8

วาระเปลี่ยนนามสกุล


 

 8

วาระเปลี่ยนนามสกุล

 

                ดาวช่วยพี่ด้วย!’

                เสียงร้องขอความช่วยเหลือของพี่สาวส่งผลให้ศราวณะหันซ้ายหันขวาด้วยสีหน้าตื่นๆ รอบกายเธอเวลานี้มีแต่ป่าสนหนาทึบ หมอกลงหนาเสียจนมองเห็นแค่ระยะห้าเมตร

‘พี่จันทร์อยู่ที่ไหนคะ พี่จันทร์!’ หญิงสาวหมุนซ้ายหมุนขวาด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

                ‘ดาว! ช่วยพี่ด้วย พี่กลัว’ เสียงนั้นลอยตามลมมาอีกครั้ง และคนฟังก็วิ่งไปตามทิศทางนั้นแบบสุดฝีเท้า  

                ‘พี่จันทร์ ดาวมาแล้วค่ะ ไม่ต้องกลัวนะคะ’ ศราวณะวิ่งไปหยุดหน้ากระท่อมล็อกเคบิน สุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์ตัวโตที่แยกเขี้ยวขู่คำรามอยู่หน้าประตูไม่ได้ทำให้เธอหวาดกลัวเท่ากับเสียงร้องเร่งให้เข้าไปช่วยของศศินารา หญิงสาวหันไปเห็นขวานที่วางอยู่ข้างกองฟืนใกล้ๆ ก็ปรี่เข้าไปคว้ามาถือไว้ด้วยอาการมือไม้สั่น

                ‘ดาว! เร็วๆ เข้า พวกมันกำลังจะมาแล้ว!’

                ร่างสมส่วนข่มความกลัวที่กำลังเกาะกินหัวใจ ปราดเข้าไปเผชิญหน้ากับยามรักษาการณ์สี่ขาที่ยืนจังก้า เห่าสลับคำรามข่มขู่ ทันทีที่เท้าของเธอเหยียบระเบียงด้านนอก มันก็กระโจนเข้าใส่ ก่อนจะทรุดวบลงบนระเบียงไม้ซีดาร์ ครางหงิง ดิ้นพราดๆ ด้วยความเจ็บปวดเมื่อถูกคมขวานของผู้บุกรุก

                ‘ฉะ...ฉันขอโทษ อโหสิให้ฉันด้วยนะ’ หญิงสาวเอ่ยทั้งน้ำตา แต่ไม่มีเวลาคร่ำครวญกว่านั้น เพราะเสียงร้องเรียกของพี่สาวดังขึ้นอีกหนึ่งคำรบ เธอวิ่งเข้าไปด้านใน ร้องเรียกหาพี่สาวอีกครั้งเพื่อหาตำแหน่งของเสียง พอรู้ว่าอยู่ชั้นใต้ดินก็ถลาไปยังประตู ใช้ขวานฟันกุญแจที่คล้องอยู่จนหลุด

                ‘พี่จันทร์! ดาวมาแล้วค่ะ ดาวมาช่วยแล้ว!’ ศราวณะถือขวานวิ่งลงบันไดสู่ชั้นใต้ดิน เมื่อเห็นสภาพของคนรอที่ถูกมัดมือมัดเท้า เสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างกายผ่ายผอม ใบหน้ากับเนื้อตัวฟกช้ำด้วยร่องรอยของการถูกทารุณกรรมก็น้ำตาไหลพราก

                ‘พี่จันทร์! พี่จันทร์จริงๆ ด้วย ในที่สุดดาวก็หาเจอ พี่จันทร์ไม่ต้องกลัวนะคะ ดาวมาช่วยแล้ว ดาวจะรีบพาพี่จันทร์หนีไปจากที่นี่’ ขวานเล่มนั้นถูกนำมาหั่นเชือกที่ข้อเท้ากับข้อมือของศศินารา

เมื่อถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ สองสาวก็ผวาเข้ากอดกันแน่น

                ‘เราต้องรีบไปจากที่นี่ หนีไปให้ไกลก่อนที่พวกมันจะกลับมา’ สีหน้าหวาดกลัวสุดขีดเหมือนดวงวิญญาณที่หนีการไล่ล่าของยมทูต พาให้คนมองสงสารจับจิตจับใจ

                ‘ค่ะ ไปกันตอนนี้เลย’ หญิงสาวประคองร่างอ่อนแรงของพี่สาวขึ้นจากชั้นใต้ดิน เมื่อออกมาถึงหน้ากระท่อม ก็พาลัดเลาะไปตามชายป่าสนเลียบถนนที่พาเธอมาที่นี่ ทั้งคู่ซ่อนตัวอย่างมิดชิดเมื่อเห็นรถคันหนึ่งแล่นผ่านมา พอศศินาราบอกว่านั่นเป็นรถของคนร้าย ก็กระวีกระวาดเร่งพาหนีต่อ

                ทั้งคู่สะดุ้งเฮือก หันมาสบตากันด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เมื่อเสียงปืนดังขึ้นเป็นชุดจากทิศทางที่จากมา

‘พวกมันรู้แล้วว่ามีคนพาพี่หนี ดาวหนีไปก่อนเถอะ ทิ้งพี่ไว้ตรงนี้แหละ ไม่งั้นถ้ามันตามมาเจอ เราจะลำบากกันทั้งคู่ พี่ไม่อยากให้ดาวถูกจับไปทรมานแบบพี่’

                ‘ไม่ค่ะ เป็นตายร้ายดีอย่างไร ดาวก็ไม่ปล่อยพี่จันทร์ไว้ตรงนี้เป็นอันขาด’ ศราวณะส่ายหน้าปฏิเสธทั้งน้ำตา

                ‘แต่พี่เดินต่อไม่ไหวแล้วดาว’ ศศินาราหลุบตาลงมองข้อเท้าบวมเป่งของตัวเอง ‘ดาวรีบหนีไปเถอะ หนีไปแล้วจะได้ตามคนมาช่วยพี่ไง พี่จะโกหกพวกมันว่าหนีมาด้วยตัวเอง’

                ‘มะ…ไม่ค่ะ ดาวไม่ไป ถ้าพี่จันทร์เดินต่อไม่ไหว ก็ขี่หลังดาวเลย’ หญิงสาวยืนกรานปนสะอื้น พลางย่อตัวลงเพื่อให้พี่สาวป่ายปีนขึ้นมาขี่หลัง

                ‘แต่…’

                ‘ถ้าพี่จันทร์ไม่ไป ดาวก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้นค่ะ เร็วสิคะ อลิซกับทุกคนรอพี่จันทร์อยู่นะ’

                ศศินารายอมปีนขึ้นขี่หลัง พึมพำทั้งน้ำตากับคนที่อุทิศหลังให้ขี่ว่า พี่ไม่อยากเป็นภาระของดาว ไม่อยากให้ดาวเดือดร้อนเพราะพี่

                “พี่จันทร์ไม่เคยเป็นภาระของดาวค่ะ เราสองคนเป็นพี่น้องกัน ฉะนั้นต่อให้ต้องเจออุปสรรคอะไร เราก็ต้องจับมือกัน และผ่านทุกอย่างไปให้ได้” ถึงหนักจนก้าวขาแทบไม่ไหว แต่ศราวณะก็ไม่ปริปากบ่น หญิงสาวกัดฟันเร่งฝีเท้าเดินลัดเลาะไปตามแนวป่าสนเลียบถนนสายเล็กๆ เส้นนั้น ภาวนาขอให้เจอบ้านเรือนหรือมีรถสักคันแล่นผ่าน ทว่าโชคดีเหมือนจะไม่เข้าข้างเธอกับพี่สาวเอาเสียเลย เพราะเดินมานานนับยี่สิบนาทีก็ไม่เห็นสิ่งปลูกสร้าง ผู้คน หรือยานพาหนะใดๆ

                ‘พักกันก่อนเถอะดาว’ คนขี่หลังเอ่ยอย่างเห็นอกเห็นใจ

                ‘ไม่ค่ะ ยิ่งเราอยู่ไกลจากกระท่อมหลังนั้นมากเท่าไร เราก็ยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น’ เธอพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงตะโกนโหวกเหวกของกลุ่มผู้ไล่ล่าก็ดังมาจากด้านหลัง

                ‘พวกมันใกล้เข้ามาแล้ว ดาวปล่อยพี่ลงตรงนี้ และหนีไปคนเดียวเถอะ’

                ‘ไม่ค่ะ ถ้าหนีก็ต้องหนีด้วยกัน’ ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเธอว่าหากทิ้งพี่สาวไว้ที่นี่และหนีไปคนเดียว แล้วพาตำรวจหรือใครกลับมาที่กระท่อมอีก จะไม่เห็นเงาของศศินารา เพราะหลักฐานทั้งหมดที่เธอทิ้งไว้ด้านหลังมันบ่งชัดว่าศศินาราไม่ได้หนีออกจากห้องใต้ดินด้วยตัวเอง

                หญิงสาวกัดฟันแบกพี่สาวเดินต่อ ทว่าไปได้ไม่ทันไรก็สะดุดรากไม้และล้มกลิ้งหลุนๆ ลงเนิน เธอรุดเข้าไปดูอาการของพี่สาวซึ่งทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ทว่ายังไม่ทันจะอ้าปากถาม เสียงดุดันก็ดังขึ้นที่บริเวณเนินด้านบน

‘เจอตัวนังนั่นกับคนที่มาช่วยแล้ว จับไว้ทั้งสองคน อย่าให้มีใครหนีไปได้’

                ‘ดาว! หนีเร็ว! อย่าให้พวกมันจับได้’ ศศินาราผลักเธอออกห่าง

                ‘ไม่ค่ะ ดาวทิ้งพี่จันทร์ไม่ได้’ ศราวณะส่ายหน้า น้ำตาไหลอาบแก้ม

                ‘ต้องได้ ดาวต้องไป ไปก่อนที่พวกมันจะจับเราได้ทั้งสองคน บอกอลิซ พ่อแม่กับทุกคนว่าพี่รักและคิดถึงพวกเขาเสมอ’ ศศินาราหน้านองน้ำตา ทว่าดวงตาฉายความเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าครั้งใดในชีวิต

“‘พี่จันทร์ ฮือๆ’ เธอสั่นสะท้านไปทั้งร่างกับความจริงที่กำลังตีแสกหน้า ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายของการเจอกันจริงๆ

“‘สัญญากับพี่ได้ไหมว่าดาวจะรักและดูแลอลิซแทนพี่’ ศศินารายื่นมือมากุมมือของเธอ อ้อนวอนทั้งน้ำตา

“‘ค่ะ ดาวสัญญาว่าจะรักและดูแลอลิซให้ดีที่สุด’ เธอให้คำมั่นสัญญาทั้งน้ำตา ก่อนจะกอดตอบอีกฝ่ายแน่น

“‘บอกอลิซว่าพี่รักแกมาก บอกว่าพี่ขอโทษที่อยู่ดูแกเติบโตไม่ได้ บอกว่าวิญญาณของพี่จะคอยเฝ้ามองและปกป้องอลิซจากภยันตราย’ พูดจบก็ผลักร่างของคนฟังออกห่าง

