4

จุดแปรผัน


ผ่านพ้นมาเกือบครบสัปดาห์ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็ยังไม่มีกำหนดให้พี่เลี้ยงคนใหม่เริ่มงาน ทั้งที่อีกฝ่ายมาถึงไร่ทางเหนือเมื่อสามสี่วันก่อนแล้ว เขายังสนุกกับการแกล้งธมนต์และยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่ยามที่หญิงสาวคอยถามหาพี่เลี้ยงคนใหม่ หวังให้ตัวเองพ้นจากตำแหน่งนี้และกลับมาทำงานในตำแหน่งเดิม

                “สวัสดีค่ะ ร้านทางเหนือชอปยินดีต้อนรับค่ะ คุณลูกค้าสนใจสินค้าตัวไหนสอบถามได้เลยนะคะ ส่วนวันนี้ร้านของเรามีไวน์ตัวใหม่จากไร่ทางเหนือ และองุ่นสีม่วงลูกใหญ่มาลงสดๆ ใหม่ๆ เลยค่ะ ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าสนใจรึเปล่าคะ” พนักงานประจำร้านกล่าวขึ้นราวกับท่องจำ แต่กลับเป็นพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ต่างหากคือบุคคลที่เดินเข้ามาภายในร้าน

                “เอาองุ่นมาให้ฉันสองกล่อง” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับเดินตรวจดูความเรียบร้อยของร้านเป็นการฆ่าเวลา

                “องุ่นได้แล้วค่ะ คุณลูกค้าไม่สนใจไวน์ตัวใหม่หรือคะ”

                “ไม่ครับ เท่าไหร่” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนจะถามราคาสินค้าทั้งที่รู้ราคาของมันดีอยู่แล้ว

                ถึงเขาจะเป็นเจ้าของที่นี่ แต่การทำงานต้องเป็นระบบ หากจะใช้เส้นสายเจ้าของไร่ไม่จ่ายเงินค่าสินค้า พนักงานอาจจะทำบัญชีลำบากและพลอยทำให้รั่วไปทั้งระบบ

                ชายหนุ่มหยิบเงินจ่ายพนักงานตามจำนวนที่แจ้งมา ก่อนจะมองป้ายชื่ออีกฝ่ายพลางจดจำเอาไว้

                เบญญา คำปิ่นทอง

                “อ้าว! แกอยู่นี่พอดีเลย เรื่องที่ให้ฉันไปสืบได้แล้วนะ” เสียงเข้มของธนานพทักเจ้าของไร่อย่างผิดแผกจากชาวบ้านชาวช่อง กลับมาจากกรุงเทพฯ ทั้งที แต่ดันยกเอาเรื่องที่เพื่อนไหว้วานให้ตัวเองช่วยมาแทนคำพูดถามไถ่สุขภาพ

                “ไปคุยกันที่สำนักงาน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินออกจากร้าน ตรงไปยังรถยนต์ส่วนตัวสีดำมันปลาบที่จอดอยู่ในส่วนของที่จอดรถ โดยมีรถของเพื่อนสนิทจอดอยู่ไม่ไกลกันนัก

                “สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง ทำไมวันนี้เข้ามาที่ร้านได้คะ” เบญญาทักทายธนานพ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินตามเพื่อนสนิทออกไปเสียก่อน

                ธนานพหันกลับมาตามเสียงเรียก ยกมือรับไหว้อีกฝ่ายอย่างงงๆ “คือว่าผมไม่ใช่พะ...”

                “พ่อเลี้ยงจะรับอะไรไปฝากคุณหนูนาราดีคะ เมื่อวานก่อนเห็นพี่ที่ร้านขนมหวานบอกมาว่าพ่อเลี้ยงซื้อเค้กใบเตยไปฝากคุณหนูนารา วันนี้จะรับเป็นองุ่นหรือคะ” เบญญายังคงไม่สนใจเสียงคัดค้านของธนานพที่กำลังจะอธิบายถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา

                “พ่อเลี้ยงจะเอาองุ่นใช่ไหมคะ เดี๋ยวหม่อนไปเอามาให้นะคะ รอสักครู่ค่ะ” เบญญาพูดรวบรัด แต่ก่อนที่จะได้เดินไปหยิบองุ่น แขนเล็กก็ถูกมือหนาจับเอาไว้เสียก่อน

