10
วาระพระเสาร์แทรก
พอลแทบล้มทั้งยืนกับข้อเท็จจริงที่ว่าลอร่ากำลังตั้งครรภ์ลูกของเขา แน่ละว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายเห็นแก่ตัวถึงขนาดที่จะไล่ให้เธอเอาเด็กออก เพราะส่วนหนึ่งของความผิดมาจากเขาเองที่หละหลวมเรื่องการป้องกันในบางครั้งที่หลับนอนกับเธอ เขาบอกลอร่าว่ายินดีจะรับเด็กคนนั้นเป็นบุตรและส่งเสียเลี้ยงดูเธอกับลูกให้ดีที่สุด แต่ไม่สามารถรับเธอเป็นภรรยาได้ เพราะหัวใจไม่เหลือช่องว่างให้ผู้หญิงคนไหนอีกแล้วนอกจากศราวณะ
‘เธออยู่ที่อเมริกากับคุณแล้วอย่างนั้นเหรอคะ’ ลอร่าถามเสียงสั่นๆ เพราะเขาเคยเล่าถึงสาวน้อยที่ชื่อซาร่าห์ให้ฟังสมัยที่หลับนอนด้วยกัน
‘ซาร่าห์ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านของผมได้หลายอาทิตย์แล้ว’ นักการเงินหนุ่มเล่าความจริงเพียงบางส่วน
‘ฉันดีใจกับคุณด้วยค่ะ’ ดาราสาวกล้ำกลืนฝืนแสดงความยินดี การที่เขาพานางในดวงใจย้ายเข้าไปอยู่ด้วย คือการประกาศเจตนารมณ์ว่าเด็กในท้องของเธอไม่สามารถดึงเขากลับมาได้
‘ผมตอบคำถามที่คุณอยากรู้แล้ว คราวนี้ผมถามบ้างได้ไหมว่าคุณตัดสินใจอย่างไร ผมหมายถึง…ไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหน ผมก็จะช่วยเหลือคุณอย่างเต็มกำลัง ลอร่า’
‘ฉัน…ฉันอยากเก็บลูกไว้ค่ะ แต่คุณไม่ต้องห่วงหรือกลัวว่าฉันจะไปเกะกะระรานคุณหรือคนรักของคุณนะคะ ฉันจะอยู่ในมุมของฉันกับลูกเงียบๆ ฉันจะเก็บเรื่องที่คุณคือพ่อของเขาไว้เป็นความลับ คุณไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้นค่ะ’
‘ผมดีใจนะที่คุณเลือกเก็บเขาไว้ ผมสัญญาว่าถึงจะไม่ได้อยู่ข้างๆ คุณ แต่ผมจะดูแลคุณกับลูกให้ดีที่สุด คุณต้องการอยู่แอลเอ หรือย้ายมานิวยอร์ก ผมจะได้วางแผนทุกอย่างให้คุณกับลูก’ ชั่วขณะ พอลรู้สึกเหมือนเป็นคนเลวที่ให้อดีตคู่นอนได้เพียงเท่านั้น
‘แอลเอปาปารัซซีมากเหลือเกิน ฉันคงอยู่ต่อไม่ได้หรอกค่ะ’
‘ผมจะให้ไคลน์จัดการเรื่องที่อยู่ใหม่ของคุณให้เรียบร้อยภายในหนึ่งอาทิตย์’
‘ฉันจะมีโอกาสเจอคุณบ้างไหมคะ’ ลอร่าถามเสียงขลาด
แน่นอนลอร่า’ ชายหนุ่มวางสายด้วยหัวใจหนักอึ้ง ถามตัวเองระหว่างที่นั่งรถกลับคฤหาสน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขากำลังตัดสินใจผิดหรือเปล่า สถานการณ์ระหว่างเขากับศราวณะกำลังเข้าที่เข้าทาง แต่ตอนนี้เขากลัวเหลือเกินว่าหากภรรยาหมาดๆ รู้เรื่องเข้า จะสร้างกำแพงหัวใจขึ้นมาอีก
พอลถอนใจอีกหลายเฮือก แล้วหยิบมือถือมาต่อสายหาที่ปรึกษาเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งเขามักจะโทร. หาเสมอเวลาเจอะเจอมรสุมชีวิต
“ไง ไอ้น้องชาย หายหัวไปนานเชียวนะ คราวนี้มีปัญหาหนักอกหนักใจอะไรอีก” พีท ไวส์แมน บุตรชายคนโตของตระกูลไวส์แมนกัดแกมหยอกมาตามสาย
“พูดอย่างกับว่าพี่โทร. หาผมมากกว่าปีละสองครั้งงั้นแหละ” ชายหนุ่มกัดตอบ
พีทอายุมากกว่าเขาเพียงสองปี นิสัยไปทางเคร่งขรึม ทว่าก็เข้าข่ายพูดน้อยต่อยหนัก พี่ชายของเขาเป็นเจ้าของบริษัทผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของอเมริกาเหนือ ร่วมงานกับกองทัพอเมริกันและประเทศใหญ่ๆ อีกหลายประเทศมานับไม่ถ้วน งานอดิเรกในปัจจุบันคือเป็นที่ปรึกษาลับๆ ด้านการทหารและเทคโนโลยีให้รัฐบาลอเมริกัน
“แกน่าจะชินได้แล้วนะ” พี่ใหญ่หัวเราะหึๆ “ตกลงเจอมรสุมอะไร”
“พี่มีแฟนหรือยัง เอาแบบแฟนที่คบอย่างจริงจังนะ ไม่ใช่คู่นอน”
“หืม ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้” พีทเอ่ยอย่างสงสัยใคร่รู้
“ผมมีคนที่อยากแนะนำให้รู้จัก” นักการเงินหนุ่มพุ่งเข้าประเด็นทันที
“แกคิดอะไร ทำไมถึงอยากจับคู่ให้ฉัน หรือคิดว่าฉันยุ่งจนไม่มีปัญญาจะหาแฟนเอง” น้ำเสียงนั้นไม่ได้บอกว่าโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด
“เอาตรงๆ นะพีท ช่วงนี้ผมเจอมรสุมหลายด้านมาก…” พอลเริ่มเล่าถึงปัญหาเรื่องงานที่โดนเล่นงานหนักขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะวกมาถึงข้อตกลงระหว่างเขากับอดัมเกี่ยวกับแคเธอรีน เรื่องที่ลอร่าท้อง แล้วแคเธอรีนบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับลอร่า เขาจึงถือโอกาสนั้นรับสมอ้างว่าไม่สามารถสานต่อข้อตกลงได้เพราะกำลังจะเป็นพ่อคน ดีไซเนอร์สาวแสดงทีท่าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งเขาบอกเธอว่ามีคนที่เหมาะสมไม่น้อยไปกว่าเขานั่นละ เธอจึงเริ่มลังเลว่าควรจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้บิดาฟังไหม