                ‘พี่จันทร์ อย่าทำแบบนี้ ฮือๆ’ 

                ‘รีบไปดาว หนีไปทางนั้น พี่จะล่อพวกมันไปทางนี้เอง ไปก่อนที่จะสายเกินไป’ ศศินาราเร่งเร้าพร้อมกับเดินลากขากลับไปหาจุดที่คนร้ายสามารถเห็นตัวได้ชัด

                ‘พี่จันทร์’

                ‘หนีไปดาว! หนีไป! วิ่งแล้วห้ามหันมามองทางนี้อีก’

ศราวณะไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคำสั่งแกมขอร้องนั้นทั้งน้ำตา เธอวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตไปตามทิศทางที่พี่สาวชี้บอก ก่อนจะหยุดฝีเท้า ทรุดลงนั่งกับโคนต้นสนและใช้มือปิดปากตัวเอง ร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของศศินารา ซึ่งดังแข่งเสียงตวาดด้วยความเดือดดาลปนสาแก่ใจของเหล่าอมนุษย์

‘พี่จันทร์ ฮือๆ ดาวขอโทษ ดาวขอโทษ ทุกอย่างเป็นความผิดของดาวเอง’

                “ซาร่าห์! ตื่น! คุณกำลังฝันร้ายอยู่เท่านั้น” พอลเขย่าคนหลับที่ยังละเมอร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรด้วยความร้อนใจ เขาสะดุ้งตื่นเพราะเสียงสะอื้นปิ่มจะขาดใจของเธอเมื่อสามนาทีก่อน แม้จะไม่เข้าใจภาษาไทย แต่ชื่อเล่นของศศินาราก็ทำให้พอเดาออกว่าเธอคงกำลังฝันถึงพี่สาว

                “พี่จันทร์! พี่จันทร์!” คนอยู่ในห้วงฝันยกมือขึ้นปิดหูตัวเอง เพราะไม่อยากได้ยินเสียงกรีดร้องบาดลึกเข้ามาเขย่าถึงจิตวิญญาณ

                “ซาร่าห์! ถ้าคุณไม่ยอมตื่น ผมจูบนะ!” ชายหนุ่มขู่เสียงเข้มพร้อมก้มลงมาหา เมื่อคนหลับยังเอาแต่ละเมอร้องไห้จึงกดริมฝีปากลงบนเรียวปากอิ่มที่วนเวียนเรียกหาแต่ศศินารา 

                “อื้อ…” ศราวณะครางอู้อี้ในลำคอเพียงครู่เดียว แพขนตาเปียกชุ่มก็เปิดพรึ่บ ตาคู่งามเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกของความจริง มือที่อุดหูอยู่ตอนแรกขยับขึ้นหมายจะดันใบหน้าของคนปล้นจูบออก แต่กลับกลายเป็นว่าถูกรวบไปกดไว้กับหมอน จึงทำได้เพียงครางประท้วง และพยายามเบือนหน้าหลบปากร้อนจาบจ้วง

                “คุณกำลังผิดสัญญา” เธอรัวภาษาอังกฤษเร็วปรื๋อใส่คนหื่นกามที่พอจูบปากไม่ได้ก็เปลี่ยนเป้าหมายมาโจมตีใบหู

                “คุณฝันร้าย ผมทั้งเรียกทั้งเขย่าปลุกตั้งหลายหน แต่คุณไม่ยอมตื่นเสียที ผมเลยต้องปลุกคุณด้วยวิธีนี้” ชายหนุ่มงึมงำชิดใบหูเล็ก

                “งั้นคุณควรจะตบหน้าฉัน ไม่ใช่ฉวยโอกาสแบบนี้ค่ะ” หญิงสาวเถียงเสียงปนหอบยามคนฉวยโอกาสขบเม้มติ่งหูอย่างยั่วเย้า มันแย่มากที่เธอรู้สึกวาบหวิวแทบขาดใจแทนที่จะขยะแขยงสัมผัสหยอกเอินของเขา

                “ก็ตบแล้วไง แต่ผมเลือกตบคุณด้วยปากเท่านั้น” และตอนนี้ปากเขามันก็กำลังเพลินกับการตบเนื้อสาวมากด้วยสิ ผู้หญิงอะไร ขนาดไม่ยอมอาบน้ำ ตัวยังหอมกรุ่นอย่างกับกุหลาบป่า หรือว่าครีมอาบน้ำกลิ่นกุหลาบที่เขาเทใส่อ่างให้ลงแช่เมื่อหัวค่ำ มันซึมซาบเข้าสู่ทุกอณูของผิวเนียนนุ่ม

                “ตอนนี้ฉันตื่นแล้วก็ออกไปเสียทีสิคะ” ออกไป ก่อนที่เธอจะขาดใจตายด้วยความวาบหวาม

                “ฝันร้ายอะไร เล่าให้ผมฟังได้ไหม” ปากร้อนนาบลงบนแอ่งชีพจรที่เต้นถี่รัว บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังตื่นเต้นระคนหวามใจเพราะสัมผัสใกล้ชิด

                “ฉะ...ฉันจำไม่ได้แล้ว ปล่อยเถอะนะคะ ขอร้องละ” เมื่อไม้แข็งใช้ไม่ได้ผล ศราวณะจึงจำเป็นต้องงัดไม้อ่อนออกมาใช้แทน

                “ถ้ายอมให้จูบดีๆ หนึ่งครั้ง ผมถึงจะปล่อย” ใบหน้าหล่อเหลาขยับขึ้นมาชิด ตาร้อนแรงจ้องตาคนฟังอย่างวิงวอนร้องขอ คลื่นแห่งความยินดีโถมใส่เมื่อคนใต้ร่างหลุบตาลงอย่างยอมจำนน

                “คุณจะไม่เสียใจ”

                หญิงสาวไม่แน่ใจว่านั่นคือการกระซิบปลอบ หรือเป็นการยืนยันตามประสาคนมั่นใจในตัวเองสูง ว่าเขาสั่งสมประสบการณ์มามากพอที่จะรู้ว่าต้องจูบอย่างไรให้เธอหลงใหลได้ปลื้ม แต่การใกล้ชิดขนาดที่แย่งอากาศกันหายใจก็ทำเอาเธอกระอักกระอ่วน ไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาในความมืด

                พอลแตะริมฝีปากลงบนกลีบปากอิ่มอย่างแม่นยำ สัมผัสนั้นแผ่วเบาราวกับกลัวว่าหากทำบุ่มบ่ามแล้วคนใต้ร่างจะตื่นกลัว ชายหนุ่มวนเวียนละเลียดลิ้มชิมรสกลีบปากบนสลับล่างจนคนรับตัวสั่น

                “อย่ากลัวผม ซาร่าห์” นักการเงินหนุ่มปลอบขวัญเสียงทุ้ม เมื่อเธอเม้มปาก ไม่ยอมให้ลิ้นสอดผ่านไรฟัน

                “ฉัน…ฉันไม่แน่ใจค่ะ” เธอหายใจแรง ชีพจรกับหัวใจสูบฉีดทำงานอย่างหนัก “แล้วฉันคิดว่าอาจจะมีกลิ่นปากด้วย ซึ่งคุณต้องไม่ชอบแน่ๆ ค่ะ

                ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ ทั้งขำทั้งเอ็นดูกับข้ออ้างดังกล่าว “ปล่อยให้ผมเป็นคนหาคำตอบเองดีกว่า”

                “ฉัน…”

                “ไว้ใจผมสักครั้ง ก๊อดเดส”

พอลปิดโอกาสการโต้แย้งของอีกฝ่ายด้วยการทาบปากร้อนลงบนเรียวปากนุ่มเนียน กระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อเธอเผยอปากรับสัมผัสประหนึ่งกลีบบุปผชาติที่แยกแย้มรับแสงแห่งอรุณรุ่ง

                ศราวณะยอมแพ้ให้แก่อารมณ์ฝ่ายต่ำที่คืบคลานเข้ามาอยู่เหนือคำว่าเหตุและผล เธอปลอบใจตัวเองว่าคนที่กำลังปล้นจูบอยู่คือว่าที่สามีทางนิตินัย ไม่ใช่แขกในงานแต่งงานของศศินาราอย่างสี่ปีก่อน หากเธอจะจูบกับใครสักคน เขาก็คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด

ชายหนุ่มซอกซอนลิ้นเข้าสู่อุ้งปากนุ่ม สอดสำรวจไปทั่วอย่างละมุนละม่อม เหมือนอยากให้ร่างกายของเธอคุ้นเคยกับสิ่งแปลกใหม่ ก่อนจะค่อยๆ เกี่ยวกระหวัดหยอกเอินกับลิ้นนุ่ม เหมือนการเข้าหาสาวที่หมายปองของสุภาพบุรุษ มือที่กดตรึงข้อมือเล็กอยู่ก่อนหน้าคลายแรงบีบกระชับ เปลี่ยนมาลูบไล้มือเล็กอย่างนุ่มนวล บอกศราวณะผ่านภาษากายว่าเขาต้องการทะนุถนอม ไม่ใช่ทำร้ายทำลายเธอ

“ผมรักคุณ ซาร่าห์” พอลผละออกเล็กน้อยเพื่อกระซิบบอกสิ่งที่เก็บไว้ในใจมาหลายปี

                หญิงสาวไม่แน่ใจว่านั่นคือความจริง หรือคำหวานที่หลอกล่อเพียงเพื่อให้เธอตายใจ แต่อิทธิพลของมันก็มากพอให้เธอขยับมือขึ้นเกาะบ่ากว้าง เผยอปากรับริมฝีปากร้อนผ่าวที่ทาบทาลงมาอีกครั้ง

จูบแรก เธอถูกเขาปล้นไปอย่างอุกอาจ

จูบที่สอง ตกเป็นของอธิป ซึ่งฉกฉวยไปอย่างจาบจ้วง เลวร้ายไม่ต่างจากจูบแรก

จูบที่สาม คือจูบที่เขาได้ไปก่อนสารภาพคำรัก

แต่จูบที่สี่…จูบนี้เธอเป็นคนอนุญาต แม้จะเป็นการอนุญาตที่เกิดจากการถูกบีบจนไร้ทางออก แต่มันเป็นจูบที่เธอรับรู้และยอมรับอย่างแท้จริง

หญิงสาวสลัดความคิดเรื่องจูบที่ผ่านมาออกจากภวังค์ความคิด ยามความหวามหวานเพิ่มพูนทวี นิ้วเรียวดั่งลำเทียนสอดเข้าลูบไล้เรือนผมหนานุ่มเพื่อระบายความซาบซ่าน ยามตวัดลิ้นโรมรันกับลิ้นของเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เธอแอบกลัวว่าความอ่อนเดียงสาจะสร้างความรำคาญให้คนที่ผ่านสาวมาแล้วถึงสี่สิบแปดราย แต่เขากลับครางร้าวลึกในลำคอ เปลี่ยนลีลาจูบเป็นเร่าร้อนระคนดุดัน พร้อมกับเบียดบดร่างหนาหนักลงมาจนเธอแทบจมหายลงไปในฟูก

