10

หน้าที่นางบำเรอ

                 ธมนต์ตอบไม่ได้ว่าเธอหมดรักพุฒินาทตอนไหน วันที่เธอเห็นเขาโอบกอดผู้หญิงคนอื่น หรือหมดไปตามเวลาแห่งการห่างเหิน ความรู้สึกที่คิดว่ายังคงรัก อาจเป็นแค่การหลอกตัวเองเพื่อให้รู้สึกดีก็ได้ ทว่าเธอก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่า เธอหลงรักพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตั้งแต่เมื่อไร เพราะความรักเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายเสมอ

แสงสีนวลของพระจันทร์ดวงใหญ่ยามค่ำคืนเป็นจุดดึงดูดให้เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลหลงใหลได้เป็นอย่างดี ธมนต์ยืนกอดอกพิงราวระเบียง ไหล่บางห่มคลุมด้วยผ้าผืนบางลายดอกไม้ แหงนเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวที่กำลังส่องประกายแสงริบหรี่สู้กับแสงจันทร์นวลสว่าง ยิ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากเท่าไร ยิ่งทำให้มองเห็นดวงดาวชัดเจนขึ้นเท่านั้น

                เธออาศัยอยู่บ้านพักเชิงดอยมานาน แต่ไม่เคยมีโอกาสได้มายืนมองพระจันทร์และดวงดาวอย่างนี้มาก่อนเลย

                “พระจันทร์เต็มดวง สวยใช่ไหม” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นด้านข้าง ธมนต์ปรายตามองเล็กน้อย

                “สวยค่ะ สีมันนวลสว่าง” ธมนต์ตอบโดยไม่หันไปมองอีกฝ่าย ขณะเงยหน้าชื่นชมความงามของพระจันทร์สีนวลต่อ

                เมื่อความเงียบเข้าปกคลุม พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ก็เริ่มทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะชวนคนข้างกายพูดคุยเรื่องอะไรดี ธมนต์เองก็รู้สึกแย่เมื่อความคิดเรื่องนางบำเรอวนเข้ามารบกวนจิตใจอีกครั้ง ทั้งที่ตอนแรกพระจันทร์ดวงสวยตรงหน้าสามารถขับไล่มันออกไปได้แล้วแท้ๆ

                “นางบำเรอในความคิดของพ่อเลี้ยงคืออะไรคะ” ธมนต์ถามอีกฝ่ายพร้อมหันใบหน้ากลับมามองคนที่ยืนอยู่ข้างกายเธอ

                “ตามหลักพจนานุกรมแล้ว คือผู้หญิงที่ปรนเปรอชายทางกามารมณ์โดยมิได้อยู่ในฐานะภรรยา” ชายหนุ่มตอบคำถามของธมนต์พร้อมกับมองใบหน้ารูปไข่ที่สวยจนไร้ที่ติ ดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นดึงดูดให้เขาไม่สามารถละสายตาไปไหนได้ “แต่นางบำเรอในความคิดของผมคือผู้หญิงที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นภรรยาของผู้ชายคนนั้น”

                “มันต่างกันยังไงกับความหมายในพจนานุกรมคะ” ธมนต์แค่นเสียงหัวเราะ ก่อนจะบ่ายหน้าไปมองพระจันทร์ดังเดิม

                “ต่างสิ ผู้หญิงที่เป็นนางบำเรอของผมจะไม่ใช่แค่สิ่งปรนเปรอ แต่จะเป็นทุกอย่างของผม” น้ำเสียงจริงจังหนักแน่นถูกส่งออกมา

                หัวใจของธมนต์กระตุกชั่วครู่ก่อนจะเต้นแรงขึ้นจนน่าใจหาย

                เธอยังสามารถคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหม สิ่งที่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สื่อออกมาทั้งคำพูดและการกระทำเธอยังสามารถเชื่อมันได้ไหม

“แต่ก็ยกเว้นตำแหน่งภรรยา” ธมนต์เงียบไปนานพอสมควรก่อนจะพูดคำนี้ขึ้นมา

                “ใช่” ชายหนุ่มยอมรับคำพูดของหญิงสาว นางบำเรอสำหรับเขาคือทุกอย่าง ยกเว้นตำแหน่งภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย

