป็นอาณาเขตของฉันกับอลิซค่ะ

           ข้อสุดท้ายทำเอานักการเงินหนุ่มถึงกับผิวปากหวือ ตาแวววาวในความใจกว้างดั่งมหาสมุทรของว่าที่มิสซิสไวส์แมน “ว้าว...ก๊อดเดส คุณช่างเป็นว่าที่ภรรยาที่แสนดีเหลือเกิน” 

           “ฉันยังพูดไม่จบค่ะ กรุณาอย่าพูดแทรก” หญิงสาวแว้ดกลับตาขวาง นี่สินะที่มาของสำนวน ‘ปลากระดี่ได้น้ำ’ พอรู้ว่าอนุญาตให้มีบ้านเล็กบ้านน้อยได้ก็ระริกระรี้เชียว “ที่ฉันต้องการจะบอกคือ คุณจะหลับนอนกับผู้หญิงกี่คนก็ได้ เพราะเราสองคนจะเป็นสามีภรรยากันแค่ทาง นิ-ติ-นัย เท่านั้นค่ะ แต่...ถ้าระหว่างที่อยู่ด้วยกัน แล้วคุณเกิดหน้ามืด ใช้กำลังปลุกปล้ำฉัน ข้อตกลงอันดับที่สองระหว่างเราจะเป็นโมฆะทันที

                ปื้นคิ้วหนาขมวดมุ่น หันไปหาเลขาฯ ที่กำลังบันทึกทุกอย่างมือเป็นระวิง “ไปป์ ข้อสองคืออะไร”

                “ข้อสอง มิสจะไม่เรียกร้องทรัพย์สมบัติใดๆ หลังจากการหย่าร้างค่ะ นั่นหมายถึง ถ้าคุณกับมิสมีอะไรกันระหว่างการแต่งงาน ทรัพย์สมบัติที่หาได้ระหว่างนั้นจะต้องหารสอง” ไปเปอร์ทบทวนพร้อมแจกแจงให้เจ้านายฟังด้วยแววตาขำๆ

ทำไมสาวไทยรายนี้ถึงได้หวาดกลัวกับการหลับนอนกับบอสของเธอนักก็ไม่รู้ ทั้งที่เขาออกจะฮอต เป็นที่ต้องการของสาวทั้งประเทศ ไฮโซหลายคนถึงขนาดพยายามติดสินบนเธอให้ช่วยกรุยทางเพื่อได้ใกล้ชิดพอล บางคนค้นหาข้อมูลกันแบบสุดฤทธิ์สุดเดชว่าเขาชอบสาวแบบไหน ยอมปรับเปลี่ยนตัวเอง หวังให้นักการเงินหนุ่มพึงพอใจ หลายคนที่ผ่านการหลับนอนกับพอลแบบวันไนต์สแตนด์ ก็วนเวียนหาทางให้ได้ขึ้นเตียงกับเขาอีก แถมยังสารภาพให้เธอฟังด้วยแววตาหยาดเยิ้มชวนฝัน ดั่งสาวน้อยคลั่งรักที่เพิ่งได้ลิ้มรสกามาว่าเขาเก่ง อึด ถึก ทน และโลดโผนโจนทะยาน และทำให้พวกเธอแทบขาดใจเพราะความหฤหรรษ์

“คุณมีปัญหากับสัญญาข้อนี้เหรอคะ” ศราวณะเชิดหน้าถาม

                “โน ไม่เลยก๊อดเดส แค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้นเองว่า ถ้าหากมันเกิดจากความเต็มใจของคุณด้วยล่ะยังจะเป็นโมฆะอยู่ไหม” พอลยักคิ้วยั่วเย้า

               “ไม่มีวันเด็ดขาด!” หญิงสาวแหวกลับไวปานกัน ตาลุกวาวจนว่าที่สามีรีบยกธงขาว

                “โว้...อย่าเพิ่งออกตัวแรงอย่างนั้นสิซาร่าห์ ผมหล่อน่ากินไปทุกกระเบียดนิ้วเสียขนาดนี้ ไม่แน่น้า บางทีคุณอาจจะเปลี่ยนใจหลังจากที่เราแต่งงานกันยังไม่ถึงอาทิตย์ก็ได้” แววตาล้อเลียนส่งให้คนฟังซึ่งหน้าแดงแปร๊ดขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน   