จูบร้อนแรงที่ศราวณะตอบสนองเหมือนสัญญาณไฟเขียวให้พอลเดินหน้ากับเกมสวาทมากขึ้น ปากร้อนไถลไปตามแนวคาง ลำคอระหง วกไปยังใบหูด้านซ้ายเหมือนอยากให้เธอเห็นว่าคลั่งไคล้พอๆ กับหูขวา แต่นาทีที่เขาเคลื่อนฝ่ามือลงไปเคล้นคลึงอกสาวผ่านเสื้อยืดกับบรา มือที่ลูบศีรษะอยู่ก่อนหน้าก็ขยับลงมาดันไหล่หนาออก

“ไม่ค่ะ คุณบอกว่าแค่จูบ”

                ชายหนุ่มหายใจเข้าลึกเพื่อระงับความต้องการที่กำลังพลุ่งพล่าน นานนับนาทีเขาถึงเลื่อนกายลงนอนเคียง

หญิงสาวถือโอกาสนั้นกลิ้งตัวลงอีกฟากของเตียงขนาดคิงไซซ์ เมื่อคิดว่าคงไม่สามารถข่มตาให้หลับได้อีกก็ตัดสินใจเข้าไปล้างหน้าแปรงฟัน ตั้งใจจะออกไปนั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวข้างนอกเพราะฟ้าเริ่มสาง แต่ทันทีที่หยิบเสื้อคาดิแกนมาสวมทับเสื้อที่ใส่นอน คนที่นอนมองอยู่บนเตียงมาโดยตลอดก็เอ่ยทำลายความเงียบ

“ถ้าเมื่อกี้ทำให้คุณไม่พอใจ ผมขอโทษ”

                “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันไม่ได้โกรธอะไรคุณ ฉันแค่ข่มตาให้หลับต่อไม่ได้เท่านั้น” ศราวณะยิ้มเผยความจริงใจให้คนฟังแล้วออกจากห้อง เธอหยิบโน้ตบุ๊กคู่ใจและออกไปนั่งสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ชุดโซฟาหวายหน้าเตาผิงในสวนด้านหลังของวิลลา เพียงเปิดเข้าไปเช็กอีเมลก็ต้องหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะเห็นอีเมลนับสิบจากบรรดาเพื่อนสนิท ทั้งที่ปกติเธอกับเพื่อนๆ ติดต่อกันผ่านเฟซบุ๊กหรือกลุ่มไลน์เท่านั้น

                คลิกเข้าไปอ่านอีเมลของนีรนารถซึ่งส่งมาเป็นคนแรก ก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้น เนื้อความจากเพื่อนสนิทถามว่าหนุ่มหล่อที่แต่งตัวล่อแหลมผู้นั้นคือใคร แถมยังแคปภาพหน้าจอตอนที่พอลยิ้มและโบกมือใส่เว็บแคมมาเป็นหลักฐานสำคัญในการคาดคั้นอีกต่างหาก เธอไม่ตอบอีเมลฉบับนั้น และไม่ได้เปิดอ่านอีเมลจากเพื่อนที่เหลือในกลุ่ม แต่เข้ากลุ่มไลน์เพื่อบอกทุกคนเพียงสั้นๆ ว่าเขาคือ พอล ไวส์แมน พ่อบุญธรรมของอลิซ และไม่มีอะไรเกินเลยอย่างที่นีรนารถคิด

                เปรมกมล เหมือนฝัน และณัฐวุฒิยุยงให้เธอรวบหัวรวบหาง กินกลางตลอดตัวนักการเงินสุดหล่อ มีเพียงนีรนารถเท่านั้นที่พูดทีเล่นทีจริงว่าหากเธอไม่คิดอะไรกับพอลจริง เธอจะต้องเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธไมตรีให้ได้ทำความรู้จักเขา เธอตอบรับนีรนารถไปแบบส่งเดช เพราะเห็นว่าถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ต้องมีโอกาสเจอพอลตอนบินมาเลี้ยงเด็กที่อเมริกา

                ศราวณะอยู่ในกลุ่มไลน์ไม่ถึงสิบนาทีก็พับหน้าจอโน้ตบุ๊กและวางลงบนโต๊ะ ภาพฝันที่เหมือนจริงก่อนที่จะถูกพอลจูบปลุกยังรบกวนจิตใจของเธอไม่เลิก แม้แต่การจูบกับเขาก็ยังไม่สามารถทำให้เธอหยุดคิดถึงความโหดร้ายที่พบพานมาในความฝัน

หรือพี่สาวของเธอจะตายแล้วจริงๆ

หรือดวงวิญญาณของศศินาราจงใจมาเข้าฝัน ให้เธอรู้ว่าพบพานอะไรบ้าง รวมถึงต้องการฝากบอกทุกคนในครอบครัวว่ารักและคิดถึง แล้วก็ฝากฝังให้เธอเลี้ยงดูลูกสาวแทน 

                “พี่จันทร์ ดาวขอโทษ ขอโทษที่แม้แต่ในความฝัน ดาวก็ยังช่วยพี่ไม่ได้ ถ้าวิญญาณของพี่จันทร์ตั้งใจมาเข้าฝันดาวจริงๆ ช่วยมาหาดาวอีกครั้ง และบอกดาวได้ไหมคะว่าใครเป็นคนทำ แล้วพวกมันเอาศพของพี่ไปทิ้งไว้ที่ไหน ดาวจะได้เรียกร้องความเป็นธรรมให้พี่ได้”

หยาดน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มเย็นชืด ฝันครั้งนี้เลวร้ายเกินกว่าที่เธอจะกล้าปริปากเล่าให้บิดามารดาหรือใครฟัง เพราะกลัวพวกท่านจะเสียใจกว่าที่เป็นอยู่

                หญิงสาวไม่แน่ใจว่านั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน แต่ทันทีที่ผ้าห่มผืนหนึ่งถูกนำมาคลุมให้อย่างทะนุถนอมก็สะดุ้ง รีบปาดน้ำตา และฝืนยิ้มขอบคุณในความห่วงหาอาทรของเขา

                “คุณฝันร้ายเรื่องอะไร เล่าให้ผมฟังบ้างได้ไหม” พอลบีบมือเข้าที่ไหล่บอบบางอย่างให้กำลังใจ ก่อนจะเดินไปหยุดหน้าเตาผิงแบบแก๊ส ทำอะไรชั่วครู่ เปลวไฟสีฟ้าอมส้มก็ลุกพรึ่บ ทำให้อากาศหนาวเหน็บราวสิบองศาของเวลาตีห้าครึ่งอบอุ่นขึ้นมาอีกเล็กน้อย

                “ฉันฝันร้ายค่ะ เป็นฝันเกี่ยวกับพี่จันทร์… ” ศราวณะตัดสินใจถ่ายทอดทุกอย่างให้คนที่ทรุดนั่งบนโซฟาหวายตัวเดียวกันฟัง เธอรู้ว่าไม่ควรแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น แต่ยิ่งเล่าก็ยิ่งหยุดน้ำตาของตัวเองไม่ได้ ยิ่งถูกเขารวบเข้าไปกอดและกระซิบปลอบโยน น้ำตาก็ยิ่งทะลักเหมือนเขื่อนแตก

                “…ฉันไม่รู้ว่าที่ฝันแบบนั้น เพราะเครียดเรื่องการหายตัวไปของเธอมานาน หรือว่าเพราะดวงวิญญาณของพี่จันทร์มาเข้าฝัน แต่มันแย่เหลือเกินที่แม้แต่ในฝัน ฉันก็ยังไม่มีปัญญาช่วยเธอมาจากคนใจทราม ฉันไม่เคยรู้สึกแย่กับตัวเองขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต” เธอระบายความเจ็บปวดผิดหวังผ่านธารน้ำตาที่ไหลบ่าออกมาไม่หยุด 

                “ชู่ มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลยซาร่าห์ คุณทำทุกอย่างเท่าที่คุณจะทำได้เพื่อคนที่คุณรัก คุณกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวมากที่กล้าเผชิญหน้ากับหมาตัวนั้นแทนที่จะวิ่งหนี แถมยังให้แจนขี่หลังเดินตั้งไกล ทั้งที่คุณกับแจนตัวไล่เลี่ยกัน คุณเอาชนะความกลัวของตัวเองและทำในสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่คงวิ่งหนีตั้งแต่แรก คุณกล้าและเก่งมาก” มือหนาประคองดวงหน้ารูปไข่ จ้องหน้าของคนฟังด้วยประกายตาชื่นชมระคนภาคภูมิใจ

                “แต่ก็ยังไม่เก่งพอที่จะพาพี่จันทร์หนีมาจากพวกนั้นได้ค่ะ” ศราวณะสูดน้ำมูกแบบไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ “ทุกครั้งที่หลับตา ฉันก็ยังเห็นภาพนั้นอย่างชัดเจน เสียงร้องโหยหวนของพี่จันทร์ยังดังก้องอยู่ในหูของฉัน

                “รู้ไหมว่าผมสัมผัสได้ถึงอะไรในความฝันของคุณ” ชายหนุ่มใช้นิ้วปาดน้ำตาจากสองแก้มคนฟังด้วยสัมผัสอ่อนโยนยิ่งยวด “ผมสัมผัสได้ถึงความรักความอาลัยอาวรณ์ที่คุณมีต่อแจน คุณเป็นน้องสาวที่น่ารัก แล้วก็รักพี่สาวมาก และแจนก็คงรักคุณมากเหมือนกัน เธอถึงยอมเสียสละ หลอกล่อพวกนั้นไปอีกทาง ทั้งที่รู้ว่าเจ็บจนหนีไม่รอด แจนยอมให้พวกนั้นทำร้ายเพื่อปกป้องคุณ เพราะเธอรักคุณมากไงล่ะซาร่าห์”

                “ถึงฉันกับพี่จันทร์จะทะเลาะกันบ่อยตั้งแต่เด็ก แต่ฉันก็รักเธอมาก ฉันเสียใจที่ตอนอลิซเกิดใหม่ๆ พี่จันทร์ขอร้องให้มาช่วยเลี้ยงหลาน แต่ฉันก็ปฏิเสธเพราะอยากทำงาน อยากสรวลเสเฮฮากับเพื่อน และก็กลัวว่าจะเจอคุณ สิ่งที่ฉันทำมันคือความเห็นแก่ตัวล้วนๆ” หญิงสาวฟูมฟายสารภาพบาปในใจ

                “ไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต ซาร่าห์ คุณเลือกในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดเพื่อตัวเอง ณ เวลานั้น มันไม่เรียกว่าการเห็นแก่ตัว ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรมานั่งโทษตัวเอง การหายตัวไปของแจน การตายของเจ ไม่-เกี่ยว-กับ-คุณเลยสักนิด” เขาย้ำเสียงเข้มเหมือนอยากล้างความเชื่อผิดๆ ออกจากสมองคนฟัง

                “แต่…”

                “ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของคุณแม้แต่น้อย เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม ดาว” เขาไม่ชอบชื่อเล่นของเธอ แต่คราวนี้จำใจเรียกเผื่อว่ามันจะออกฤทธิ์กล่อมประสาทให้เธอคล้อยตามในสิ่งที่พูดบ้าง

                “ค่ะ” ศราวณะพยักหน้า มองใบหน้าหล่อเหลาผ่านม่านน้ำตาอย่างแปลกใจ “คุณเรียกฉันว่าดาว”

                “แสดงว่าทฤษฎีของผมใช้ได้เลยทีเดียว” พอลยิ้มอวดฟันขาวสะอาดที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ

                “ทฤษฎีอะไรคะ” คิ้วเรียวดั่งคันธนูเลิกขึ้นสูง

                “ทฤษฎีการล้างสมองโดยการเรียกคุณว่าดาวไง”

“คนบ้า!”