“ถ้าหล่อนเพอร์เฟกต์ขนาดนั้น แล้วทำไมแกถึงคิดจะโอนกรรมสิทธิ์การจีบมาให้ฉัน หรือว่าแกคิดจะแต่งงานกับแม่ของลูก” พี่ใหญ่ถามกลับหลังจากเงียบไปหลายอึดใจ
“ผมมีคนที่ชอบอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ลอร่า ตกลงว่าพี่ช่วยผมเรื่องแคทนะ” คนที่เขาบอกแคเธอรีนว่าเหมาะสมก็คือ พีท เพราะคิดว่าเธอกับแพ็กซ์คงไม่มีทางเข้ากันได้
แคเธอรีนเห็นรูปของพีทจากมือถือของเขาแล้ว สีหน้าท่าทางของเธอบอกว่าพึงพอใจในตัวพี่ชายของเขาไม่น้อยทีเดียว ทว่าก็ยังวางมาดอย่างผู้ดี บอกเขาว่าหากพีทอยากทำความรู้จักก็ต้องเป็นฝ่ายติดต่อมาหาด้วยตัวเอง
“ส่งรูปมาให้ดูก่อน” พีทต่อรอง รอไม่กี่วินาที รูปคู่ระหว่างน้องชายกับแคเธอรีนก็ถูกส่งเข้ามือถือราวกับเตรียมการมาดิบดี
“ฮอตพอไหมครับ” คนพูดหัวเราะในลำคอ
“ก็พอจะเอามาทำแม่ของลูกได้ แน่ใจนะว่าคุณสมบัติที่ร่ายยาวเป็นหางว่าวให้ฉันน่ะ ไม่ได้เมกขึ้นมา” เขายอมรับว่า แคเธอรีน รอส สวยอย่างหาตัวจับยาก สวยกว่าผู้หญิงทุุกคนที่เขาเคยเดตด้วยซ้ำ หากเธอมีคุณสมบัติอย่างที่พอลเล่ามาทั้งหมดจริง และนิสัยใจคอเข้ากันได้ ก็ถือว่าสวรรค์ส่งผู้หญิงคนนี้มาให้ในช่วงเวลาที่เขากำลังคิดอยากลงหลักปักฐานอย่างพอดิบพอดี
“เรื่องเมกไม่เมก พี่ต้องเป็นคนพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วละ แต่ที่แน่ๆ ผมว่าแคทคงกำลังรอสายของพี่อยู่นะครับ ถ้าพี่ไม่รีบโทร. หาหล่อนภายในวันสองวันนี้ ผมว่าหล่อนอาจจะเล่นตัว ไม่ยอมรับสายของพี่เลยก็ได้”
“รอแล้วจะได้อะไร ในเมื่อแกยังไม่ส่งเบอร์ของหล่อนให้ฉัน” พีทเอ่ยอย่างเซ็งๆ
พอลหัวเราะหึๆ “เดี๋ยวผมส่งให้ตอนนี้เลย แต่ขออะไรอย่างได้ไหม ไม่ว่าพี่จะชอบหรือไม่ชอบแคท ก็ขอให้เดตกับหล่อนอย่างน้อยหนึ่งเดือน ผมจะได้แก้ตัวกับพ่อของหล่อนได้เต็มปากว่าทำตามข้อตกลงแล้ว”
“ฉันจะพยายาม”
พอลยิ้มกริ่มเมื่อเหยื่ออติดเบ็ด เขาส่งเบอร์โทรศัพท์ของแคเธอรีนให้พี่ชายแล้ววางสาย โล่งใจที่ปลดระวางปัญหาไปได้หนึ่งเปลาะ
“แซม…นายเคยแต่งงานมาก่อน นายคิดว่าฉันควรจะเริ่มต้นบอกซาร่าห์เรื่องการท้องของลอร่าอย่างไรดี” ชายหนุ่มถามบอดีการ์ดคนสนิทหลังจากนั่งเงียบนับครึ่งชั่วโมง
ซามูเอลอายุเท่าพีท เคยแต่งงานมาแล้วครั้งหนึ่งก่อนจะหย่าร้าง เพราะฝ่ายหญิงแอบคบชู้ระหว่างที่สามีปฏิบัติภารกิจลับให้ทางการสหรัฐที่ตะวันออกกลาง
“หัวใจของผู้หญิงเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากครับ สำหรับผม การคาดเดาความเคลื่อนไหวและรับมือกับข้าศึกเป็นร้อยคน ยังง่ายกว่าการพยายามอ่านใจของผู้หญิงคนหนึ่ง”
“อืม…เพราะอย่างนี้หรือเปล่า นายถึงไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนเลย ทั้งที่มีสาวสวยอย่างไปป์ เป๊ป หรือแม้กระทั่งสาวๆ ของไวส์แบงก์ที่ทิ้งหางตาให้นายประจำ” นักการเงินหนุ่มสัพยอกอย่างขำๆ
ซามูเอลทำงานให้เขามาหลายปี แต่กลับไม่เคยยุ่งกับสาวที่ไหนเลย แม้กระทั่งวันหยุด หมอนั่นก็ยังเลือกขังตัวอยู่ในห้องฟิตเนสหรือห้องสมุดที่คฤหาสน์ ไม่ได้ออกไปเที่ยวผับเข้าบาร์หรือนัดเดตกับสาวๆ อย่างที่บอดีการ์ดรายอื่นทำ
“ผมมีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้พอแล้วครับ” ซามูเอลหันมาส่งยิ้มบางๆ ให้นายจ้าง
“ฉันนับถือนายจริงๆ” พอลเงียบไปอีกจนกระทั่งรถแล่นไปจอดหน้าคฤหาสน์
นักการเงินหนุ่มมองประตูด้วยหัวใจหนักอึ้ง ก่อนนี้เขาอยากกลับมาที่นี่ทุกขณะจิต ทว่านาทีนี้กลับกลัวที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับศราวณะ เขากลัวและไม่แน่ใจว่าควรเริ่มต้นพูดอย่างไรให้เธอเข้าใจและยอมรับเรื่องของลอร่า
ศราวณะดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้บริเวณโถงทางเดินทันทีที่ประตูถูกผลักเข้ามา เธอส่งยิ้มให้คนตัวโตซึ่งยิ้มตอบกลับมาอย่างเนือยๆ
“ผมนึกว่าคุณหลับแล้วเสียอีก” ดูเหมือนคำภาวนาของเขาจะไม่เป็นผล เพราะสีหน้าท่าทางของภรรยาไม่ได้บอกว่าง่วงงุนเลยสักนิด
“น้ำสักแก้วไหมคะ” เห็นสีหน้าอิดโรยเหมือนคนนอนน้อยและเครียดหนักของเขา เธอก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“ก็ดี” พอลยิ้มอ่อน เดินตามไปในครัวและพิงสะโพกกับเคาน์เตอร์หินแกรนิต มองภรรยาทางนิตินัยที่กำลังรินน้ำจากตู้เย็นด้วยสีหน้าเครียดขรึม “คุณบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับผม”