                “ไม่ต้อง ผมไม่ใช่พ่อเลี้ยงจิณครับ ผมชื่อธนานพ” ธนานพบอกก่อนจะเดินออกจากร้านไปยังเรือนสำนักงานตามคำสั่งของเพื่อนสนิทที่ป่านนี้คงไปถึงเรือนสำนักงานเรียบร้อยแล้ว

                ดวงตาโตที่เขียนอายไลเนอร์สีดำของเบญญาจ้องมองไปตามร่างสูงของธนานพ ก่อนจะยิ้มมุมปากเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ตัวเองคิดเอาไว้

                “หม่อน หม่อน เป็นอะไรไป” ธมนต์ที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านเรียกเบญญาที่ยืนเหม่อมองออกไปด้านนอกร้าน แต่พอลองมองตามกลับไม่พบอะไร

                “อะ...อ้าว พี่มิ้นต์มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”

                “เพิ่งมาจ้ะ แล้วเป็นอะไรรึเปล่า” ธมนต์ยังคงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง

                “ไม่ค่ะ แล้วทำไมวันนี้พี่มิ้นต์มาที่ร้านได้คะ ไม่ต้องดูแลนะ...คุณหนูนาราเหรอคะ” เบญญาเกือบจะหลุดเรียกหลานสาวของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ด้วยคำว่าน้องนารา คำที่พ่อเลี้ยงสั่งห้ามไม่ให้คนงานในไร่เรียกหลานของตัว

                “พอดีพี่มีธุระเลยขอลาครึ่งวันน่ะ เลยแอบแวะมาหาเราก่อน กะว่าจะมาถามว่าอยากได้อะไรไหม พี่จะเข้าไปในตัวเมือง” ธมนต์ยิ้มให้น้องสาวคนสนิทที่เธอคิดว่าคงพึ่งพาได้ตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในไร่ทางเหนือ

                ได้เวลาเปลี่ยนกะของเบญญาพอดี สองสาวจึงเดินไปนั่งพูดคุยกันที่ด้านหลังร้าน มีเวลาพูดคุยกันพอสมควร ซึ่งธมนต์เองก็รู้สึกถึงแววตาที่เปลี่ยนไปของเบญญา มันไม่ได้สุกใสดั่งครั้งแรกที่เจอกัน แต่กลับซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ ไม่สามารถอธิบายได้

               

                ธมนต์เดินออกมาจนถึงปากทางไร่ทางเหนือเพื่อมาขึ้นรถของทางไร่ที่จัดเอาไว้รับส่งคนงานในเมืองหรือต่างอำเภอบางกลุ่มเข้าไปในตัวเมือง เส้นทางออกจากไร่ทางเหนือยังเป็นทางลูกรัง รถของทางไร่จะรับส่งคนงานในช่วงเช้าและเย็น แต่โชคดีที่วันนี้มีเหตุฉุกเฉินบางประการทำให้รถต้องเข้าไปในตัวเมืองตอนช่วงเที่ยงของวัน

                ถนนดินแดงแปรเปลี่ยนเป็นถนนคอนกรีตตามระยะทางที่เข้าใกล้ตัวเมืองขึ้นเรื่อยๆ ไร่ทางเหนือตั้งอยู่ในอำเภอแม่จัน ซึ่งสถานที่ที่เธอจะไปคือตัวเมืองแม่จัน ธมนต์นัดน้องชายเอาไว้ที่นั่น เพราะเธอวานให้น้องนำเอกสารและเงินจำนวนหนึ่งมาให้

                เธอสั่งให้น้องชายนั่งเล่นฆ่าเวลาในร้านกาแฟที่เธอเคยมาเมื่อตอนมาที่แม่จันครั้งแรก ก่อนจะได้ยินคนท้องถิ่นพูดถึงไร่ทางเหนือ

                “เจ้ามิน!” ธมนต์เรียกน้องชายเสียงดังหลังจากเดินเข้ามาในร้าน

                ธมนธรรมนั่งดื่มโกโก้ปั่นอย่างอารมณ์ดี หันมามองพี่สาวเล็กน้อยก่อนจะกลับไปสนใจแก้วโกโก้ปั่นดังเดิม