ชายหนุ่มแกล้งร้องโอดโอยเมื่อกำปั้นเล็กๆ ทุบเข้าที่หัวไหล่ เขาหัวเราะร่วน รวบมือน้อยไปตรึงไว้กับพนักโซฟา พลันดวงตาขี้เล่นก็เปลี่ยนเป็นหวานซึ้งรวดเร็วเสียจนศราวณะปรับอารมณ์ตามแทบไม่ทัน

                “ผมตกใจแทบแย่ตอนตื่นมาเพราะได้ยินเสียงละเมอร้องไห้ของคุณ” พอลทอดเสียงอ่อน

หญิงสาวหลุบตาลงต่ำ “ขอโทษที่รบกวนการนอนของคุณค่ะ ปกติฉันไม่ใช่คนช่างฝันอะไรเลย”

“สัญญาได้ไหมว่าถ้าฝันร้ายอีก จะไม่หนีมานั่งร้องไห้คนเดียว และเล่าทุกอย่างให้ผมฟัง”

                “แต่คุณมีงาน มีเรื่องให้ต้องขบคิด ต้องรับฟังเยอะแยะแล้วนี่คะ ฉันไม่อยากเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาเล่าให้คุณฟัง” หญิงสาวแย้งเสียงแผ่ว ฝืนใจสบตาเขาอีกครั้งเมื่อมือหนาขยับมาช้อนปลายคาง ไม่อยากยอมรับ แต่ก็หนีความจริงไม่พ้นว่าใจกำลังเต้นรัวแรงจนกลัวว่าเขาจะได้ยิน เธอไม่ชอบที่เขาเริ่มมีอิทธิพลเหนือความรู้สึกนึกคิดเลยสักนิด

                “มันไม่เหมือนกันซาร่าห์ อะไรที่เกี่ยวกับงาน ผมต้องพูด ต้องฟัง ต้องคิดและทำไปตามหน้าที่ แต่อะไรที่เกี่ยวกับคุณ มันคือความสุขของผม โดยเฉพาะถ้ามันจะช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดเสียใจของคุณ”

                นักการเงินหนุ่มเห็นความอุธัจอย่างชัดเจนบนใบหน้ารูปไข่ นี่ไม่ใช่จริตมารยาที่เกิดจากการปรุงแต่งที่เขาเจอมานักต่อนักในผู้หญิง แต่มันเป็นธรรมชาติของศราวณะ ธรรมชาติที่ชวนหลงใหลและดึงดูดให้เขาโน้มเข้าไปใกล้ ใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวจากจมูกโด่งปลายรั้นนิดๆ ของเธอ

ศราวณะหลับตาพริ้ม ปากสั่นระริกรอสัมผัสวาบหวามที่เขากำลังจะมอบให้ ทว่าวินาทีที่ริมฝีปากทั้งคู่สัมผัสกัน เสียงของประตูเลื่อนถูกผลักให้เปิดจากด้านหลังก็ดังขึ้น เธอจึงผงะออกจากการชิดใกล้ตามสัญชาตญาณ ในขณะที่พอลหน้าตึง ไฟโทสะลุกโชนในดวงตาอย่างน่ากลัว ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะผุดลุก หันไปคำรามใส่บุคคลที่สาม

“ฉันหวังว่าเรื่องที่นายกำลังจะบอก มันสำคัญมากพอนะ ซามูเอล”

ซามูเอลกล้ามากที่ทำตัวเป็นคานเข้ามาสอดจังหวะที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาเฝ้ารอศราวณะมานานขนาดไหน ถึงจะไว้เนื้อเชื่อใจและให้ความสนิทสนมกับบอดีการ์ดหนุ่มสูงพอๆ กับที่ไว้ใจมือขวาอย่างไคลน์ แต่หากคำตอบที่อีกฝ่ายกำลังจะบอกไม่สมเหตุสมผล ตำแหน่งบอดีการ์ดอันดับหนึ่งก็มีสิทธิ์หลุดลอยได้ง่ายๆ

                “ไวส์แบงก์โดนเล่นงานครับ”

                ไวส์แบงก์เป็นยูนิเวอร์แซลแบงก์หรือธนาคารครบวงจร ให้บริการธุรกรรมทางการเงินทุกรูปแบบ การผงาดขึ้นมาเป็นธนาคารแบบครบวงจรที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของอเมริกาในระยะเวลาไม่ถึงสิบปี ทำให้ไวส์แบงก์เป็นที่จับตามองของทั้งนักลงทุนและคู่แข่ง การทำธุรกิจแบบกล้าได้กล้าเสีย กล้าชนกล้าเสี่ยง ทว่าบริสุทธิ์ยุติธรรมคือสิ่งที่ซื้อใจลูกค้าทุกระดับ ทว่าก็หมายถึงการสร้างความหมั่นไส้ให้คู่แข่งด้วยเช่นกัน

                นักการเงินหนุ่มปรายตามองว่าที่ภรรยาเพียงวูบเดียวก็ก้าวยาวๆ กลับไปยังวิลลา ใบหน้าหล่อเหลาไม่เหลือเค้าของความรื่นรมย์ให้เห็นอีกต่อไป

“ผมขอโทษที่ขัดจังหวะ แต่ไคลน์จำเป็นคุยกับคุณจริงๆ ครับ” ซามูเอลบอกเสียงอ่อย นั่นเป็นครั้งแรกที่นายหนุ่มผู้นี้เรียกชื่อเขาอย่างเต็มยศแบบนั้น จึงพอจะรู้ว่าเกรี้ยวกราดน่าดู

                “ไม่เป็นไร แต่อย่าให้เกิดขึ้นอีกก็แล้วกัน ไหนๆ ก็ตื่นกันหมดแล้ว สั่งกาแฟกับอาหารเช้าเผื่อฉันกับซาร่าห์ด้วย” ชายหนุ่มสั่งความพลางนั่งลงหน้าโน้ตบุ๊กและต่อวิดีโอคอลหาคนสนิท “เกิดอะไรขึ้น”

                “ข้อมูลของลูกค้ารายใหญ่สามรายรั่วไหลครับ”

                “ลูกค้าส่วนไหน ใครเป็นคนรับผิดชอบ แล้วสื่อรู้หรือยัง” ข้อสุดท้ายกระทบต่อชื่อเสียงของธุรกิจโดยตรง ซึ่งเขาปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด

                “อสังหาฯ ครับ แต่โจเซฟกับเลขาฯ ยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวว่าไม่มีส่วนรู้เห็น ผมโทร. คุยกับทางลูกค้าแล้ว เขาบอกว่าหากเราไม่มีคำตอบที่ดีให้ภายในวันนี้ เรื่องจะถึงสื่อ และเขาจะเดินหน้าฟ้องร้อง”

                “ส่งรายละเอียดข้อมูลที่รั่วไหลทั้งหมดให้ฉันทางเมล แล้วอีกชั่วโมงครึ่งให้คนที่มีส่วนรับผิดชอบกับแผนกไอทีเข้าห้องประชุม ฉันจะประชุมทางไกลจากที่นี่” ชายหนุ่มสั่งเสียงเข้มแล้วปิดวิดีโอ เหลือบเห็นศราวณะที่เพิ่งตามเข้ามาก็ยิ้มแห้ง

                “เกิดเรื่องอะไรเหรวอคะ”

                “ข้อมูลของลูกค้ารั่ว”

                “เราต้องบินกลับด่วนไหมคะ” หน้าของเขาเครียดจนเธอแอบเป็นห่วง

                “ผมยังไม่แน่ใจ แต่ถึงจะต้องกลับวันนี้ ก็ต้องเป็นหลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว” พอลสาวเท้ามาหยุดยืนเผชิญหน้า แตะนิ้วเข้าที่แก้มแดงเรื่อเบาๆ “แซมกำลังสั่งอาหารเช้าให้เรา คุณคงไม่ว่าใช่ไหมถ้าผมจะขออาบน้ำแต่งตัวก่อน ผมต้องประชุมทางไกลหลังมื้อเช้า”

                “ตามสบายเลยค่ะ ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกได้นะคะ” หญิงสาวพูดจบก็ยืนแข็งทื่อเมื่อคนฟังก้มลงมาหอมแก้มฟอดใหญ่

                “แค่คุณทำตัวน่ารักอย่างนี้ ผมก็พร้อมจะออกรบกับปัญหาสารพันแล้วละ” ร่างสูงหมุนตัวเดินผิวปากหายเข้าไปในห้องนอน

ศราวณะแตะแก้มร้อนผ่าวของตัวเองอย่างเผลอไผล หน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหู เธอเป็นอะไรไป ทำไมถึงทำตัวเหมือนสาวใจง่ายเหลือเกิน ตอนอยู่ข้างนอกก็เคลิ้มจนเกือบถูกเขาจูบอีก หรือว่าเธอยังไม่สร่างเมาดี

 

พอลใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวราวครึ่งชั่วโมงก็กลับมาในชุดสูทสุดเนี้ยบ พานให้หญิงสาวแอบคิดว่าเขาคงประชุมทางไกลแบบนี้บ่อยจึงเตรียมตัวมาดี หรือไม่นั่นก็อาจเป็นชุดที่เตรียมมาเข้าพิธีแต่งงานในช่วงบ่าย เข้าข่ายยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

เขาถามความสมัครใจว่าเธอต้องการอาบน้ำก่อนกินอาหารเช้าไหม แล้วนั่งจิบกาแฟและอ่านอีเมลจากคนสนิทรอเมื่อเธอขอตัวอาบน้ำแต่งตัวสิบห้านาที

                “คุณเป็นผู้หญิงที่น่าทึ่งมาก ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนอาบน้ำแต่งตัวได้เร็วขนาดนี้” นักการเงินหนุ่มเปรยขณะมองร่างสมส่วนในชุดชีทเดรสยาวถึงเข่าสีครีมด้วยประกายตาพึงพอใจ ชุดนี้เขาเป็นคนเลือกเองจากแคตตาล็อกของห้องเสื้อแบรนด์ดัง คิดว่ามันน่าจะเหมาะกับเรือนร่างสูงโปร่ง ทว่าเต็มไปด้วยส่วนเว้าส่วนโค้งของว่าที่ภรรยา แล้วก็เป็นไปตามที่คิด เพราะเธอดูดีและเป็นผู้หญิงสุดๆ