                “ดีเหมือนกันค่ะ ฉันเองก็มีพันธะอยู่แล้ว...หนึ่งเดือนต่อจากนี้ฉันจะยอมเป็นนางบำเรอของพ่อเลี้ยง” ดวงตาสีรัตติกาลไม่ได้หันกลับมามองคนข้างกายที่ยืนเบิกตากว้างอย่างตกใจ

                “มะ...หมายความว่ายังไง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ใคร่สงสัยในคำพูดของหญิงสาวข้างกายที่เอาแต่จ้องมองพระจันทร์ตรงหน้าโดยไม่สนใจคนข้างกายอย่างเขาเลยสักนิด

                เมื่อตอนเย็นเขาพยายามยัดเยียดตำแหน่งนางบำเรอให้ธมนต์แทบตาย ใช้คำพูดสารพัดแต่หญิงสาวก็เอาแต่ปฏิเสธไม่ยอมท่าเดียว แต่พอตกดึกทำไมถึงยอมง่ายๆ แบบนี้

                “หนึ่งเดือนต่อจากนี้ พ่อเลี้ยงจะมีฉันเป็นนางบำเรอ แต่หลังจากนั้นทางใครทางมัน” ธมนต์ตอบความสงสัยของเขาทุกอย่างก่อนจะบอกข้อตกลงอีกหนึ่งข้อให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ได้รับรู้

                “ทำไมต้องหนึ่งเดือน แล้วหลังจากนั้นคุณจะไปไหน” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามขึ้นทันที ดวงตายังคงเต็มไปด้วยความสงสัย

                “ไปตามทางของฉันค่ะ” ธมนต์ตอบก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ ดวงตาสีรัตติกาลฉายภาพเงาสะท้อนของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์

                “แล้วทางของผมล่ะ”

                “คุณจะเป็นคนเลือกทางของคุณเองค่ะ คุณก็เลือกทางของตัวเองมาตั้งนานแล้วนี่คะ” น้ำเสียงธมนต์ไม่มีแววประชดประชันแต่อย่างใด

                “นั่นสินะ ผมก็เลือกของผมมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” ชายหนุ่มแค่นเสียง เขาเลือกทางของตัวเองตั้งแต่ยื่นข้อเสนอให้แก่หญิงสาวแล้ว

                “สามทุ่มยี่สิบสองนาที นับตั้งแต่วินาทีนี้ ฉันเป็นนางบำเรอของคุณค่ะ” ธมนต์ก้มมองนาฬิกาข้อมือพร้อมกับมองหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ “ขอตัวกลับไปนอนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ” หญิงสาวหันหลังเดินเข้าไปในบ้าน เพียงไม่นานน้ำใสๆ จากดวงตาสีรัตติกาลก็อาบลงบนแก้มทั้งสองข้าง

                หมดสิ้นกัน...ความรักในหัวใจของเธอ...

                พ่อเลี้ยงหนุ่มมองตามแผ่นหลังบางอย่างไม่เข้าใจ ทำไมหัวใจของเขาถึงรู้สึกหนักอึ้งราวกับว่ามีอะไรมาฉุดรั้งเอาไว้อย่างนี้ ยิ่งมองแผ่นหลังบางที่หายลับเข้าไปในบ้าน ความรู้สึกยิ่งชัดเจนขึ้น เขากำลังกลัวอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้

               

                ยิ่งคิดก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นจนดวงตาบวมช้ำ ธมนต์ไม่สามารถสลัดความคิดเหล่านั้นออกไปได้ กว่าจะข่มตาหลับได้ก็นานพอสมควร  แต่แล้วสัมผัสจากทางด้านหลังก็ทำให้หญิงสาวตกใจจนเผลอส่งเสียงร้องออกมา ก่อนมันจะถูกกลบด้วยเสียงปรามเบาๆ จากพ่อเลี้ยงจิณธนนท์

