5
วาระปรับตัว
หนึ่งสัปดาห์เต็มของการพาหลานเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์กับพอล คือช่วงเวลาที่ศราวณะสัมผัสกับนิยามของคำว่ายุ่งเหยิงอย่างแท้จริง กระเป๋าเสื้อผ้าที่อันตรธานไปในวันแรก ยังไร้วี่แววว่าจะได้คืน เมื่อทนอยู่ชุดเดิมไม่ไหว หญิงสาวจึงต้องกัดฟันสวมเสื้อผ้าที่เขาสั่งให้ไปเปอร์ซื้อหามาให้ เสื้อผ้าแบรนด์เนมที่เธอแอบส่องราคาในอินเทอร์เน็ตทำเอาตาค้างไปหลายสิบรอบ ว่าที่สามีทางนิตินัยของเธอใช้เงินเก่งพอๆ กับการหา และดูเหมือนเขากำลังยัดเยียดรสนิยมเลิศหรูดูแพงให้แก่เธอทั้งทางตรงและทางอ้อม
แต่ละวันที่เห็นเธอใส่ชุดใหม่ พอลจะชมว่า ‘Classy’ หรือ ‘Sophisticated’ ซึ่งกลายเป็นคำชมติดปากของเขา แถมโรคชมไม่เลิกยังลามไปถึงบรรดาคนรับใช้กับบอดีการ์ด ราวกับเขาแพร่เชื้อไวรัสให้ทุกคนเป็นไปด้วย เธอฟิวส์ขาด เผลอเหวี่ยงวีนใส่เขาหลายครั้งที่เขาทำให้คนทั้งคฤหาสน์รู้สึกว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ในฐานะพี่เลี้ยงของอลิซ แต่พอลสวนกลับมาหน้าตายว่าเรื่องการจดทะเบียนจะเป็นความลับ แต่หากคนในคฤหาสน์จะมองว่าเขาถูกตาต้องใจ อยากสานสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับเธอ ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ไปเปอร์กลายเป็นทั้งเพื่อนใหม่ ที่ระบาย และที่ปรึกษาของเธอ ในยามที่เครียดจนเส้นเลือดในสมองแทบแตก สาวรุ่นพี่จะคอยสรรหาเรื่องมาเล่าเพื่อเรียกรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะของเธอ หลายครั้งที่เธอคุยกับไปเปอร์แล้วนึกถึงพี่สาวคนรองที่หายไป
“ฉันรู้แล้วละค่ะว่าคุณนิสัยเหมือนใคร” ศราวณะเอ่ยขึ้นระหว่างที่นั่งคุยกันในเพลย์รูมของหนูน้อยอลิซ
“ใครคะ” ไปเปอร์เอียงคอถามอย่างน่ารัก
“พี่สาวของฉันค่ะ คุณนิสัยคล้ายเธอมาก” เพียงนึกถึงศศินาราขณะมองหลานสาวที่กำลังเล่นป้อนนมตุ๊กตา น้ำตาก็คลอเต็มเบ้า เธอไม่ได้ร้องไห้มาหลายวันแล้ว เพราะวุ่นวายกับสารพันปัญหาในแต่ละวัน ไหนจะโปรแกรมที่พอลยัดเยียดให้จนไม่มีเวลาเศร้า
“ฉันเสียใจเรื่องแจนจริงๆ ค่ะ” มือของคนพูดยื่นมากุมมือของคนฟัง ซึ่งรีบปาดน้ำตาเหมือนกลัวหลานจะหันมาเห็น
“ช่างเถอะค่ะ ฉันกับที่บ้านเริ่มทำใจได้แล้ว” การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเกินสามวัน โดยไม่มีใครติดต่อมาหาเธอหรือพอลเลย ตีความได้อย่างเดียว ว่าคนที่ลักพาตัวคงจัดการเก็บศศินาราแบบไม่หลงเหลือหลักฐานให้ตามแล้ว แม้พอลจะจ้างทั้งนักสืบ รวมถึงประกาศให้รางวัลผู้ที่ให้เบาะแส ทั้งทางโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ และสื่อทุกแขนง แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ส่วนใหญ่มีแต่คนที่ติดต่อมาให้เบาะแสปลอมเพื่อหวังเงินรางวัล
“ตราบใดที่ยังไม่เห็นศพหรือหลักฐานว่าแจนเสียชีวิต มิสก็ควรจะเหลือความหวังไว้ในมุมเล็กๆ ของหัวใจนะคะ”
“คุณเป็นพี่สาวให้ฉันได้ไหมคะไปเปอร์ ฉันรู้ว่าต้องเข้มแข็งเพื่อหลาน แต่บางครั้งฉันก็รู้สึกว้าเหว่ โดดเดี่ยวอย่างบอกไม่ถูก” หญิงสาวเช็ดน้ำตาป้อยๆ
“ถือเป็นเกียรติสำหรับฉันอย่างยิ่งค่ะ” ไปเปอร์โอบกอดน้องสาวคนใหม่ด้วยความสงสารจับใจ แต่ก่อนที่จะสรรหาคำมาปลอบประโลมได้ ตาก็เหลือบเห็นร่างสง่าผ่าเผยของเจ้านายที่หน้าประตู เธอไม่รู้ว่าพอลยืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหนแล้ว แต่สีหน้าท่าทางของเขาบอกว่าไม่สบายใจที่เห็นสาวในดวงใจร้องไห้
“ฉันไม่รู้จะพูดอย่างไรดีค่ะไปป์ บางทีฉันก็อึดอัด ทรมานเหมือนคนกำลังจะจมน้ำตาย ฉันอยากกลับบ้านไปกอดพ่อแม่ อยากพาอลิซกลับไปหาทุกคน แต่ก็ยังทำไม่ได้ ฮือๆๆ พ่อกับแม่ก็ยื่นขอวีซาไม่ผ่าน เหมือนทุกอย่างคอยซ้ำเติมครอบครัวเรา” หญิงสาวหลับหูหลับตาพรั่งพรูความรู้สึกที่กัดเซาะหัวใจมานับสัปดาห์
ไม่กี่วันก่อน บิดามารดาของเธอส่งข่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่าวีซาถูกปฏิเสธ ทางสถานทูตให้เหตุผลว่ายื่นขอวีซาท่องเที่ยว แต่ตอนให้สัมภาษณ์บอกว่าจะมาเยี่ยมบุตรสาวกับหลาน คนของสถานทูตแนะนำว่าหากต้องการมาเยี่ยมเธอกับหลานให้ขอวีซาเยี่ยมญาติแทน แต่เธอไม่รู้จะเริ่มต้นบอกพอลอย่างไร เพราะทุกวันนี้ก็รู้สึกเหมือนติดหนี้บุญคุณเขา แม้บุพการีจะยิ้มผ่านวิดีโอคอลบอกว่าไม่เป็นไร และจะรอเธอกับอลิซอยู่ที่เมืองไทย แต่แววตาของทั้งคู่ก็ปิดความผิดหวังไว้ไม่มิด