ศราวณะถือแก้วน้ำเย็นมายื่นให้ มองเขาด้วยสีหน้าลังเล เธอรอจนกระทั่งพอลจัดการดื่มน้ำหมดแก้ว จึงเริ่มกล่าวทำลายความเงียบ
“ปัญหาที่ทำงานเป็นไงบ้างคะ” เธอชักไม่แน่ใจว่าควรจะพูดเรื่องอธิปตอนนี้ดีหรือเปล่า
“เรียบร้อยดีแล้ว” ตาคมกริบมองร่างสมส่วนในชุดนอนผ้าซาตินสีแดงเลือดนก แบบเสื้อแขนยาวคอปก ติดกระดุมสี่เม็ด เข้าชุดกับกางเกงขายาวสีเดียวกันแล้วก็ยิ้มที่มุมปาก เดาว่านี่คงเป็นเสื้อผ้าที่เธอเพิ่งซื้อมาช่วงที่เขานอนที่เพนต์เฮาส์ “ตกลงเรื่องที่อยากคุยกับผมคือ…”
“เอ่อ… ท่าทางคุณดูเนือยๆ ขึ้นไปอาบน้ำแล้วค่อยลงมาคุยกันดีไหมคะ เดี๋ยวฉันจะไปรอที่ห้องสมุด”
“เอางั้นก็ได้ ความจริงผมก็มีเรื่องอยากคุยกับคุณเหมือนกัน อีกสิบนาทีเจอกัน” พอลกัดฟันเดินจากไปโดยไม่แตะต้องคนฟังแม้เพียงปลายก้อย ทั้งที่อยากรวบตัวเข้ามากอดจูบให้สมกับที่อยากทำมาทั้งสัปดาห์
เขาขึ้นบันไดยังไม่ถึงชั้นบน ก็ต้องหยุดฝีเท้าลงกะทันหันเพราะสายตาปะทะเข้ากับร่างเย้ายวนของใครบางคน เธอเดินลงมาหยุดยืนเหนือขั้นบันไดที่เขายืนอยู่สามขั้น และให้ตายเหอะ พระเจ้า! มันทำให้หน้าของเขาอยู่ระดับเดียวกับอกอวบเป็นภูเขาเลากา
“คุณคงเป็น…โซอี้” พอลถามกระอักกระอ่วน พยายามอย่างยิ่งที่จะมองสิ่งที่เหนือกว่าระดับใบหน้าของตัวเอง
“มิสเตอร์ไวส์แมน ในที่สุดก็ได้พบคุณเสียทีนะคะ” สาวเม็กซิกันส่งยิ้มหวานพร้อมกับยื่นมือมาหา ตาสีน้ำตาลเต้นระริกเมื่อนายจ้างยื่นมือมาสัมผัส
“ซาร่าห์เล่าเรื่องคุณให้ผมฟังบ่อยๆ หวังว่าอยู่ที่นี่คงสบายดีนะ” เห็นการแต่งตัวด้วยชุดนอนสายสปาเกตตีที่สั้นเหนือเข่าเป็นคืบ แถมช่วงคอยังอวดความอึ๋มแบบสุดๆ เขาก็ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมศราวณะถึงบอกว่าบรรดาหนุ่มๆ แย่งกันจีบอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ฉันมีความสุขมากค่ะ ทุกคนดีต่อฉันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน” คนพูดมองเรือนร่างสูงใหญ่และใบหน้าหล่อดคมเข้มด้วยประกายตาชื่นชมอย่างเปิดเผย “คุณหนูเป็นเด็กน่ารักเหลือเกิน ฉันหวังว่าจะได้อยู่ที่นี่ไปนานๆ”
“ผมดีใจที่คุณคิดแบบนั้น ขอตัวก่อนนะ ผมต้องรีบอาบน้ำและลงไปหาซาร่าห์ที่ห้องสมุด” พอลกล่าวเสร็จก็ก้าวเท้าเลี่ยงขึ้นบันไดด้วยทีท่าเร่งรีบ จึงไม่ทันเห็นสายตาวาววับที่มองตามแผ่นหลังกว้างอย่างไม่ชอบใจ
โซอี้เดินลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้วก็หยุดฝีเท้า ส่งยิ้มยั่วเย้าให้บอดีการ์ดหมายเลขหนึ่งของพอลซึ่งกำลังใช้สายตาคมกริบมองเธอตั้งแต่หัวจดปลายเท้า
“ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าคุณเป็นมนุษย์ ฉันคงคิดว่าคุณเป็นหุ่นยนต์ที่กำลังสแกนฉันด้วยรังสีแกมมา” พี่เลี้ยงสุดฮอตสัพยอกอีกฝ่ายผ่านคำพูดและสายตาท้าทาย
“ถึงเป็นหุ่นยนต์ ผมก็คงไม่เปลืองเวลาสแกนคุณหรอก ในเมื่อคุณแต่งตัวเปิดเผยเสียขนาดนี้” ซามูเอลเปลี่ยนมาใช้สายตาดูแคลน รู้สึกไม่ถูกชะตามากขึ้นเมื่อเธอหัวเราะเบาๆ ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของเขาเลยสักนิด
“คุณนี่เย็นชาจังนะคะ ฉันชักอยากรู้เสียแล้วสิ ว่าหัวใจของคุณมันเย็นเหมือนน้ำแข็งขั้วโลกหรือเปล่า” โซอี้เยื้องย่างมาหยุดยืนด้วยปลายเท้า ห่างพ่อหนุ่มน้ำแข็งเพียงระยะเอื้อมมือ
“อย่าอยากรู้เลยโซอี้ ความร้อนแรงของคุณมันไม่มีอิทธิพลต่อผมหรอก คุณไม่ควรออกจากห้องส่วนตัวในสภาพนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่มิสเตอร์ไวส์แมนอยู่ที่บ้าน” บอดีการ์ดหนุ่มตักเตือนด้วยแววตาเย็นชา
เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างเธอกับพอล เห็นท่าทางอึดอัดของเจ้านาย และเห็นเธอใส่ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหาเรื่องชวนคุย คนผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกือบครึ่งชีวิตอย่างเขามองปราดเดียวก็รู้ว่าเธอต้องการอะไร ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอย่างโซอี้ทั้งน่าสรรเสริญ น่ากลัว และน่าสมเพชในเวลาเดียวกัน
“ไม่เห็นมิสเตอร์ไวส์แมนหรือใครว่ากล่าวตักเตือนฉันสักคำ มีแต่คุณนี่แหละที่เดือดร้อน จะเป็นจะตายในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเองเลยด้วยซ้ำ” พูดจบโซอี้ก็สะบัดหน้าพรืดใส่คู่สนทนา เร่งฝีเท้าไปทางครัวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ทุกคนบอกเธอว่าซามูเอลเป็นหนุ่มขรึมๆ เธอเองก็คิดแบบนั้นตอนเจอเขาครั้งแรก เช้าที่พอลกลับมาจากลาสเวกัส แต่ไม่เห็นมีใครบอกเลยสักคนว่าหมอนี่ปากจัดยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก
“คุณโอเคหรือเปล่าคะ โซอี้” ศราวณะอดถามไม่ได้เมื่อเห็นสีหน้าโกรธขึ้งเหมือนคนเพิ่งกินรังแตนมาของอีกฝ่าย
“หน้าของฉันมันแสดงอาการขนาดนั้นเชียวเหรอคะมิส” โซอี้หัวเราะแกนๆ
“ก็ทำนองนั้นค่ะ ตกลงใครทำให้คุณไม่พอใจคะ”
“แซมค่ะ อีตามนุษย์ถ้ำนั่นตำหนิว่าฉันไม่ควรออกจากห้องนอนในชุดนี้ แถมพอฉันชวนคุยเล่นๆ ก็ทำหน้ายักษ์ใส่อีก ขนาดมิสเตอร์ไวส์แมนยังไม่วิพากษ์วิจารณ์การแต่งตัวของฉันเลยสักคำ ดูจากสีหน้าของเขาแล้ว ออกจะชื่นชอบรสนิยมการเลือกเสื้อผ้าของฉันด้วยซ้ำ” คนพูดเดินไปรินน้ำเย็นจากตู้เย็นมาดื่มราวกับจะให้น้ำช่วยลดความขุ่นเคือง
“คุณเจอเขาแล้วเหรอคะ เอ่อ…ฉันหมายถึงมิสเตอร์ไวส์แมน”
“ค่ะ ฉันเจอเขาที่บันได เราคุยกันตั้งหลายประโยคแน่ะ เขาหล่อ สมาร์ต ดูดีกว่าในรูปเสียอีก สเปกของฉันเลยละค่ะมิส” นัยน์ตาของพี่เลี้ยงสาวฉายความชื่นชมโสมนัส
“คุณไม่ใช่สาวคนแรกที่เห็นเขาแล้วคิดแบบนั้นหรอกค่ะ เพื่อนของฉันก็กรี๊ดเขาเหมือนกัน” ศราวณะเอ่ยยิ้มๆ นีรนารถถามถึงเขาทุกครั้งที่ได้คุยกัน จนพักหลังเธอต้องเบรกแกมประชดบ่อยๆ ว่าติดต่อมาเพราะคิดถึงเพื่อนหรือผู้ชาย
“ตายละ งั้นก็แสดงว่าคุณต้องเชียร์เพื่อนมากกว่าคนที่เพิ่งรู้จักอย่างฉันแน่” โซอี้บ่นด้วยสีหน้าเซ็งจัด
“เรื่องแบบนี้ ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกค่ะโซอี้ ฉันทำได้มากสุดก็แค่แนะนำให้รู้จักเขา คุณน่าจะจำที่ฉันพูดได้ว่าคนระดับเขา ไม่มีใครไปบีบบังคับได้ แล้วเขาก็คงจะเลือก…”
“คบคนระดับเดียวกัน ฉันจำได้ขึ้นใจเลยแหละค่ะมิส แต่ของอย่างนี้มันไม่แน่หรอกเสมอไปค่ะ ความใกล้ชิดมักจะทำให้คนไขว้เขว ฉันจะถือว่าฉันถือไพ่เหนือกว่าเพื่อนของคุณตรงที่ฉันกินนอนอยู่ที่นี่ แถมยังเป็นพี่เลี้ยงของคุณหนูอีกต่างหาก ถึงอย่างไรฉันก็มีภาษีดีกว่าเยอะ” ดวงตาของคนพูดเรืองรองด้วยความหวัง
“ค่ะ เอ่อ…ฉันขอตัวก่อนนะคะ” ศราวณะเหลือบมองนาฬิกาที่ผนังแล้วขยับลงจากเก้าอี้ทรงสูงหน้าเคาน์เตอร์กลางห้องครัว เธอเดินปลีกตัวออกจากที่นั่น มุ่งหน้าไปยังห้องสมุดของคฤหาสน์ โดยมีสายตาริษยาของโซอี้มองตาม
“ทำเป็นเอาเพื่อนมาอ้าง คิดว่าฉันโง่จนไม่รู้หรือไงว่าหล่อนหวงก้าง ใจจริงกะจะเก็บเขาไว้กินเองละสิ เชอะ!” การที่ศราวณะไม่บอกว่ากำลังจะไปหาพอลที่ห้องสมุด มันตีความได้เพียงอย่างเดียวว่าแม่สาวไทยหน้าหวาน ต้องการเลื่อนฐานะขึ้นเป็นคุณผู้หญิงของคฤหาสน์ไวส์แมน
ศราวณะเดินดูหนังสือในห้องสมุดระหว่างรอคอยอย่างกระวนกระวายใจ ในที่สุดเธอก็หยิบนิตยสารฟอบส์ที่มีรูปของสามีหราอยู่บนหน้าปกมานั่งเปิดอ่านเล่น ด้านในมีบทสัมภาษณ์ซึ่งเขาเลือกตอบเฉพาะคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ และปฏิเสธที่จะตอบเรื่องครอบครัวหรือชีวิตส่วนตัว อ้างว่าไม่ขอนำเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องธุรกิจ
“คุณคิดว่าผมตอบคำถามได้ดีไหม ซาร่าห์”
คนถูกถามสะดุ้งโหยง รีบปิดนิตยสารที่กางอยู่ลงเหมือนเด็กที่กำลังลอบทำผิด เธอเงยหน้าส่งยิ้มแหยให้คนถาม ก่นด่าตัวเองที่เอาแต่สนใจเรื่องของเขาจนไม่ทันดูว่าตัวจริงยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้แล้ว
“ผมรอคำตอบอยู่นะคัปเค้ก”
“อ๋อ เอ่อ…ดีค่ะ เพียงแต่ฉันอ่านแล้วรู้สึกว่าคุณเก็บตัวน่าดู แต่ฉันก็เข้าใจนะคะว่าคุณคงไม่ชอบแชร์เรื่องส่วนตัวให้คนอื่นรู้”
“ถึงผมไม่เล่า พวกเขาก็รู้อยู่แล้วว่าพ่อ แม่ พี่ และน้องของผมเป็นใคร” เขาหย่อนกายลงบนโซฟาหลุยส์บุกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม จ้องคนที่นั่งเก้าอี้ตรงข้ามด้วยสายตาที่ยากแก่การคาดเดา
“คุณเจอคนในครอบครัวบ่อยแค่ไหนคะ” ศราวณะชวนคุย เพราะพิพักพิพ่วนกับสายตาคมกล้าคู่นั้นเต็มกลืน เขารู้ตัวบ้างไหมนะว่ามีดวงตาที่ทรงอิทธิพลเหนือคนทั่วไป ยามถูกเขาจ้องเหมือนจะกลืนกินก็ทำเอาเธอเข่าอ่อน ระทดระทวยแทบจะลงไปกองกับพื้น ยามถูกจ้องด้วยสายตาลึกซึ้งก็พาให้อุ่นซ่านไปถึงก้นบึ้งหัวใจ และยามโกรธเกรี้ยวก็เหมือนมีไฟสีน้ำเงินกองใหญ่ลุกไหม้อยู่ข้างใน
เฉลี่ยปีละหนึ่งถึงสองครั้ง บางทีพวกเขาก็โผล่มาเซอร์ไพรส์วันเกิดผม หรือไม่เวลาผ่านมาธุระที่นิวยอร์กแล้วว่างพอก็จะทานข้าวกลางวันด้วย ที่เจอกันชัวร์ๆ ก็งานมาสเคอเรดบอลล์3 ที่ผมจัดขึ้นที่นี่ทุกปีช่วงฮัลโลวีน” นักการเงินหนุ่มพาดแขนข้างหนึ่งกับพนักโซฟา หรี่ตาลงเกือบครึ่งขณะจ้องทุกการเคลื่อนไหวของผู้ฟัง “คุณอยากคุยอะไรกับผมกันแน่คัปเค้ก ทำไมถึงทำตาหลุกหลิกเหมือนคนกำลังทำผิด”