                “หวังว่านั่นจะเป็นคำชมจากใจจริง ไม่ใช่การประชดประชันเพราะคิดว่าฉันวิ่งผ่านน้ำมาหรอกนะคะ” ศราวณะทรุดลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับเขา “แซมไม่ทานกับเราเหรอคะ”

                “แซมทานแล้ว” เขามองดวงหน้าหวานอย่างครุ่นคิดอยู่หลายครั้งระหว่างการรับประทานอาหารเช้า ที่สุดก็ทนไม่ไหวเอ่ยทำลายความเงียบอีกหนึ่งคำรบ “คุณจะว่าอะไรไหมถ้าเราจะบินกลับนิวยอร์กบ่ายนี้ ผมรู้ว่าคุณอยากเจอแพ็กซ์มาก ความจริงผมเองก็นัดกินดินเนอร์กับไอ้ตัวแสบเย็นนี้ แต่ก็ห่วงงาน”

                “ไม่มีปัญหาอยู่แล้วค่ะ ดีเสียอีก ฉันจะได้กลับไปหาอลิซเร็วๆ” ตาคู่งามฉายแสงแห่งความสุขยามเอ่ยถึงหลานสาวตัวน้อย

                “ขอบคุณนะที่เข้าใจผม ผมสัญญาว่าเคลียร์ทุกอย่างเสร็จจะพาคุณกลับมาที่นี่อีก” นักการเงินหนุ่มยื่นมือมากุมมือบาง

                “ไม่ต้องสัญญาหรอกค่ะ ความจริงฉันก็ไม่ได้อาลัยอาวรณ์ที่นี่มากมาย ถึงจะอยากเจอน้องชายสุดฮอตของคุณ แต่ฉันก็ไม่ได้บ้าดาราอะไรขนาดนั้น ถ้าคุณจะรักษาสัญญาสักอย่าง ก็ขอเป็นเรื่องที่จะพาฉันกับอลิซกลับเมืองไทยดีกว่าค่ะ” หญิงสาวปรายตามองคนฟังอย่างขำๆ เมื่อเขาเป่าลมผ่านริมฝีปากประหนึ่งโล่งใจมากมาย

                “ผมจะกำชับเชสให้เดินเรื่องปรับสถานะของคุณให้เร็วที่สุด”

                ศราวณะเกริ่นเรื่องที่นีรนารถจะบินมาทำงานที่รัฐนิวยอร์กช่วงปลายเดือน เธอดีใจมากมายเมื่อเขาเป็นฝ่ายออกปากอนุญาตให้เธอพาเพื่อนมาค้างหรือมาเที่ยวที่คฤหาสน์ได้ แต่พอบอกว่านีรนารถปิ๊งเขาตั้งแต่เห็นผ่านเว็บแคม ว่าที่คุณสามีก็เพียงแต่ยักไหล่ในเชิงรับรู้ทว่าไม่แคร์ 

                “หน้าตาคุณยังดูเพลียๆ อยู่เลย ไปนอนพักสักสองชั่วโมงก่อนไหม ทีมงานมาถึงแล้วผมจะปลุก”

                “ทีมงานอะไรคะ”

                “ก็ทีมเมกอัปอาร์ทิสต์ที่จะมาช่วยคุณแต่งหน้าทำผมและแต่งตัวไง คุณคงไม่คิดจะใส่ชุดนี้เข้าพิธีแต่งงานหรอกใช่ไหม ซาร่าห์” มุมปากของคนพูดกดลึกอย่างขำๆ

                “เอ่อ…แต่ฉันไม่มีชุดอื่นที่คิดว่าเหมาะกว่านี้แล้วนะคะ” หญิงสาวทำหน้าปั้นยาก

                “ไม่ใช่ว่าชุดนี้ไม่สวยนะคัปเค้ก มันสวยจนผมอยากสั่งมาเพิ่มให้คุณทุกสีเลยละ แต่ถึงจะสวย มันก็ยังไม่ใช่ชุดเจ้าสาวในสายตาของผมอยู่ดี ที่สำคัญ ถ้าคุณแต่งชุดนี้เข้าพิธี มันจะดูเหมือนกับว่าเราปิ๊งปั๊งและก็ตัดสินใจแต่งงานกันแบบไม่วางแผนอะไรล่วงหน้า ซึ่งดูไม่ดีตอนยื่นขอปรับสถานะเอามากๆ ผมอยากให้คนพิจารณาเรื่องของเราเห็นว่า ถึงเราจะบินมาแต่งงานที่เวกัส แต่ก็คิดใคร่ครวญกันมาอย่างรอบคอบ ไม่ใช่ทำแบบหุนหันพลันแล่น”

                “โอเคค่ะ” เธอตอบอย่างคนเรื่องน้อย ก่อนจะปลีกตัวเข้าไปนั่งเล่นโน้ตบุ๊กในห้องนอน จากที่คิดว่าจะข่มตาให้หลับไม่ลง ก็กลายเป็นว่าสามารถผล็อยหลับได้ภายในเวลาไม่นาน รู้สึกตัวอีกครั้งก็เมื่อริมฝีปากอุ่นๆ แตะเข้าที่กลีบปาก และทำท่าจะล่วงล้ำเข้ามามากกว่านั้น หากเธอไม่ยอมตื่น

                “คุณ!”

                “ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเถอะคัปเค้ก ทุกคนรอคุณอยู่ข้างนอกแล้ว” พอลเฉไฉพูดเรื่องอื่นโดยไม่สนอาการตาเขียวปั้ดของคนฟัง

                “ห้ามฉวยโอกาสกับฉันอย่างนี้อีกเด็ดขาด ไม่งั้นวันดีคืนดี คุณเจอกำปั้นของฉันแน่ๆ ค่ะ” หญิงสาวขู่อย่างเอาเรื่อง

                “ผมจะจำไว้” ชายหนุ่มกลั้นยิ้มเต็มที่ นี่ถ้าเธอรู้ว่าเขาแอบไปจูบราตรีสวัสดิ์แทบทุกคืนที่คฤหาสน์ จะคว้าโคมไฟมาฟาดกบาลหรือเปล่านะ

                ศราวณะฮึดฮัดเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแปรงฟันใหม่ แล้วออกไปพบช่างแต่งหน้าทำผมด้านนอก เธอถูกอาร์ทิสต์ชายหัวใจสาวชื่อมิเคล่าซึ่งเพี้ยนมาจากไมเคิล ไล่กลับมาถอดเดรสและสวมเสื้อคลุมทับซับใน มิเคล่ากับผู้ช่วยหญิงวัยกลางคนอีกสองคนเข้ามาช่วยกันแต่งหน้า ทำผม และทำเล็บให้เธอนานนับชั่วโมงโดยไม่อนุญาตให้ส่องกระจก

แม้จะหงุดหงิดอยากอาละวาด แต่หญิงสาวก็ต้องเก็บปากเก็บคำ เพราะมิเคล่ายืนยันว่าไม่เคยมีใครผิดหวังกับฝีมือการแต่งหน้าทำผมของอาร์ทิสต์ระดับเซเลบของอเมริกา

                “ฉันยังไม่เห็นชุดแต่งงานเลยนะคะ”

                “ไม่ต้องห่วงหรอก รับรองว่าถ้าเห็นแล้วมิสจะต้องตาลุกวาว เพราะมันไม่ใช่ชุดเจ้าสาวกระจอกงอกง่อยที่หาได้ทั่วไป แต่เป็นชุดเจ้าสาวระดับโอต์กูตูร์” มิเคล่าจีบปากจีบคำบอกให้ฟัง

                “มันเป็นอย่างไรคะ ไอ้ชุดเจ้าสาวที่ว่าเนี่ย” หญิงสาวกลอกตามองแชนเดอเลียร์บนเพดาน

                “โอต์กูตูร์ เป็นภาษาฝรั่งเศส ที่แปลว่า ศิลปะการตัดเย็บชั้นสูง ชุดโอต์กูตูร์ตัดเย็บด้วยมือที่ละเอียดยิบทุกฝีเข็ม ทุกวันนี้หาได้แค่ในเมืองแฟชั่นระดับโลกอย่างปารีส มิลาน ลอนดอน และนิวยอร์กเท่านั้น”

                “ถ้าตัดเย็บด้วยมืออย่างละเอียดทุกฝีเข็มละก็ คุณคงต้องรวมเมืองไทยเข้าไปอีกแห่งแล้วแหละค่ะมิเคล่า เพราะเวลาเสื้อหรือกางเกงขาด แม่ของฉันก็ซ่อมด้วยงานฝีมือระดับโอต์กูตูร์อะไรนั่นเหมือนกัน” ศราวณะพูดจบ ห้องทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

                “มิสอารมณ์ขันจังนะคะ เพราะอย่างนี้หรือเปล่าผู้ชายแสนเพอร์เฟกต์อย่างมิสเตอร์ไวส์แมนถึงได้เลือกมาเป็นเจ้าสาว” หนึ่งในสองผู้ช่วยแซ็วอย่างเสียไม่ได้

                “ฉันยอมรับค่ะว่าเขาเป็นพวกเพอร์เฟกชันนิสต์จริง ถ้าจะมีอะไรไม่เพอร์เฟกต์ในตัวเขาหลังจากนี้ ก็เพราะว่าเลือกฉันเป็นเจ้าสาวนี่แหละ” คำพูดท้ายประโยคของเธอเรียกเสียงหัวเราะของผู้ฟังทั้งสามอีกครั้ง

                “เสียดายที่มิสเตอร์ไวส์แมนแอบพามิสมาแต่งงานแบบลับๆ นะคะ น่าจะจัดแบบยิ่งใหญ่ ประกาศให้คนทั้งโลกรู้เลยว่ามีเจ้าสาวสวยน่ารักอย่างกับนางฟ้า”

                “ทิอานี หล่อนจะขุดเรื่องนี้ขึ้นมาพูดให้มิสคิดมากทำไม ถ้ามิสเตอร์ไวส์แมนไม่รักจริง เขาจะแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกับมิสเหรอ” มิเคล่าดุผู้ช่วยเสียงขุ่น เพราะกลัวเจ้าสาวจะไม่สบายใจ

“อย่าดุเธอเลยค่ะ ฉันไม่ได้คิดมากอะไร ฉันชิลมาก และเรื่องการแต่งงานแบบลับๆ ก็เป็นความต้องการของฉันด้วยค่ะ ถ้าจะเซ็ง ฉันก็เซ็งที่ยังไม่เห็นชุดแต่งงานนี่แหละค่ะ” เจ้าสาวเอ่ยอย่างมีสปิริต

มิเคล่ายังไม่ยอมให้เธอดูหน้าหรือผมของตัวเอง เมื่อผู้ช่วยออกไปนำชุดเจ้าสาวเข้ามาก็สั่งให้เธอหลับตา ก่อนปลีกตัวออกจากห้อง ปล่อยให้ผู้ช่วยทั้งสองเป็นคนสวมชุดเจ้าสาวให้ ทุกอย่างเสร็จสรรพภายในเวลาไม่ถึงห้านาที เมื่ออาร์ทิสต์ระดับเซเลบจูงเธอมาหยุดยืนหน้าบานกระจกและสั่งให้ลืมตา ศราวณะก็ถึงกับปากอ้าตาค้าง

