9

วาระพระศุกร์เข้า


 9

วาระพระศุกร์เข้า

               

                ทริปบินไปแต่งงานผ่านไปไวเหมือนฝัน เมื่อบินกลับถึงนิวยอร์ก พอลก็ยุ่งกับการสะสางปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ทั้งสัปดาห์ นั่นเป็นครั้งแรกนับแต่ศราวณะย้ายเข้ามาอยู่คฤหาสน์ที่เขายุ่งและเหนื่อยจนตัดสินใจค้างที่เพนต์เฮาส์ทุกคืน

                “ผมเหนื่อยจัง ซาร่าห์ ”

น้ำเสียงออดอ้อนระคนเหนื่อยอ่อนของคนที่วิดีโอคอลมาตอนสามทุ่มครึ่ง เรียกรอยยิ้มอ่อนหวานจากเจ้าของดวงหน้ารูปไข่ นี่เป็นคืนที่หกที่เขาไม่กลับมานอนที่บ้าน เธอจำได้ว่าวันนั้นบินกลับมาถึงนิวยอร์กตอนรุ่งสาแล้วก็อาบน้ำเข้านอน พอตื่นมาตอนสิบโมงเช้าถึงรู้จากพ่อบ้านว่าพอลไม่ได้นอน แต่ออกไปที่ไวส์แบงก์ทันที ตั้งแต่นั้นมาเธอก็เห็นหน้าหล่อๆ ของเขาผ่านหน้าจอโทรศัพท์

                “งั้นคุณควรรีบอาบน้ำเข้านอน ไม่ใช่วิดีโอคอลมาหาฉันแบบนี้ค่ะ” เห็นสภาพที่ยังอยู่ในชุดสูทอาร์มานีสุดเนี้ยบ ผมยังอยู่ทรงราวกับเพิ่งแต่งตัวเสร็จ เธอก็ถึงกับเผลอค้อนให้สามีลับๆ 

                “ก็ผมคิดถึง” ชายหนุ่มบอกหน้าตาย

                “อลิซถามหาคุณทุกเช้าเย็นเลยค่ะ ฉันกับโซอี้ต้องคอยบอกแกว่าปะป๊าไปทำงาน” หญิงสาวเฉไฉเปลี่ยนเรื่องแก้เขิน บ้าจริงที่สบตาคู่นี้ทีไร เธอก็รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าทุกที ทั้งที่เขาไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยซ้ำ

                “โซอี้เป็นไงบ้าง” พอลเซ็งไม่น้อยที่นิ้วนางข้างซ้ายของเธอไร้แหวนแต่งงานของเขา เคยถามถึงเหตุผล และภรรยาทางนิตินัยก็บอกว่าไม่ต้องการให้สะดุดตาใครเพราะขี้เกียจตอบคำถาม พอเขาขอให้สวมไว้ที่นิ้วนางข้างขวา เธอก็ยังไม่ยอมทำ อ้างนั่นอ้างนี่จนเขาเป็นฝ่ายยอมจำนน

                “ดีค่ะ ตัวจริงของเธอสวย เซ็กซี่มาก คุณเห็นแล้วจะต้องตกตะลึง หนุ่มๆ ที่คฤหาสน์แข่งกันขายขนมจีบเป็นว่าเล่นเลยแหละค่ะ” ศราวณะหัวเราะเมื่อนึกถึงความฮอตของแม่สาวเม็กซิกัน เธอไม่เคยถามถึงอายุของพี่เลี้ยงสุดฮอต แต่เดาว่าน่าจะไล่เลี่ยหรือไม่ก็มากกว่าเธอสองหรือสามปี

                “ฮอตกว่าไปป์อีกเหรอ” เขาย้อนเพราะภรรยาเคยปรารภหลายต่อหลายครั้งว่าไปเปอร์เป็นสาวฮอต

                “มันคนละอย่างค่ะ ไปป์ฮอตในสายตาของฉันเพราะการแต่งตัวและความมั่นใจ แต่โซอี้ฮอตเพราะมีคิลเลอร์บอดี” โซอี้สูงประมาณร้อยหกสิบห้า มีเอวคอดเล็ก สะโพกผายเย้ายวน และจุดขายที่ทำเอาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่หายใจติดขัดก็คือหน้าอกหน้าใจไซซ์ดับเบิลดี

                “อู้…กลับคฤหาสน์ตอนนี้เลยดีไหม” นักการเงินหนุ่มแสร้งทำตาโตเหมือนเด็กเจอของถูกใจ

                “กว่าคุณจะถึง เธอก็คงหลับไปแล้วแหละค่ะ ยกเว้นก็แต่คุณจะจะแอบเข้าห้องเธอ” หญิงสาวเอ่ยเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ทว่าหวิวไหวในอกอย่างบอกไม่ถูกกับความคิดที่ว่าเขากำลังสนใจคนอื่น

หรือนี่เป็นผลข้างเคียงของการเป็นภรรยาทางนิตินัย เป็นสัญชาตญาณของเมียหลวงทุกคน

                “ไม่ละ ผมชอบแอบเข้าห้องนอนของคุณมากกว่า” คนพูดยักคิ้วหลิ่วตา

                “ยังหาตัวคนทำไม่ได้อีกเหรอคะ” เธอหันเหบทสนทนาไปเรื่องธุรกิจของเขาอีกครั้ง

                “คนทำส่งข้อมูลผ่านตู้ไปรษณีย์ ยากจะจับมือใครดม โชคดีที่เราพิสูจน์ให้ลูกค้าเห็นว่าข้อมูลนั่นถูกขโมยไปพร้อมกับการตายของเจ คิดว่าคนทำน่าจะเป็นคนเดียวกัน เพียงแต่มันเลือกปล่อยข้อมูลออกมาดิสเครดิตองค์กรของผมเป็นระลอกเท่านั้น” พอลปลดเนกไทสีแดงเลือดนกออกด้วยท่าทีอ่อนเพลีย

                เพนต์เฮาส์ของเขาตั้งอยู่ชั้นบนสุดตึกไวส์แมนเอสเตท ภายในแบ่งออกเป็นสองชั้นซึ่งตอนวิดีโอคอลหาศราวณะครั้งแรก เขาได้พาชมส่วนของห้องนั่งเล่นกึ่งโฮมเธียเตอร์ ห้องครัว ห้องอาหารซึ่งเปิดกว้างตามดีไซน์แบบโอเพนคอนเซปต์ ผนังทุกด้านเป็นกระจกเปิดให้เห็นวิวสามร้อยหกสิบองศาของนิวยอร์กซิตี มีระเบียงโฟร์ซีซันให้นั่งทัศนาวิวสวยๆ ได้ทั้งปี เฟอร์นิเจอร์ตกแต่งเน้นเป็นโทนสีครีม ฟ้า ดำ และทอง มีบันไดวนพาขึ้นสู่ชั้นบนซึ่งประกอบด้วยสามห้องนอน สามห้องน้ำ มีห้องฟิตเนสเชื่อมกับสระว่ายน้ำแบบอิฟินิตีพูลด้านนอก และที่สำคัญมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวที่ดาดฟ้า เรียกว่าเขาใช้ชีวิตอย่างคนระดับอีลิตของแท้

                “อย่างนี้ก็แสดงว่าคุณจะโดนเล่นงานอีกเรื่อยๆ ใช่ไหมคะ” ฟังแล้วเธอก็อดเห็นใจเขาไม่ได้ 

