2

เหตุการณ์วุ่นวาย



 

 “ซวยแล้วไหมละพี่มิ้นต์”

ผ่านมาหลายวันหลังจากธมนต์เริ่มทำงานในตำแหน่งพนักงานขาย ใน ‘ทางเหนือชอป’ ซึ่งเป็นจุดพักผ่อนของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวภายในไร่แห่งนี้ โดยตลาดทางเหนือแบ่งออกเป็นสองโซน โซนแรกคือโซนแห่งการพักผ่อน ซึ่งถูกออกแบบให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมบรรยากาศของไร่ หรือถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ที่ไร่ทางเหนือจัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อการถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก นอกจากนั้นยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อีกมาก อาทิ ร้านสปา  

                ส่วนโซนที่สองอยู่ไม่ไกลกันนักเป็นแหล่งชอปปิง มีสินค้าของทางไร่มากมายจำหน่ายอยู่ในโซนนี้ ไม่จำกัดเฉพาะสินค้าของที่นี่เท่านั้น ยังมีร้านอาหารหลากหลายชนชาติรวมอยู่ด้วย

                “พี่มิ้นต์ องุ่นสดในร้านหมดแล้ว อีกเดี๋ยวนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มคงมาถึงแล้ว ทำยังไงกันดี” เบญญาที่เดินสำรวจรายการสินค้าภายในร้านเอ่ยขึ้นเมื่อพบว่าองุ่นสดของไร่มีไม่เพียงพอรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่กำลังจะเข้ามา

                “คนงานในไร่เพิ่งเอาของมาลงเมื่อเช้าทำไมหมดแล้วล่ะ”

                “นักท่องเที่ยวกลุ่มเมื่อกี้ซื้อไปหมดเลยน่ะสิ เดี๋ยวหม่อนลงไปเอาเอง พี่มิ้นต์เฝ้าร้านนะ”

                “ไม่ต้อง! เดี๋ยวพี่ลงไปเอง หม่อนเฝ้าร้านเถอะ” ธมนต์อาสาพร้อมกับปลดผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลออกไปเก็บในล็อกเกอร์ของพนักงานด้านหลังร้าน ก่อนจะเดินออกไปทางด้านหลังเพื่อลงไปเอาองุ่นจากคนงานในไร่

หญิงสาวซ่อนความกลัวเอาไว้ เรื่องราวของวันแรกเธอยังจำได้ขึ้นใจ หลายวันที่ผ่านมาเธอจึงค่อนข้างที่จะเก็บตัว ไม่ออกไปเจอหรือทักทายคนงานในไร่ นอกเสียจากพนักงานประจำร้านที่ทำงานร่วมกับเธอ

การที่เธอตัดสินใจลงมาเอาองุ่นเอง เพราะเธอเข้ากับนักท่องเที่ยวไม่ค่อยได้ ต่างจากเบญญาที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย รู้วิธีรับมือนักท่องเที่ยวขี้วีน เพราะโดยนิสัยแล้ว ธมนต์ไม่ใช่คนที่ยอมใครง่ายๆ ถึงแม้จะพยายามปรับเปลี่ยนนิสัย แต่ก็ยังมีหลุดออกมาบ้าง และมันอาจจะทำให้เธอถูกไล่ออกได้

 

“อ้าว หนูมิ้นต์ลงมาทำอะไรในไร่ล่ะ”

“มิ้นต์ลงมาเอาองุ่นค่ะ พอดีองุ่นที่ร้านหมดน่ะค่ะลุงชาญ” ธมนต์ตอบด้วยรอยยิ้ม เธอรู้จักคมชาญ หัวหน้าคนงานดี เพราะเขาอาศัยอยู่เรือนพักคนงานหลังติดกับเธอ แถมลูกเมียของคมชาญก็สนิทสนมกับเธอด้วย

                “แล้วไหนเอกสารล่ะหนู เดี๋ยวลุงช่วยยกลงไป”

                “เอกสารอะไรหรือคะ”

               