                “เมิน เมิน แกกล้าเมินพี่สาวแสนสวยอย่างฉันเลยเหรอฮะ!” ธมนต์ต่อว่าน้องชายไม่จริงจังนักแล้วนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะ สั่งเครื่องดื่มกับพนักงานของร้านก่อนจะหันมาสนใจน้องชาย

                “ใครสั่งใครสอนให้พี่หนีมาไกลแบบนี้วะ! เสียเวลานั่งเครื่องแล้วต้องต่อรถมาอีกตั้งนาน ไหนจะต้องตามหาร้านกาแฟร้านนี้อีก” ธมนธรรมต่อว่าพี่สาวไม่จริงจังนักพร้อมกับทำหน้าเบื่อหน่าย

                เขานั่งเครื่องจากกรุงเทพฯ มาเชียงรายโดยใช้เวลาแค่แป๊บเดียวเท่านั้น แต่ที่มันนานเพราะเดินตามหาร้านกาแฟร้านนี้อยู่ต่างหาก ถ้าไม่ติดว่าคนที่นัดเขาออกมาคือพี่สาวที่เขารักมาก เขาคงกลับไปตั้งแต่ยังไม่ทันหาร้านเจอด้วยซ้ำ

                “พูดมาก ไหนเอกสารของฉัน แล้วนี่พ่อกับแม่รู้รึเปล่าว่าแกมาเชียงราย” ธมนต์เปิดเอกสารที่น้องชายยื่นให้ ก่อนจะตรวจสอบความเรียบร้อย

                “ผมโกหกไปว่าจะไปทำรายงานบ้านดนัยสองสามวัน”

                “ดีแล้ว ฉันยังไม่อยากให้พ่อรู้เรื่องนี้ ขี้เกียจฟังเสียงบ่น ยังไม่อยากเจอใครด้วย” ธมนต์รับแก้วเครื่องดื่มจากพนักงาน เธอยังไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับใครทั้งนั้นในตอนนี้

                “พี่พุฒิมาหาพี่ที่บ้านด้วย ตอนที่รู้ว่าพี่ยังไม่กลับมาอะ หน้าเขาผิดหวังจนผมยังรู้สึกได้เลยนะพี่ เหมือนพี่พุฒิเขาอยากเจอพี่ แต่พอรู้ว่าพี่กลับมาไม่ได้ เขาเลยเสียใจอะไรแบบนี้อะ ตกลงมีเรื่องอะไรกันวะ ทำไมพี่ถึงไม่อยากเจอพี่พุฒิเขา คู่หมั้นกันแท้ๆ จะแต่งกันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ธมนธรรมถามพี่สาวอย่างอยากรู้อยากเห็น พร้อมส่งสายตาคาดคั้น

“ฉันจะไม่มีวันแต่งงานกับเขา เขาน่ะเหรอรักฉัน คิดถึงฉัน หึ! ถ้าเขารักฉันจริงเขาจะแอบมีผู้หญิงคนอื่นทำไม แล้วแกรู้ไหมว่าหนึ่งในผู้หญิงพวกนั้นคือใคร” ธมนต์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโห เธอไม่คิดจะปิดเรื่องนี้กับน้องเลยสักนิด เพราะต่างก็เชื่อใจกันและกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว

                “พี่พุฒิเนี่ยนะมีผู้หญิงคนอื่น บ้าแล้ว พี่พุฒิรักพี่จะตายจะทำแบบนั้นได้ยังไง” ธมนธรรมตกใจไม่น้อยไปกว่าพี่สาว

                “ไม่บ้า เรื่องจริง ฉันเห็นเองกับสองตา จูบกอดกันกลางร้านอาหาร”

                “จริงๆ เหรอ ผู้หญิงคนนั้นคือใคร ผมพอจะรู้จักบ้างไหม” ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะพี่สาวเขาไม่เคยโกหก และเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องโกหก

                “รู้สิ หนึ่งในนั้นก็คือยัยปิ่นมนัส!” ธมนต์ตอบอย่างนึกโกรธแค้นคู่หมั้นและพี่สาวคนสนิทซึ่งเธอเคยไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่เคยต้องแอบคิดมากยามที่ทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกัน

                “พะ...พี่ปิ่น เฮ้ย! จริงดิ” ธมนธรรมตกใจรอบสอง เพราะปิ่นมนัสคือพี่สาวที่เขาสนิทสนมพอสมควร มักไปมาหาสู่บ้านของเขาบ่อยครั้ง เพราะหญิงสาวเป็นรุ่นพี่ของธมนต์ และเป็นเพื่อนสนิทของพุฒินาทด้วย

                “จริงสิ ยิ่งนึกฉันก็ยิ่งโกรธจนไม่รู้จะทำยังไงดี” ธมนต์ยืนยันเสียงแข็ง ดวงตาหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด

                “ให้ผมพาพวกเพื่อนๆ ไปดักตีมันเลยไหมพี่ แม่ง! เจ็บใจว่ะ อุตส่าห์ไว้ใจมาตลอด ดันมาทำแบบนี้กับพี่ได้ไงวะ” ธมนธรรมเจ็บใจไม่ต่างจากพี่สาว เพราะเขาไว้ใจและเชื่อมั่นในตัวพุฒินาทกับปิ่นมนัสไม่ต่างจากพี่สาวเท่าไรนัก พอมาถึงตอนนี้เรียกว่ารู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้ว

                “หยุดพูดถึงชายชั่วหญิงเลวได้แล้วก่อนที่ฉันจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้!” ธมนต์พูดตัดบท ก่อนจะถามไถ่ถึงครอบครัวของเธออย่างห่วงใย แต่เธอยังไม่พร้อมที่จะกลับบ้าน เพราะรู้ดีว่าหากกลับไปงานแต่งของเธอกับพุฒินาทคงเกิดขึ้นทันที

                “พี่จะปิดพ่อกับแม่อีกนานไหมเนี่ย ถ้าพ่อมารู้ทีหลังเอาพี่ตายแน่” ธมนธรรมอดเป็นห่วงพี่สาวไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าพ่อเป็นคนเช่นไร

                “ขอเวลาฉันไม่นานหรอกน่า จะกลับไปบ้านตามกำหนดเดิมที่เคยบอกไว้นั่นแหละ” ธมนต์ตอบน้องชายก่อนจะนึกไปถึงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เธอต้องเข้มแข็งที่จะต่อสู้เพื่อตัวเอง เธอจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มีงานแต่งงานระหว่างเธอกับพุฒินาทเกิดขึ้นเด็ดขาด

                “พี่ก็กลับบ้านสิแล้วบอกพ่อกับแม่ไปเลยว่าไอ้พุฒิมันนอกใจพี่” หมดแล้วซึ่งความนับถือ ธมนธรรมเอ่ยถึงคู่หมั้นพี่สาวอย่างไม่มีความนับหน้าถือตาอีกแล้ว

                “แกคิดว่าพ่อจะเชื่อไหม ไม่มีทาง แกก็รู้นิสัยพ่อ” ธมนต์ตอบกลับ เธอก็เคยคิดแบบน้องชาย แต่พอคิดดูดีๆ แล้วพ่อไม่มีทางเชื่อเรื่องนี้แน่นอนถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง

                คนอย่างนายเอกภพ ประภารัตน์ ไม่มีทางเชื่อหรอก ถึงแม้คนพูดจะเป็นลูกสาวในไส้ก็ตาม

 

                เรือนสำนักงาน

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์นั่งอ่านข้อมูลในกระดาษสองสามแผ่นที่ถูกเย็บติดกันด้วยใบหน้านิ่งเฉย ก่อนจะกัดฟันจนกรามขึ้นสันนูนเมื่อมองภาพถ่ายแผ่นเล็กที่วางเกลื่อนโต๊ะทำงาน

                ธนานพดันตัวตรงขึ้นทันที โดยไม่คิดจะถามไถ่อาการของเพื่อนแต่อย่างใด เพราะความจริงที่พวกเขาเพิ่งจะรับรู้ผ่านเอกสารทางราชการตรงหน้าทำเอาทั้งคู่ต่างก็นึกเจ็บใจที่ไม่เอะใจอะไรสักนิด

                “แกจะทำยังไงต่อไปวะ” ธนานพถามเพื่อนก่อนจะถอนหายใจยาว เขาเสียดายหญิงสาวคนนี้ อุตส่าห์ชอบแต่แรกเห็นแต่ก็ต้องปล่อยไป เพราะหญิงสาวดันเข้ามาอยู่ในเกมการแก้แค้นของเพื่อนสนิท

                “ทำให้มันเจ็บสิ เหยื่ออุตส่าห์มาหาถึงที่ ปล่อยไปก็โง่เต็มที” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบด้วยรอยยิ้มร้าย พลางนึกไปถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังจะลงมือทำในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เขาต้องเอาคืนคนพวกนี้ พวกมันทำเขาเจ็บปวด เขาจะทำให้มันเจ็บยิ่งกว่า!