“อย่าเพิ่งคิดมากนะคะ มิสเตอร์ไวส์แมนใจดี เขาแคร์ความรู้สึกของมิสมาก ฉันเชื่อว่าพอทำเรื่องแต่งงาน เปลี่ยนสถานะวีซาให้มิสแล้ว เขาจะต้องพามิสกับคุณหนูกลับไปเยี่ยมทุกคนที่เมืองไทยแน่นอนค่ะ” ไปเปอร์ปลอบพลางส่งสายตาเว้าวอนให้เจ้านายซึ่งสีหน้าท่าทางตอนนี้เดายากเหลือเกินว่าเห็นด้วยหรือต่อต้าน
“ไม่จริงหรอกค่ะ ทุกวันนี้เขาบงการชีวิตของฉัน โดยไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าฉันรู้สึกอย่างไร ฉันไม่ใช่เด็กเหมือนอลิซนะคะ ฉันโตพอที่จะคิดเองได้แล้ว แต่เขาทำเหมือนฉันเป็นเด็กที่ต้องอยู่ในโอวาทของผู้ปกครองตลอด”
ไปเปอร์เหลือบมองเจ้านายสุดหล่อซึ่งเริ่มหน้าตึง “เอ่อ...ฉันว่ามิสเข้าใจผิดมากกว่าค่ะ ที่มิสเตอร์ไวส์แมนให้ฉันหาเสื้อผ้าใหม่ให้มิส ให้พาเข้าสปา ตรวจสุขภาพอย่างละเอียด และให้ไปหาหมอฟัน เพราะเขาอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดกับมิสเท่านั้นเองค่ะ”
“แต่ฉันรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษมากกว่าเป็นเจ้าหญิงค่ะ แค่ออกไปข้างนอก เขายังให้คนคอยตามประกบถึงสองคน”
“นั่นก็เพื่อความปลอดภัยของมิสกับคุณหนูเท่านั้นค่ะ มิสต้องเข้าใจนะคะว่าการสูญเสียเจกับแจนไปกระทบต่อความรู้สึกของมิสเตอร์ไวส์แมนมาก เขาให้สัญญากับเจว่าจะดูแลคุณหนูให้ดีที่สุด คิดดูสิคะว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมิสและคุณหนู เขาจะรู้สึกอย่างไร” ตาของคนพูดเหลือบมองเจ้านาย ซึ่งขยิบตาข้างหนึ่งให้เหมือนจะบอกว่า ‘เยี่ยมยอด’
“อังเกิล!”
เสียงร้องเรียกในอารามตื่นเต้นดีใจของอลิซ ส่งผลให้ศราวณะผละออกจากบ่าของพี่สาวคนใหม่ เธออ้าปากหวอเมื่อมองตามหลานซึ่งวิ่งไปให้ผู้ที่เรียกว่าลุงอุ้ม
“คิดถึงจังเลยคนสวย เล่นอะไรอยู่หืม” พอลหอมแก้มขาวอมชมพูฟอดใหญ่ ก่อนเอียงแก้มให้แม่หนูน้อยหอมบ้าง
“ตุ๊กตา หม่ำ” แม่หนูน้อยตอบเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆ
“ทำไมอลิซปล่อยให้ซาร่าห์ร้องไห้แบบนั้นหืม ถ้าเห็นซาร่าห์ร้องไห้งอแงอีก ต้องกอดและหอมให้กำลังใจนะครับ” เขาทำทีเป็นสอนหลานซึ่งหันไปมองน้าสาวด้วยแววตาใสซื่อระคนสงสัย
“ซาร่าห์ ร้องไห้”
เสียงใสๆ นั้นทำเอาศราวณะยิ้มทั้งน้ำตา แม้จะนึกขัดใจอยู่บ้างที่สามวันมานี้อลิซเริ่มเปลี่ยนมาเรียกเธอว่าซาร่าห์ตามเขา แทนการเรียกว่าน้าเหมือนเมื่อก่อน
“น้าไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
“อลิซอยากทานไอศกรีมไหมครับ ถ้าอยากก็ไปกับไปป์เลย” ชายหนุ่มถามความเห็นของคนในอ้อมแขน แม่หนูน้อยอ้าแขน แล้วโถมตัวเข้าสู่อ้อมแขนของไปเปอร์อย่างไม่ลังเล พอลรอกระทั่งสองสาวต่างวัยออกจากห้องได้เกือบนาที จึงเดินไปทรุดนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับสาวขี้แย
“จัดกระเป๋าเรียบร้อยหรือยัง” เขาถามเพราะเห็นว่าพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางไปลาสเวกัส
“ค่ะ” ศราวณะตอบสั้นๆ รู้สึกพิพักพิพ่วนอย่างบอกไม่ถูกที่เขาเข้ามาเห็นเธอร้องไห้ฟูมฟายกับเลขานุการ
“ทำไมไม่บอกผมว่าพ่อแม่ของคุณขอวีซาไม่ผ่าน” พอลอยากรวบเธอมากอดปลอบขวัญ แต่ต้องหักห้ามใจไว้เพราะอยากคุยให้รู้เรื่องก่อน
“ถึงบอกก็ไม่ทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงหรอกค่ะ”
“ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอซาร่าห์ ว่าถ้าวีซาไม่ผ่าน ผมจะเป็นคนทำเรื่องขอวีซาให้เอง” เขาถอนใจยาว “แต่ช่างเถอะ พอเราแต่งงานกันและปรับสถานะของคุณเสร็จ ผมจะพาคุณกับอลิซบินไปเยี่ยมพวกเขาที่เมืองไทยทันที”
“จะ...จริงเหรอคะ คุณไม่ได้ให้ความหวังลมๆ แล้งๆ ใช่ไหม” ความวาดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาดำขลับที่พอลเห็นแล้วถึงกับด่าตัวเองในอก ที่ทำให้เธออยู่อย่างคนสิ้นหวังมาทั้งสัปดาห์
“ผมสัญญา” นักการเงินหนุ่มยิ้มอ่อนโยน จ้องคนฟังนิ่งนานดั่งจะให้ดวงตาเป็นหน้าต่างสะท้อนความจริงจากใจทั้งสี่ห้อง
“ขอบคุณค่ะ เอ่อ...ฉันไม่รู้ว่าเมื่อกี้คุณได้ยินอะไรบ้าง” หญิงสาวเอ่ยแก้กระดาก หลุบตาลงต่ำอย่างอึดอัด เพราะสบตากันทีไร อัตราการเต้นของหัวใจเป็นต้องถี่กว่าเดิมหลายเท่า
“ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบกฎเกณฑ์ที่ผมสร้างขึ้น แต่ที่ผมทำไปทั้งหมด ล้วนก่อให้เกิดผลดีกับคุณและอลิซทั้งนั้น” มือหนาเอื้อมมากุมมือนุ่มนิ่มของคนฟัง คลึงหลังมือขาวผ่องด้วยท้องนิ้ว “ผมกับเจอาจไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกัน แต่เชื่อเถอะว่าผมรักเขาเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง คุณเองก็เสียพี่สาวไป คงเข้าใจใช่ไหมว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน ถ้าเกิดเรื่องทำนองเดียวกันกับคุณหรืออลิซ ผมคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต”
ศราวณะฟังช่วงท้ายประโยคแล้วทำตาปริบๆ รู้สึกได้ทันทีว่าเลือดในกายสูบฉีดมากผิดปกติ พวงแก้มกับลำคอของเธอร้อนผ่าว ผิดกับมือที่เย็นเฉียบขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน ไม่ว่าจะตีความอย่างไร มันก็ฟังดูเหมือนคำสารภาพรัก ทั้งที่คำว่า ‘รัก’ ไม่ได้แทรกอยู่ในประโยคดังกล่าวเลยสักนิด
“ฉันขอโทษที่ตีความการกระทำของคุณผิดไปค่ะ” ยาชูกำลังที่ดีของเธอคือการได้รู้ว่าเขาจะพากลับไทยหลังการปรับสถานะ แม้จะยังไม่รู้วันเวลาที่แน่นอน แต่เธอมั่นใจว่าต้องภายในปีนี้
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ผมเองก็ผิดที่ปล่อยให้คุณตีความเองโดยไม่ยอมอธิบายให้ฟังโดยละเอียด เอาเป็นว่าเราหายกันนะ” น้ำเสียงออดอ้อนมาพร้อมกับการเกี่ยวก้อยตัวเองกับนิ้วก้อยน้อยๆ ของคนฟัง ซึ่งแม้จะยังก้มหน้า แต่เขาก็เห็นว่าอมยิ้มอยู่
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับอย่างว่าง่าย ทว่าพอจะดึงนิ้วก้อยออก เขากลับไม่ยอมคลายนิ้วออก ศราวณะจึงช้อนตาขึ้นมอง หมายจะส่งสัญญาณบอกเขาว่ากำลังทำให้เธออึดอัด
“ไหนๆ เราก็จะแต่งงานกันแล้ว เป็นไปได้ไหมที่จะให้อลิซเปลี่ยนมาเรียกเราสองคนว่าพ่อแม่”
“พ่อ! แม่!” คนพูดตาโตเป็นไข่ห่าน
“อลิซเป็นลูกบุญธรรมของผม อีกหน่อยก็จะเป็นลูกบุญธรรมของคุณ มันเหมาะแล้วที่อลิซจะเรียกเราสองคนแบบนั้น เพื่อนผมที่เป็นหมอบอกว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เด็กปรับตัวกับอะไรใหม่ๆ ได้เร็ว ผมอยากให้อลิซสนิทใจว่าเราคือพ่อกับแม่ของเธอ เธอจะได้ไม่ขาดความรักความอบอุ่น” น้ำเสียงกับใบหน้าของเขาเครียดขรึม แสดงให้เห็นว่าเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก
“มะ...มันไม่เร็วไปเหรอคะ” ผู้ชายคนนี้ตัดสินใจและทำอะไรรวดเร็วเสียจนเธอหัวหมุน ในขณะที่เธอมัวแต่คิดเรื่องแต่งงาน แต่เขาคิดล่วงหน้าไปไกลกว่าแล้วหลายโยชน์ ไม่แปลกเลยที่ใครๆ ต่างชมว่าเขาเป็นนักธุรกิจผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
พอลส่ายหน้า ขยับเข้าใกล้จนท่อนขาแข็งแรงสัมผัสกับท่อนขาของคนฟัง มือขวายกขึ้นพาดกับพนักโซฟา
“ไม่เลย ในความรู้สึกของผม...มัน...ช้ามาก เราควรจะเริ่มกันตั้งหลายวันแล้ว” ใบหน้าคมคายยื่นเข้าไปกระซิบใกล้ใบหูคนฟัง จงใจดัดเสียงให้แหบต่ำราวเสียงกระเส่า และพูดให้ฟังดูสองแง่สองง่ามมากที่สุด ดูเหมือนแผนกระตุ้นอารมณ์สาวเล็กๆ น้อยๆ จะได้ผล เพราะนอกจากขนอ่อนบริเวณต้นคอของศราวณะจะลุกพรึ่บแล้ว แก้มขาวผ่องกับใบหูยังแดงก่ำขึ้นมาแสดงความอุธัจ
“เอ่อ...ฉะ... ฉันขอตัวไปดูหลานก่อนนะคะ อุ๊ย!” เธอใจหายวาบเมื่อจังหวะที่ลุกขึ้นจากโซฟา แล้วถูกเขารวบเอวกึ่งลากลงไปหา เธอดิ้นขลุกขลัก ตัวสั่นงันงกอยู่บนตักกว้าง ยามที่อีกฝ่ายใช้พละกำลังที่เหนือกว่ากอดกระชับจนขยับตัวไม่ได้
“คุณคิดจะทำอะไร เราตกลงกันแล้วนะคะว่าคุณจะไม่ยุ่งกับฉัน”
“ผมจำได้น่าก๊อดเดส แค่อยากลงโทษที่คุณความจำสั้นเท่านั้นเอง” พอลหัวเราะในลำคอ กดริมฝีปากกับต้นคอหอมกรุ่นอย่างมันเขี้ยว
“ความจำสั้นเรื่องอะไรคะ” ศราวณะย่นคอหนีสัมผัสจากปากอุ่น กระนั้นก็ยังขนลุกพรึ่บ การใกล้ชิดแบบถึงเนื้อถึงตัวจนได้กลิ่นโคโลญที่เขาใช้ มันพาให้เธอปั่นป่วนในช่องท้องอย่างบอกไม่ถูก
“อลิซจะเรียกเราว่าปะป๊า แดดดี๊ มัมมี้ คุณป๋า หม่ามี้ หรืออะไรก็ได้ แต่ขณะเดียวกัน เราสองคนก็ต้องเรียกอลิซว่าลูก ไม่ใช่หลาน คราวหน้าถ้าผมได้ยินคุณเรียกลูกว่าหลาน บทลงโทษจะหนักกว่านี้” ปากร้อนคลอเคลียกับต้นคอของคนบนตักไม่ห่าง
“คุณสัญญาแล้วว่าจะไม่ยุ่งกับฉัน!”