               “ถ้าเราสองคนจะมีอะไรกัน มันก็คงเกิดขึ้นเพราะคุณวางยาปลุกเซ็กซ์ฉันเท่านั้นค่ะมิสเตอร์ไวส์แมน” ศราวณะจิกเล็บทั้งสิบเข้าที่ขอบเก้าอี้หนังหนานุ่ม ทั้งโกรธ ทั้งอาย ทั้งหมั่นไส้ในความมั่นใจทะลุล้านองศาของเขา คนอื่นอาจหลงรูปหลงทรัพย์ของนายธนาคารผู้นี้ แต่เธอจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าถึงหน้าหล่อ พ่อรวย มีเงินทองกองท่วมตึกเอ็มไพร์สเตต ก็ไม่สามารถทำให้ผู้หญิงชื่อศราวณะแก้ผ้าอ้าขาให้ง่ายๆ

                สำหรับเธอ...ความรักต้องมาก่อนเซ็กซ์ ถ้าจะมีเซ็กซ์ มันต้องเกิดจากความรักที่ยืนอยู่บนรากฐานของความถูกต้องเท่านั้น

         “คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตามนะซาร่าห์ แต่ผมสามารถทำให้คุณมีอารมณ์ร่วมได้ โดยไม่ต้องอาศัยของต่ำๆ พรรค์นั้นมากระตุ้นอารมณ์หรอก ไม่เชื่อก็คอยดู” สายตาเร่าร้อนปานมีพระอาทิตย์สองดวงสถิตอยู่ด้านใน สาดส่องไปทั่วเนื้อตัวคนฟังอย่างหมายมาด ให้มันรู้ไปว่านักการเงินที่ฮอตที่สุดแห่งศตวรรษอย่างเขาจะไม่มีปัญญาพาเมียขึ้นเตียงท่ามกลางความเต็มอกเต็มใจของเธอ 

                “เอ่อ...ไม่ทราบว่าต้องการให้ระบุในข้อตกลงด้วยไหมคะว่า ถ้าภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน สามเดือน หกเดือน หรือหนึ่งปี แล้วคุณสองคนตกลงร่วมเตียงกันด้วยความยินยอมพร้อมใจ แล้วมิสจะได้รับสินสมรสตอนหย่าเท่าไร หรือจะหารสองตามกฎหมายเลย

                “ไม่ต้อง!” ว่าที่สามีภรรยาตวาดขึ้นพร้อมกัน

                “ค่ะๆ แล้วมีอะไรที่มิสอยากให้ใส่ลงไปในข้อตกลงอีกไหมคะ” ไปเปอร์ยิ้มแห้ง แหม...อารมณ์รุนแรงกันทั้งคู่เลยวุ้ย อย่างนี้มีหวังถ้าขึ้นเตียงด้วยกันจริงๆ คงขังตัวในห้องนอนสามวันสามคืนแน่

                “ไหนๆ นี่ก็เป็นแค่การแต่งงานทางนิตินัย ดังนั้นฉันต้องการให้มันเป็นความลับที่สุดค่ะ”

                “โอเค เรื่องนี้จะมีแค่ผม คุณ ไปป์ ไคลน์ แซม และเชส เท่านั้นที่รู้ คนอื่นๆ จะรู้แค่ว่าคุณคือน้าของอลิซที่ผมจ้างให้มาดูแลเขาเท่านั้น โอเคไหม” พอลคลายมือลงมาล้วงกระเป๋ากางเกงด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย

                “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยิ้มโล่งใจ

                “มีอย่างอื่นอีกไหมที่อยากใส่ในข้อตกลง”

                “ไม่แล้วค่ะ”

                ชายหนุ่มยิ้มพอใจ “ไปป์ออกไปได้แล้ว ฉันอยากคุยกับซาร่าห์ตามลำพัง”