                “พ่อเลี้ยงเข้ามาในห้องฉันทำไมคะ” ธมนต์ไม่ถามถึงวิธีที่ทำให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เข้ามาในห้องของเธอได้ เพราะเขาต้องมีกุญแจสำรองทุกห้องแน่นอน เธอจึงเลือกถามถึงเหตุผลของการเข้ามาในครั้งนี้แทน

                “คุณบอกผมเองว่าคุณเป็นนางบำเรอของผม ผมเลยอยากทดลองงานคุณหน่อย” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พูดด้วยน้ำเสียงแหบซ่าน ก่อนจะกดปลายจมูกลงบนซอกคอขาว ทำเอาธมนต์ขนลุกชัน

                “ทะ...ทดลองงาน” ธมนต์ถามเสียงสั่น เธอยังไม่ได้เตรียมใจและไม่คิดว่าเขาจะเริ่มความสัมพันธ์ทันที

                “ทำไม คุณกลัวเหรอ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พยายามกลั้นเสียงหัวเราะพลางดันตัวขึ้น อาศัยแค่แสงไฟจากหัวเตียงกวาดมองไปทั่วทั้งใบหน้าที่กำลังซีดเผือด ดวงตาที่บวมช้ำ แม้กระทั่งเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนหน้าผากมนนั่นด้วย

                ‘อะไรจะกลัวขนาดนั้น’

                “ปะ...เปล่าค่ะ” ธมนต์พยายามทำเสียงแข็งเพื่อกลบเกลื่อนอาการหวาดกลัว เธอยังจำความสัมพันธ์ลึกซึ้งครั้งแรกซึ่งกลายเป็นความทรงจำเลวร้ายได้

                “ถ้าไม่กลัว ผมเริ่มเลยนะ”

โดยไม่รอคำตอบ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์พลิกตัวธมนต์ให้นอนหงายก่อนจะขึ้นคร่อมร่างบางเอาไว้ ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันอยู่นานจนใบหน้าของพ่อเลี้ยงหนุ่มเคลื่อนเข้าไปหาหญิงสาว จนกระทั่งริมฝีปากหนาสัมผัสลงบนเรียวปากบางเบาๆ

หญิงสาวลังเลใจอยู่นานพอควร ก่อนจะเผยอปากออกเล็กน้อย ยอมเปิดปากให้เขาเข้าไปชิมความหวาน

ปลายลิ้นร้อนค่อยๆ ไล่วนอยู่ที่เรียวปากบางก่อนที่จะเข้าไปสำรวจโพรงปากของหญิงสาว การเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าของชายหนุ่มทำเอาธมนต์ใจเต้นแรง รสจูบครั้งนี้ไม่ได้รุนแรงอย่างคราวนั้น มันเชื่องช้าและเต็มไปด้วยความหอมหวานจนธมนต์หลงใหลในสัมผัสจากชายหนุ่มได้ง่ายๆ หญิงสาวพยายามเรียนรู้ ลิ้นเล็กของเธอตวัดไปมาช้าๆ ตามการนำทางของอีกฝ่าย

ชายหนุ่มผละออกมาเพื่อให้ร่างบางใต้ร่างได้เก็บเกี่ยวลมหายใจ ปลายจมูกโด่งเลื่อนไปตามพวงแก้มแดงระเรื่อจนมาหยุดอยู่ที่ซอกคอขาวก่อนจะซุกไซ้ลำคอระหง

ธมนต์กัดปากแน่นเมื่อเริ่มรับรู้ถึงความต้องการบางอย่างของตัวเอง

ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน เธอเต็มใจยอมโอนอ่อนให้เขาอย่างไม่รู้สาเหตุ ทำไมเธอต้องยอมให้เขาง่ายดายเช่นนี้ ทั้งที่พูดเองว่าเธอมีศักดิ์ศรีและคุณค่า แต่ดูสิ่งที่เธอกำลังทำสิ ความรักทำให้เธอยอมกลืนคำพูดของตัวเองได้ขนาดนี้เลยหรือ