                “จะทำอะไรแกควรคิดให้ดีก่อนจะลงมือทำนะ เพราะแกจะกลับไปแก้ไขมันไม่ได้อีก” ธนานพเตือนเพื่อนสนิทอย่างใจเย็น เขาเองก็ไม่คิดจะห้ามเพื่อน เพราะรู้ดีว่าเพื่อนของเขาเสียใจและรอนานแค่ไหนกว่าจะสืบเรื่องนี้ได้

                “ฉันจะเอาคืนมันให้ได้! งานนี้หัวใจไม่เกี่ยว ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นเพียงแค่หมากให้ฉันได้แก้แค้น” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์บอกด้วยน้ำเสียงจริงจังและแววตามุ่งมั่น เขาจะไม่เอาหัวใจของตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องเด็ดขาด แม้จะรู้ตัวว่าวันหนึ่งเขาอาจจะเผลอใจให้หญิงสาว แต่เขาก็ต้องแก้แค้นให้สำเร็จ!

                “อย่าปล่อยให้ความเจ็บปวดในอดีตบังตาจนมองข้ามสิ่งสำคัญกว่าไป ฉันคงเตือนแกได้แค่นี้จริงๆ”

                “อดีตสำหรับฉันมันไม่เคยจบและหายไปพร้อมกับคนที่ตายไปแล้ว มันเป็นบาดแผลขนาดใหญ่ของฉัน ทำให้ฉันเจ็บปวดจนถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นฉันต้องสร้างรอยบาดแผลแบบเดียวกันให้แก่มัน” แววตาแข็งกร้าวขึ้นทันทีเมื่อนึกไปถึงสิ่งที่ตัวเองจะลงมือทำในอีกไม่ช้า

 

                ห้าเดือนก่อน

                งานแต่งงานสุดยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาในจังหวัดเชียงรายถูกจัดขึ้นที่ไร่ทางเหนือ แขกเหรื่อต่างก็มีหน้ามีตาในสังคม เพราะฝั่งเจ้าบ่าวเป็นถึงเจ้าของไร่ทางเหนือ ซึ่งมีพื้นที่มากสุดในเชียงราย และสร้างรายได้มหาศาลให้แก่เจ้าของไร่ แถมยังดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้เดินทางเข้ามาในจังหวัด ทำให้จังหวัดเชียงรายมีรายได้จากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมาอีกมา

                ส่วนฝ่ายเจ้าสาวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นถึงลูกสาวผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งทั้งคู่ต่างก็เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก แถมยังเกื้อหนุนกันและกันอีกด้วย มันไม่ใช่งานแต่งเพื่อธุรกิจหรือเงิน แต่มันคืองานแต่งที่เกิดจากความรักของคนทั้งสอง

                ทั้งคู่เริ่มจากเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นอนุบาล พัฒนาความสัมพันธ์กันมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวในงานคืนนี้

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พยายามข่มอาการตื่นเต้นของตัวเองเอาไว้ เขาดูลุกลี้ลุกลนราวกับมีไฟลนก้น แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าบ่าวก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าตลอดเวลาจนรัศมีต้องกอดลูกชายคนเล็กเอาไว้แน่นเพื่อให้กำลังใจ ทั้งที่ลูกชายอายุอานามก็ปาเข้าไปยี่สิบแปดปีแล้วและกำลังจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