                “ตอนนี้ผมกำลังวางแผนป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตไว้อย่างรัดกุม คัปเค้ก คุณไม่รู้หรอกว่าผมอยากกลับบ้านไปทานข้าวกับคุณและลูกของเรามากขนาดไหน”

‘ลูกของเรา’ คำนี้เขาจงใจใช้เรียกอลิซ เพราะอยากให้ทั้งเธอและแม่หนูน้อยเห็นว่าแม้ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่ก็เปิดรับด้วยหัวใจอย่างไร้ความกังขา

                “ศุกร์หน้าอลิซก็สองขวบเต็มแล้วค่ะ ฉันปรึกษากับชาร์ลีแล้วว่าจะจัดงานวันเกิดเล็กๆ ให้แกเย็นวันเสาร์ เผื่อคุณจะว่าง อยากมาแจมด้วย”

                “วันเกิดลูกทั้งคน ต่อให้ยุ่งแค่ไหน ผมก็ไม่มีทางพลาดอยู่แล้ว”

                ทั้งสองคุยกันต่อไม่นาน หญิงสาวก็ขอตัววางสาย เพราะเหลือบเห็นซามูเอลถือกล่องใส่พิซซาเข้ามาในเพนต์เฮาส์ เธอเช็กความเรียบร้อยของหลานสาวอีกครั้ง ก่อนจะกลับมาสวดมนต์แล้วเข้านอน 

 

                “ไม่ยอมกลับไปนอนที่คฤหาสน์เป็นอาทิตย์แบบนี้ ระวังมิสจะเข้าใจผิด คิดว่าคุณกกอีหนูอยู่ที่นี่นะครับ” ไคลน์เย้าหลังจากที่กัดฟิซซ่า เคี้ยวกร้วมๆ ด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ผิดกับซามูเอลที่กินด้วยกิริยาสำรวม ในช่วงเวลาที่ต้องวางแผนและขจัดปัญหาทางธุรกิจ เพนต์เฮาส์แห่งนี้กลายเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังพล

                “มิสไม่ใช่ผู้หญิงประเภทนั้น” ซามูเอลชิงตอบ

                “แต่ก็มักจะมีอะไรมาทดสอบฉันอยู่เสมอ” นักการเงินหนุ่มเอ่ยเคล้าเสียงหัวเราะ เมื่อนึกถึงเรื่องที่เธอบอกว่าพี่เลี้ยงของอลิซเซ็กซี่ร้อนแรงเพียงใด เขาคิดว่าศราวณะไม่ถึงกับหึง แต่คงแอบระแวงว่าเขากับโซอี้จะสปาร์กกัน ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ว่าคนที่เขาอยากสปาร์กด้วยก็คือเธอ ไม่งั้นจะทนขาดเซ็กซ์มากว่าสองเดือนแบบนี้เหรอ

                “ผมเคยมีเพื่อนร่วมคลาสเป็นหนุ่มเอเชีย หมอนั่นบอกว่าข้อแตกต่างระหว่างสาวเอเชียกับสาวตะวันตกก็คือ คุณต้องครอบครองหัวใจของเธอก่อน ถึงจะได้ครอบครองตัว ผู้ชายบางคนถึงขนาดต้องรอถึงคืนแต่งงานเลยทีเดียว เพราะพวกเธอถือว่าพรหมจรรย์เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเก็บไว้ให้สามีเท่านั้นครับ” ผู้ช่วยอันดับหนึ่งแลกเปลี่ยนความรู้ในสิ่งที่เคยได้ยินมา

                “ก็น่าจะเป็นอย่างที่นายพูด” พอลรำพันเหมือนกำลังอยู่ในภวังค์ความคิด ที่ผ่านมาเขามีแต่ชี้นิ้วเลือกว่าต้องการนอนกับผู้หญิงคนไหนราวกับเลือกเมนูอาหาร ไม่มีเรื่องของหัวใจเข้ามาเกี่ยวข้อง ต่างจากครั้งนี้ที่เขาอยากได้ตัวกับหัวใจของศราวณะมากเสียจนค่อยๆ วางหมากบนกระดานและเดินเกมอย่างระมัดระวัง เพราะเกรงว่าเธอจะหลุดลอยไปจากชีวิตอีก

                ตอนนี้เขาได้ชื่อว่าเป็นสามีแล้ว ขาดแค่ปัจจัยเดียว นั่นก็คือ ‘ใจ’ ของผู้ที่ได้ชื่อว่าภรรยา

                “ผมไม่เห็นความจำเป็นที่คุณจะต้องทรมานตัวเองเพื่อรอให้มิสพร้อมเลยครับ ในสัญญา มิสก็ระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่าคุณสามารถหลับนอนกับคนอื่นได้ ถ้าคุณกลัวมิสจะรู้ เราก็แค่ปิดทุกอย่างให้เป็นความลับอย่างที่เคยทำก็ได้” ไคลน์ยักไหล่เล็กน้อย คิดว่าบางทีการได้ปลดปล่อยบ้าง อาจทำให้สมองของเจ้านายปลอดโปร่ง

                “พรุ่งนี้ฉันต้องควงแคเธอรีนไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของ อดัม รอส”

อดัม รอส คือหนึ่งในลูกค้าที่ข้อมูลรั่วไหลเมื่อแปดวันก่อน บุตรชายคนโตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คนปัจจุบัน ซึ่งเป็นลูกค้าเพียงคนเดียวที่ไม่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ แถมยังสร้างข้อแม้มากมายให้เขาปวดหัวมาทั้งสัปดาห์ ข้อแม้ล่าสุดคือต้องการให้เขาเป็นคู่ควงของ แคเธอรีน รอส บุตรสาวเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นดีไซเนอร์เสื้อผ้าแบรนด์เดียวกับชื่อของเธอ

                “คงหวังจะให้เป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาโพรโมตแบรนด์เสื้อผ้ามั้งครับ” ไคลน์หัวเราะหึๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้านายของเขาถูกขอร้องแกมบังคับให้ควงลูกสาวคนนั้นคนนี้ไปงานเลี้ยง ไม่บอกก็รู้ว่าอดัมคงเชิญสื่อมางานนี้เพียบ

                “ถ้าแค่คืนพรุ่งนี้ก็คงไม่เท่าไรหรอก แต่นี่ฉันต้องควงแคเธอรีนเป็นเวลาหนึ่งเดือน ไม่งั้นอดัมจะถอนเงินไปลงทุนกับโลแกน” มือหนาคว้าเบียร์ที่ซามูเอลเพิ่งส่งให้มากระดก ดื่มดับความเครียดที่พอกพูนขึ้นจนเขาอยากให้เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปโดยเร็ว

                “ผมรู้ว่าคุณไม่อยากหอบสีหน้าเครียดๆ ไปให้มิสเห็น แต่พรุ่งนี้คุณน่าจะกลับไปนอนที่โน่นหลังกลับจากงานเลี้ยงนะครับ” บอดีการ์ดหนุ่มแนะนำ คิดว่าอย่างน้อยน่าจะช่วยให้ศราวณะเข้าใจว่าเจ้านายของเขาไม่ได้นอกลู่นอกทาง

                “ขอบใจะแซม ฉันก็คิดอยู่เหมือนกันว่าพรุ่งนี้จะกลับไปนอนที่บ้าน”

 