                ไปเปอร์ออกจากห้องพร้อมปิดประตูให้อย่างรู้หน้าที่ ปล่อยให้สองหนุ่มสาวเผชิญหน้ากันตามลำพังเพราะรู้ว่าเจ้านายเฝ้ารอเวลานี้มานานเพียงใด

                “ฉันควรจะออกไปดูอาการของอลิซค่ะ” ร่างสมส่วนดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ตัวโต แต่ก้าวขาได้เพียงสองครั้ง ขายาวกว่าของเขาก็พาร่างสูงเป็นยักษ์ปักหลั่นเข้ามาขวาง 

                “คนอยู่เป็นโขยงขนาดนั้น ไม่มีใครปล่อยให้อลิซเป็นอะไรหรอก เรามาคุยเรื่องการแต่งงานกันดีกว่า” รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ร้ายกาจผุดพรายขึ้นเหนือริมฝีปากได้รูป  

                “เอ่อ...ต้องคุยอะไรอีกเหรอคะ” ถามพาซื่อ ทว่าก็ยอมถอยกลับไปทิ้งก้นลงบนเก้าอี้ตัวเดิมเมื่อเขาขยับเข้าใกล้ แผ่อะดรีนาลินแห่งบุรุษเพศจนเธอร้อนวูบวาบ ปั่นป่วนไปทั้งช่องท้อง

มันไม่ใช่ว่าเราอยากจดทะเบียนกันแล้วจะทำได้ปุบปับนะก๊อดเดส เราต้องทำให้ USCIS2 เชื่อว่าเราสองคนรักและต้องการร่วมชีวิตกันจริงๆ ไม่ใช่ทำเพื่อผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทำเพียงเพื่อให้คุณไม่ถูกส่งกลับเมืองไทยหลังการตายของเจ”             

                “เข้าใจแล้วค่ะ ฉันต้องทำอย่างไรบ้างคะ”

                “เราต้องมีหลักฐานให้เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเรารักกันจริงและรู้จักกันดีพอ” ความจริงเขามีหลักฐานเยอะแยะที่ชวนให้เชื่อว่าพวกเขารักและคบหากันมานาน เพราะสมัยที่บินไปร่วมงานแต่งของเจสันกับศศินารา สาวน้อยคนนี้คือไกด์นำเที่ยวที่พาเขาตระเวนทั่วกรุง ตอนนั้นเขาถ่ายรูปไว้มากโข ทั้งแบบเซลฟี่ด้วยกัน แบบขอให้คนอื่นถ่าย และแบบแอบถ่ายเอง

                “แต่เราจะเก็บเรื่องแต่งงานเป็นความลับนี่คะ”

                “ผมจำได้น่า แค่คิดว่าเราต้องจัดฉากและเล่นละครให้เหมือนรักกันหวานชื่น รวมถึงต้องมีซีเครตเวดดิง ก่อนยื่นขอปรับสถานะให้คุณ เรื่องนี้ผมปรึกษาเชสดูแล้ว หมอนั่นคุยกับเพื่อนทนายที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคนเข้าเมือง บอกว่าไม่น่ามีปัญหา ถ้าเราเตรียมเอกสารและหลักฐานครบ”  

                “ค่ะ”

                “งั้นผมให้ไคลน์จัดการเรื่องทริปของเราเลยนะ” พอลสรุปพลางเคาะนิ้วกับโต๊ะทำงานเป็นจังหวะ

“คุณหมายถึงทริปอะไร ไปไหนคะ” ศราวณะมองนิ้วเรียวยาวที่ยังเคาะกับโต๊ะไม้เชอร์รีแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อก ทำไมเธอมองแล้วถึงรู้สึกเหมือนกำลังมองไดโนเสาร์พันธุ์แรปเตอร์เคาะนิ้วกับพื้นขณะไล่ล่าเหยื่อก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ เธอไม่ชอบความรู้สึกของการเป็น ‘เหยื่อ’

                “ลาสเวกัส เราจะบินไปแต่งงานที่นั่น

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น