                รัศมีสุขใจที่ลูกชายมีความสุขและกำลังจะสร้างครอบครัวของตัวเองที่พร้อมจะดูแลกันและกัน ไม่ต่างจากสามีทางพฤตินัยของเธอ ที่ถึงแม้เธอกับสามีจะหย่าร้างกันไปเพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองครอบครัว ซึ่งพ่อแม่ของเธอและพ่อแม่ของสามีไม่ลงรอยกัน ถึงทั้งคู่จะดันทุรังแต่งงานกัน แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องเลือกที่จะทำหน้าที่ของลูกที่ดีมากกว่าหน้าที่ของสามีและภรรยา แต่ความรักและความห่วงใยยังคงส่งผ่านถึงกันและกันอยู่ตลอดเวลา บางครั้งรัศมีและจักรินทร์ก็นัดพบเจอกันให้หายคิดถึง มีบ้านหลังเล็กๆ ที่กรุงเทพฯ เพื่อมาใช้เวลายามว่างอยู่ด้วยกัน

                ‘แม่รู้ว่าลูกจะทำให้หนูตามีความสุขได้ และแม่รู้ว่าหนูตาเองก็จะทำให้ลูกมีความสุขได้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด ลูกต้องคอยพยุงความสัมพันธ์ของลูกกับหนูตาเอาไว้ให้ดี หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน อย่าใช้อารมณ์จนทำให้คนที่รักเสียใจ ชีวิตคู่มันจะได้ยืนยาว อย่าให้มันเป็นเหมือนพี่ชายของลูกที่ประคองชีวิตคู่เอาไว้ไม่ได้จนสุดท้ายก็เลิกรากันไป’

                รัศมี อดีตเจ้าของฟาร์มไข่มุกขนาดใหญ่ที่พังงาตักเตือนสติลูกชายคนเล็กอย่างกังวลถึงอนาคตชีวิตคู่ของลูกชาย

                ‘ผมรู้ครับแม่ ผมจะทำมันให้ดีที่สุด จะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างพี่รัณหรืออย่างพ่อกับแม่แน่นอนครับ’ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบมารดาด้วยรอยยิ้ม ตั้งปณิธานเอาไว้มั่นว่าจะไม่ทำให้สุพัตตาเสียใจที่เลือกใช้ชีวิตคู่กับเขา เขาจะสร้างครอบครัวให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้

                ‘ประคองมันไปให้สุดทาง ถ้าประคองไม่ไหวก็หยุดพักชั่วครู่ก่อนจะเริ่มกันใหม่ เข้าใจที่แม่บอกใช่ไหม’ รัศมีอดห่วงลูกชายคนเล็กไม่ได้ เพราะเคยพลาดมาแล้วกับลูกชายคนโต แถมยังทิ้งเรื่องให้เธอตามเช็ดตามเก็บจนถึงปัจจุบัน

                รัศมีกลัวว่าลูกชายคนเล็กจะเดินตามรอยพี่ชาย  เพราะลูกชายคนโตนั้นเธอเป็นคนเลือกคู่ชีวิตและวางเส้นทางเดินให้ โดยไม่สนใจว่าหนุ่มสาวทั้งสองนั้นจะชอบพอกันหรือไม่ เธอยื่นข้อเสนอในสิ่งที่ลูกชายต้องการเพื่อแลกกับการจดทะเบียนสมรส จนสุดท้ายชีวิตคู่ของลูกชายนั้นก็ไปไม่รอด สร้างความเสียใจให้แก่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเธอเองที่เสียใจจนถึงทุกวันนี้

                ในขณะที่เจ้าบ่าวของงานตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ ต่างจากเจ้าสาวที่เดินกระวนกระวายอยู่ในห้องเก็บตัว เล็บสีชมพูอ่อนถูกเจ้าของยกขึ้นมากัดจนแทบจะฉีก มันเป็นการระบายอย่างหนึ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้

                ‘พุฒิคะ’ สุพัตตารีบรับสายบุคคลที่เธอกำลังรอคอยอยู่อย่างวิตกกังวล ‘คุณจะให้ตาไปหาที่ไหนคะ โรงแรมที่ตัวเมืองที่เราเคยไปใช่ไหมคะ พุฒิรอตาแป๊บนึงนะคะ ไม่นานหรอกค่ะ’

                สุพัตตาพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนคิดหาทางหนีออกจากงานแต่ง เธอไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะเปลี่ยนใจหรือปันใจไปให้ชายอื่น เธอคิดว่าตัวเองยึดมั่นและยกใจให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์มาตลอด แต่แล้วพอได้มาเจอกับพุฒินาททุกอย่างก็เปลี่ยนไป ชายหนุ่มเอาใจเก่งแถมยังให้ในสิ่งที่เธอไม่เคยได้จากพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ นานวันเข้าหัวใจของเธอก็ไม่ได้อยู่ที่พ่อเลี้ยงอีกต่อไป แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะสายไป เพราะเธอกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า สิ่งที่คิดได้ตอนนี้คือ

                เธอต้องหนีการแต่งงาน!