                คิดถึงคุณ ข้อความสั้นๆ ที่ถูกส่งเข้ามือถือของเธอในตอนหกโมงเช้า ทำเอาศราวณะยิ้มไม่หุบ เธอฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ระหว่างที่อาบน้ำแต่งตัว วิ่งลงบันไดจากชั้นสองของคฤหาสน์ด้วยความเบิกบานใจสุดขีด

                “อรุณสวัสดิ์ค่ะมิส ตื่นเช้าจังนะคะวันนี้” ไปเปอร์ซึ่งกำลังจัดการกับอาหารเช้าอย่างเร่งรีบเห็นแล้วก็อดทักไม่ได้

                “พอดีเมื่อคืนเข้านอนแต่หัววันค่ะก็เลยตื่นเช้าเป็นพิเศษ คุณจะออกไปแล้วเหรอคะไปป์”

ในวันทำงาน ไปเปอร์มักออกจากคฤหาสน์ตอนหกโมงสี่สิบห้าเสมอ ส่วนมากเธอจึงพบอีกฝ่ายในตอนเย็นเท่านั้น

                “อีกสามนาทีค่ะ” ไปเปอร์ทำหน้าครุ่นคิด ชั่วครู่ดวงตาสีน้ำตาลอมทองก็เจิดจ้าขึ้นกว่าปกติ “รู้ไหมคะว่ามีคนบ่นคิดถึงมิสให้ฉันฟังทุกวันเลย ฉันว่าถ้ามิสฝากของไปให้บ้าง มิสเตอร์ไวส์แมนอาจจะเลิกทำหน้าบึ้งจนฉันกับทุกคนเข้าหน้าไม่ติดก็ได้ค่ะ”

                “ไม่มีใครล่ามโซ่เขาไว้ที่เพนต์เฮาส์นี่คะ อยากกลับมาที่นี่เมื่อไรก็ทำได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่กลับมาเองต่างหาก” หญิงสาวเผลอตัวย่นจมูกเมื่อนึกถึงหน้าของคนที่ชอบบ่นว่าคิดถึงให้ฟังเป็นประจำ

                “หูย แซมบอกว่ามิสเตอร์ไวส์แมนอยากกลับบ้านใจแทบขาดค่ะ แต่ปัญหามันมากมายเสียจนปลีกตัวกลับไม่ได้ พูดแล้วก็น่าสงสารนะคะ เสียดายที่ฉันเองก็ช่วยอะไรไม่ได้มากกว่าที่ทำอยู่”

                “ฉันไม่มีอะไรจะฝากให้เขาหรอกค่ะ บอกตามตรงว่าฉันคิดไม่ออก” ศราวณะสารภาพเสียงอ่อย เห็นเขาโหมงานหนักและดูเหมือนจะเครียดมาก เธอเองก็เริ่มห่วงเหมือนกัน แต่ทำอะไรไม่ได้นี่นา

                “ลองทำอาหารเช้าแล้วฝากไปให้สิคะ ฉันรับรองเลยว่ามันจะเป็นเซอร์ไพรส์ที่เขายิ้มไม่หุบทั้งวัน”

                “กะทันหันขนาดนี้ ฉันคิดเมนูไม่ออกหรอกค่ะ ปกติเห็นเขาทานแต่อเมริกันเบรกฟาสต์”

                “ก็ทำอเมริกันเบรกฟาสต์นี่แหละค่ะ เพราะฉันเชื่อว่าคุณค่ามันอยู่ที่ตัวคนทำ ไม่ใช่เมนูหรือรสชาติ ทำเลยนะคะ ฉันจะได้อยู่รอ” ไปเปอร์วางกระเป๋าถือสีแดงซึ่งเป็นของฝากจากลาสเวกัสลงบนเคาน์เตอร์ในห้องครัว

                “แต่ว่า…”

                “ทำเถอะค่ะ ปกติฉันต้องแวะซื้ออาหารเช้าให้มิสเตอร์ไวส์แมน ถ้าวันนี้ฉันบอกว่าอาหารเช้าเป็นฝีมือของมิส รับรองเลยว่าเขาดีใจจนตัวลอยแน่” เลขานุการิณีคนสวยคะยั้นคะยอ จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมเปิดตู้เย็นและหยิบนั่นหยิบนี่มาลงมือทำอาหารเช้าอย่างประดิดประดอย

ไปเปอร์ออกเดินทางช้ากว่าเดิมนับสิบนาที ถึงที่ทำงานเลตเสียจนไคลน์โทร. จิก แต่พอบอกเหตุผล มือขวาของเจ้านายก็วางสายไปดื้อๆ โดยไม่ได้ต่อว่าอะไร

               

                พอถึงสำนักงานใหญ่ของไวส์แบงก์ หญิงสาวก็กดลิฟต์ขึ้นไปยังชั้นสูงสุด ยิ้มให้ไคลน์ซึ่งยืนรออยู่ด้านนอกและเปิดประตูห้องของเจ้านายสุดหล่อให้

“หวังว่าเซอร์ไพรส์ของเธอจะคุ้มค่ากับการมาสายถึงครึ่งชั่วโมงนะ ไปเปอร์”

การถูกเรียกชื่ออย่างเต็มยศ ตีความได้อย่างเดียวคือ พอล ไวส์แมน กำลังไม่พอใจกับพฤติกรรมการมาสายนี้ แต่มีหรือที่เธอจะกลัว

                “ฉันต้องขอโทษจริงๆ ค่ะที่เลต พอดีมิสอยากฝากของมาให้คุณ ฉันก็เลยต้องอยู่รอ เพราะคิดว่าคุณคงอยากได้ของฝากเร็วที่สุด” ไปเปอร์ยิ้มเป็นต่อ

                “ของฝากอะไร” ถามพลางชะเง้อคอเป็นยีราฟเมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ยกกระเป๋าที่รักษาอุณภูมิของอาหารมาวางลงบนโต๊ะทำงานไม้มะฮอกกานี รูดซิปและหยิบกล่องใส่อาหารหนึ่งกล่อง กาแฟร้อน และน้ำส้มอย่างละหนึ่งแก้วออกมาวางลงบนโต๊ะ

                “ซาร่าห์ฝากของพวกนี้มาให้ฉันจริงๆ เหรอ”

                “ไม่ใช่แค่ฝากค่ะ แต่มิสยังลงมือเข้าครัวเองเลย ฝากฉันมาบอกด้วยนะคะว่าขอให้คุณเจริญอาหารและแฮปปีกับการทำงาน” หญิงสาวใช้มือข้างหนึ่งป้องปากเพื่อบอกประโยคสุดท้ายราวกับกลัวจะมีคนอื่นแอบฟัง เธอแทบจะหัวเราะคิกเมื่อเจ้านายสุดหล่อเปิดกล่องอาหาร แล้วยิ้มเหมือนคนที่เฝ้ารอบางอย่างมาตลอดชีวิต

                “คุณยิ้มแบบนี้ แสดงว่าวันนี้ฉันคงไม่ต้องภาวนาต่อพระเจ้าทุกครั้งที่คุณอินเตอร์คอมไปหาแล้วใช่ไหมคะ” เห็นสีหน้าเหมือนคนกำลังมีความสุขของนายจ้าง เธอก็อดภูมิใจในความฉลาดรอบรู้ของตัวเองไม่ได้