“ไม่ฝืนใจลากขึ้นเตียง ยกเว้น...คุณจะเต็มใจ แต่เรื่องกอดจูบลูบคลำนี่ มันไม่ได้อยู่ในข้อตกลงเลยนะก๊อดเดส ฉะนั้นผมมีสิทธิ์ลงโทษเวลาที่คุณทำผิดหรือทำตัวงี่เง่า” สีหน้าของนักการเงินหนุ่มกรุ้มกริ่ม ผิดกับคนฟังที่มองตอบอย่างตกตะลึง
นาทีต่อมา พอลก็หัวเราะลั่นห้องเพลย์รูม ยอมปล่อยมือจากเอวคอด มองก้นงามงอนที่เด้งขึ้นจากตักราวกับติดสปริงด้วยแววตารื่นรมย์ “ผมล้อเล่นน่า อย่าทำหน้าเหมือนคนเห็นผีอย่างนั้นสิ”
“ฉันไม่สนุกกับวิธีการล้อเล่นแบบนี้หรอกนะคะมิสเตอร์ไวส์แมน แล้วถ้าฉันพูดหรือทำอะไรผิด แค่คุณบอกดีๆ ฉันก็เข้าใจ ไม่ต้องถึงเนื้อถึงตัวกันแบบเมื่อกี้อีก”
“แค่กอดนิดหอมหน่อย อย่าโวยวายเหมือนสาวบริสุทธิ์ได้ไหมซาร่าห์” พอลสัพยอก ก่อนจะหรี่ตาลงเมื่อเห็นสีหน้าตื่นๆ เหมือนเด็กทำผิดแล้วโดนจับได้ของเธอ “กู๊ดเนส! อย่าบอกนะว่าคุณยัง...โอ้ มายกอด”
“มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ!” สาวเวอร์จิ้นตวาดใส่ด้วยใบหน้าแดงก่ำ แล้วแจ้นออกจากห้องราวกับกำลังหนีโจรบ้ากาม
บ้าเอ๊ย ! เธอจะซิงหรือไม่ซิง มันก็ไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย ทำไมต้องมองเหมือนเธอเป็นไดโนเสาร์ที่โผล่มาในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดด้วย
อลิซนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาน์เตอร์กลางห้องครัว แม่หนูน้อยรับประทานไอศกรีมอย่างเอร็ดอร่อย โดยมีเปปเปอร์กับไปเปอร์อยู่ด้วย สองแฝดยิ้มให้เธอเช่นทุกครั้ง แต่เป็นยิ้มคนละแบบ ไปเปอร์ยิ้มกว้าง เปิดเผยนิสัยแห่งความมั่นอกมั่นใจและตรงไปตรงมา ส่วนแฝดผู้น้อง ยิ้มไม่เห็นฟันอย่างที่ชอบทำบ่อยๆ บ่งบอกความเป็นคนชอบเก็บตัว ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง
“ทานไปกี่สกูปแล้วจ๊ะ” ศราวณะยีผมสีดาร์กช็อกโกแลตของแม่ตัวน้อยอย่างเอ็นดู
“สองค่ะ ฉันบอกคุณหนูว่ามิสอนุญาตให้ทานแค่นั้น” เปปเปอร์ตอบยิ้มๆ “มิสชอบทานเครปไหมคะ ถ้าชอบ พรุ่งนี้เช้าฉันจะทำเครปสตรอว์เบอร์รีให้ทาน”
“ฉันเคยทานแต่เครปญี่ปุ่นค่ะ ไม่รู้ว่าเหมือนกันหรือเปล่า แต่ฉันมั่นใจว่าต้องชอบ คุณทำอาหารอร่อยทุกอย่าง เสียดายที่ฉันไม่เป็นผู้ชาย” คนพูดทำหน้าเซ็ง
“หมายความว่าอย่างไรคะ” สองแฝดถามขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“คนไทยเรียกผู้หญิงที่ทำอาหารเก่งว่ามีเสน่ห์ปลายจวักค่ะเป๊ป ผู้หญิงประเภทนี้ถือเป็นภรรยาที่สมบูรณ์แบบ ผู้ชายคนไหนได้แต่งงานด้วยจะหลงเสน่ห์รสมือจนไปไหนไม่รอด ฉันเลยเสียดายที่ไม่ได้เป็นผู้ชาย เพราะคุณจะเป็นเป้าหมายที่ฉันพุ่งเข้าหาแบบดับเครื่องชนเลยละ”
หญิงสาวพูดจบก็หัวเราะประสานเสียงกับสองแฝดอย่างครื้นเครง
“แล้วคุณล่ะซาร่าห์ มีเสน่ห์ปลายจวักไว้มัดใจ ‘สามีในอนาคต’ บ้างไหม”
สามสาวพร้อมใจกันหันขวับไปทางโถงเชื่อมห้องครัวกับห้องสันทนาการ ปื้นคิ้วหนาเหนือดวงตาคมกล้าของคนถามซึ่งเลิกขึ้นสูงขณะเขม้นมองศราวณะทำเอาสองแฝดถึงกับยิ้มขำ ทุกคนในคฤหาสน์ดูออกตั้งแต่วันแรกที่พอลพาสาวไทยมาที่นี่แล้วว่าเขาจ้องจะงาบเธอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ได้ยินเขากระเซ้าเย้าแหย่สาวหน้าหวานทำนองนี้
“ไม่มีค่ะ” ศราวณะเชิดหน้าโกหก หวังว่ารู้แล้วเขาจะเลิกวอแวเสียที
“เสียดายจัง” คนพูดแสร้งตีหน้าเศร้า ทว่าพอเห็นดวงตาไหวระริกเหมือนยินดีปรีดาของสาวขี้จุ๊ ก็ยักไหล่หนาข้างหนึ่งราวกับไม่แยแส “แต่ก็นั่นแหละ ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่มองหาสาวที่มีคุณสมบัติแบบนั้น”
“เหรอคะ ฉันนึกว่าคนที่จะมาเป็นภรรยาของคุณต้องเป็นพวกเพอร์เฟกชันนิสต์เหมือนคุณเสียอีก” หญิงสาวมิวายต่อปากต่อคำในเชิงกระแทกแดกดัน ทุกคนที่นี่กลัวเขาหงอ แต่ไม่ใช่เธอแน่นอน
“ผมเพิ่งรู้ตัวนะเนี่ยว่าเป็นพวกเพอร์เฟกชันนิสต์” พอลทำหน้าเหลอ สืบเท้าเข้าครัว แล้วเลือกนั่งเก้าอี้ข้างเด็กหญิงอลิซ เขาคว้ากระดาษทิชชูมาเช็ดมุมปากให้แม่หนูน้อย พร้อมกับส่งสายตาตำหนิให้แฝดสาวที่ปล่อยให้ไอศกรีมเลอะแนวคางของลูกบุญธรรม
ศราวณะเผลอทำเสียงหึในลำคอ ถ้าเปรียบว่าที่สามีของเธอกับสายกีตาร์ เขาก็ถูกขึงจนตึงเปรี๊ยะ ดีดทีสองทีก็คงขาด
“ไปป์ เป๊ป ฉันเป็นอย่างที่ซาร่าห์พูดเหรอ” เขาถามความเห็นจากแฝดผมแดง พอทั้งคู่พร้อมใจกันส่ายหน้า ก็เจือยิ้มเยาะเย้ยว่าที่ภรรยา “เห็นหรือยังล่ะคัปเค้กว่าผมไม่ใช่พวกเพอร์เฟกชันนิสต์เลย”