                ธมนต์เดินตรงไปยังเรือนสำนักงานหลังจากได้รับคำบอกกล่าวจากคมชาญว่าหากไม่มีเอกสารเบิกจ่ายองุ่นของพ่อเลี้ยง หรือคนในสำนักงานเซ็นรับรองก็ไม่สามารถนำองุ่นไปได้ เพราะหากองุ่นหายขึ้นมาจะไม่มีใครรับผิดชอบความเสียหาย

หญิงสาวลอบถอนหายใจอีกครั้ง เมื่อพนักงานในเรือนสำนักงานพักเที่ยงกันเสียหมด ไม่มีใครอยู่เลยสักคน เธอจึงเดินไปหยิบเอกสารที่ตู้มานั่งกรอกข้อมูลเพื่อทำเรื่องขอเบิกจ่ายองุ่นจากไร่เป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอให้พนักงานกลับเข้ามาทำงาน

 

                รถหรูยี่ห้อดังขับผ่านไร่องุ่นด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว คนงานในไร่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักต่างไม่มีใครกล้าเอ่ยปากต่อว่าการกระทำของคนขับเลยสักคน เพราะทุกคนรู้ดีว่า ตอนนี้พ่อเลี้ยงจิณธนนท์แห่งไร่ทางเหนืออยู่ในโหมดอารมณ์ใด และคงจะไปจัดการเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่ไหนสักแห่งภายในไร่เป็นแน่

                “อาจิณ นารากลัว” เสียงเล็กใสดังขึ้นพร้อมกับลำตัวที่เอียงไปด้านหลังอย่างนึกหาที่เกาะเอาไว้ มือเล็กกำสายเข็มขัดนิรภัยที่คาดผ่านลำตัวแน่นขึ้นกว่าเดิม

“อ๊ะ! อาจิณขอโทษครับ”

เพียงเวลาไม่นานรถหรูก็ลดระดับความเร็วลงหลังจากที่คนขับดับอารมณ์ร้อนตัวเองลงไปได้ อาจเป็นเพราะห่วงหลานมากกว่าอะไรทั้งสิ้น จนอยากจะต่อยตัวเองสักหมัดที่ทำให้หลานรักตกใจกลัวจนออกอาการชัดเจนอย่างนั้น

เพียงไม่นานรถยนต์หรูก็จอดอยู่ด้านหน้าของเรือนสำนักงานก่อนที่ร่างสูงของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์จะก้าวลงจากรถ และเดินอ้อมไปอีกฝั่งเพื่อรับหลานสาวลงมาจากรถ แล้วจูงมือเล็กเดินไปยังจุดที่คนงานในไร่ทำงานกันอยู่ ก่อนจะไหว้วานคนงานให้ช่วยดูแลหลานสาวแทนตน ซึ่งต้องเข้าไปจัดการพนักงานที่ทำงานกันอย่างมักง่ายก่อน หากพาหลานเข้าไปด้วยเขากลัวว่าเด็กหญิงจะตกใจกลัว เพราะไม่รู้ว่าจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้มากแค่ไหน

“บ่ายโมงสิบสามนาที” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เอ่ยลอดไรฟันอย่างอดกลั้น

เขาคงใจดีมากเกินไปหน่อยแล้วละมั้ง พนักงานเลยเหิมเกริมคิดจะเข้าทำงานตอนไหนก็ได้ คิดจะออกไปไหนตอนไหนก็ได้ แถมยังพักงานพร้อมกันจนไม่มีใครอยู่เฝ้าสำนักงานเลยสักคน หากนักท่องเที่ยวต้องการความช่วยเหลือหรือคนงานในไร่มีปัญหาจะทำอย่างไร

เสียงคนรื้อค้นข้าวของดังออกมาจากห้องทำงานใหญ่ ซึ่งพ่อเลี้ยงจิณธนนท์สั่งห้ามคนนอกเข้าออกโดยเด็ดขาดหากไม่ได้รับอนุญาต นอกเสียจากเพื่อนสนิทของเขาที่เป็นหุ้นส่วนในไร่กาแฟร่วมกันเท่านั้นที่จะเข้าออกห้องนั้นได้ และวันนี้เพื่อนของเขาก็ลงไปในตัวเมือง