                “ยืนเจ๋ออะไรอีกล่ะ เลตมาครึ่งชั่วโมงแล้ว รีบออกไปทำหน้าที่ของตัวเองสิ ฉันไม่ได้จ้างเธอมายืนจ้อง ตอนจะกินอาหารเช้านะ” พอลแสร้งดุด้วยสีหน้าขึงขังจนเลขานุการคนสวยแจ้นออกจากห้อง เขาหันมาสนใจกับอาหารสีสันน่ากินในกล่องแล้วยิ้มอยู่คนเดียว

                อเมริกันเบรกฟาสต์ที่ศราวณะฝากมาให้ มีเบคอนหกชิ้น ออมเล็ตใส่มะเขือเทศสีสันน่ากิน และไส้กรอกที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วจัดวางเป็นรูปดาว เหมือนกับที่เธอเคยนำหินหลายสิบก้อนมาเรียงเป็นรูปดาวตอนอยู่แกรนด์แคนยอน

                “ฝากของกินมาให้แบบนี้ แสดงว่า ‘ผมกินดาว’ ได้แล้วใช่ไหม”

                นายธนาคารหนุ่มถ่ายรูปอาหารที่ภรรยาจัดวางมาให้อย่างน่ารักไว้เป็นที่ระลึก เขากินอย่างเอร็ดอร่อยและฟาดจนเกลี้ยง พอกินเสร็จก็ถ่ายรูปกล่องเปล่า ส่งทั้งรูปก่อนและหลังกิน เข้ามือถือของคนทำพร้อมกับข้อความหวานๆ

อาหารเช้ามื้อนี้อร่อยที่สุดในโลกคิดถึงคนทำ

                ศราวณะดูรูปกับข้อความที่สามีป้ายแดงส่งมาให้ แล้วก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทำเอาพี่เลี้ยงสาวชาวเม็กซิกันถึงกับเอ่ยปากแซ็ว

                “คุณมองโทรศัพท์แล้วยิ้มไม่หุบอยู่หลายนาที มีอะไรดีๆ หรือเปล่าคะมิส” โซอี้ซึ่งนั่งระบายสีอยู่กับอลิซทำตาวิบวับล้อเลียน

เธออายุมากกว่าอีกฝ่ายถึงสามปี ทว่าก็ต้องเรียกมิสตามที่พ่อบ้านสั่งตอนมาสัมภาษณ์ แม้จะตะขิดตะขวงใจในตอนแรกเพราะเห็นว่าตนสำคัญไม่แพ้ศราวณะ แต่พอได้รับของฝากเป็นกระเป๋าแบรนด์เนมมูลค่ากว่าพันเหรียญที่อยากได้มาโดยตลอด แต่ไม่เคยกล้าซื้อ เธอก็มองสาวรุ่นน้องด้วยสายตาที่เป็นมิตรมากขึ้น

เคยเดาว่าสาวไทยหน้าหวานคือคุณผู้หญิงของเจ้าของคฤหาสน์ แต่พอได้คุยและเลียบเคียงถามถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ถึงรู้ว่าศราวณะเป็นเพียงน้าของอลิซ ซึ่งพอลจ้างให้คอยดูแลลูกบุญธรรม เขาพาเธอบินไปเที่ยวลาสเวกัส เนื่องจากเห็นว่าเครียดเกี่ยวกับการตายของพี่เขย และการถูกลักพาตัวไปของพี่สาว กระนั้นก็พอจะเดาออกว่าทั้งคู่คงลึกซึ้งถึงแก่นกันพอสมควร พอลถึงได้ทำตัวป๋า พาชอปกระเป๋าแบรนด์เนมนับสิบใบ มีผู้หญิงคนไหนบ้างเล่าจะไม่หลงเสน่ห์ ไม่อยากหลับนอนกับผู้ชายหล่อ รวยล้นฟ้า แถมไม่มีปัญหากับการจับจ่ายเพื่อคู่นอนอย่าง พอล ไวส์แมน เธอเองก็ยอมรับว่าอยากเป็นหนึ่งในผู้หญิงของเขา

                “อ๋อ ปละ...เปล่าค่ะ แค่คุยกับเพื่อนแล้วขำเท่านั้น” ศราวณะแก้ตัวพลางค่อนขอดตัวเองว่าส่อพิรุธให้อีกฝ่ายเห็นจนเกินงาม ต้องโทษเขานั่นละที่ส่งรูปกับข้อความทำนองนั้นมา

                “มิสอยู่ใกล้มิสเตอร์ไวส์แมนมาหลายอาทิตย์ ไม่หวั่นไหวบ้างเหรอคะ” โซอี้ถามแล้วทำเป็นเล่นกับแม่หนู เพราะไม่อยากให้คู่สนทนาเห็นว่าสนใจเรื่องเจ้าของคฤหาสน์มากเกินไป

                “หวั่นไหวทำไมล่ะคะ ในเมื่อฉันกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน” คนพูดวางสีหน้าเหมือนไม่รู้สึกรู้สา

                “ไม่รู้สิคะ ใครๆ ก็บอกว่ามิสเตอร์ไวส์แมนหล่อมาก ฉันว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่มิสจะอยู่ใกล้เขาแล้วไม่รู้สึกอะไร” พี่เลี้ยงวัยยี่สิบหกแสร้งทำตาล้อเลียน

                “รู้สึกสิคะ ฉันรู้สึกว่าเขากับฉันต่างกันมาก เขาเป็นพวกเพอร์เฟกชันนิสต์ ทุกอย่างต้องเนี้ยบ ส่วนฉันน่ะเหรอ...” ศราวณะหยุดหัวเราะเมื่อนึกถึงความเรียบง่ายติดดินของตัวเอง “ฉันห่างไกลจากคำว่าเพอร์เฟกต์หลายร้อยโยชน์เลยแหละค่ะ ฉะนั้นเวลาอยู่ใกล้เขา ฉันจะรู้สึกว่าเขาเยอะ เขาจุ้นจ้าน อยู่ด้วยนานๆ แล้วพานอึดอัด”

                “แต่มิสดูเพอร์เฟกต์เหลือเกินในสายตาของฉัน” คนพูดไล่สายตามองเสื้อผ้าหน้าผมของคู่สนทนาอย่างชื่นชม

                “เสื้อผ้าหน้าผมของฉันเป็นอภินันทนาการจากมิสเตอร์ไวส์แมนทั้งนั้นแหละค่ะ ตอนย้ายมาอยู่ที่นี่ กระเป๋าเสื้อผ้าของฉันอันตรธานหายไปไหนก็ไม่รู้ ฉันวีนเขาอยู่หลายวันเลยทีเดียว เพราะฉันชอบแต่งตัวสบายๆ แค่เสื้อยืดกางเกงยีน ไม่ใช่ลุคกุลสตรีที่น่าทะนุถนอมแบบนี้หรอกค่ะ” แบบนี้ของเธอคือกางเกงห้าส่วนทรงคูลอตส์เนื้อนิ่มสีฟ้า เสื้อแขนสั้นยี่ห้อดังสีชมพูอ่อนที่สนนราคากว่าสองร้อยเหรียญ แต่ให้ตายเหอะ…มันไม่ได้ดูเท่เก๋เท่าเสื้อผ้าที่หอบมาจากเมืองไทยเลยสักนิด

                “แล้วมิสเตอร์ไวส์แมนมีสาวๆ เยอะไหมคะ”

                “เยอะค่ะ เยอะมาก แต่ได้ยินว่าเขาพาสาวๆ ไปนอนที่เพนต์เฮาส์ค่ะ” ศราวณะจงใจเน้นหางเสียงให้ยาว