ความคิดของเธอกำลังตีกันยุ่ง แต่ชายหนุ่มตรงหน้าก็ทำให้เธอสลัดความคิดนั้นทิ้งไปได้ ธมนต์พยายามซ่อนใบหน้าแดงก่ำของตัวเองด้วยการบ่ายหน้าไปอีกทาง พยายามเก็บกักเสียงเพราะอายเกินกว่าจะส่งเสียงร้องออกมาได้

พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เลื่อนใบหน้าขึ้นมาแนบชิด สอดนิ้วมือเข้าประสานกับนิ้วมือของธมนต์

“มองผม” เสียงกระซิบดังขึ้นที่ใบหูด้านซ้าย เรียกเสียงเต้นแรงของหัวใจหญิงสาวได้เป็นอย่างดี

ธมนต์บ่ายหน้ากลับมาอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีรัตติกาลมองสบนัยน์ตาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ ก่อนที่จะรับรู้ถึงความร้อนบนพวงแก้มทั้งสองข้างที่อีกฝ่ายฝากรอยจุมพิตไว้

บทรักของทั้งคู่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าแต่หนักหน่วง ธมนต์พยายามเก็บกักความเจ็บปวดเอาไว้ยามถูกลิ้นร้อนสัมผัสไปทั่วร่างกาย

ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีตีรวนไปหมด เธอรู้สึกผิดต่อพุฒินาท เพราะตัวเธอนั้นยังอยู่ในฐานะคู่หมั้นของเขา แต่ตอนนี้เธอกลับมานอนอยู่ใต้ร่างของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ ผู้ซึ่งตีค่าของเธอเป็นเพียงแค่นางบำเรอเท่านั้น

เป็นเธอเองที่ยอมเข้าไปในเกมแก้แค้นของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอะไรทั้งนั้น เธอเป็นคนเริ่มเกมด้วยมือของเธอเอง เพราะไหนๆ เธอก็ตกเป็นของเขาแล้ว เธอจึงอยากเป็นคนเล่นเกมดีกว่ายอมเป็นหมากในเกม

การเคลื่อนไหวร่างกายของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ทำเอาธมนต์กำผ้าปูเตียงแน่น เจ็บร้าวไปหมดยิ่งกว่าครั้งแรกเสียอีก หรือเพราะว่าครั้งแรกของเธอมันเต็มไปด้วยความขมขื่น

“จะ...เจ็บ” ธมนต์ร้องออกมาเสียงสั่น

เขาหยุดการกระทำชั่วครู่ และพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของหญิงสาวไปยังจุดอื่น ดูท่าว่ามันจะได้ผล เพราะธมนต์คล้อยตามอย่างง่ายดาย ขึ้นชื่อว่าเสือผู้หญิง เรื่องแค่นี้มันจิ๊บจ้อยมากสำหรับเขา

กว่าทุกอย่างจะจบลงก็ทำเอาธมนต์หอบเหนื่อย เหนื่อยล้าเกินกว่าจะรับรู้อะไรทั้งสิ้น พ่อเลี้ยงจิณธนนท์จูบซับเม็ดเหงื่อบนหน้าผากมน ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนข้างๆ กอดรัดดึงร่างบางเข้ามาแนบอก

 

                สองวันต่อมา

ธมนต์ไม่ได้เจอพ่อเลี้ยงจิณธนนท์อีกเลยนับตั้งแต่คืนนั้น ตื่นขึ้นมาตอนสายของวัน ชายหนุ่มข้างกายก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงถุงยาคุมกำเนิดพร้อมวิธีการกินวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง...และ...สุชาติ ชายร่างเล็กหัวใจหญิงซึ่งเป็นลูกชายของป้าแม่บ้านใหญ่ที่ถูกส่งตัวมาทำงานแทนในส่วนของเธอเท่านั้น

หญิงสาวเก็บยาคุมกำเนิดไว้ในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง เพราะมันยังไม่ถึงช่วงเวลาที่เธอจะกินได้ ต้องรอไปอีกประมาณหนึ่งสัปดาห์รอบเดือนของเธอก็คงจะมา ระหว่างนี้คงต้องงดเรื่องนั้นไปก่อนก็แล้วกัน