ชายหนุ่มกำมือแน่นอย่างเก็บกักอารมณ์ที่แทบจะเดือดจนทะลุออกมา ก่อนที่จะสาวเท้าเข้าไปในห้องมองหาต้นตอของเสียง ดวงตาคมกริบดุจดวงตาเหยี่ยวมองเห็นเงาของใครสักคนที่กำลังคลานอยู่ใต้โต๊ะทำงานของเขา

“โอ๊ย!”

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นหลังจากที่พ่อเลี้ยงจิณธนนท์เดินเข้าทางด้านหลังจับเข้าที่ไหล่บางดึงขึ้นมา ก่อนจะใช้มืออีกข้างบิดข้อมือผู้บุกรุกไขว้หลังจนอีกฝ่ายร้องเสียงหลง

“เธอ/คุณ” เสียงร้องอย่างตกใจดังขึ้นพร้อมกัน เมื่อต่างเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย

หญิงสาวที่ต่อว่าเขาเรื่ององุ่นหลายวันก่อนตอนนี้กำลังรื้อค้นห้องของเขาอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ

“เข้ามาทำอะไรในนี้” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ถามออกมาเสียงเข้ม พร้อมกับออกแรงบิดข้อมืออีกฝ่ายเพิ่มขึ้นก่อนจะดึงร่างหญิงสาวเข้ามาประชิดตัว ดันไหล่บางให้เอียงใบหน้าสวยมาทางตนเพื่อที่จะจ้องมองดวงตาสีรัตติกาลที่อยู่ห่างจากตนไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตร

“ฉันแค่เข้ามาวางเอกสารที่โต๊ะ แต่ดันทำปากกาหล่นเลยจะเก็บขึ้นมา แล้วคุณก็เข้ามาจับฉันไว้แบบนี้เสียก่อน”

“ใครใช้ให้เธอเข้ามาในนี้ ไม่มีใครบอกรึไงว่า ถ้าฉันไม่อนุญาตห้ามคนนอกเข้ามา!”

“พี่พนักงานค่ะ เธอบอกว่าให้ฉันนำเอกสารมาวางที่โต๊ะของพ่อเลี้ยงก่อนที่จะออกไปทานข้าวกัน” ธมนต์บุ้ยปากไปทางเอกสารที่เพิ่งวางลงไปเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเอง

ตอนแรกเธอเข้ามาภายในเรือนสำนักงานแต่ก็ไม่เจอใครเลยสักคน โชคดีที่มีพนักงานคนหนึ่งลืมกระเป๋าสตางค์เลยบอกให้เธอเอาเอกสารมาวางในห้องของพ่อเลี้ยงก่อนจะเดินออกไป

ธมนต์พยายามดึงข้อมือให้หลุดพ้นจากมือหนา เพราะเธอเจ็บไปทั่วทั้งแขน ไหนจะคอที่หันมามองใบหน้าชายหนุ่มจนจะยืดยาวกว่าเดิมแล้ว

‘เป็นแค่เพื่อนสนิทของพ่อเลี้ยงทำราวกับเป็นเจ้าของห้อง’

                “ปล่อยฉันก่อน เจ็บไปหมดแล้ว”

                “ไปนั่งที่โซฟา” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ปล่อยมืออีกฝ่ายก่อนจะเดินไปนั่งยังเก้าอี้ทำงานแล้วจ้องมองหญิงสาวไม่วางตา

                ธมนต์ยืนนิ่งจับข้อมือของตัวเอง ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองอีกฝ่าย ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตามคำสั่ง

                “ส่งองุ่นลงไปที่ร้านสามลัง บอกคุณแพรไหมให้มาพบฉันที่สำนักงานด้วย” ชายหนุ่มกรอกคำสั่งสั่งงานคนงานในไร่ลงไปในโทรศัพท์ เมื่อกวาดสายตาอ่านข้อมูลบนเอกสาร พร้อมกับเรียกตัวแพรไหมเลขานุการที่ทำงานกับเขามานานแถมยังเป็นรุ่นน้องเขาที่มหาวิทยาลัยให้มาพบ               