สาวมาแล้วถึง 48 ราย ชิ! ยิ่งคิดก็ยิ่งหมั่นไส้ โชคดีที่โลกนี้มีสองมาตรฐาน ดังนั้นนอกจากจะไม่ถูกสังคมรุมประณามว่าหยำฉ่าแล้ว มนุษย์เพศชายยังสรรเสริญเยินยอกันเองด้วยคำว่าแคซาโนวาบ้าง ยอดชายบ้าง ปรมาจารย์ด้านเซ็กซ์บ้าง          

“ฉันเองก็เคยอ่านประวัติเขามาบ้าง เคยเห็นข่าวที่เขาควงดาราสาวหลายคนเลย ไม่คิดว่าเขาจะยังโสดสนิทค่ะ”

                “คงคิดว่าตัวเองหล่อและรวยเลยยังไม่อยากจริงจังกับใครมั้งคะ ฉันคิดว่าคนระดับนั้น ถ้าจะจริงจังถึงขนาดแต่งงาน เขาก็คงเลือกผู้หญิงระดับอีลิตเหมือนกัน คงไม่คิดจะเลือกผู้หญิงที่หาได้ทั่วไปแบบคุณกับฉันค่ะ”

                เห็นสายตาที่ทอประกายวาววับของโซอี้ยามเอ่ยถึง ‘สามีของเธอ’ ภรรยาทางนิตินัยก็อดไม่ได้ที่จะดักทาง ไม่ได้หึงหรือหวงก้างหรอกนะ แค่ไม่อยากให้เขายุ่งกับเด็กในปกครองเท่านั้นเอง

                “ก็คงจะเป็นอย่างนั้นค่ะ” พี่เลี้ยงสาวยิ้มรับ แต่ตาเจือความกรุ่นโกรธกับคำพูดท้ายประโยค ไม่ได้โง่พอที่จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเตือนกลายๆ ซึ่งเธอไม่ชอบเลยที่คู่สนทนาพูดเหมือนพยายามกีดกัน ศราวณะคงไม่รู้ว่าที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนต้านทานเสน่ห์อันล้นเหลือของเธอได้ หากพอลกลับคฤหาสน์แล้วตกหลุมเสน่หาของเธอบ้าง หล่อนคงหน้าชา และมันคงชวนให้สะใจไม่น้อย หากวันหนึ่งเธอสามารถลบคำปรามาสนั้นได้

“เราออกไปชอปปิงและทานข้าวกลางวันนอกบ้านกันดีไหมคะ คุณกับอลิซจะได้เปิดหูเปิดตาบ้าง”

                “ได้เหรอคะ มิสเตอร์ไวส์แมนจะไม่ว่าเหรอ”

                “ไม่หรอกค่ะ เพราะฉันจะให้อลันขับรถและให้เทรเวอร์ช่วยถือของ พวกเราจะได้ชอปกันไง” ศราวณะไม่คิดจะแจกแจงให้พี่เลี้ยงคนสวยรู้ว่าความจริงอลันกับเทรเวอร์ไม่ใช่แค่คนขับรถหรือคนถือของธรรมดา แต่สองหนุ่มเป็นบอดีการ์ดมือดีที่พอลสั่งให้คอยคุ้มครองเธอกับอลิซ

                “ก็ดีค่ะ แต่อย่าพาเข้าห้างหรูมากนะคะ ฉันยังต้องประหยัดกินประหยัดใช้” โซอี้ออกตัวไว้ก่อน

                “โอ๊ย! มากับฉันคุณไม่ต้องควักค่ะ ฉันจ่ายให้ทั้งค่าชอปค่ากิน” หญิงสาวพูดจบก็หันไปหาหลานสาวคนสวย “อลิซจ๋า ไปกันเร้ว หม่ามี้จะพาไปกินข้าวนอกบ้าน ซื้อของเล่นกับเสื้อผ้าสวยๆ ให้”

                “เชาะปิ้ง!” ตาสีน้ำตาลกลมโตเบิกกว้าง ร่างเล็กทิ้งของเล่นในมือและลุกพรวดขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นทันที

                “ใช่แล้วค่ะ แต่ก่อนอื่นเราต้องเก็บของเล่นพวกนี้ก่อนนะคะ มาช่วยหม่ามี้กับโซอี้ทำความสะอาดเลย” การต่อรองของเธอได้ผล เพราะหนูน้อยอลิซเข้ามาช่วยเก็บของเล่นใส่ตะกร้าเป็นการใหญ่

               

                ทั้งสามขึ้นรถสีดำติดฟิล์มกรองแสบทึบออกจากคฤหาสน์ตอนสิบโมงตรง ให้อลันกับคู่หูพาไปห้างสรรพสินค้าใกล้บ้าน ศราวณะเป็นหัวหอกในการชอปปิง ซึ่งส่วนใหญ่จับจ่ายไปกับการซื้อของเล่นและเสื้อผ้าให้หลานสาว

โซอี้กล่าวขอบคุณหลายครั้งเมื่อสาวรุ่นน้องจ่ายค่าเสื้อผ้า เครื่องประดับ และเครื่องสำอางให้ทั้งหมด แถมยังเลี้ยงอาหารกลางวันเธอ อลัน และเทรเวอร์อีกต่างหาก เธอเริ่มเข้าใจว่าทำไมทุกคนที่คฤหาสน์ถึงสรรเสริญเยินยอศราวณะนัก กระนั้นก็แอบหงุดหงิดที่นอกเวลางานอลันกับเทรเวอร์แสดงความสนใจเธออย่างเปิดเผย แต่พออยู่ในเวลางาน ทั้งสองกลับทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่ศราวณะกับอลิซ 

                “มิสอยากเดินต่ออีกไหมครับ ถ้าเดิน ผมจะได้ให้เทรเวอร์เอาของไปเก็บที่รถก่อน” อลันถามระหว่างที่กินอาหารกลางวัน

                “คุณกับเทรเวอร์คงจะไม่ว่า ถ้าฉันจะขอเดินต่ออีกหน่อยใช่ไหมคะ คือฉันอยากได้หนังสือให้อลิซน่ะค่ะ เสาร์หน้าก็จะถึงวันเกิดของแกแล้ว” ศราวณะเอ่ยอย่างเกรงใจ

                “ไม่มีปัญหาครับ” คนขับรถกิตติมศักดิ์พูดจบก็พยักพเยิดให้เทรเวอร์นำของทั้งหมดไปเก็บที่รถ 

                “คุณไม่คิดจะช่วยเทรเวอร์ถือของเลยเหรออลัน” โซอี้ตำหนิเมื่อเห็นอลันนั่งเฉย ปล่อยให้เทรเวอร์ขนถุงชอปปิงทั้งหมดไปเก็บคนเดียว

                “หน้าที่หลักๆ ของผมคือดูแลมิสกับคุณหนู ถือของแค่นั้นเทรเวอร์ทำได้สบายอยู่แล้ว” 

                “ทำอย่างกับมิสและคุณหนูอลิซเป็นลูกสาวของประธานาธิบดีอย่างงั้นแหละ” พี่เลี้ยงสาวบ่นกระปอดกระแปด

                “มิสเตอร์ไวส์แมนโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ทำให้เจสันเสียชีวิตค่ะ อลิซคือตัวแทนของเจสันซึ่งเขาเคยสัญญาว่าจะดูแลให้ดีที่สุด ความปลอดภัยของอลิซจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก” หญิงสาวอธิบายให้โซอี้ฟังแบบคร่าวๆ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายค่อนแคระอลัน