“ฉัน…ฉันทำอย่างนั้นจริงๆ เหรอคะ” หญิงสาวหน้าตื่น แต่พอเห็นสายตาเหมือนผู้ใหญ่ดุเด็กก็กลืนน้ำลายหนืดๆ ลงสู่ลำคอแห้งผาก เธอวิ่งหนีมันไม่ได้แล้วจริงๆ สินะ
“พูดมา ซาร่าห์ ผมรอฟังอยู่”
“คะ…คุณจำแฟนเก่าของฉันได้ไหมคะ” ถามแล้วก็ขบริมฝีปากล่างรอลุ้นคำตอบ
“ผมไม่มีวันลืมคนที่ตั๊นหน้าผมถึงสองหมัดหรอก ทำไมจู่ๆ พูดเรื่องหมอนั่นขึ้นมา” อย่านะ อย่าบอกว่ามันกลับมาขอคืนดีและเธอกำลังคิดจะเซย์เยส ไม่งั้นเขาฟิวส์ขาด ปล้ำเธอคืนนี้แน่
“คือพี่อาร์ตติดต่อฉันมาค่ะ เขาไม่ได้มาขอคืนดีนะคะ คุณอย่าเพิ่งเข้าใจผิด” ศราวณะโบกมือว่อนเมื่อเห็นตาวาววามราวกับตาของเสือที่ต้องแสงไฟตอนกลางคืน “ความจริง ฉันไม่อยากพูดเรื่องที่เขาคุยกับฉันให้คุณฟังด้วยซ้ำ ฉันรู้ว่าคุณมีเรื่องเครียดพอแล้ว”
“เล่ามาให้หมด ซาร่าห์! ก่อนที่ผมจะหมดความอดทน” พอลแยกเขี้ยวใส่ภรรยาซึ่งกำลังพูดเหมือนคนพายเรือวนอ่าง พับผ่าเหอะ! ขืนเธอยังอ้ำอึ้งต่ออีกแม้แต่นาทีเดียว เขาสัญญาเลยว่าจะระเบิดความพลุ่งพล่านทั้งหมดบนเรือนร่างเย้ายวนบนโซฟาตัวนี้
“เขาอยากขอฝึกงานที่ไวส์แบงก์ค่ะ” ปากอิ่มพ่นคำพูดเร็วปรื๋อ
“ไอ้หน้าตัวเมียเอ๊ย!” นักการเงินหนุ่มผรุสวาทลั่นห้องสมุด ยังจำสีหน้าและท่าทางยโสโอหังของอริหัวใจได้เป็นอย่างดี หมอนั่นเกลียดเขาเข้าไส้ แต่ดูตอนนี้สิ ถ้าเขาสั่งให้คลานเข้าไปพบที่ไวส์แบงก์ มันก็คงยอมลดศักดิ์ศรีตัวเอง
“นี่คุณ! เราตกลงกันแล้วนะคะว่าห้ามสบถหรือพูดคำหยาบในบ้านนี้” หญิงสาวแว้ดกลบเกลื่อนความอับอาย เขาคิดว่าเธออยากบากหน้ามาขอร้องนักหรือไง
“โอเค ผมขอโทษเรื่องคำหยาบ ผมแค่คิดไม่ถึงว่าอดีตคนเคยๆ ของคุณจะสิ้นลายถึงขนาดขอให้คุณมาช่วยพูดเรื่องนี้” ริมฝีปากได้รูปเหยียดยิ้มดูแคลนยามนึกถึงใบหน้าหยิ่งผยองของหนุ่มไทย
“พี่อาร์ตอาจจะเป็นคนนิสัยแย่มากในสายตาของคุณ แต่เขาเคยช่วยฉันทำรายงาน เคยช่วยติววิชาที่ฉันไม่ถนัด”
“พอแล้ว ผมไม่อยากรู้ว่ามันเคยติวอะไรให้คุณบ้าง” ชายหนุ่มตัดบทเพราะยิ่งฟังเธอสาธยาย จินตนาการบ้าๆ ของเขาก็ยิ่งเลยเถิดว่าหมอนั่นติวเรื่องบนเตียงให้ด้วย เขาก็เหมือนกับผู้ชายทั่วไป ที่ไม่แคร์ว่าผู้หญิงที่คบหาผ่านผู้ชายมากี่ราย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอยากจะฟังรายละเอียดยิบย่อย
“โอเคค่ะ ฉันถือว่าพูดแล้วและคุณก็ปฏิเสธ ฉันไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณแล้วดีกว่า” ร่างสมส่วนดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้ แต่ก้าวขาได้ครั้งเดียว มือแข็งแรงก็ยื่นมาดึงข้อมือของเธอและลากเข้าไปหาที่โซฟา “ปล่อยค่ะ!”
“อย่าเพิ่งโมโหสิ ผมยังไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธเลยนะ” ห่างกันมาทั้งสัปดาห์ ไม่มีทางเสียละที่เขาจะปล่อยไปง่ายๆ
“งั้นก็รีบตอบมาสิคะ!” ศราวณะแว้ดกลับเสียงห้วนขณะพยายามขืนมือจากการเกาะกุม
“ตกลง!”
“ตกลง!” เธอทวนคำตอบด้วยอารามตกใจ ก่อนจะใจหายวาบเมื่อคนฉวยโอกาสอาศัยจังหวะที่เธอกำลังดีใจ ลากลงไปนั่งบนตักกว้างได้สำเร็จ “อย่ามาทำรุ่มร่ามกับฉันนะคะ”
“ถ้าไม่อยากให้ผมเปลี่ยนใจก็นั่งนิ่งๆ ซาร่าห์” ขืนเธอดิ้นขลุกขลักไม่เลิก ปีศาจในกายของเขามันคงตื่นขึ้นมาสำแดงฤทธิ์เดชภายในหนึ่งนาทีแน่
“ก็ฉันไม่อยากนั่งตักคุณนี่นา” หญิงสาวหยุดดิ้นแต่มิวายประท้วง กลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่อ้อยอิ่งติดปลายจมูก ให้ความรู้สึกไม่ต่างกับเครื่องตรวจจับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เริ่มส่งสัญญาณเตือนว่าระดับคาร์บอนฯ ภายในห้องกำลังสูงและอาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต
“ผมเครียดจนสมองแทบระเบิดมาทั้งอาทิตย์ ขอกอดคุณอย่างนี้สักห้านาทีหน่อยเถอะซาร่าห์” พอลกระชับมือที่โอบอยู่ เกยคางกับไหล่บาง สูดหายใจเอากลิ่นหอมละมุนละไมของเธอเข้าเต็มปอด แค่รู้ว่าเธอคุยกับแฟนเก่า เขาก็หึงจนอยากสั่งโละเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดทิ้ง แต่พอนึกถึงความผิดพลาดใหญ่หลวงของตัวเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะดุด่าหรือลงโทษเธอ
การท้องของลอร่าและการเข้ามาของอธิป ช่างประจวบเหมาะกันพอดิบพอดี
หรือนี่เป็นบททดสอบที่พระเจ้าส่งมาให้เขากับภรรยา
หรือท่านกำลังจะบอกทางอ้อมว่าศราวณะไม่ได้เกิดมาเพื่อเขา