                “รถพ่อเลี้ยงจอดอยู่ด้านหน้า ตายแน่เลยพวกเรา”

                “ฉันบอกให้รีบกลับมา พวกแกก็มัวแต่สนใจนักท่องเที่ยวชายอยู่นั่นแหละ”

                เสียงที่ดังลอดผ่านประตูห้องทำงานเข้ามาทำให้จิณธนนท์ชะงักปากกาที่กำลังจะเซ็นชื่อรับรองลงบนเอกสารเรื่องเบิกจ่ายองุ่นเพิ่ม ก่อนจะวางปากกาลงบนโต๊ะเสียงดังแล้วจ้องมองไปยังต้นตอของเสียง ทำเอาธมนต์นั่งนิ่งหลังตรงอัตโนมัติ

                ตอนนี้ชายหนุ่มน่ากลัวจนธมนต์ที่ไม่เคยเกรงกลัวใครยังรู้สึกกลัวขึ้นมา ยิ่งสายตาคมกริบที่จ้องมองประตูคล้ายจะพังมันออกไปให้พ้นทาง และจับตัวต้นเสียงเข้ามาหักให้เป็นสองท่อนนั่นอีก ทำเอาเธอไม่สนใจฟังเสียงของพนักงานที่คุยกันอยู่ด้านนอกเลย นอกเสียจากจ้องมองอีกฝ่ายอย่างคิดหาหนทางหลบภัยที่อาจจะมาเยือน

                “แต่ตอนเดินเข้ามาคุณหนูนารานั่งเล่นอยู่บนก้อนหินแถวต้นองุ่น พ่อเลี้ยงคงจะเดินดูคนงานในไร่ละมั้ง”

                “แล้วเรื่องทำความสะอาดห้องพักแขก แกจัดการเสร็จแล้วใช่ไหม แม่ฉันจะเดือดร้อนเอานะ”

                “ยังเลยแก มั่วแต่แชตกับพี่แมนจนลืมเรื่องนี้ไปเลย”

                เสียงซุบซิบนินทาที่ดังขึ้นพร้อมกับเสียงลากเก้าอี้ทำให้พ่อเลี้ยงหนุ่มที่นั่งนิ่งอยู่นานหมดความอดทน เขาชอบการทำงานที่เป็นระเบียบและไม่มีข้อผิดพลาดหรือกลบความผิดด้วยวิธีการชุ่ยๆ อย่างที่พนักงานพวกนี้กำลังทำอยู่ในตอนนี้

                “คงมีเวลาว่างกันมากเลยสินะ” เสียงมีอำนาจดังขึ้นเมื่อร่างสูงของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์เดินออกมาจากห้องทำงาน ยกแขนทั้งสองข้างกอดอก จ้องมองพนักงานที่ทำงานมาเกือบสองปีแต่พฤติกรรมการทำงานกลับแย่ลง

                “พะ...พ่อเลี้ยงคะ...คือว่าพวกเรา”

                “เอาเถอะๆ ยังไงข้ออ้างของพวกคุณก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นหรือยับยั้งการตัดสินใจของผมได้หรอกนะ” ชายหนุ่มพูดขึ้นก่อนจะจ้องมองไปยังพนักงานทีละคน สายตาของเขาบอกชัดทุกอย่างว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

                “เก็บข้าวของพวกคุณออกไปจากไร่ของผมซะ ผมให้เวลาสิบนาที!”