                “พี่มิ้นต์ไม่ต้องทำหรอก เดี๋ยวเทียนเทียนทำเอง” สุชาติรวบไม้กวาดออกจากมือของธมนต์

                “ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ช่วย อยู่เฉยๆ ก็เบื่อ อีกอย่างพี่เป็นคนใช้ ไม่ใช่เจ้านาย” ธมนต์ตอบกลับ พร้อมกับแย่งไม้กวาดคืนมา

                “ไม่ด๊าย!” สุชาติขึ้นเสียงสูง พร้อมกับยกนิ้วชี้ขึ้นมาส่ายไปมาตรงหน้าหญิงสาวอย่างห้ามปราม

                ธมนต์มองสุชาติอย่างไม่เข้าใจ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเมื่อวานก่อนแล้ว สุชาติก็ไม่ยอมให้เธอทำอะไรเลย พอจะลงมือทำงานบ้านก็เข้ามาขัด แถมยังอาสาทำเองเสียหมดจนเธอว่างงาน และกลายเป็นคุณนายของบ้านไปเสียอย่างนั้น

                “ไหนลองบอกเหตุผลมาสิ ว่าทำไมพี่ถึงทำงานบ้านไม่ได้” ธมนต์เท้าสะเอวขึ้นข้างหนึ่งถามอย่างเอาเรื่องเต็มที่

                ‘จะให้บอกว่าเทียนเห็นพ่อเลี้ยงจิณเดินออกมาจากห้องนอนของพี่มิ้นต์ แถมพอเข้าไปในห้องนอนก็เห็นพี่มิ้นต์นอนหลับอยู่บนเตียงเสื้อผ้าไม่ได้ใส่ จะให้คิดอะไรได้นอกจากเรื่องแบบนั้น แถมมีหลักฐานชัดเจนแจ่มแจ้งบนคอของพี่มิ้นต์ด้วย’ สุชาติแอบคิดในใจก่อนจะส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธทุกอย่าง

                “บอกไม่ได้ แล้วจะขัดพี่ทำไม” ธมนต์ต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก

                สุชาติยิ้มกว้าง ก่อนจะตอบคำถามของธมนต์ในใจอีกครั้ง ‘ต้องขัดสิค๊า! เทียนเทียนจะให้เมียพ่อเลี้ยงทำงานหนักได้ยังไงกัน’

                “เอาเป็นว่าพี่จะช่วยในส่วนของห้องโถง เทียนไปทำในห้องครัวนะ เดี๋ยวแม่ครัวจะลงมาทำอาหารแล้ว” ธมนต์สรุปเอาเอง เพราะสุชาติเอาแต่ยิ้มไม่ยอมพูดอะไรออกมา

                “แต่ว่า...”

                “ไม่มีแต่จ้ะ” ธมนต์พูดขึ้น ก่อนจะลงมือกวาดห้องโถง

                “ตามใจค๊า” สุชาติพูดขึ้นอย่างขัดใจและจำยอม ก่อนจะเดินเชิดหน้าออกจากห้องโถงเข้าไปในห้องครัวเพื่อลงมือทำความสะอาด

                ใช้เวลาเกือบสามสิบนาที ธมนต์ก็ทำความสะอาดห้องโถงเสร็จเรียบร้อย ปัดกวาด เช็ดถู จนทุกอย่างสะอาดสะอ้าน หญิงสาวยืมยิ้มอย่างพอใจผลงานของตัวเองโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าติดนิสัยชอบทำงานบ้านไปเสียแล้ว

                “เสร็จแล้วใช่ไหมพี่มิ้นต์” สุชาติตะโกนถามมาจากประตูห้องครัว เมื่อพบว่าห้องโถงดูสะอาดเรียบร้อยดีแล้ว

                “เสร็จแล้ว เราล่ะเสร็จรึยัง ให้พี่ช่วยไหม” ธมนต์ถามกลับพร้อมกับเดินเข้าไปหา

                “เสร็จแล้วค่ะ เทียนเทียนจะมาเรียกพี่มิ้นต์ไปกินข้าวพอดี วันนี้พ่อเลี้ยงจิณไม่กลับเลยให้แม่ครัวส่งกับข้าวมาให้แทน”