“แค่อลิซกินเปื้อนนิดเปื้อนหน่อยคุณยังทำตาเขียวตำหนิพวกเธอ แล้วอย่างนี้ใครจะกล้าเห็นต่างจากคุณคะ” ในเมื่อสองแฝดไม่กล้ามีปากเสียง เธอนี่ละจะเรียกร้องสิทธิเสรีภาพทางการพูดแทนลูกจ้างของที่นี่
“ผมแค่ไม่ชอบที่เสื้อของลูกเปื้อน มันไม่ได้หมายความว่าผมเป็นพวกเพอร์เฟกชันนิสต์เสียหน่อย”
“คุณใช้ผ้าเช็ดหน้าวันละสามผืน เสื้อผ้ากับรองเท้าต้องดูเนี้ยบอยู่ตลอดเวลา วันก่อนแม่บ้านรีดแขนเสื้อไม่คมพอ คุณเรียกมาตำหนิอย่างกับเธอทำแจกันสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ตกแตก”
คราวนี้คนถูกต่อว่าถึงกับกลอกตาบน “ผมมีสิทธิ์ตำหนิเพราะเธอทำงานไม่ได้มาตรฐาน คุณอาจเห็นว่านั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับผมมันไม่ใช่เลยซาร่าห์ ผมเป็นเจ้าของสถาบันการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของนิวยอร์ก ภาพลักษณ์ภายนอกจึงสำคัญมาก แต่ละวันผมเจอผู้คนมากหน้าหลายตา หลากสาขาอาชีพ มันจำเป็นที่ผมต้องดูภูมิฐาน น่าเชื่อถือในสายตาของพวกเขา”
“โอเค เรื่องนั้นฉันเข้าใจแล้วค่ะ แต่คุณจะว่าอย่างไรกับการให้แม่บ้านเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่มทุกวัน แถมยังให้อลันเอารถไปล้างทุกเย็นคะ” มุมปากผู้พูดบุ๋มลงเล็กน้อย แลดูทั้งน่ารักและน่าหมั่นไส้ ทำเอาพอลอยากกระชากเข้ามาปล้ำจูบปากช่างเจรจาให้หายมันเขี้ยว
“นั่นเพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีของผมต่างหาก” ชายหนุ่มถลึงตาใส่ไปเปอร์ซึ่งส่งยิ้มล้อเลียน
ศราวณะเม้มปากแน่น ถึงขนาดนี้แล้วยังปฏิเสธหน้าตายอีกนะว่าไม่ใช่พวกเพอร์เฟกชันนิสต์ ขนาดโรงแรมทั่วไปยังไม่เปลี่ยนผ้าปูกับผ้าห่มให้แขกที่นอนหลายคืนทุกวันเลย ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งเห็นใจแม่บ้านที่ต้องทนอยู่กับความโอเวอร์ของเขา
“คุณไม่คิดว่านั่นเป็นอาการอย่างหนึ่งของ OCD เหรอคะ”
คราวนี้พอลถึงกับเม้มปากเป็นเส้นตรง ไม่ชอบใจที่เธอสวมวิญญาณหมอ วินิจฉัยพฤติกรรมของเขาว่าเข้าข่ายของคนเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ “ผม-ไม่-มี-ปัญหา Obsessive Compulsive Disorder ซาร่าห์”
“แต่คุณบ้าความเนี้ยบถึงขนาดให้แม่บ้านรีดกางเกงใน!” ศราวณะปล่อยไม้เด็ดที่ทำเอาสองแฝดหัวเราะทั้งน้ำตา
ส่วนพอลนั้นไม่ต้องพูดถึง โหนกแก้มของเขาแดงเถือกลามไปถึงลำคอและใบหู
เขาโกรธ...
หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความอึมครึมนับตั้งแต่ทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าลูกจ้างทั้งคู่ ช่างสิ...เขาให้แม่บ้านทำแบบนั้นจริงนี่นา เธอไม่ได้ทำตัวสอดรู้สอดเห็น แต่ดันเจอเต็มสองลูกตาตอนเอาตะกร้าเสื้อผ้าลงมาซักเมื่อสามวันก่อน คุณแม่บ้านวัยกลางคนรีดกางเกงในยี่ห้อดังของเจ้านายอย่างขมีขมัน เห็นแล้วเธอก็ถึงกับคันปาก โพล่งถามออกไปว่าทำไมต้องรีด คำตอบที่ได้รับจากแม่บ้านคือ มิสเตอร์ไวส์แมนสั่งค่ะ
หลังจากรับประทานอาหารเย็น พอลก็หายเข้าห้องทำงาน ไม่ชวนเธอกับอลิซดูหนังที่ห้องโฮมเธียเตอร์เหมือนวันก่อนๆ ระหว่างที่กินด้วยกัน เขาก็พูดน้อย แทบไม่สบตาเลยด้วยซ้ำ จนเธอร่ำร่ำจะถามไปว่ายังอยากบินไปลาสเวกัสหรือเปล่า ทว่าพอคิดว่านั่นเป็นแค่การแต่งงานเพียงในนาม แถมเธอยังเป็นว่าที่ภรรยาที่ใจกว้าง อนุญาตให้ว่าที่สามีไปกกอีหนูได้ทุกเมื่อ จึงไม่คิดจะถามให้เขาคิดว่าง้อ
อลิซออดอ้อนเธอเป็นพิเศษ ราวกับล่วงรู้ว่าจะไม่ได้เจอกันสามวัน เธอเองก็อยากพาหลานไปด้วยใจแทบขาด แต่ไม่กล้าแย้งเมื่อพอลบอกว่าลาสเวกัสไม่ใช่ที่สำหรับเด็กเล็ก
“น้าไม่อยู่เกือบสามวัน อลิซเป็นเด็กดี อย่างอแงมากนะคะลูก” หญิงสาวเอ่ยระหว่างยืนเข่าแปรงผมให้แม่หนูน้อยหน้าโต๊ะเครื่องแป้งขนาดจิ๋ว มองดวงหน้าจิ้มลิ้มที่สะท้อนอยู่ในกระจกก็ยิ่งกังวลไปสารพัด ถึงช่วงนี้หลานจะไม่ได้ติดเธอเป็นตังเมเพราะคุ้นเคยกับทุกคนที่คฤหาสน์ แต่ก็กลัวว่าหากตื่นมาแล้วไม่เห็นหน้า จะคิดว่าเธอไปแล้วไปลับเหมือนเจสันกับศศินารา
“ซาร่าห์ ร้องไห้” อลิซเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆ นั่นทำให้น้าสาวรู้สึกตัว รีบปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มแล้วยิ้มกลบเกลื่อน
“ขอโทษค่ะ น้าแค่คิดอะไรไม่เข้าท่าเท่านั้นเอง น้ารักอลิซนะคะ” เธอกอดหลานสาวที่วาดมือป้อมๆ มากอดตอบ
“เลิฟ” เสียงใสปานระฆังแก้วบอกคำรักตอบ
“ค่ะ เลิฟ” ศราวณะผละออกเล็กน้อย ย้ำความรู้สึกข้างในด้วยการแตะฝ่ามือเข้าที่อกตัวเองขณะพูดคำว่า “I” จากนั้นขยับแขนขึ้นสูงสุดพร้อมกับพูดว่า “LOVE” และท้ายสุดวางฝ่ามือลงที่อกของแม่หนูน้อยพร้อมกับเปล่งคำว่า “YOU”