                สุพัตตาทำอย่างที่คิดเอาไว้โดยความช่วยเหลือจากพุฒินาท เธอหนีออกจากงานแต่งได้สำเร็จก่อนที่งานจะเริ่มเพียงแค่ไม่กี่นาที

                รอยยิ้มยินดีของเจ้าบ่าวจางหายไป ขบฟันแน่นจนกรามขึ้นสันนูน กำมือหนาจนเส้นเลือดปูดโปน จนคนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องลูบหลังปลอบลูกชายอย่างเห็นใจ แขกเหรื่อในงานต่างก็ไม่กล้าถามไถ่ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะเกรงบารมีของทั้งสองครอบครัวนี้ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตของจังหวัด

                ‘ดีแล้วละ อย่างน้อยแกก็ยังไม่หลวมตัวไปจดทะเบียนสมรสจนกลายเป็นห่วงผูกคอแบบฉัน ดีแล้วที่มันเป็นแบบนี้อย่างน้อยแกก็ไม่ต้องเสียใจในวันข้างหน้า ไม่ต้องมีพันธะต่อกัน ให้มันจบลงตรงนี้แหละ’ นายหัวภรัณยูบอกน้องชายอย่างคนผ่านโลกมาเยอะทั้งที่เขาและน้องชายห่างกันเพียงแค่ปีเดียว

                รัศมีให้กำเนิดลูกชายทั้งสองคนหัวปีและท้ายปี ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันจนกระทั่งภรัณยูอายุได้สิบขวบ ส่วนพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เองก็เพิ่งจะเก้าขวบ พี่น้องทั้งสองก็ต้องแยกจากกัน

                เรื่องแต่งงาน หมั้นหมาย จดทะเบียนสมรส ใช้ชีวิตคู่ ภรัณยูก็ผ่านมาหมดแล้วทั้งนั้น ทั้งที่เขากับภรรยาไม่ได้รักกัน แต่ก็อยู่ด้วยกันมาเกือบสองปี

                ‘ผมเสียใจว่ะพี่รัณ ทำไมตาเขาทิ้งผมไปแบบนี้’ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เค้นคำพูดออกมาทั้งที่ยังรู้สึกเจ็บจุกตรงกลางอก

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่คิดโกรธแค้นเจ้าสาว เขาเพียงแค่ต้องการรู้ความจริงว่าทำไมหญิงสาวถึงหนีงานแต่งและทิ้งเขาไปโดยไร้ซึ่งคำบอกลา

                สามเดือนหลังจากนั้นพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็ได้รับข่าวร้ายของอดีตเจ้าสาว ทางครอบครัวของสุพัตตาส่งการ์ดเชิญงานศพมาให้ครอบครัวของเขา ชายหนุ่มนิ่งค้างไปนานเมื่อรู้ว่าอดีตเจ้าสาวของเขาเสียชีวิตไปแล้ว

                ชายหนุ่มตามสืบเรื่องราวทั้งหมดจนรู้ว่าสุพัตตานอกใจเขาแอบไปมีอะไรกับผู้ชายคนอื่นและหนีงานแต่งไปกับผู้ชายคนนั้น พอสืบไปสืบมาเขาก็รู้อีกว่าชายคนนั้นทิ้งสุพัตตาไปเมื่อได้สิ่งที่ต้องการ จนหญิงสาวเสียใจอยู่นานจนตรอมใจตาย

                มันเป็นบาดแผลขนาดใหญ่ในชีวิตของเขาและมันยังค้างคาในใจของเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะคนรักหนีตามผู้ชาย ไม่ใช่เพราะคนรักแอบมีคนอื่น แต่เพราะเขาเสียใจที่รักผู้หญิงคนนั้นจนหมดหัวใจ โดยที่เขาไม่เคยรับรู้เลยว่าหญิงสาวมีใครอีกคน

               

                “ถึงเวลาแก้แค้นแล้วนายพุฒินาท!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เอ่ยลอดไรฟัน ก่อนจะรวบเอกสารและภาพถ่ายเก็บใส่ลิ้นชักโต๊ะทำงานของตัวเอง เขาต้องวางแผนการแก้แค้นครั้งนี้เสียก่อน ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเหมือนที่เขาเคยได้รับ ว่าการที่สูญเสียสิ่งที่รักมากมันรู้สึกยังไง!