สิ้นคำสั่งร่างของพนักงานสองสามคนก็ทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรงจะยืน สั่นไหวไปทั่วร่าง

                “กะ...เกิดอะไรขึ้นคะ” เสียงของแพรไหมดังขึ้น หลังจากรีบวิ่งมาที่สำนักงานตามคำสั่งของพ่อเลี้ยง แต่เนื่องจากเธอกำลังติดพันต้อนรับแขกคนสำคัญประจำจังหวัดอยู่จึงทำให้เสียเวลาค่อนข้างมากกว่าจะมาถึงที่นี่

                “จ่ายเงินเดือนให้พวกเขาล่วงหน้าสามเดือนและให้ทำเรื่องลาออกไปซะ ให้เวลาพวกเขาเก็บของไปจากที่นี่แค่สิบนาที เกินกว่านั้นโยนข้าวของออกไปข้างนอกได้เลย และช่วยสั่งคนให้สืบหาพนักงานที่ลักลอบนำผลิตภัณฑ์ของไร่เราออกไปขายให้ชาวบ้านด้วย อย่าลืมส่งเรื่องไปที่สถานีตำรวจด้วยละ”

                พ่อเลี้ยงจิณธนนท์สั่งงานเลขาฯ ส่วนตัวอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะกวาดสายตามองพนักงานที่นั่งทรุดตัวบนพื้น หากไม่คิดทรยศหรือทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ เขาคงไม่ไล่ใครออกหรอก เพราะเขารู้ดีว่ากว่าจะหางานได้นั้นมันยากแค่ไหน

                “พ่อเลี้ยงคะเมตตาพวกเราด้วยเถอะค่ะ อย่าให้เรื่องถึงตำรวจเลย” พนักงานคนหนึ่งอ้อนวอนทั้งน้ำตา หากเรื่องถึงตำรวจ ชีวิตของเธอกับครอบครัวคงจบเห่

                “ทำตามที่ฉันสั่งทุกอย่าง” พ่อเลี้ยงจิณธนนท์ไม่สนใจไยดีต่อสายตาอ้อนวอนนั้น ก่อนจะหันกลับไปสั่งเลขาฯ ให้ทำตามคำสั่งซึ่งมันหมายถึงห้ามขัดคำสั่ง

                ชายหนุ่มที่คนงานในไร่เรียกขานว่าพ่อเลี้ยงจิณทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตามเดิม และพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้ประทุษร้ายใคร เขาผิดหวังในเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่คิดว่าพนักงานที่ทำงานกับเขามานานจะเป็นอย่างนี้ เงินเดือนที่ได้ก็มากพอที่จะเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว แต่กลับชักนำคนในครอบครัวให้ลักขโมยของในไร่ออกไปขายข้างนอก ไหนจะเรื่องแม่บ้านประจำรีสอร์ตที่ทำความสะอาดไม่เรียบร้อย แอบนำสบู่และของใช้ที่ทางไร่จัดไว้สำหรับนักท่องเที่ยวไปขาย ทำงานไม่ได้เรื่องยังจะคิดลักเล็กขโมยน้อย เขาคงปล่อยไว้ไม่ได้

                “อะ...เอ่อ...”

เสียงอึกอักที่ดังขึ้นเรียกดวงตาคมกริบให้เงยหน้าขึ้นมองไปตามต้นเสียง ก่อนจะพบใบหน้าของหญิงสาวที่เข้าห้องมาโดยไม่ได้รับอนุญาต

เขาลืมเรื่องนี้ไปเลย...

“ออกไปทำงานของเธอต่อเถอะ แล้วเรื่องที่ได้ยินหรือได้เห็น ควรรู้นะว่าจะทำยังไงกับมัน” พ่อเลี้ยงหนุ่มสั่งสาวร่างบาง เพื่อเป็นการบอกอีกฝ่ายว่าห้ามนำเรื่องนี้ไปพูดต่อ หากเรื่องนี้ถึงหูคนอื่นเมื่อไรต้นตอคงมาจากคนตรงหน้า

“ขอบคุณค่ะ” ธมนต์รีบสาวเท้าออกมาจากห้องทำงานของพ่อเลี้ยงก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หากไม่มีพนักงานพวกนั้นที่สร้างเรื่องวุ่นวาย เธอคงโดนอีกฝ่ายจับมาซักถามและต่อว่าเป็นแน่

โชคยังคงเข้าข้างเธออยู่สินะ ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ต้องห่วงว่าเธอจะนำไปเล่าให้คนงานฟัง เพราะเธอเองก็แทบจะจับใจความไม่ได้สักอย่าง ที่คิดได้ในตอนนี้ก็คือควรรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

 

“อ๊ะ!” ธมนต์ร้องเสียงหลงเมื่อถูกก้อนอะไรสักอย่างปาเข้าที่ศีรษะจนรู้สึกเจ็บ ในขณะที่เดินออกจากเรือนสำนักงาน

“ฮือ...ฮึก...ชะ...ช่วยด้วย!”