                “สวยใช่ไหมล่ะมิส”

                “สะ…สวยค่ะ สวยมากๆ สวยอย่างกับไม่ใช่ฉัน

ผู้หญิงที่ยืนอยู่ในกระจกสวยเสียจนเธอตาพร่า ผมยาวสลวยที่ปล่อยยาวอยู่เนืองนิตย์ถูกมิเคล่าถักเปียนูนผูกหลวมๆ รวบเก็บชายไว้ด้านหลังและปักเถาของกุหลาบป่าสีขาวไว้อย่างเก๋ไก๋ ใบหน้าที่ปกติไม่เคยพิถีพิถันกับเรื่องแต่งหน้า บัดนี้ดูสวยหวานเป็นธรรมชาติด้วยโทนสีนู้ด ไม่ได้หนาเตอะหรือดูเฟกอย่างที่เธอเคยเห็นเจ้าสาวทางเมืองไทยแต่งกันบ่อยๆ

                “คุณเก่งมากจริงๆ ค่ะมิเคล่า” ปากอิ่มที่เคลือบไว้ด้วยลิปสติกสีโอลด์โรสคลี่ยิ้มแห่งความพึงพอใจ เธอเคยได้ยินประโยคที่ว่าผู้หญิงจะสวยสุดในวันแต่งงาน แต่ไม่เคยเชื่อ จนกระทั่งบัดนี้

                “แค่มิสพอใจในผลงาน ฉันกับสองสาวนี่ก็ปลื้มสุดๆ แล้ว มิสเหมาะกับชุดนี้มาก มิสเตอร์ไวส์แมนตาแหลมเหลือเกิน” มิเคล่ามองชุดเจ้าสาวโอต์กูตูร์สีขาวปักลูกปัดสีขาวเหลือบทองแบบแขนกุด คอคว้านอวดร่องอกอิ่ม และโชว์แผ่นหลังขาวเนียนด้วยประกายตาชื่นชม

                มองผิวเผินชุดนี้หลอกตาให้คนมองคิดว่าท่อนบนเป็นผ้าลูกไม้ซีทรู แต่ความจริงมันคือผ้าพื้นสีเนื้อ ด้านหน้าของกระโปรงเดรสยาวกรอมเท้า ตัดเย็บด้วยผ้าไหมอิตาลีปักลูกไม้สีขาวเหลือบทองแบบละเอียดยิบ ชายด้านหลังบานออกลากพื้นยาวร่วมสองเมตร

                “ตอนแรกเรากลัวแทบแย่ค่ะว่าชุดจะคับหรือหลวมไป ปกติคนที่สั่งตัดชุดแต่งงานจะต้องไปลองชุดอย่างต่ำสองครั้ง แต่นี่เป็นงานเร่งด่วนมาก แถมมิสเตอร์ไวส์แมนยังไม่ยอมพาคุณไปลองชุด แต่โทร. มาเร่งด้วยตัวเองแบบวันเว้นวันเลยค่ะ” ผู้ช่วยสาวที่ชื่อโรซาลีนเปรยด้วยความโล่งใจ

                “ต้องขอโทษแทนเขาด้วยนะคะ ฉันเองก็เพิ่งรู้เมื่อเช้าว่ามีชุดแต่งงานรออยู่เหมือนกัน” ศราวณะยิ้มแหย ผิดกับใจที่เต้นรัวแรงหลังจากที่รู้ว่าเขาเตรียมพร้อมและให้ความสำคัญกับการแต่งงานครั้งนี้ขนาดไหน

                “แต่เซอร์ไพรส์ด้วยชุดแต่งงานสวยๆ ราคาสามแสนเหรียญ แถมใส่แล้วพอดิบพอดีไปทุกส่วนอย่างนี้ เป็นใครก็คงรักคงหลงมิสเตอร์ไวส์แมน จริงไหมคะมิส” มิเคล่าทำตาวิบวับล้อเลียน

เจ้าสาวได้แต่หัวเราะแกนๆ รับมุก สามแสนเหรียญงั้นเหรอ เหอๆ เว่อร์สมกับเป็นออร์เดอร์จากมิสเตอร์พอล ไวส์แมน เหลือเกิน

                ถ้าเธอเป็นผู้หญิงประเภทช้างเท้าหลัง หรือบ้าของแพง ยอมให้ว่าที่สามีตัดสินใจทุกเรื่องแทน ก็คงรู้สึกว่าตัวเองเป็นสาวผู้โชคดีที่สุดในโลกกระมัง แต่บังเอิญเธอคือนางสาวศราวณะ แผลงฤทธิ์ จึงมองว่าเขาเป็นว่าที่สามีที่เรื่องมากชะมัด ไม่ใช่เรื่องมากธรรมดา แต่โคตรมากและโคตรเว่อร์ ถ้าข่าวแต่งงานของเธอโด่งดังไปถึงเมืองไทย เขาและเธอคงถูกไทยมุงทางโลกโซเชียลแขวะ ว่าน่าจะเอาเงินไปบริจาคทำบุญมากกว่าสิ้นเปลืองกับชุดแต่งงานเว่อร์วังชุดนี้

                “เสียดายที่ทางเราต้องปิดเรื่องแต่งงานของมิสกับมิสเตอร์ไวส์แมนเป็นความลับ ไม่อย่างนั้นคงเป็นข่าวใหญ่แน่ๆ” มิเคล่าทำหน้าเศร้านิดๆ เซ็งหน่อยๆ เพราะถึงคันปากอยากแชร์ข่าวนี้มากเพียงใด แต่สัญญาที่ทนายความของพอลให้เซ็นระบุว่าจะฟ้องร้องและเรียกร้องเงินหลายร้อยล้านเหรียญ หากข่าวเรื่องการแต่งงานนี้หลุดรอดไป

                “ให้เป็นความลับอย่างนี้ก็ดีแล้วค่ะ เวลาหย่ากันจะได้เงียบๆ” มันดีต่อทั้งเธอและพอลที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับที่สุด เพราะนี่เป็นเพียงการแต่งงานหลอกๆ ที่ต้องอาศัยทะเบียนสมรสจริง

                “อุ๊ย! ทำไมพูดอย่างนี้คะมิส นี่เป็นวันมงคลของชีวิต มิสควรจะพูดถึงเรื่องฮันนีมูนหรือแผนการผลิตทายาทให้มิสเตอร์ไวส์แมนมากกว่าเรื่องหย่านะคะ” ทิอานีซึ่งสวมแหวนแต่งงานโบกไม้โบกมือห้ามไม่ให้เธอคิดหรือพูดเป็นลางร้ายต่อชีวิตคู่

                “ก็มันจริงนี่คะ ถึงฉันจะไม่ใช่คนอเมริกัน แต่ฉันก็รู้ว่าสถิติการหย่าร้างของคนที่นี่สูงมาก ดูอย่างพวกดาราฮอลลีวูดสิคะ จัดงานแต่งงานเสียใหญ่โต หมดเงินเป็นล้านๆ เหรียญ แต่ก็ไม่เห็นมีคู่ไหนอยู่กินกันนานถึงสิบปีเลยสักราย

                “แสดงว่าประเทศของคุณ คนแต่งงานแล้วไม่หย่าเลยสักคู่สินะ”

                คำถามด้วยน้ำเสียงเครียดๆ นั้นมาจากคนที่เพิ่งเปิดประตูห้องนอนเข้ามาแบบไม่มีการเคาะบอกล่วงหน้า ใบหน้าหล่อเหลาของนักการเงินหนุ่มเคร่งขรึมจนน่ากลัว

                “หย่าค่ะ แต่ถ้าเทียบกับที่นี่ยังถือว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก คนไทยยังถือเรื่องผัวเดียวเมียเดียวไปตลอดชีวิต และการหย่าร้างถือว่าเป็นความล้มเหลวสูงสุดในชีวิตของผู้หญิง ผู้หญิงจะถูกมองว่ามีตำหนิ เป็นสินค้ามือสอง ผู้หญิงบางคนยอมเจ็บปวด ทนอยู่กับสามีที่เลี้ยงด้วยลำแข้ง หรือนอกใจครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงเพราะต้องการรักษาสถาบันครอบครัวให้มีพร้อมทั้งพ่อแม่และลูก ผู้หญิงมักจะต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่กับคำว่า ‘ทนเพื่อลูก’ เสมอ” หญิงสาวจ้องตาคมดุไม่หลบ

                “หึ…แล้วคุณคิดว่าเด็กจะอบอุ่นเหรอ ถ้าต้องเห็นแม่ร้องไห้หรือทะเลาะกับพ่อวันแล้ววันเล่า ผมชอบแนวคิดเรื่องผัวเดียวเมียเดียวนะ แต่ผมไม่ชอบแนวคิดเกี่ยวกับการปฎิบัติต่อผู้หญิงในสังคมของคุณเลย” สีหน้าของเขาบอกว่าไม่ชอบใจในสิ่งที่ได้ยินเป็นอย่างมาก

                “ฉันก็ไม่ชอบความสองมาตรฐานในสังคมไทยเหมือนกันค่ะ เพราะในขณะที่ผู้หญิงต้องทนก้มหน้าเลี้ยงลูก ถูกตราหน้าว่าเป็นสินค้ามีตำหนิ ผู้ชายกลับลอยตัวอยู่เหนือปัญหา ทั้งที่บ่อยครั้งสาเหตุของการหย่าร้างเกิดจากการนอกใจของผู้ชาย”

                “คุณคิดถูกแล้วละที่เลิกกับหมอนั่น คุณไม่เหมาะกับผู้ชายไทยหรอก” คนพูดรีบซัดลูกบอลเข้าประตูตัวเอง

                “งั้นก็ถือว่ามิสโชคดีสุดๆ แล้วใช่ไหมครับที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวของคุณ” เจ้าของเสียงทุ้มปนหยอกเย้าคือบุรุษแปลกหน้าที่ก้าวตามเข้ามาในห้องนอน เขามีรูปร่างสูงใหญ่ไล่เลี่ยกับพอล สวมชุดสูททันสมัยสีกรมท่าและมีดวงตาสีเขียวมรกต

                “แน่นอน เพราะสำหรับฉัน การแต่งงานคือ One-time deal” ร่างสูงเพรียวของพอลก้าวไปยืนเคียงเจ้าสาว วาดมือโอบเอวคอดแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ขณะพยักพเยิดแนะนำให้เธอรู้จักกับอีกฝ่าย “ซาร่าห์ นั่นเชส สโตนโคลด์ ทนายความของผม”

                “ยินดีที่ได้รู้จักครับมิส นามสกุลผมคือสโตนเฉยๆ อย่าบ้าจี้เชื่อตามมิสเตอร์ไวส์แมนนะครับ”

                “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะเชส ฉันได้ยินชื่อของคุณบ่อยมาก ในที่สุดก็ได้พบเสียที เรื่องเปลี่ยนชื่อหรือนามสกุลให้คนอื่นตามใจชอบน่ะ ไม่ใช่แค่คุณหรอกค่ะที่เจอ” ศราวณะยื่นมือไปจับมือของอีกฝ่าย เธอเกือบหลุดหัวเราะ เมื่อเขาแตะริมฝีปากลงบนหลังมือ แทนที่จะเชกแฮนด์เหมือนที่คนอื่นๆ ทำ