หญิงสาวทำหน้านิ่วเมื่อรู้สึกถึงแรงกอดที่แน่นประหนึ่งงูเหลือมที่พยายามรัดเหยื่อให้กระดูกแหลกละเอียด
“คุณเคยเชื่อเรื่องรักแรบพบไหม ซาร่าห์”
“ไม่ค่ะ สำหรับฉัน ความรักต้องอาศัยเวลา ที่สำคัญ…ต้องมีเหตุผลมาสนับสนุน มันถึงจะเรียกว่าความรักค่ะ อย่างเช่น เรารักใครคนหนึ่งเพราะเขาเป็นคนดี นิสัยใจคอเข้ากันได้ อยู่ด้วยแล้วมีความสุข หรือมีจุดหมายชีวิตคล้ายคลึงกัน”
“คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าสิ่งที่คุณกำลังพูดอยู่น่ะ มันคือการสร้างข้อแม้ของความรัก” พอลถอนใจยาว เวลาสี่ปีเพียงพอหรือยังที่จะเรียกความรู้สึกที่เป็นอยู่ว่าความรัก เขาพยายามลืมเลือนเธอไปจากกล่องความทรงจำ แต่กลับวนเวียนคิดถึงเธอมาโดยตลอด คู่นอนที่เปลี่ยนแบบเดือนเว้นเดือน ก็ให้ความสุขทางกายได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่มีใครสามารถเข้ามายึดพื้นที่หัวใจของเขาเหมือนเธอเลยสักราย
“ข้อแม้ของความรักที่คุณว่า ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ความรักยืนยงค่ะ ความรักที่ไม่จีรังยั่งยืน หวานชื่นแค่ประเดี๋ยวประด๋าว มันไม่ใช่ความรักในมุมมองของฉันค่ะ แต่มันคือ ‘ความหลง’ คือสิ่งที่มนุษย์อุปาทานไปเองว่ามันเป็นความรัก”
สิ่งที่เธอรู้สึกต่อเขาอยู่ทุกวันนี้ก็เข้าข่ายความหลงชั่ววูบ หลงสัมผัส หลงกลิ่นโคโลญหอมสะอาด หลงกลิ่นกายแบบผู้ชายแท้ๆ หลงคิดไปว่าอ้อมแขนนี้มีไว้เพื่อเธอคนเดียว
“ตอนที่เจบอกว่าคุณเลิกกับแฟนและกำลังจะมาอเมริกา ผมดีใจแทบบ้า คิดอยู่อย่างเดียวว่าพระเจ้ากำลังหยิบยื่นโอกาสให้ผม” เขาถอนใจยาว ลำคอตีบตันเกินกว่าจะกล้าพูดเรื่องลูกนอกสมรส “คุณคิดว่าผมควรจะให้นายอาร์ตอะไรนั่น เข้าไปทดลองงานที่ไวส์แบงก์ไหม”
ศราวณะโล่งใจและงุนงงในเวลาเดียวกันที่จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยกะทันหัน
“พี่อาร์ตเรียนเก่งค่ะ เขาอยากหาประสบการณ์ให้ตัวเองก่อนจะกลับไปบริหารธุรกิจของทางบ้านที่เมืองไทย ถ้าคุณพอจะลืมเรื่องบาดหมางสมัยก่อนได้ ฉันก็คิดว่านี่ไม่ใช่เพียงโอกาสดีสำหรับเขา แต่เป็นโอกาสของคุณด้วย หากต้องการขยับขยายธุรกิจไปทางเมืองไทย ฉันหมายถึงครอบครัวของเขากว้างขวางพอตัวทีเดียวค่ะ”
“คุณกำลังคิดแบบนักธุรกิจ ก๊อดเดส” นักการเงินหนุ่มปรับเปลี่ยนท่าให้คนบนตักหันมาเผชิญหน้า
“ฉันก็ลักจำมาจากคุณตั้งแต่อยู่ในกาสิโนที่ลาสเวกัสนั่นแหละค่ะ” เห็นสีหน้าทึ่งจัดและประกายตาภูมิใจของเขา หญิงสาวก็อดยิ้มอย่างขำๆ ไม่ได้
“ถ้าคุณยอมตกลงที่จะทำตามข้อแม้สองข้อได้ ผมก็ยินดีจะให้หมอนั่นเข้าไปทำฝึกงาน” พอลต่อรอง
“ข้อแม้อะไรคะ” ศราวณะจ้องเขาตาแป๋ว
“หนึ่ง ห้ามเจอหมอนั่น” นัยน์ตาคมกริบจ้องคนฟังอย่างจับผิด
“สบายใจได้ค่ะ ฉันไม่คิดจะพบเขาอยู่แล้ว ข้อสองล่ะคะ” เธอคลี่ยิ้มประกอบการยืนยัน
“ข้อสอง…” ใบหน้าหล่อเหลาขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด “คุณต้องสัญญาว่าจะให้อภัยกับความผิดพลาดบางอย่างของผม”
“ความผิดพลาดอะไรคะ” คิ้วเรียวย่นเข้าหากันทันที
“มันยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะบอกคุณ แต่คุณต้องสัญญาว่าจะยกโทษให้ผม”
“ไม่แฟร์เอาเสียเลย” หญิงสาวทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอ
“สัญญามาก่อน Wifey” พอลส่งสายตาคาดคั้น
“นี่คุณ! อย่ามาเรียกฉันแบบนี้นะ” กำปั้นเล็กซัดเข้าที่หัวไหล่คนปากเปราะอย่างลืมตัว
“ทำไมจะไม่ได้ จะว่าไป ผมชอบเรียกคุณว่าไวฟีย์มากกว่า คัปเค้ก ก๊อดเดส หรือซาร่าห์เสียอีก” เขาเถียงตาพราวระยับพร้อมกระชับเอวคอดเข้าไปหาจนใบหน้าห่างกันเพียงองคุลี
“คุณจะเรียกฉันว่า คัปเค้ก ก๊อดเดส ซาร่าห์ หรืออะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ไวฟีย์ค่ะ” ศราวณะถลึงตาดุใส่คนฟัง แล้วก็รีบปรับสีหน้าเป็นจริงจังเพื่อดึงหัวข้อสนทนากลับไปยังเรื่องที่คุยกันค้างอยู่ “ฉันตกลงก็ได้ว่าจะยกโทษให้คุณ แต่เรื่องที่คุณอยากให้ฉันยกโทษให้ต้องไม่เกี่ยวข้องกับการตายของเจ หรือการหายตัวไปของพี่จันทร์”
“โน โน้! ไม่เกี่ยวกับเจหรือแจนแม้แต่นิดเดียว”
“งั้นก็เป็นอันว่าเราตกลงกันเรียบร้อยแล้วนะคะว่าคุณอนุญาตให้พี่อาร์ตเข้าไปฝึกงานพรุ่งนี้ฉันจะได้ส่งข่าวให้เขาทราบค่ะ” หญิงสาวสรุปด้วยความเบาใจ
“ส่งเบอร์หมอนั่นให้ผมก็พอ เดี๋ยวผมให้ไปป์เป็นคนติดต่อไปเอง”
วิธีการกีดกันแบบอ้อมๆ ของเขาทำเอาคนฟังแทบกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เธอพยักหน้าแทนคำตอบ