                ในเมื่อพ่อเลี้ยงหนุ่มไม่กลับบ้านพักเชิงดอย แม่ครัวก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นมาบนนี้

                “งั้นเราไปทานกันเถอะ ทำงานมาเหนื่อยๆ พี่เริ่มหิวแล้วละ” ธมนต์บอกพร้อมกับเดินไปล้างไม้ล้างมือ

               

                ธมนต์ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สักภายในห้องครัว โดยมีสุชาตินั่งฝั่งตรงข้ามมองเธอไม่วางตา

                “มีอะไรรึเปล่า” ธมนต์ถามขึ้นพร้อมจ้องมองอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น

                “มี! แต่เทียนเทียนถามไม่ได้” สุชาติยอมเปิดปาก เพราะค่อนข้างสนิทสนมกับธมนต์พอสมควร แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่ควรจะถาม

                “ถามมาเถอะ สายตาอยากรู้อยากเห็นชัดเจนซะขนาดนั้น” ธมนต์พูดขึ้นอย่างขำๆ พลางตักกับข้าวและลงมือรับประทานอย่างใจเย็น

                “ถามได้จริงเหรอ” สุชาติยังคงไม่แน่ใจ

                “ถามได้” หญิงสาวยืนยันอีกครั้งพร้อมกับตักอาหารเข้าปาก

“พ่อเลี้ยงจิณเป็นผัวพี่มิ้นต์เหรอ! เทียนเทียนเห็นพ่อเลี้ยงจิณเดินออกมาจากห้องนอนของพี่ เห็นเต็มสองลูกตาเลยนะ! แล้วอย่าคิดจะมาโกหก เพราะสภาพพี่มิ้นต์ที่เทียนเทียนเห็น...มันไม่สามารถโกหกได้เลย” เมื่อถามสิ่งที่ข้องใจออกไปได้ สุชาติก็รู้สึกราวกับยกก้อนอะไรออกไปจากอก

                “แค็กๆ...” คำถามโผงผางของสุชาติทำเอาธมนต์สำลักอาหาร หญิงสาวหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบเพียงเล็กน้อยก่อนจะมองสุชาติอย่างตกใจ

                “ไหนว่าถามได้” สุชาติพูดขึ้นเมื่อเจอสายตาของธมนต์ที่มองมา

                “ก็ถามได้...แต่เรื่องแบบนี้ควรพูดอ้อมๆ ไหม ไม่ใช่ถามออกมาแบบนี้” ธมนต์พูดขึ้นบ้าง ก่อนจะเก็บอาการแล้วลงมือรับประทานอาหารต่อ

                “แล้วมันยังไงกันแน่พี่มิ้นต์ ตกลงว่าใช่หรือไม่ใช่” สุชาติดื้อดึงจะรู้คำตอบให้ได้

                “จะว่าใช่ก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่”                                                                 

                หญิงสาวลอบมองอาการของคนตรงหน้าที่ขมวดคิ้วยุ่งก็ได้แต่ยิ้มขำ ก่อนจะไขความกระจ่างให้แก่สุชาติมากขึ้น

                “พี่เป็นนางบำเรอพ่อเลี้ยงน่ะ”

                “ฮะ! นางบำเรอ!” สุชาติตะโกนออกมาเสียงดังอย่างตกใจ

                “เบาๆ สิ” ธมนต์เตือนเสียงแข็ง

                “จะ...จริงเหรอพี่มิ้นต์ พี่เนี่ยนะ! พี่เป็นกะเทยนะ จะไปเป็นนางบำเรอของพ่อเลี้ยงจิณได้ยังไง” สุชาติถามอย่างข้องใจ หญิงสาวตรงหน้าคือสาวประเภทสอง มีเอกสารทางราชการชัดเจนทุกอย่าง

                “พี่ไม่ได้เป็นสาวประเภทสอง”

                “แต่เอกสาร...”