                “มิสสวยหยาดฟ้ามาดินอย่างนี้นี่เอง มิสเตอร์ไวส์แมนถึงเร่งยิกๆ ให้ผมเดินเรื่องปรับสถานะ” เชสขยิบตาหยอกเอินให้คู่สนทนาโดยไม่เกรงสายตาคุกคามของผู้มีศักดิ์เป็นนายจ้าง

                เจ้าสาวได้แต่ยิ้มรับคำชมแกมหยอก เธอโล่งใจที่ซามูเอลโผล่มาที่ประตูและแจ้งว่าได้เวลาเดินทางไปขอใบอนุญาตแต่งงานที่สำนักงานเขต หรือเคาน์ที ออฟ คลาร์ก แมริเอจ บูโร

                หญิงสาวขอบคุณมิเคล่ากับผู้ช่วยทั้งสองเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้เจอกันอีก เธอเพียงแค่ยิ้มๆ เพื่อรักษามารยาท เมื่อพวกเขากล่าวอวยพรขอให้ชีวิตคู่หวานชื่นยืนนานและมีลูกหลานเต็มคฤหาสน์ ต่างจากเจ้าบ่าวที่ตอบรับด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจว่าคำอวยพรเหล่านั้นจะเป็นจริง

 


พอลพาเธอขึ้นรถลีมูซีนไปขอใบอนุญาตแต่งงาน จากนั้นก็นั่งรถเพื่อไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ นอกจากเธอ พอล ซามูเอล และเชสแล้ว ก็ยังมีมินิสตรี หรือเจ้าหน้าที่ที่จะประกอบพิธีแต่งงาน และช่างภาพกับช่างถ่ายวิดีโอตามมาอีกด้วย

                เจ้าบ่าวของงานเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ชมว่าเธอสวย เขาทำให้เธอแอบคิดว่าชุด ทรงผม และการแต่งหน้าของมิเคล่าอาจไม่ถูกใจ แต่ก็ไม่กล้าถาม เพราะคิดว่าหากไม่พอใจจริง เขาคงจะหาจังหวะเหมาะๆ บอก

                สิ่งหนึ่งที่พอลทำมาตลอดตั้งแต่ออกจากที่พักคือการจับมือเธอไม่ปล่อย เขาเล่าที่มาของแกรนด์แคนยอนให้ฟังคร่าวๆ ในระหว่างหนึ่งชั่วโมงบนเฮลิคอปเตอร์ ชี้ชวนให้ดูเขื่อนฮูเวอร์และแม่น้ำโคโลราโด แม่น้ำสายหลัก ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิดสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่เรียกว่าแกรนด์แคนยอน 

                เมื่อแมลงปอยักษ์ลดระดับลงจอดที่ลานกว้างบนหน้าผาเหนือแคนยอนในส่วนที่้เรียกว่านอร์ธริมหรือฝั่งเหนือ อันเป็นฝั่งที่เข้าถึงยากที่สุดของแกรนด์แคนยอน ศราวณะก็ยิ่งรู้สึกว่างานแต่งงานนี้เป็นความลับสุดยอด มองไม่เห็นถนนหนทางหรือนักท่องเที่ยวในรัศมีที่ตามองเห็น สิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะมีชีวิตคือคือแม่น้ำโคโลราโดที่ทอดตัวยาวเป็นแบ็กดรอปอยู่เบื้องล่างของแคนยอน

                พอลพาเจ้าสาวลงจากเฮลิคอปเตอร์โดยมีซามูเอลคอยดูแลความเรียบร้อยของชายชุด หลังจากยืนถ่ายรูปคู่กันกับพาหนะสีดำตามคำขอของตากล้อง มินิสตรีหญิงวัยห้าสิบเศษก็พาบ่าวสาวและพยานไปยังจุดประกอบพิธีซึ่งมีม้านั่งเพียงสองตัวไว้ให้แขก 

“ช่อบูเกต์ของเจ้าสาวกับเข็มกลัดดอกไม้สำหรับเจ้าบ่าวครับ” ช่อดอกไม้กุหลาบหลากสีถูกกัปตันเฮลิคอปเตอร์ส่งให้เจ้าสาว ส่วนเข็มกลัดดอกกุหลาบขาวถูกยื่นให้เจ้าบ่าว

                “กลัดให้หน่อยสิ” พอลส่งเข็มกลัดในมือให้เธอ

                “กลัดตรงไหนคะ” เธอยอมแลกช่อบูเกต์ในมือกับเข็มกลัดดอกไม้เพื่อทำตามคำขอ

                “ตรงนี้” เขาชี้ลงที่ปกซ้ายของทักซิโด

                “ถ้าจิ้มโดนเนื้อเข้า โทษฉันไม่ได้นะคะ” ศราวณะออกตัวขณะบรรจงทำตามคำขออย่างระมัดระวัง เธอตั้งอกตั้งใจทำจนไม่เห็นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นเหนือริมฝีปากของคนฟัง

                “วันนี้คุณสวยมากๆ ตอนเข้าไปเห็นคุณในชุดเจ้าสาว ผมเกือบลืมหายใจไปเลย” ชายหนุ่มกระซิบพอให้ได้ยินกันสองคน ตาสีฟ้าน้ำทะเลลึกซึ้งและหวานเชื่อมเสียจนคนถูกชมหลุบตาลงต่ำ

                “ฉันนึกว่าคุณไม่ชอบชุด ทรงผม หรือการแต่งหน้าของมิเคล่าเสียอีกค่ะ” ปากอิ่มคลี่ยิ้มเขินๆ โล่งอกที่เขาชอบทุกอย่าง

                “ถ้าไม่ชอบ ผมคงไล่ให้เปลี่ยนตั้งแต่เข้าไปเห็นแล้ว ที่เพิ่งบอกว่าคุณสวย เพราะหาโอกาสดีๆ ไม่ได้เสียที” ตาคมกริบสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมของเธออีกครั้งอย่างพินิจพิจารณา “ไม่คิดจะชมผมบ้างเหรอ”

                ศราวณะช้อนตามองเขาอย่างขำๆ คนอะไรมาทวงขอให้ชมกลับ ไม่มั่นหน้าจริงทำไม่ได้นะเนี่ย

“ชมตามมารยาทก็ยังดีนะ”

                หญิงสาวหลุดหัวเราะ “วันนี้คุณดูดีมากค่ะ

                “แค่ดูดี?” สีหน้าของเขาบอกว่าผิดหวังสุดที่จะคณนา

                “โอเค…หล่อก็ได้ค่ะ คุณหล่อม้ากมาก หล่อชนิดที่คนไทยเรียกว่าวัวตายควายล้ม พอใจหรือยังคะ” ศราวณะกัดฟันชม ดีนะที่วันนี้มิเคล่าลงรองพื้นให้ ไม่งั้นเขาคงได้เห็นว่าหน้าเธอแดงเป็นตูดลิงแล้ว

                “จะพอใจกว่านี้ ถ้าปากกับใจของคุณตรงกัน”

                “ถ้าปากกับใจตรงกัน ฉันก็คงปากเบี้ยวแล้วละค่ะ” หญิงสาวเล่นมุกกับเขาเสียเลย

                “รู้ใช่ไหมว่าตอนจบพิธี เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องจูบกัน มันเป็นธรรมเนียม” ตาอ่อนเชื่อมหลุบลงมองเรียวปากอิ่ม จูบผู้หญิงมานับครึ่งร้อย แต่ไม่เคยรู้สึกว่าหิวโหยริมฝีปากของใครเท่าปากรูปกระจับนี้ ราวกับมันถูกเคลือบไว้ด้วยเฮโรอีนและเขาเป็นพวกติดยาในระดับที่กู่ไม่กลับ

                “รู้ค่ะ เห็นในหนังจนชินแล้ว” คนบ้า! ถามอย่างกับไม่ได้จูบเธอตอนเช้าตรู่มางั้นละ

                “แล้วก็คงต้องจูบอีกหลายครั้งตอนถ่ายรูปด้วย รูปออกมาจะได้สมจริง เวลายื่นขอปรับสถานะจะได้ไม่มีปัญหา” คนเจ้าเล่ห์หยิบยกประเด็นเดิมๆ มาไล่ต้อนพร้อมส่งยิ้มท้าทาย

                “ปกติฉันไม่ชอบเสแสร้งหรือเล่นละครตบตาใครหรอกนะคะ แต่วันนี้ฉันจะท่องให้ขึ้นใจว่าเราเป็นคู่บ่าวสาวที่รักกันปานจะกลืนกินค่ะ” 

                “ดี งั้นผมว่าเราควรจะเริ่มต้นด้วยฮอลลีวูดคิสนะ คัปเค้ก” พอลส่งช่อบูเกต์คืนให้เจ้าสาวแล้วพยักพเยิดส่งสัญญาณให้ตากล้องเตรียมถ่ายรูป

                “ฮอลลีวูดคิสเป็นอย่างไรคะ” คิ้วงามขมวดเป็นปม

                “อย่างนี้” เขาจับมือซ้ายของคนช่างสงสัยขึ้นมาโอบลำคอ มือขวากระชับกับแผ่นหลังเปลือย ย่อตัวเล็กน้อยเพื่อใช้มือซ้ายรั้งขาขวาของคนฟังขึ้นมาจนร่างสมส่วนเอนลงตามการจัดท่า “ไม่ต้องเกร็ง ผมแข็งแรงพอ”

                “ฉันรู้ค่ะว่าคุณฟิตจัด” เธอทิ้งน้ำหนักตัวลงบนท่อนแขนที่ประคองแผ่นหลังอยู่อย่างไร้ข้อกังขา หัวเราะคิกเมื่อเริ่มเข้าใจว่าไอ้จูบแบบฮอลลีวูดนั้นเป็นอย่างไร

                “ไอ เลิฟ ยู” นักการเงินหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าขำๆ นั้นให้กลายเป็นนิ่งงันทันทีที่เธอได้ยินคำว่ารักจากเขา ตาคมกริบจ้องลึกเข้าไปในดวงตาดำขลับที่ตื่นตระหนกราวตากวาง ก่อนที่แพขนตายาวงอนจะค่อยๆ หลุบต่ำลงยามเขาก้มลงใกล้มากขึ้น “ถ้าจะเล่นละครให้สมจริง คุณก็ควรจะตอบว่า ไอ เลิฟ ยู ทู”

                “ไอ เลิฟ ยู ทู” ศราวณะทำตามที่เขาบอกราวกับคนอยู่ใต้อำนาจแห่งมนตรา

เธอสูดหายใจเข้าลึก ย้ำกับตัวเองอีกครั้งว่ากำลังเล่นบทเจ้าสาวที่รักเจ้าบ่าวอย่างสุดหัวใจ ยามปากนุ่มละมุนของเขาแนบลงมาเคล้าคลึงกับริมฝีปากของเธอ จูบแบบฮอลลีวูดของพอลไม่มีการสอดลิ้นเข้ามาในโพรงปาก ทว่ากลับให้ความรู้สึกพิเศษสุดราวกับถูกจูบอยู่บนพรมแดง กว่าจูบยาวนานจะสิ้นสุด เธอก็เข่าอ่อน ตัวร้อนผ่าวเหมือนคนกำลังมีไข้สูง