“โซอี้บอกว่าเจอคุณแล้ว เธอปลื้มคุณมากถึงขนาดบอกฉันเลยแหละว่าจะจีบคุณแข่งกับนารถ”
“นารถ?” นักการเงินหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด
“นารถ หรือนีน่า เพื่อนสนิทของฉันที่จะบินมาถึงนิวยอร์กศุกร์หน้านี้ค่ะ”
“อ๋อ คนที่จะมาเป็นแนนนี่นั่นเอง” พอลพยักหน้าเมื่อคิดตามทัน
“ใช่ค่ะ สองคนนั่นสวยสูสีกันเชียวละ คุณอาจตัดสินใจลำบากสักนิดถ้าวัดกันที่ความอวบอึ๋ม โซอี้ร้อนแรงแบบสาวเม็กซิกัน ส่วนยายนารถก็เซ็กซี่แบบออเรียนทัล” ศราวณะแสร้งหัวเราะเหมือนไม่รู้สึกรู้สา แต่ดวงตาคู่งามแอบสังเกตสีหน้าของสามีอยู่ตลอด
“ไม่ละ ผมชอบเซ็กซี่พอดีๆ อย่างนี้มากกว่า” ชายหนุ่มลดเลนส์สีฟ้าในดวงตาคมปานใบมีดลงเล็กน้อยเพื่อคาดคะเนทรวงอกอวบอิ่มของคนฟัง “คัปบีหรือซีสามสิบสี่ เหมาะกับผมที่สุดแล้ว”
“ทะลึ่ง!” เธอเอ็ดด้วยภาษาไทยเร็วปรื๋อ
“โอ้…ขอบคุณที่ชมว่าผม Talent” คนทะลึ่งยิ้มใสซื่อ โมเมเอาเองว่าคำด่าคือคำชมว่าเขาเก่งฉกาจฉกรรจ์ในการคาดคะเนขนาดทรวงอกของเธอ
ฉันไม่อยากคุยกับคนหลงตัวเองแล้ว ไปนอนดีกว่า” ร่างสมส่วนตั้งท่าจะลุก แต่กลับทำไม่ได้อย่างใจคิด เพราะแขนที่โอบเอวอยู่ตอนแรกเปลี่ยนเป็นกอดกระชับ
“ขอนอนด้วยได้ไหม” พอลส่งสายตาเว้าวอน
“ไม่ค่ะ ถ้าอยากหาคู่นอนก็ไปเคาะห้องโซอี้ หรือไม่ก็กลับไปหาสาวที่คุณนอนกกเป็นอาทิตย์ที่เพนต์เฮาส์โน่น”
“ผมไม่คิดจะยุ่งกับคนในปกครอง เพราะฉะนั้นเคสของโซอี้เลิกพูดได้เลย ส่วนที่เพนต์เฮาส์ผมก็นอนคนเดียวมาทั้งอาทิตย์ ไม่เชื่อก็ถามแซมดูสิ”
“เขาคงบอกความจริงกับฉันหรอกค่ะ” เธอประชดประชัน เพราะเห็นว่าซามูเอลรับเงินเดือนจากเขา
“คุณประเมินแซมต่ำไป หมอนั่นจงรักภักดีต่อคุณมากกว่าผมเสียอีก บางทีผมยังแอบสงสัยเลยว่าแซมกำลังอารักขาความปลอดภัย หรือคอยสอดส่องความประพฤติของผมเพื่อนำมารายงานคุณกันแน่” ยังไม่รวมถึงการที่บอดีการ์ดดักคอทุกครั้งที่เขาแสดงท่าทีชื่นชมสาวอื่น อย่างนี้จะไม่ให้คิดว่าซามูเอลทำงานให้เมียเขาได้อย่างไร
“เสียดายที่ฉันไม่ใช่คนจ่ายเงินเดือน ไม่อย่างนั้นจะเพิ่มเงินเดือนให้เขาอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ” ศราวณะเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“แซมได้เงินเดือนมากกว่าที่คุณคิด แต่มันแย่ตรงที่หมอนั่นไม่เคยออกไปใช้เงินเลย”
“ฉันว่าดีออกค่ะที่เขาเก่งหา แต่ไม่เก่งใช้ ผู้ชายแบบนี้แหละที่สาวๆ ทั้งโลกหมายปอง” เธอแอบคิดว่าซามูเอลเห็นนีรนารถแล้วอาจจะปิ๊ง
“ถ้าไม่อยากให้ผมไล่แซมออก ก็หยุดทำหน้าทำตาแบบนี้ซะ!”
“คุณนี่พาลได้ตลอดจริงๆ ฉันแค่คิดว่าจะดีแค่ไหน ถ้าทำให้แซมกับเพื่อนสนิทของฉันรักกันได้ต่างหากค่ะ” หญิงสาวค้อนคนช่างหาเรื่องอย่างหมั่นไส้
“ไม่รู้ละ ผมไม่ชอบให้คุณชื่นชมใครมากกว่าผม” สำหรับเธอ…เขาจะเป็นรองใครไม่ได้เด็ดขาด ต้องเป็นที่หนึ่งและหนึ่งเดียวเท่านั้น “วันนี้ไปข้างนอกมาได้อะไรมาบ้าง”
“เยอะแยะเลยค่ะ หลักๆ ก็ของขวัญวันเกิดให้อลิซ ฉันกับโซอี้ช่วยกันห่อจนเสร็จแล้ว คุณคิดจะให้อะไรแกคะ” เธอถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ยังไม่รู้เลย แต่ผมสัญญาว่าจะหาของขวัญที่ลูกเห็นแล้วต้องยิ้มแก้มแทบปริ” นิ้วของเขาปัดปอยผมที่ระอยู่ข้างแก้มออกให้อย่างนุ่มนวล
“แย่จังนะคะที่งานวันเกิดทั้งทีก็จะไม่มีเด็กอื่นมาแจมเลย วันนี้อลิซเจอเด็กๆ ที่ห้างแล้วก็ตื่นเต้นใหญ่ ร้องเรียกเบบี้ไม่หยุด ฉันเห็นแล้วก็อดสงสารแกไม่ได้”
“ปัญหานี้แก้ง่ายนิดเดียวคัปเค้ก แค่เราสองคนร่วมมือกัน ไม่ถึงปีก็มีเพื่อนเล่นให้อลิซแล้ว” นักการเงินหนุ่มพูดจบก็สูดปากระบายความปวดแสบปวดร้อนเมื่อมือคนฟังบิดเข้าที่ต้นแขน
“เชิญชวนสาวอื่นแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้เถอะค่ะ ฉันเพิ่งอายุยี่สิบสี่ ไม่มีแพลนจะผลิตประชากรของโลกในระยะสี่หรือห้าปีนี้” ศราวณะทำปากยื่น ย่นจมูกใส่คนฟัง
“ถ้าผมทำจริงๆ คุณจะโอเคไหมล่ะ” พอลถามทีเล่นทีจริง หวังจะให้คำตอบของเธอไกด์หนทางแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่
“ก็ต้องโอเคอยู่แล้วแหละค่ะ เพราะมันเป็นสิทธิ์ของคุณ เราเป็นแค่สามีภรรยากันทางกฎหมาย อีกแค่สองปีกว่า ฉันกับอลิซก็เซย์กู๊ดบายแล้ว ฉะนั้นคุณจะมีลูกเป็นทีมฟุตบอล มันก็ไม่เกี่ยวกับพวกเรา” เธอกล้ำกลืนฝืนยักไหล่เหมือนไม่แคร์ ไม่อยากให้เขาเห็นว่ามีอิทธิพลต่อความรู้สึก เขาคงไม่รู้หรอกว่าคำถามทำนองนี้มันกระทบกระเทือนจิตใจของผู้หญิงแค่ไหน
“คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอซาร่าห์ คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าเวลากว่าสองปีที่เราจะอยู่ด้วยกัน คุณกับอลิซจะรู้สึกผูกพันกับผมและที่นี่จนไม่อยากกลับเมืองไทย” ชั่วขณะ อัญมณีสีฟ้าในดวงตาของเขาเหมือนจะปรากฏรอยร้าว
“เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะนะคะ คุณทำงานมาเหนื่อยๆ แถมเครียดมาทั้งอาทิตย์ ฉันว่าขึ้นไปพักผ่อนดีกว่า” มือบางฉวยมือที่โอบเอวของตัวเองแล้วลุกขึ้นจากตักกว้าง ดึงคนหน้าม่อยให้ลุกตามพร้อมกับส่งยิ้มปลุกปลอบ
พอลยอมสืบเท้าตามการจูงโดยไม่ปริปากพูดอะไร กระทั่งถึงชั้นบน จึงบ่นว่าคิดถึงและอยากเข้าไปดูหน้าลูกก่อนนอน
เด็กหญิงอลิซหลับปุ๋ยเมื่อทั้งคู่เข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างเปลเด็ก รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนดวงหน้าอวบอิ่มตามแบบเด็กๆ ทำเอาพอลถึงกับยื่นนิ้วไปแตะปากจิ้มลิ้มด้วยความเอ็นดู ถึงไม่ใช่สายเลือดแต่เขาก็ปักใจรัก มองว่าเป็นลูกจริงๆ นับแต่ที่รับเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มร่าเริง แววตาใสซื่อ และได้ยินคำว่าปะป๊า โลกของเด็กไม่ต่างอะไรกับกระดาษสีขาว ซึ่งเขาตั้งใจว่าจะให้กระดาษสีขาวของอลิซแต่งแต้มด้วยสีสันสดใส ไม่ใช่มืดมน
“คุณคิดว่าผมเป็นพ่อที่ดีหรือเปล่าซาร่าห์” ชายหนุ่มรำพึงรำพัน ดวงตาเหมือนกำลังมองแม่หนูน้อย แต่ในหัวกลับคิดไปถึงเรื่องการท้องของลอร่า เขาไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดเด็กคนนั้นเท่าอลิซหรือเปล่า เพราะสิทธิ์การเลี้ยงดูย่อมตกเป็นของมารดา ได้แต่หวังว่าถึงเวลานั้น ลอร่าจะไม่เปลี่ยนไป ยอมให้เขากับลูกได้สนิดชิดเชื้อกันมากกว่าความสัมพันธ์ของเขากับบิดา
“ถ้าไม่นับว่าคุณงานยุ่งจนกลับบ้านทุกวันไม่ได้ ฉันคิดว่าคุณเป็นพ่อที่ดีมากค่ะ” แน่ละ เขาเป็นพ่อที่ดีมากๆ เพราะประเคนทุกอย่างให้อลิซ แถมเวลาอยู่บ้านก็ให้เวลากับลูกอย่างเต็มที่ บางครั้งอารมณ์ดีถึงขนาดอ่านหนังสือและร้องเพลงกล่อมเด็กให้ฟัง
“จากนี้ไป ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ผมจะไม่ค้างที่เพนต์เฮาส์อีก เดือนหน้าผมก็ใช้เฮลิคอปเตอร์บินไป-กลับแทนการนั่งรถไปทำงานได้แล้ว”
“เอาที่คุณสะดวกและสบายใจเถอะค่ะ ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นเพราะอยากกดดันให้คุณกลับมานอนที่นี่ทุกคืน เด็กๆ ปรับตัวง่าย ฉันคิดว่าถึงคุณไม่กลับมาทุกวัน อลิซก็เข้าใจค่ะ”
“ถึงผมจะไม่ใช่พ่อแท้ๆ ถึงคุณคิดจะพาอลิซไปอยู่เมืองไทยในอนาคต แต่ระหว่างอยู่ที่นี่ อลิซคือลูกสาวของผม และผมจะพยายามทำหน้าที่ของพ่อให้ดีที่สุด”
ศราวณะเพียงแค่ยิ้มให้คำพูดแสนกินใจนั้น เธอเดินนำเขาออกจากห้องนอนของหลานสาว กระทั่งถึงประตูห้องนอนของตัวเองจึงได้หยุดฝีเท้า
“กูดไนต์ค่ะ”
“ผมเข้าไปคุยในห้องคุณอีกหน่อยได้ไหม คือ…ผมเพิ่งจำได้ว่ายังไม่ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของผมให้คุณฟังเลย” ชายหนุ่มยิ้มกลบเกลื่อนความรู้สึกอึดอัด นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เขาเป็นฝ่ายขออยู่ต่อ ที่ผ่านมามีแต่สาวๆ ชวนขึ้นไปจิบกาแฟหรือคุยต่อที่ห้อง ซึ่งสุดท้ายมันก็จบลงที่เซ็กซ์เร่าร้อนก่อนที่เขาจะขอตัวกลับอยู่ดี
“ไว้วันหลังดีกว่าค่ะ คืนนี้มันดึกมากแล้ว ฉันอยากพักผ่อน คุณเองก็ควรจะเข้านอนเหมือนกัน พรุ่งนี้อลิซคงดีใจมาก ที่ตื่นมาเห็นคุณ ฝันดีนะคะ” หญิงสาวทำใจแข็ง ปฏิเสธคำขอของเขาแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น อึดใจต่อมาเธอก็แหงนหน้ามองคนตัวโตอย่างตกตะลึง เมื่อพอลใช้สองมือกักเธอไว้กับประตู จ้องเหมือนคนหิวโซกลางทะเลทรายที่บังเอิญมาเจอโอเอซิสที่มีอินผลัมสุกเต็มต้น
“ขอนอนด้วยสักคืนไม่ได้เหรอคัปเค้ก ผมสัญญาว่าคุณจะปลอดภัยเหมือนตอนอยู่ลาสเวกัส”
“ไม่ได้ค่ะ ขืนคืนนี้ฉันอนุญาต คืนต่อไปคุณก็คงหาข้ออ้างมาขอนอนด้วยอีก” มือบางยกขึ้นกั้นระหว่างอกอวบของตนกับอกแกร่งของเขา
“งั้น…” สายตาร้อนแรงลดลงมองที่เรียวปากรูปกระจับ “ผมขอกูดไนต์คิสนะ”
ศราวณะได้ยินทุกคำที่เขาพูด เธอรู้ว่าควรปฏิเสธ แต่ตาเปี่ยมพลังกลับดึงดูดตรึงให้ยืนนิ่ง มองใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาใกล้ทุกทีๆ ลมหายใจของพอลหอมหวาน ชวนหลงใหลไม่แพ้กลิ่นกาย และริมฝีปากของเธอก็เริ่มสั่นระริก รอคอยจูบราตรีสวัสดิ์ด้วยใจระทึก
ความคิดเห็น |
---|