                “เอกสารพวกนั้นของน้องชายพี่เอง” ธมนต์พูดแทรกขึ้นทันที เพราะเดาว่าสุชาติจะพูดอะไรออกมา

                “แสดงว่าพี่มิ้นต์ไม่ใช่กะเทย แล้วตอนนี้ก็เป็นนางบำเรอของพ่อเลี้ยงจิณอย่างนั้นใช่ไหม” สุชาติถามในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ

                ธมนต์พยักหน้ารับ

                “พี่ขออะไรอย่างได้ไหม เรื่องที่พี่เป็นนางบำเรอพ่อเลี้ยงจิณ ขอให้มีแค่เทียนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ พี่ขอได้ไหม” เธอไม่ต้องการให้ใครรับรู้เรื่องราวระหว่างเธอกับพ่อเลี้ยงให้เรื่องมันยุ่งยากไปกว่านี้ เพราะเมื่อถึงเวลาเธอจะเป็นฝ่ายไปเอง

                “ได้ๆ เทียนเทียนไม่บอกใครหรอก” สุชาติรับคำอย่างเต็มใจ แต่ก็อดคันปากไม่ได้

                หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย ธมนต์ก็ใช้เวลาว่างทั้งหมดไปกับการออกแบบเสื้อผ้า โดยมีสุชาตินั่งมองพร้อมถามไถ่ขั้นตอนการออกแบบอยู่ข้างๆ

                “ออกแบบแต่ชุดแต่งงานทั้งนั้นเลย” สุชาติพูดขึ้นพร้อมกับมองกระดาษในมือสองสามแผ่น

                “ผู้หญิงจะดูสวยที่สุดในชุดแต่งงาน มันดึงดูดทั้งเจ้าบ่าวและคนรอบกายน่ะ” มือบางสาละวนกับการร่างแบบชุดไม่หยุด

                “ตัดให้เทียนเทียนสักชุดนะพี่มิ้นต์ อยากมีเก็บไว้ เผื่ออนาคตมีเงินผ่าตัดแปลงเพศแล้วได้แต่งงานขึ้นมา เทียนเทียนจะใส่ชุดที่พี่มิ้นต์ออกแบบ” สุชาติพูดอย่างเพ้อฝัน ทำเอาธมนต์ยิ้มขำพลางส่ายหน้าไปมา

                “ไว้รอพี่เปิดห้องเสื้อของตัวเองได้เมื่อไหร่ พี่จะตัดชุดให้เทียนสักชุดแล้วกัน”

                “พี่มิ้นต์อยากเปิดห้องเสื้อเหรอ”

                “ความฝันของพี่เลยแหละ แต่คงต้องรอไปก่อน อีกไม่นานหรอก พี่จะเปิดมันด้วยน้ำพักน้ำแรงของพี่เองให้ได้” แววตาของธมนต์มุ่งมั่น น้ำเสียงของเธอหนักแน่นทุกคำ

                ดูท่าว่าวันนี้สมองของธมนต์จะโล่งมาก เพราะเธอร่างแบบได้ถึงสามแผ่นในเวลาเพียงแค่ห้าชั่วโมงก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน ทั้งที่ปกติแล้ววันหนึ่งเธอจะร่างได้แค่ภาพเดียว

                หลังจากรับประทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จ ทั้งสองคนก็ปลีกตัวไปทำธุระส่วนตัวของตัวเอง

               

                ธมนต์นอนนิ่งครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆ อยู่บนเตียงกว้าง ต่อจากนี้เธอไม่ได้อยู่บ้านพักเชิงดอยเพียงคนเดียว เพราะมีสุชาติย้ายมาพักอยู่ห้องถัดจากเธอไปเพียงสองห้อง แต่ธมนต์ก็ยังรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อครั้งเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส ความรู้สึกนี้ไม่เคยหายไปเสียที

                ดวงตาสีรัตติกาลปิดลงราวกับต้องการพักสายตา ก่อนจะหลับใหลอย่างจริงจังจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูห้องนอนของตัวเอง

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ยืนกอดอกมองใบหน้าของธมนต์ที่เขาไม่ได้เห็นมาหลายวัน ชายหนุ่มลงไปจัดการเรื่องบางอย่างในตัวเมืองจนไม่ได้กลับมาที่บ้านหลังนี้เกือบสามวัน ไม่ได้เห็นใบหน้ารูปไข่ ไม่ได้ยินเสียง เพียงแค่สามวันทำไมเขาถึงรู้สึกคิดถึงอย่างนี้นะ