            “แล้วเรื่องคุณมิ้นต์แกจะทำยังไงต่อไป” ธนานพถามเพื่อนสนิท เขานึกห่วงหญิงสาวขึ้นมา เมื่อความจริงเรื่องเพศของเธอถูกเปิดเผยพร้อมกับเอกสารประวัติของพุฒินาท

                “บุคคลสำคัญเลยละ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยกยิ้มร้าย

                “แต่คุณมิ้นต์เธอไม่เกี่ยว” ธนานพเตือนสติเพื่อน

                “ตอนนั้นฉันก็ไม่เกี่ยว! เขาทิ้งฉันไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับไอ้พุฒินาท ฉันไม่ได้รับแม้แต่คำขอโทษ แต่ฉันไม่เคยสนใจ ฉันใช้ชีวิตหลังจากงานแต่งได้แบบปกติที่สุด แต่ตอนที่ฉันรู้ว่าเขาตาย มันบอกฉันได้ดีเลยว่าหัวใจของฉันยังเจ็บอยู่ บาดแผลยังไม่เคยหายไป และสุดท้ายก็เป็นฉันเองที่เจ็บปวดอยู่คนเดียว ทำไมฉันถึงเจ็บอยู่ล่ะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามเพื่อนสนิทอย่างใจเย็น      “เพราะแกยึดติดต่างหาก ถ้าแกลองปล่อยวางทุกอย่างจะดีขึ้น แกเจ็บปวดเพราะว่าแกไม่เกี่ยวข้อง แกรู้สึกยังไงคุณมิ้นต์เธอก็คงรู้สึกไม่ต่างจากแกนักหรอก ใจเขาใจเราเว้ย!” ธนานพได้แต่เตือนสติ เพราะถึงห้ามอย่างไรเพื่อนก็คงไม่ฟังอยู่ดี

                “วานแกบอกแพรไหมว่าฉันสั่งให้พี่เลี้ยงคนใหม่ขึ้นมาเริ่มงานได้เลย ส่วนธมนต์ส่งไปเป็นคนใช้ที่บ้านพักเชิงดอยแทนงานที่ชอป” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์วานให้เพื่อนสนิทที่ต้องอยู่จัดการเอกสารแทนตัวเองต่อ ส่วนเขาต้องออกไปทำธุระในตัวเมือง เนื่องจากจักรินทร์วานให้เขาไปพบปะผู้หลักผู้ใหญ่ของจังหวัดเพื่อกิจการไร่กาแฟและไร่ชาที่จะลงมือทำในอีกไม่ช้านี้

                “ฉันคงห้ามแกไม่ได้สินะ”

                “ปล่อยให้ฉันทำเถอะ ทำอะไรลงไปฉันก็ได้สิ่งนั้นเอง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดตามหลักธรรมชาติ เขารู้ดีอยู่แล้วว่าทำอะไรลงไปสิ่งนั้นมันจะหวนกลับมาทำร้ายตัวเขาเองเข้าสักวัน อย่างที่เขากำลังทำให้มันหวนกลับไปทำร้ายพุฒินาท แต่เพราะความแค้นบังตาเขาไม่สามารถห้ามการกระทำและการตัดสินใจครั้งนี้ของตัวเองได้เลย

                “ห้าเดือนที่ผมเจ็บปวด ผมจะทำให้คนที่คุณรักมากเจ็บปวดเจียนตายเหมือนกับผม สุพัตตา! พุฒินาท!” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์คิดเสมอว่าเขาไม่ได้อาฆาตอดีตคนรัก แต่เอาเข้าจริง เขาก็ใจไม่กว้างพอที่จะลืมเรื่องราวพวกนี้และยอมให้อภัยทุกคนได้ ที่เขานิ่งเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่างหาก แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อให้คนพวกนั้นเจ็บปวด

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น