“คุณโอเคนะคัปเค้ก” เห็นตาปรือปรอยด้วยเพลิงเสน่หา คนถามก็ร่ำร่ำจะก้มลงไปจูบซ้ำ

“ฉัน…อ่าฉันคิดว่านะคะ” หญิงสาวตอบกลับแบบเบลอๆ

ชายหนุ่มยิ้มเอ็นดู หยิบผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าพาสเทลจากกระเป๋ามาเช็ดมุมปากที่เปื้อนลิปสติกของเจ้าสาว ตามด้วยการเช็ดทำความสะอาดปากของตัวเอง แล้วพับเก็บเข้าที่อย่างบรรจง

                “ถามจริง จะถ่ายเก็บไว้แบล็กเมล์เจ้านายเหรอ” เชสเย้าซามูเอลซึ่งกำลังบันทึกภาพแห่งความสนิทสนมระหว่างเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวด้วยโทรศัพท์มือถือ

                “ไคลน์กับไปป์สั่งให้ผมส่งรูปให้ดู” มุมปากของคนพูดยิ้มเล็กน้อยตามแบบฉบับ

                “เรามาพนันกันไหมว่าอีกสองปีครึ่ง สองคนนั่นจะหย่ากันหรือเปล่า” ทนายความฝีปากจัดแห่งนิวยอร์กซิตีชวนอย่างนึกสนุก ขณะมองคู่บ่าวสาวจูงมือกันมายืนอยู่ด้านหน้าของมินิสตรี

                “นานเกินไปนะ ผมว่าพนันเรื่องอื่นน่าสนกว่า”

                “เรื่องไหน” เชสลดน้ำเสียงลงเมื่อมินิสตรีเริ่มกล่าวอารัมภบทเรื่องชีวิตแต่งงานกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว

                “เรื่อง…” บอดีการ์ดหน้านิ่งหันมากระซิบพอให้ได้ยินกันสองคนว่า “เมื่อไรพวกเขาจะร่วมเตียงกันฉันสามีภรรยาจริงๆ ไง”

                “เฮ้ย!” ทนายหนุ่มร้องเสียงหลงจนคนอื่นๆ หันมามอง เขายิ้มแหย ทำมือขอโทษขอโพย แล้วลดเสียงเป็นกระซิบว่า “เมื่อคืนก็ยังไม่มีอะไรในกอไผ่งั้นเหรอ”

                ซามูเอลสั่นหน้า มองร่างสูงสง่าของนักการเงินหนุ่มแล้วก็ยอมรับว่าเห็นใจอยู่มาก หลังจากที่พอลสารภาพให้ฟังอย่างหงุดหงิดว่าสาวเจ้าให้ได้แค่จูบ

“ตกลงยังอยากพนันอยู่หรือเปล่า”

                “หนึ่งเดือน” ปากตอบคู่สนทนาและตามองคู่บ่าวสาวที่กำลังเซย์ ไอ ดู อยู่หน้ามินิสตรี

                “สองเดือน” บอดีการ์ดหนุ่มเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ ทว่าแววตาฉายความมั่นใจขณะมองแผ่นหลังนวลเนียนของเจ้าสาว

                “ถ้าฉันชนะ นายต้องช่วยฉันจีบเปปเปอร์นะ”

                “คุณชอบผู้หญิงหงิมๆ แบบเป๊ปเหรอ ผมว่าคุณน่าจะเหมาะกับผู้หญิงเผ็ดๆ อย่างไปเปอร์มากกว่านะ” ซามูเอลเอ่ยกลั้วหัวเราะ

                “ใจจริงฉันก็อยากรวบทั้งพี่ทั้งน้องนั่นแหละ แต่ไปเปอร์ฉลาดเกินไป ผู้หญิงฉลาดเหมาะที่จะร่วมงาน แต่ไม่เหมาะที่จะลากขึ้นเตียงหรอก” 

                “โอเค ช่วยก็ได้ แต่ไม่รับรองผลนะ”

                “แล้วนายล่ะ อยากได้อะไร ถ้าชนะพนัน” ทนายปากจัดกระแทกกำปั้นกับต้นแขนล่ำๆ ของอีกฝ่าย

                “เบียร์ดีๆ สักลังก็พอ” มือหนาหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาอัดวิดีโอโมเมนต์สำคัญของคู่บ่าวสาวทันที นั่นทำให้เชสหยุดการสนทนา หันเหความสนใจทั้งหมดไปยังคู่เอกของงาน

                “ผม นายพอล แพททริก ไวส์แมน ขอสัญญาว่าจะรัก ซื่อสัตย์ ให้เกียรติ เทิดทูนคุณคนเดียวไปจนกว่าพระเจ้าจะพรากลมหายใจไปจากผม นับจากนี้ ตาของผมจะมองแค่คุณ ใจของผมจะมีแค่คุณ จิตวิญญาณและทุกๆ อย่างที่หลอมรวมเป็นผม…เป็นของคุณ” พอลเอ่ยเสียงนุ่มนวลทว่าไม่ดังนัก แต่ในความรู้สึกของผู้ฟังทุกคน ทุกคำที่พรั่งพรูจากริมฝีปากบางเฉียบของเขาแฝงความจริงจังและมั่นใจอยู่ทุกอณู

                ศราวณะมองแหวนที่ถูกสวมบนนิ้วนางข้างซ้ายอย่างตื่นตะลึง แหวนวงแรกซึ่งเป็นแหวนหมั้น ตัวเรือนทำจากแพลทินัมล้อมด้วยเพชรไร้สีเม็ดเล็กๆ ขับหัวแหวนซึ่งเป็นเพชรสีฟ้าแบบพรินเซสคัต โดดเด่นราวกับพระจันทร์กลางหมู่ดาว แหวนอีกวงที่เขาสวมตามมาติดๆ คือแหวนแต่งงานที่ล้อมรอบด้วยเพชรไร้สี สวยและเข้ากับดีไซน์ของแหวนหมั้น บ่งบอกให้รู้ว่าแหวนทั้งสองวงถูกออกแบบมาพร้อมกัน

หญิงสาวเผลอพ่นลมหายใจแห่งความโล่งอกผ่านริมฝีปาก เมื่อพอลหยิบแหวนอีกวงจากกระเป๋ามาวางลงบนฝ่ามือ ขนาดใหญ่กว่าแหวนของเธอเกือบเท่าตัว บอกให้รู้ว่านั่นคือแหวนแต่งงานที่เธอต้องสวมให้เขา

“อ่า…ดิฉัน นางสาวศราวณะ แผลงฤทธิ์ ขอสัญญาว่าจะ เอ่อรักและซื่อสัตย์ต่อคุณตลอดไปเช่นกันค่ะ” แย่ชะมัดที่เธอไม่ได้เตี๊ยมบทพูดช่วงนี้มา เลยพูดแบบติดๆ ขัดๆ ต้องโทษเขานั่นละที่ไม่ยอมเขียนสคริปต์ให้

เธอยื่นไปรับมือซ้ายของเจ้าบ่าว บรรจงสวมแหวนแต่งงานดีไซน์คล้ายแหวนของเธอ แต่ดูแมนกว่าเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของเขา

                “ในนามของพระผู้เป็นเจ้า คุณสองคนคือสามีภรรยากันนับจากวันนี้ จูบภรรยาของคุณได้แล้วค่ะ” มินิสตรีหญิงผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้าแช่มชื่น

พอลสบตาคู่งามของภรรยาป้ายแดงด้วยประกายตาลึกซึ้ง สีหน้าบ่งบอกว่าภาคภูมิใจและมีความสุขอย่างที่เจ้าบ่าวทุกคนควรจะเป็น เขาก้าวเข้ามาหาเธออีกก้าว สองมือตรงเข้าประคองดวงหน้ารูปไข่

“ผมรักคุณ” เขากระซิบคำรักก่อนฝังริมฝีปากลงมาจูบคนฟังอย่างดูดดื่ม ท่ามกลางความยินยอมพร้อมใจของภรรยาป้ายแดง และเสียงปรบมือที่มาพร้อมกับเสียงเป่าปากแซ็วของเชส

 

“ทำอะไรอยู่” พอลมองมือน้อยที่วุ่นวายกับการเก็บหินขนาดตั้งแต่เล็กเท่ากำปั้นจนถึงเท่าชามใส่ซุปที่เจ้าสาวของเขาเดินเก็บมากองรวมกันไว้ที่ลานหน้าผาเหนือแคนยอน

หลังจากแต่งงานและแลกแหวนกันเสร็จ เขากับศราวณะก็ถ่ายรูปอีกนับร้อยรูป จากนั้นถูกเชิญให้ไปจิบแชมเปญและตัดเค้กแต่งงาน ซึ่งเป็นเค้กผลไม้ขนาดสองปอนด์ ซึ่งตอนนี้บอดีการ์ดกับทนายความกำลังโซ้ยเค้กกันอย่างเอร็ดอร่อย

                “อ๋อ สัญลักษณ์ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยมาที่นี่ค่ะ เวลาไปเที่ยวที่ไหน ฉันมักจะทำแบบนี้ตลอด” หญิงสาวเอ่ยพลางหยิบหินมาวางทีละก้อนด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจ

                “สตาร์ เหมือนกับชื่อเล่นของคุณ” ตาสีฟ้าทอประกายเจิดจ้ารับแสงอาทิตย์ยามบ่าย เมื่อหินที่ถูกเธอจัดวางเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เขาทรุดลงนั่งยองๆ และหยิบหินที่เหลือในกองมาส่งให้คนเรียง

                “ใช่ค่ะ พ่อเป็นคนสอนให้ฉันทำ” ความรักฉายชัดในดวงตาคู่งาม

                “คุณโชคดีมากที่เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่น” พอลมองหินหลายสิบก้อนที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของดาวดวงโต นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าหินมีความหมายและมีคุณค่ามากกว่าสิ่งที่มันเป็น

                “แล้วครอบครัวของคุณไม่อบอุ่นเหรอคะ คุณยังไม่เคยเล่าถึงครอบครัวให้ฉันฟังเลย” คนถามเอียงคอมองอย่างน่ารัก แต่ก่อนที่พอลจะเริ่มเล่า กัปตันก็ป่าวประกาศว่าได้เวลาเดินทางกลับ

                “เอ่อฉันไม่ได้เอามือถือมาเลย ให้ใครสักคนถ่ายรูปนี้ให้หน่อยได้ไหมคะ” นิ้วเรียวชี้ไปยังหินที่ประดิดประดอยเป็นรูปดาว

                “ใช้มือถือของผมก็ได้” เขาหยิบโทรศัพท์สีทองออกมาถ่ายให้ จากนั้นก็ขอถ่ายรูปคู่กับเธอและกองหินไว้เป็นที่ระลึก ก่อนจะจูงมือกันกลับไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น