                ธมนต์รู้สึกตัวตื่นเมื่อพบว่าอะไรบางอย่างปัดผ่านแก้มของเธอ ดวงตาสีรัตติกาลปรับการมองเห็นชั่วครู่ก่อนจะพบใบหน้าของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์อยู่ห่างไม่ถึงคืบ พอรู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร ความกลัวก็จางหายไปแทบจะทันที

                “ผมทำคุณตื่นสินะ” ชายหนุ่มพูดก่อนจะกดจูบลงบนพวงแก้มของธมนต์อีกครั้งและผละออกมาอย่างอ้อยอิ่ง

                “มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” ธมนต์ลุกขึ้นนั่งก่อนจะถามไถ่อีกฝ่าย

                “เพิ่งกลับมาถึงน่ะ เห็นบ้านเงียบๆ เลยลองไขกุญแจเข้ามาดู ผมยังไม่อยากให้มีคนมาตายในบ้านหลังนี้นะ” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ตอบพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนบนเตียงกว้าง

                “ฉันไม่ตายง่ายๆ หรอกค่ะ ชีวิตของฉันยังอีกยาวไกลไม่เหมือนคุณที่แก่ลงไปเรื่อยๆ” ธมนต์พูดเหน็บอีกฝ่ายเบาๆ

                “แก่ลงใช่ว่าผมจะตายง่ายๆ เสียหน่อย ถ้าผมตายไปจริงๆ คุณคงเป็นนางบำเรอม่าย”

                ธมนต์ไม่คิดตอบโต้กลับ ได้แต่มองใบหน้าคมที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง ใบหน้าคมนั้นแสดงออกชัดเจนว่าเหนื่อยล้ามากแค่ไหน

                “น้ำเย็นๆ สักแก้วไหมคะ” ธมนต์ถามขึ้นในที่สุด ทั้งที่ในใจแอบคัดค้านให้เงียบไว้ แต่ก็อดเป็นห่วงชายหนุ่มไม่ได้

                “อืม” พ่อเลี้ยงหนุ่มตอบรับเสียงเบา

                ได้ยินดังนั้น ธมนต์ก็รีบลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องนอน...

                “หลับไปซะแล้ว” หญิงสาวยืนค้างกลางห้อง เธอออกไปเพียงครู่เดียว กลับมาอีกทีอีกฝ่ายก็หลับไปเสียแล้ว ทว่าเธอไม่อยากปลุกเพราะท่าทางของเขาดูเหนื่อยล้ามาก

                หญิงสาววางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง จัดการปิดไฟภายในห้อง เหลือไว้เพียงดวงไฟหัวเตียง ก่อนจะตัดสินใจนอนลงข้างๆ พ่อเลี้ยงจิณธนนท์

                เมื่อแผ่นหลังของเธอสัมผัสเตียงก็ถูกรวบเข้าไปกอดเอาไว้แน่น ธมนต์รู้ได้ทันทีว่าเขายังไม่หลับ

                “แกล้งหลับเหรอคะ”

                “เปล่า ผมแค่งีบ แต่คุณดันคิดว่าผมหลับเอง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ปฏิเสธเสียงอู้อี้ ริมฝีปากหนาสัมผัสหลังต้นคอของธมนต์ไปมายามเอ่ยพูด แต่เพียงไม่นานก็เงียบเสียงไป

                “ถ้าเหนื่อยนักก็นอนเถอะค่ะ” ธมนต์ตัดบทสนทนา สัมผัสได้ถึงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอที่เป่ารดอยู่หลังต้นคอ แต่ก็พยายามข่มตาให้หลับตามอีกฝ่ายไป

                ธมนต์เคยคิดว่าจะหมดศรัทธาให้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์นับตั้งแต่วันที่ถูกเขาย่ำยี แต่เปล่าเลย หัวใจของเธอยังคงเต้นแรงทุกครั้งที่เข้าใกล้เขา

                เธอยังคงรักเขาอยู่...
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น