                “ขนาดเป็นแค่ลูกบุญธรรม มิสเตอร์ไวส์แมนยังหวงและห่วงขนาดนี้ ไม่อยากคิดเลยนะคะว่าถ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจริงๆ จะปกป้องดูแลดีขนาดไหน” น้ำเสียงและสายตาของคนพูดบอกว่าชื่นชมพอลอย่างเต็มเปี่ยม

                “คุณไม่ควรเอ่ยคำว่าลูกบุญธรรม โซอี้ คุณหนูคือลูกของมิสเตอร์ไวส์แมน” อลันเตือนสาวเม็กซิกันด้วยแววตาดุดัน นั่นทำให้เธอหน้าม้านพานโกรธขึ้นมาทันควัน เดือดร้อนศราวณะที่ต้องแก้สถานการณ์ด้วยการชวนคุยเรื่องอื่น

 

                ทั้งหมดกลับมาถึงคฤหาสน์ตอนบ่ายสองโมงโดยที่อลิซผล็อยหลับตั้งแต่อยู่ในรถ ศราวณะจึงถือโอกาสที่หลานยังนอนกลางวัน ห่อหนังสือ เสื้อผ้า รองเท้า และของเล่นเตรียมไว้เป็นของขวัญวันเกิด แต่ทุกอย่างยังไม่เสร็จดี โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

                “ฮัลโหล” เธอมองเบอร์แปลกๆ แล้วรับสายอย่างไม่แน่ใจนัก

                “ดาวหรือเปล่าครับ” ภาษาไทยที่ดังมาตามสายยังไม่น่าตกใจเท่ากับน้ำเสียงที่คุ้นเคย

                “พี่อาร์ต!” ความโกรธวูบขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้เมื่อสำเหนียกว่าเขาได้เบอร์มือถือของเธอมาจากไหน นีรนารถกล้าดีอย่างไรถึงให้เบอร์ของเธอกับเขา

                “ดาวจริงๆ ด้วย โอย…พี่กลัวแทบแย่ว่าจะโทร. ผิดอีก” ความดีใจสะท้อนอยู่ในน้ำเสียงของเขา

                “พี่อาร์ตทำอย่างไร ยายนารถถึงยอมให้เบอร์ของดาวคะ” น้ำเสียงของเธอห้วนต่ำฉายความโกรธกรุ่น

                “อย่าว่านารถเลยครับ เธอไม่อยากให้เบอร์ของดาวกับพี่นักหรอก แต่ทนคำรบเร้าของพี่ไม่ไหวต่างหาก นี่ก็ให้มาแค่แปดตัว ที่เหลือพี่ต้องสุ่มโทร. ทีละเบอร์มาเรื่อยๆ จนโทร. ถูกนี่แหละ ทำไมมาอยู่อเมริกาแล้วไม่ส่งข่าวให้พี่รู้บ้างเลยครับ” หนุ่มนักเรียนนอกบ่นอย่างน้อยอกน้อยใจ

                “เอ่อ…เราไม่ได้คุยกันมาพักใหญ่แล้ว และดาวก็ยุ่งจนแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นน่ะค่ะ พี่อาร์ตน่าจะเรียนจบและกำลังเดินทางกลับไทยใช่ไหมคะ” ศราวณะอยากตัดสาย แต่หลายสิ่งหลายอย่างในอดีต ทำให้เธอรู้สึกผิดจนไม่กล้าทำ

                “ปลายเดือนหน้าก็รับปริญญาแล้วครับ แต่พี่ยังไม่มีแพลนจะกลับช่วงนี้หรอก อยากหาประสบการณ์ให้ตัวเองอีกหน่อย พี่เสียใจเรื่องพี่จันทร์กับเจสันด้วยนะครับ ได้ยินจากนารถตอนแรกแล้วตกใจมากเลย”

                “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวตอบรับสั้นๆ ยิ่งฟังเธอก็ยิ่งโกรธที่นีรนารถเล่าเรื่องเหล่านั้นให้เขาฟัง

                “นารถบอกพี่ว่าตอนนี้ดาวอยู่กับไอ้…เอ่อนายพอล ใช่คนเดียวกับที่เคยบินมางานแต่งของพี่จันทร์หรือเปล่าครับ

                “ค่ะ พี่อาร์ตคงรู้แล้วว่าเขาเป็นพ่อบุญธรรมของอลิซ หลานสาวของดาว” ศราวณะประชดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มั่นใจว่าเพื่อนสนิทคงถ่ายทอดเรื่องราวให้อีกฝ่ายฟังหมดแล้ว

                “ครับ นารถเปรยให้ฟังอยู่เหมือนกัน” อธิปหัวเราะแกนๆ “หมอนั่นคงดีใจมากที่รู้ว่าดาวกับพี่ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว”

                “ดาวอยู่ที่นี่เพราะหลานค่ะ ไม่เกี่ยวกับเขา” เธอย้ำเสียงเฉียบ รู้สึกเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูกกับคำพูดเหมือนกำลังเยาะหยันอยู่ในทีของคนโทร. มา 

                “ขอโทษครับ พี่ไม่ได้อยากทำให้ดาวโกรธ” เขากล่าวเสียงอ่อย

                “ช่างเถอะค่ะ พี่อาร์ตมีธุระอะไรกับดาวหรือเปล่าคะ” หญิงสาวตัดบท

การที่เขาวนเวียนสุ่มโทร. เป็นร้อยครั้ง ตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากต้องการง้อขอคืนดี ซึ่งเธอไม่อยู่ในฐานะที่จะทำได้จริงๆ

                “พี่ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นอย่างไร มัน…” อธิปเอ่ยเหมือนลังเล

                “พูดมาเถอะค่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อม” หากเขาขอคืนดี เธอจะได้บอกปัดไปแบบตรงๆ ว่าคงทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในระหว่างที่เป็นภรรยาทางนิตินัยของพอล

                “คือพี่อยากเข้าไปทำฝึกงานที่ไวส์แบงก์เพื่อหาประสบการณ์สักหนึ่งถึงสองปีก่อนกลับเมืองไทยน่ะครับ แต่ไม่รู้จะเข้าไปอย่างไร เพราะพี่เคยมีเรื่องชกต่อยกับเขาเมื่อสี่ปีก่อน เอ่อ…พี่เห็นว่าดาวอยู่บ้านเดียวกับเขา อาจจะพอช่วยพูดให้ได้บ้าง

                เหตุผลของเขาทำเอาศราวณะทั้งโล่งใจและหนักใจในเวลาเดียวกัน เธอโล่งใจที่เขาไม่ได้มาง้อขอคืนดี แต่ก็หนักใจกับคำร้องขอนั่น เพราะรู้ว่าพอลคงไม่ชอบใจเป็นแน่

“พี่อาร์ตคะ บอกตามตรงว่าดาวไม่อยากยุ่งกับเรื่องนี้เลยค่ะ”

                “ไม่เป็นไรครับ พี่เข้าใจว่าดาวคงลำบากใจที่จะพูดกับเขา เดี๋ยวพี่จะลองยื่นจดหมายขอเข้าไปฝึกงานที่นั่นหรือแบงก์อื่นดูอีกที ถ้าถูกปฏิเสธจากทุกที่อีกก็คงต้องกลับไทยแล้ว”