เด็กหญิงอลิซพูดและทำแบบเดียวกันเป๊ะ ทำเอาน้าสาวซึ่งสอนให้บอกรักแบบนี้มาหลายวัน ปรบมือให้นับสิบครั้ง เป็นรางวัลของความฉลาดแสนรู้
หญิงสาวเล่นกับหลานจนสามทุ่มเศษจึงพาเข้านอน หลังจากนั้นก็กลับห้องตัวเองเพื่อทำกิจวัตรเดิมๆ นั่นก็คือการวิดีโอคอลหาบุพการี ส่งข่าวเรื่องที่พอลสัญญาว่าจะพาเธอกับหลานไปเมืองไทยหลังจากการปรับสถานะวีซา ต่อด้วยการล็อกอินเข้ากลุ่มไลน์เพื่อถามสารทุกข์สุกดิบของเพื่อนสนิท อันประกอบด้วย ณัฐวุฒิ เปรมกมล เหมือนฝัน นิตยา และนีรนารถ
ณัฐวุฒิ หรือแนตตี้ คือเกย์ควีนที่กำลังอินเลิฟแบบสุดติ่งกระดิ่งแมวกับหนุ่มตาน้ำข้าวชาวเนเธอร์แลนด์ นัยว่าแฟนรักหลงถึงขนาดกำลังทำเรื่องยื่นขอวีซาเพื่อจะพาไปให้พ่อแม่ดูตัว
เปรมกมล หรือเปรม กำลังเปรมสมชื่อ เพราะแฟนหนุ่ม เจ้าของสำนักพิมพ์ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของไทยเพิ่งคุกเข่าขอแต่งงาน
เหมือนฝัน หรือฝัน ทำฝันของตัวเองได้สำเร็จ เพราะนิยายแนวพีเรียดเล่มแรกที่ตีพิมพ์ ยอดขายถล่มทลายจนได้รับการพิมพ์ซ้ำถึงแปดรอบภายในเดือนเดียว และค่ายละครที่โด่งดังด้านการทำละครพีเรียด เพิ่งติดต่อมาขอซื้อลิขสิทธิ์ไปทำละคร
นิตยา หรือยา ซึ่งแต่งงานเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ตั้งครรภ์ได้แปดสัปดาห์ ถูกสามีขอร้องกึ่งบังคับให้ลางานออกมาอยู่บ้านเฉยๆ เพราะกลัวภรรยาจะเครียดและพานพักผ่อนไม่เพียงพอ
นีรนารถ หรือนารถ เพิ่งฉลองวันเกิดอายุครบ 24 ปีไปเมื่อสองวันก่อน แม้จะไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน แต่นักแปลสาวก็ได้รับช่อดอกไม้กับเค้กวันเกิดจากหนุ่มหลายคน
ในบรรดาเพื่อนทั้งห้า นีรนารถคือคนที่เธอคบหายาวนานที่สุด เพราะเรียนมัธยมในโรงเรียนประจำจังหวัดด้วยกัน นีรนารถมาจากครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง บิดามารดามีร้านอาหารเล็กๆ ใกล้สถานีขนส่งของกาญจนบุรี แม้ผิวจะคล้ำกว่าเธอหลายเฉด แต่เครื่องหน้าสวยคมดั่งสาวพม่า และหน้าอกหน้าใจก็อึ๋มสะดุดตากว่าใคร
นีรนารถเรียนเก่งเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่ชั้นมัธยม และมักจะจับคู่ติวหนังสือสอบกับเธอประจำ เธอกับเพื่อนสนิทสอบติดคณะอักษรศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังในกรุงเทพฯ และเป็นรูมเมตจนกระทั่งเรียนจบ
‘เร็วๆ นี้ นารถคงได้เจอดาวที่อเมริกา’
‘หืม...นารถจะมาเที่ยวเหรอ หรือว่าได้ทุนมาเรียนต่อ’
‘เปล่า นารถจะไปโครงการออแพร์ แต่ก็นั่นแหละ คุยกับโฮสต์มาหลายบ้านแล้ว ยังไม่ค่อยถูกใจเลย บ้านที่ถูกใจก็คุยครั้งเดียวแล้วหายเข้ากลีบเมฆ’
‘เราสองคนนี่มีอะไรที่คล้ายกันตลอดเลยเนอะ ตอนนี้ดาวก็มาเลี้ยงหลาน ส่วนนารถก็จะมาเลี้ยงเด็กกับโครงการออแพร์ หวังว่านารถจะมาอยู่รัฐเดียวกันนะ เราจะได้นัดเจอกันบ่อยๆ’
การรู้ว่าอีกไม่นานเพื่อนสนิทจะมาทำงานที่อเมริกา ทำให้ศราวณะดีใจจนเก็บเอาไปฝัน หญิงสาวตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกตอนหกโมงเช้า ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ยกกระเป๋าเดินทางขนาดกะทัดรัดลงไปชั้นล่าง เธอนั่งจิบกาแฟอยู่เคาน์เตอร์กลางในครัวได้สามอึก มิสเตอร์เพอร์เฟกชันนิสต์ก็โผล่มา
ศราวณะลอบมองร่างสูงเพรียวระหว่างที่เขาพยักหน้าเมื่อคุณพ่อบ้านชาร์ลีถามว่าต้องการรับกาแฟที่นี่กับเธอหรือเปล่า เช้านี้พอลสวมชุดลำลอง สวมเสื้อเบลเซอร์กำมะหยี่สีกรมท่าแบบสลิมฟิตทับเสื้อยืดสีขาวคอวี ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนแบบพอดีตัวสีเดียวกับเบลเซอร์ รองเท้าหนังปลายแหลมสีดำ เข้ากับสีของเข็มขัดหนังจระเข้ เห็นสัญลักษณ์ LV บนหัวเข็มขัดสีเงิน อันย่อมาจากแบรนด์หลุยส์ วิตตอง เธอก็ถึงกับหมั่นไส้ในความแฟชั่นจ๋าของเขา
นอกจากเป็นพวกเพอร์เฟกชันนิสต์แล้ว ว่าที่สามีของเธอยังเป็นแฟชั่นนิสต์ตัวพ่ออีกต่างหาก
“มอร์นิง” ร่างสูงทักทายสั้นกว่าทุกเช้า ใบหน้าเฉยเมยไร้แววขี้เล่น ทว่ากลับทรุดลงนั่งเก้าอี้ข้างกัน และหยิบนิตยสารทางการเงินมาอ่านระหว่างที่รอกาแฟ
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” หญิงสาวไม่คิดจะถามไถ่ว่าสบายดีไหม กลัวเขาจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธอแคร์ความรู้สึกถึงขนาดเป็นเดือดเป็นร้อนกับท่าทีเย็นชา
“คุณกับมิสจะรับอาหารเช้าเวลาเดิม หรือเลื่อนมาเป็นเจ็ดโมงตรงดีครับ” ชาร์ลีถามหลังจากสังเกตเห็นว่าทั้งคู่ต่างคนต่างเงียบๆ
“เลื่อนดีกว่า อลันจะได้ไม่ต้องเร่งมากตอนไปส่งที่แอร์พอร์ต”
“ได้ครับ งั้นผมจะบอกเป๊ปให้เตรียมอาหารเช้าเลย” พ่อบ้านสูงวัยกล่าวเสร็จก็มุ่งหน้าไปยังปีกด้านขวาของคฤหาสน์ ซึ่งนอกจากเป็นเขตอยู่อาศัยของพนักงานแล้ว ยังมีครัวที่บุตรสาวกับเชฟอีกคนใช้ประกอบอาหาร
“ผมสั่งให้ชาร์ลีหาพี่เลี้ยงเด็กมาช่วยดูอลิซหลายวันแล้ว วันนี้จะมีมาสัมภาษณ์สามราย คุณโอเคหรือเปล่า ถ้าชาร์ลีตัดสินเองว่าจ้างใคร” พอลเปรยทำลายความเงียบ ใบหน้ายังไม่แสดงความรู้สึกใดๆ เมื่อคนข้างกายหันมองด้วยท่าทางตระหนกตกใจ
“ทำไมต้องจ้างให้เปลืองเงินทองด้วยคะ ที่นี่คนออกเยอะแยะ ฉันเองก็ไม่ลำบากอะไรที่จะดูแลเธอ” อีกแล้วนะที่เขาทำอะไรข้ามหน้าข้ามตา ไม่ยอมปรึกษาหารือเธอก่อน ทั้งที่มันเกี่ยวกับหลานของเธอโดยตรง
“ทุกคนที่นี่ช่วยดูได้ แต่พวกเขาก็มีหน้าที่ของตัวเอง ส่วนคุณ...นอกจากดูอลิซแล้ว ก็ยังมีงานฟรีแลนซ์อีก” ชายหนุ่มปรายตามองวูบเดียวก็หันไปสนใจกาแฟต่อ “คุณบอกว่าแจนเป็นห่วงที่อลิซพูดช้า ผมเลยให้ชาร์ลีหาพี่เลี้ยงที่เรียนจบด้านการเรียนการสอนเด็กเล็กโดยตรง”
“งั้นก็ขอบคุณค่ะ” เหตุผลสุดท้ายดีเกินกว่าที่ศราวณะจะปฏิเสธ
ทั้งสองต่างคนต่างเงียบจนกระทั่งเปปเปอร์กับบิดานำอาหารเช้ามาเสิร์ฟ รับประทานอาหารเสร็จ หญิงสาวก็แอบขึ้นไปดูหลานก่อนออกเดินทางไปสนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ เคเนนดี ซึ่งห่างจากคฤหาสน์เพียงครึ่งชั่วโมง หลังจากเช็กอินและผ่านจุดตรวจสัมภาระ ซามูเอลก็ขอแวะเข้าร้านหนังสือ ปล่อยให้เธอกับเจ้านายล่วงหน้าไปที่ห้องรับรองผู้โดยสารระดับวีไอพี
ซามูเอลปลีกตัวไปไม่ถึงสองนาที ศราวณะก็ใจเต้นโครมคราม เพราะคนข้างกายคว้ามือของเธอไปกุมไว้แบบไม่มีการเกริ่นอะไรล่วงหน้า เธอพยายามจะดึงมือออก เขาก็เพิ่มแรงกระชับ เอ่ยโดยไม่คิดจะหันมาสบตา
“พรุ่งนี้เราจะแต่งงานกันแล้ว คุณควรทำตัวให้ชินกับการจับมือถือแขนกับผม ไม่งั้นตอนยื่นเรื่องปรับสถานะมันจะไม่เนียน”
“ตะ...แต่จับมือแค่ตอนถ่ายรูปก็ได้นี่คะ” ความเย็นเริ่มคืบคลานสู่มือ เหมือนร่างกายต้องการประกาศให้อีกฝ่ายรู้ว่าประหม่ากับสัมผัสอุ่นร้อนมากแค่ไหน
“กลัวอะไรนักหนา สี่ปีก่อนเราจับมือกันออกบ่อย” มันเริ่มจากการที่เขาตีเนียน ทำเป็นกลัวการข้ามถนนในกรุงเทพฯ เพื่อหาเรื่องจับมือนุ่มเล็ก เขาจำได้ดีว่าช่วงแรกๆ ศราวณะมีท่าทีตกใจ มือเย็นเฉียบเหมือนขณะนี้ แต่พอล่วงเข้าครึ่งหลังของวัน ก็เริ่มชินที่ถูกเขาจูงมือ
น้ำหนักมือที่เพิ่มขึ้นเหมือนต้องการให้เธอเห็นว่าเขาไม่มีทางปล่อย ชวนให้อึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เธอภาวนาให้ซามูเอลรีบตามมา ทว่าพอเข้าไปในห้องรับรองและยังตัดสินกันไม่ได้ว่าจะนั่งตรงไหน พอลก็เอามือมาโอบไหล่
“อยากเห็นคนที่ผมสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังการตายของเจไหม”
เขากระซิบเบาแสนเบา ทว่าน้ำเสียงแฝงความชิงชัง จนคนฟังลืมเรื่องที่กำลังถูกโอบไปชั่วขณะ
“โลแกน มอร์ริส เหรอคะ” ชื่อนี้หลุดจากปากของเธอโดยอัตโนมัติ เนื่องจากได้ยินถี่มากนับแต่พี่เขยเสียชีวิต
“อืม ผู้ชายใส่สูทสีน้ำตาลที่อยู่กับผู้หญิงผมแดงที่ใส่สูทสีขาว โต๊ะใกล้ๆ แกรนด์เปียโน”
“นั่นภรรยาของเขาเหรอคะ” สาวผมแดงคนนั้นสวยเสียจนเธอคิดว่าเป็นดาราหรือนางแบบ
“ใช่ หล่อนชื่ออแมนด้า ลูกสาวอดีตวุฒิสมาชิกของนิวยอร์ก โลแกนผงาดขึ้นมาอยู่แนวหน้าได้ก็เพราะครอบครัวของหล่อนหนุนหลังเต็มที่ ผมเคยอึ๊บหล่อนแล้ว” นักการเงินหนุ่มยักไหล่เล็กน้อย เหยียดยิ้มหยัน และมันเป็นยิ้มที่ทุเรศลูกตาคนมองจนเผลอกระทุ้งศอกเข้ากับสีข้าง
พอลครางอู้ “มันนานมากแล้ว อย่าขี้หึงนักได้ไหมก๊อดเดส”
“ฉันไม่ได้หึงค่ะ ฉันแค่ไม่ชอบยิ้มแสยะเหมือนพวกโรคจิตของคุณ แล้วก็ไม่ชอบที่คุณคิดว่าตัวเองแน่ที่เคยหลับนอนกับเมียของคนอื่น”
“นั่นมันก่อนที่หล่อนจะแต่งงานกับไอ้โลแกน”
เขาเจออแมนด้าในงานฉลองการเกษียณของบิดาเธอที่คฤหาสน์ในเขตโอลด์ เวสต์เบอรี คุยกันไม่กี่คำก็รู้ว่าตาแก่นั่นอยากได้เขาเป็นลูกเขย คืนนั้นอแมนด้าเต้นรำกับเขาหลายเพลง ก่อนจะดึงแกมลากให้ตามไปที่สวนด้านหลัง
อแมนด้ามีเซ็กซ์กับเขาอย่างเร่าร้อน ก่อนที่ผู้เป็นบิดากับแขกวีไอพีคนหนึ่งจะออกมาเห็นภาพโจ๋งครึ่ม เขาถูกเรียกเข้าไปคุยในห้องทำงานของอีกฝ่าย ถูกขู่ให้รับผิดชอบโดยการแต่งงาน แต่เขายืนกรานปฏิเสธ แถมยังตีแสกหน้าบุรุษคราวพ่อว่าอแมนด้าไม่ใช่ผู้ดีใสซื่อที่ถือตัวกับหนุ่มๆ อย่างที่เข้าใจ เพราะเธอเป็นฝ่ายชวนเขาออกมาหาความสุขและขึ้นขย่มเอง