                “หมายความว่าพี่อาร์ตเคยถูกปฏิเสธมาแล้วเหรอคะ” ได้ยินน้ำเสียงเหมือนคนหดหู่ ผิดจากอธิปผู้เก่งกาจมาดมั่นที่คุ้นเคย เธอก็อดสงสารไม่ได้

                “ไม่ใช่แค่ไวส์แบงก์หรอกครับเพราะพี่คิดมาตลอดว่าที่นี่คงไม่รับคนต่างด้าวกระจอกงอกง่อยอย่างพี่ฝึกงาน แต่พี่ยื่นกับแบงก์อื่นเกือบสิบแห่งก็โดนปฏิเสธหมด” อธิปเล่าให้ฟังด้วยสุ้มเสียงแสนเศร้า

                “เอ่อ…”

                “ขอโทษด้วยนะครับที่เอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเล่าให้ดาวพลอยสลดหดหู่ไปด้วย พี่ละอายใจเหลือเกินที่ต้องบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากดาว ถือเสียว่าดาวไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้รับสายของพี่ก็แล้วกันนะครับ

                “ดะ...เดี๋ยวสิคะพี่อาร์ต ขอเวลาดาวสักอาทิตย์ได้ไหมคะ ดาวจะลองคุยกับมิสเตอร์ไวส์แมนดู” ศราวณะแบ่งรับแบ่งสู้

                “จริงเหรอครับดาว!”

                “จริงค่ะ ดาวจะลองช่วยพูด แต่ไม่รับรองผลนะคะ” รับปากจะช่วยพูดแล้วเธอก็อยากกัดลิ้นตัวเองเหลือเกิน โทษฐานที่ใจอ่อนไม่เข้าเรื่อง

                “ครับ พี่เข้าใจครับ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ” ชายหนุ่มละล่ำละลักบอกด้วยความดีใจสุดขีด

                หญิงสาวคุยต่อไม่กี่นาทีก็อ้างว่ามีสายเรียกซ้อนเพื่อหาเรื่องวางสาย กระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูกกับสิ่งที่เพิ่งรับปาก เพราะรู้ว่าพอลได้ยินปุ๊บจะต้องชักสีหน้าใส่ปั๊บ เธอกระสับกระส่ายราวกับนักเรียนเกเรที่ต้องนำใบประกาศผลการเรียนมาให้ผู้ปกครองดู เมื่อสามีโทรศัพท์มาหาในตอนเย็นและแจ้งว่าจะกลับมานอนที่คฤหาสน์

                “ผมจะออกจากงานตอนสามทุ่มตรง สี่ทุ่มนิดๆ น่าจะถึงบ้าน อย่าเพิ่งหนีเข้านอนได้ไหม ผมอยากเห็นหน้าหวานๆ ของคุณ” 

                “ก็ได้ค่ะ ความจริงฉันก็มีเรื่องจะคุยกับคุณเหมือนกัน” เธอนึกถึงคำขอร้องของอธิป

                “เรื่องอะไร คุยกับผมตอนนี้ก็ได้นะ”

                “ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกค่ะ ฉันรอคุยตอนคุณมาถึงได้ แล้วเจอกันนะคะ”

 

                แคเธอรีน รอส อายุเพียง 26 ปี เธอมีเรือนร่างสูงโปร่งสมกับทำงานในวงการแฟชั่น เรือนผมหยักศกสีบลอนด์ มีดวงตาสีฟ้าแวววาว และรอยยิ้มทรงเสน่ห์อย่างที่หนุ่มทั้งโลกใฝ่ฝันหา เขายอมรับว่าเธอสวย เฉี่ยว และมีคลาสสมกับที่มาจากตระกูลคหบดีเก่าแก่ของนิวยอร์ก

                “คุณหน้าเด็กและสวยกว่าที่ผมคิดไว้มาก”

นั่นคือประโยคแรกที่พอลใช้ทักคู่เดต เมื่อรถลีมูซีนแล่นไปจอดหน้าคอนโดในย่านไฮโซบนเกาะแมนแฮตตัน แคเธอรีนสวมชุดราตรียาวกรอมเท้าแบบเกาะอกสีดำ อวดเนินอกครัดเคร่งกับส่วนเว้าส่วนโค้ง เห็นแล้วเขาถึงกับรู้สึกอึดอัดตามประสาผู้ชายที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อและความต้องการ

                “ส่วนคุณก็…” บุตรสาวเพียงคนเดียวของ อดัม รอส จงใจเว้นจังหวะการพูด ใช้ดวงตาสีฟ้าเทอร์คอยส์สำรวจร่างสูงสง่าในชุดทักซิโดราคาแพงด้วยความพึงพอใจ “ดูดีจนน่าตกใจ แถมยังรู้ใจผู้หญิงอีกต่างหากว่าชอบให้ชมแบบไหน”

                หญิงสาวยื่นมือให้คู่เดต ริมฝีปากเคลือบไว้ด้วยลิปสติกชาเนลสีแดงสดคลี่ยิ้มเผยความพึงพอใจ ยามที่นักการเงินสุดหล่อยกมือของเธอขึ้นไปจูบ

“ผมไม่ชอบชมใครพร่ำเพรื่อหรอกนะแคท” ชายหนุ่มผายมือเชื้อเชิญให้คู่เดตก้าวขึ้นไปนั่งตอนหลังของรถ “ผมคิดว่าคุณจะพักที่คฤหาสน์ของอดัมเสียอีก”

                “ฉันอายุยี่สิบหกแล้วค่ะ แล้วก็ชอบทำงานที่นี่มากกว่า” ที่นี่ในความหมายของเธอคือตึกที่บิดาเป็นเจ้าของ

                “ผมเดาว่านี่เป็นชุดที่คุณดีไซน์เอง” นัยน์ตาคมปลาบมองชุดราตรีด้วยประกายชื่นชม ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอมีเครื่องประดับชิ้นเดียว นั่นคือสร้อยคอเพชรล้อมมรกต ซึ่งในสายตาของเขามันพอเหมาะพอดี และเชื่อว่าความงามเฉิดฉายนี้จะตรึงสายตาทุกคู่ในงานเลี้ยงคืนนี้

ถ้าหัวใจไม่ได้มอบให้ศราวณะ นอกจากอดีตคู่นอนอย่างลอร่าแล้ว เขาก็คิดว่าผู้หญิงคนนี้มีแพ็กเกจสมบูรณ์แบบ ควรค่าแก่การคบหาอย่างจริงจัง

                “ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วแหละค่ะ ถ้าไม่เห็นว่าคุณเป็นนักการเงินที่ยุ่งมาก ฉันคงต้องขอให้มาเป็นแบบให้แบรนด์ของฉันสักครั้ง แต่เดาว่าคุณคงแค่ต้องการขึ้นปกของฟอบส์แมกกาซีนเท่านั้น” ผู้ชายคนนี้ดูดีเสียจนเห็นเขาตอนแรก เธอรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้องราวกับมีผีเสื้อบินว่อนอยู่ข้างใน ไม่แปลกเลยว่าทำไมบิดาถึงหมายมั่นปั้นมือ อยากได้มาเป็นบุตรเขยจนบีบให้เขาต้องมาเป็นคู่ควงของเธอเป็นเวลานานถึงหนึ่งเดือน