อแมนด้าถูกบิดาตบหน้าฉาดใหญ่ เช่นเดียวกับที่เขาถูกเชิญแกมไล่ออกจากงานเลี้ยง นับจากนั้นเขากับอแมนด้าก็กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
“เพราะคุณเคยนอนกับอแมนด้าหรือเปล่าคะ เขาถึงได้เขม่นคุณ” ศราวณะยอมให้เขาพาเดินไปนั่งโต๊ะโซนเดียวกับผัวเมียคู่นั้น แม้จะรู้ว่าโลแกนอันตราย แต่เธอก็อยากเห็นหน้าของผู้ชายเลือดเย็นคนนั้นใกล้ๆ
“ผมคิดว่าอแมนด้าหรือพ่อของหล่อนไม่น่าจะกล้าเล่าเรื่องน่าอายแบบนั้นให้โลแกนฟังนะ” ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ “เอาสปาร์กลิงไวน์หรือแชมเปญดี”
“อะไรก็ได้ค่ะ” ปกติเธอไม่ดื่มแต่หัววันแบบนี้หรอก แต่เห็นหน้ายิ้มๆ ของโลแกนที่มองมาทางเธอกับเขาแล้ว ก็อยากหาอะไรมาดื่มระงับความพลุ่งพล่าน
“เดี๋ยวผมมา” เขาก้มลงมาฝังจูบบนเรือนผมหอมกรุ่นด้วยท่าทางอ่อนโยนยิ่งยวด ก่อนจะเดินไปยังเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม เหมือนคู่อริจะรอจังหวะนั้นอยู่แล้ว เพราะระหว่างที่สั่งแชมเปญสองแก้ว โลแกนก็เดินเข้ามายืนขนาบ โอบไหล่ประหนึ่งคนที่คุ้นเคยกันดี
“ไม่คิดว่าจะเจอคุณที่แอร์พอร์ตนะพอล จะไปไหนเหรอ” โลแกนยอมปล่อยมือจากไหล่เมื่อคนฟังหลุบตาลงมองแล้วทำหน้าตึง เขาทำตาปะหลับปะเหลือกยามพอลเอามือปัดเสื้อตำแหน่งที่เพิ่งละมือมา ราวกับว่าปัดเหลือบไร
“ถ้าผมบอก คุณจะสั่งมือปืนตามไปเก็บหรือเปล่าล่ะ ถ้าสั่ง ผมจะได้โกหกว่ากำลังจะบินไปเท็กซัส” พอลถามกลับเกรียนๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบานัก ขณะเหยียดยิ้มกวนประสาทใส่คู่สนทนา
“คุณนี่อารมณ์ดีไม่เปลี่ยนเลยนะ” หนุ่มใหญ่ตบแผ่นหลังกว้าง ระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนกำลังฟังเรื่องตลก “ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ผมกำลังจะพาอแมนด้าบินไปฉลองการชนะประมูลตึกเมื่ออาทิตย์ก่อนที่ลาสเวกัส อแมนด้าบอกว่าช่วงนี้ผมดวงดี เลยอยากลองไปเสี่ยงดวงที่นั่นดูเสียหน่อย”
“เรานี่ใจตรงกันตลอดเลยนะ ผมกับซาร่าห์ก็กำลังจะบินไปลาสเวกัสเหมือนกัน” พอลส่งบัตรเครดิตสีดำให้พนักงานหลังเคาน์เตอร์ที่เพิ่งส่งแชมเปญราคาแพงลิบสองแก้วมาให้เขา
“โอ้ งั้นเราทั้งสี่ควรจะดินเนอร์ด้วยกันสักมื้อ ร่วมโต๊ะพนันกันสักตั้งนะ” โลแกนตาเป็นประกาย
“เป็นไอเดียที่ไม่เลวนะ แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะได้ออกจากห้องนอนหรือเปล่าน่ะสิ” นักการเงินหนุ่มหันไปทางศราวณะที่จ้องเขากับคู่สนทนาไม่วางตา
“ผมเข้าใจแล้ว คุณไปกับสาวสวยขนาดนั้น คงไม่อยากออกไปชมแสงสีเสียงของซินซิตี” คนพูดหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างคนที่เข้าใจผู้ชายด้วยกัน “ถ้าเดาไม่ผิด หล่อนน่าจะเป็นญาติกับภรรยาของเจสัน”
“น้องสาวของแจน”
“งั้นผมคงต้องเข้าไปแสดงความเสียใจกับเธอเสียหน่อย” โลแกนเดินเคียงร่างสูงใหญ่ไปยังโต๊ะที่สาวไทยนั่งอยู่ โดยภรรยาเดินเข้ามาสมทบอย่างรู้หน้าที่
พอลไม่มีทางเลือกนอกจากวาดมือโอบเอวว่าที่ภรรยา แนะนำให้เธอรู้จักสองสามีภรรยา ซึ่งพร้อมใจกันแสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจกับการสูญเสียครั้งใหญ่ของครอบครัวเธอ
“ได้ข่าวคราวพี่สาวของคุณบ้างหรือยังคะ” อแมนด้าถามด้วยแววตาใสซื่อ
“ยังค่ะ แต่แจนหายไปสองอาทิตย์กว่าแล้ว ฉันกับครอบครัวได้แต่ทำบุญอุทิศส่วนกุศล ขอให้ดวงวิญญาณของแจนกับเจสันช่วยให้ตำรวจหาหลักฐานมามัดตัวคนร้ายให้ได้ในเร็ววัน” ตอบฝ่ายภรรยา ทว่าศราวณะกลับจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของโลแกน ประหนึ่งจะให้หนุ่มใหญ่เห็นว่าเธอรู้ว่าเขาคือคนบงการอยู่เบื้องหลัง
อีกฝ่ายยิ้มปลอบ “อย่าเพิ่งด่วนสิ้นหวังเลยครับ บางทีพี่สาวของคุณอาจยังมีชีวิตอยู่ก็ได้”
“ฉันก็ได้แต่หวังว่าคนโฉดที่ฆ่าพี่เขยของฉัน จะยังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่บ้าง แ ละไม่เลือดเย็นถึงขนาดฆ่าผู้หญิงที่ลูกอายุยังไม่เต็มสองขวบเช่นกันค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” ศราวณะก้าวเร็วๆ ไปยังห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกลนัก เธอคิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับคนที่สั่งฆ่าพี่เขยและลักพาตัวศศินาราไป แต่นาทีนี้เธอโกรธเกลียด ชิงชัง คั่งแค้น จนไม่สามารถยืนประจันหน้ากับสองผัวเมียต่อได้ กลัวจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จนนอตหลุดและกระโจนใส่โลแกน
ความคิดเห็น |
---|