นอกจากหล่อแล้ว พอลยังฉลาดพอที่จะไม่ขุดเรื่องข้อตกลงระหว่างเขากับบิดามาพูดให้เธออึดอัด บิดาของเธอพูดถูกที่บอกว่าไม่มีใครที่เหมาะสมคู่ควรกับเธอเท่า พอล ไวส์แมน อีกแล้ว

                “ผมแค่ไม่อยากแย่งงานของนายแบบ” พอลขยิบตาขี้เล่น เขาหยิบขวดแชมเปญจากถังน้ำแข็งออกมาเปิดอย่างคล่องแคล่ว รินใส่แก้วทรงสูงและยื่นให้คู่ควงด้วยใบหน้ายิ้มพราย

                “ขอบคุณค่ะ” แคเธอรีนถือแก้วรอจนกระทั่งเขารินแชมเปญใส่แก้วของตัวเอง จึงชนแก้วและจิบเครื่องดื่มราคาแพงด้วยมาดของผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว

                บทสนทนาตลอดการเดินทางเกือบครึ่งชั่วโมง ทำให้ดีไซเนอร์สาวยิ่งนิยมชมชอบเขา มันยากมากที่จะหาผู้ชายเพียบพร้อมไปเสียทุกด้านอย่างพอล และก็คงจะยากเช่นกันที่จะตรึงสายตากับความสนใจของเขาไว้เพียงแค่เธอคนเดียว แต่เธอก็จะทำ!

เมื่อเดินทางถึงโรงแรมห้าดาว ซึ่งบิดาของแคเธอรีนเลือกเป็นสถานที่จัดเลี้ยง นักข่าวจากหลายสำนักก็กรูเข้ามาถ่ายรูปพร้อมกับสัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา พอลตอบคำถามแบบให้เกียรติครอบครัวของเธออย่างเต็มที่ ปฏิบัติต่อคู่เดตอย่างสุภาพ และสร้างความฮือฮาให้คนทั้งงานด้วยการเขียนเช็คร่วมบริจาคสมทบทำบุญวันเกิดของ อดัม รอส ให้แก่มูลนิธิส่งเสริมเด็กด้อยโอกาส

เช็คมูลค่าสูงถึงหนึ่งล้านบาททำให้นายธนาคารหนุ่มกลายเป็นศูนย์รวมความสนใจของผู้คนทั้งงานรวมถึงนักข่าว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพรุ่งนี้ ข่าวดังกล่าวจะกระจายเหมือนไฟลามทุ่ง

                “พ่อประทับใจในตัวคุณมากค่ะ” หญิงสาวเปรยระหว่างที่เคลื่อนไปบนฟลอร์เต้นรำกับเขา

                “ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” สุดหล่อเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา แน่ละ ที่เขาทำไปทั้งหมดเพราะไม่ต้องการสูญเสียลูกค้าอย่างอดัม ขณะเดียวกันก็ต้องการให้ทุกคนเห็นว่าตนเป็นนักการเงินที่น่าสนใจด้วย อดัมอาจกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะคิดว่าใช้เขาเป็นเครื่องมือได้ แต่คงไม่รู้หรอกว่ากำลังตกเป็นเครื่องมือทางธุรกิจของเขาด้วยเช่นกัน แขกระดับอีลิตหลายสิบชีวิตที่เข้ามาทำความรู้จักและแลกนามบัตรกับเขา คือเครื่องการันตีว่าการขยายฐานธุรกิจของไวส์แมนกรุ๊ปกำลังจะไปได้สวย

                พอลเต้นรำกับคู่เดตอีกหลายเพลง จึงเอ่ยขอตัวเพราะเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าสั่นอยู่หลายรอบ ร่างสูงเพรียวก้าวออกไปยังระเบียงของโรงแรม เขากดรับสายเสียงเข้มเพราะแน่ใจว่าคงมีเรื่องด่วนหรือเหตุร้าย คนสนิทจึงติดต่อมาในเวลานี้

“คราวนี้ฉันถูกเล่นงานอะไรอีก” ชายหนุ่มเดาว่าคงเป็นปัญหาทางธุรกิจที่โลแกนหาเรื่องมาเล่นงานอีก

                “ไม่ใช่เรื่องงานครับ แต่เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ” น้ำเสียงของไคลน์บอกว่าลำบากใจที่จะพูดเต็มที

                “เกิดอะไรขึ้นกับซาร่าห์หรืออลิซ” เขาถามกลับเร็วปรื๋อ

                “ไม่ใช่มิสหรือคุณหนูครับ แต่เกี่ยวกับมิสนิกสัน”

                “ลอร่าทำไม” พอลถามกลับอย่างเซ็ง ไม่ชอบที่ลอร่ากลายเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา “หรือข่าวที่หล่อนเคยเป็นคู่นอนของฉันมันรั่วไหล”

                “เอ่อ…ไม่ใช่ครับ ผมคิดว่าคุณควรจะโทร. ไปคุยกับมิสนิกสันด้วยตัวเองดีกว่า ผมส่งเบอร์โทรศัพท์ของเธอให้คุณทางข้อความแล้วครับ

                “นี่มันเรื่องห่าเหวอะไรฮึไคลน์ ทำไมถึงต้องให้ฉันโทร. หาลอร่า” พอลระเบิดความหงุดหงิดใส่โทรศัพท์ ไคลน์น่าจะรู้ว่านั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการ

                “เดี๋ยวคุณก็รู้เองครับ” ไคลน์ตัดสายอย่างไร้มารยาท

                นักการเงินหนุ่มถึงกับสบถ เพราะการกระทำอย่างมีลับลมคมในของคนสนิท เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต่อสายหาอดีตคู่นอน

                “เฮลโหล” ดาราสาวลูกครึ่งเอเชียรับสายด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่แน่ใจ

                “ลอร่า นี่ผมเอง ไคลน์บอกว่าคุณมีธุระสำคัญจะคุยกับผม” ชายหนุ่มเน้นคำว่าสำคัญ เพราะอยากให้ปลายทางรู้ว่าได้ก้าวล้ำขอบเขตที่เขาเคยอนุญาตแล้ว ซึ่งให้ตายเหอะ เขาคิดว่าลอร่าฉลาด รู้จักและรู้ใจเขากว่าคู่นอนที่ผ่านมา แต่ตอนนี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเธอแตกต่างจากคนอื่น

                “ฉันขอโทษที่ทำให้คุณหงุดหงิดค่ะ แต่เอ่อฉันไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร ฉันปรึกษาไคลน์ แล้ว เขาบอกว่าคุณน่าจะเป็นคนให้คำตอบที่ดีที่สุดค่ะ” ดาราสาวเลือดผสมเอ่ยเสียงขลาด

                “คำตอบเกี่ยวกับอะไร เลิกอ้ำอึ้งและพูดมาตรงๆ ผมกำลังอยู่ในงานเลี้ยง ไม่มีเวลามารอลุ้นคำตอบของคุณทั้งคืน” พอลระเบิดความหงุดหงิดไปกับน้ำเสียงขุ่นมัว หวังว่าคงไม่ใช่เพราะเธอมีปัญหาทางการเงินอย่างที่เคยเจอบ่อยๆ หรอกนะ

                “คือ ฉัน…ฉัน…”

                “ลอร่า อย่าทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่านี้”

                “ฉันคิดว่าฉันท้องค่ะ!” ไม่ใช่แค่คิด แต่เธอตรวจหลายรอบแล้ว และผลก็ออกมาเหมือนกันหมด

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น