หญิงสาวหันกลับไปมองตามเสียงร้องก่อนจะพบร่างเล็กของเด็กผู้หญิงอยู่บนหลังรถกระบะที่ไม่สูงมากนักหน้าสำนักงาน

เด็กหญิงกอดธมนต์แน่นเมื่อลงมายืนที่พื้นได้แล้วหลังจากที่ธมนต์ช่วยอุ้มลงมาจากหลังรถกระบะ ร่างเล็กสั่นเล็กน้อยพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังขึ้นอยู่ตลอดเวลา มือบางของธมนต์ลูบหลังปลอบโยนร่างเล็กก่อนจะเพิ่มแรงกอดขึ้น เมื่อนึกถึงตนเองตอนเด็กที่มีมารดาคอยกอดแน่นๆ เวลาตกใจว่าให้ความรู้สึกดีอย่างไร

                “ทำไมหนูไปอยู่บนนั้นได้คะ” เมื่อเสียงสะอื้นจางหายไป ธมนต์ก็ถามเด็กหญิง โดยยังไม่คลายอ้อมกอด

                “มะ...มีสุนัขวิ่งเข้ามาหานารา นารากลัวเลยปีนขึ้นไปอยู่บนรถแต่ลงมาไม่ได้” เสียงเล็กบอกพร้อมกับซุกศีรษะเข้ากับอกของธมนต์คล้ายออดอ้อน

                “แล้วพ่อแม่ของหนูไปไหนคะ ทำไมปล่อยให้อยู่คนเดียว”

                “คุณพ่ออยู่ไหนไม่รู้ คุณแม่อยู่กรุงเทพฯ แต่อาจิณบอกให้นาราเล่นอยู่ที่ไร่กับลุงคนงาน แต่ลุงคนงานต้องทำงาน นาราเลยเดินออกมานั่งรอตรงก้อนหินตรงนั้น แต่เจ้าสุนัขก็วิ่งเข้ามาเหมือนจะกัดนารา นารากลัวเลยต้องปีนขึ้นไปบนรถ” เสียงเล็กพูดขึ้นพร้อมกับมือไม้ที่ชี้ประกอบการเล่าเรื่อง ริมฝีปากเล็กยู่อย่างขัดใจเมื่อเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

                “กลัวมากเลยเหรอคะ ถ้างั้นเอาอย่างนี้ไหมไปอยู่กับพี่มิ้นต์ที่ร้านก่อน เดี๋ยวจะให้ประชาสัมพันธ์ประกาศตามหาคุณอาให้”

                “เอาค่ะ”

 

                ในเวลาเกือบสามทุ่มเสียงเอะอะโวยวายของคนงานที่เรือนพักคนงานดังขึ้น เรียกความสนใจของธมนต์ที่เพิ่งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จให้เดินออกมาดู

                เรือนคนงานของไร่ทางเหนือคล้ายห้องเช่าทั่วไปแยกชายหญิง ห้องไม่ใหญ่มากนัก มีเตียง โต๊ะ ตู้เสื้อผ้า และห้องน้ำในตัว หากอยู่เป็นครอบครัวจะเป็นบ้านหลังเล็กๆ แทน ธมนต์อาศัยอยู่คนเดียว เพราะเบญญารับอาสาอยู่กับคนงานคนหนึ่งจึงทำให้ธมนต์ได้พักคนเดียว

                ตอนนี้ภายในห้องพักของธมนต์มีร่างเล็กของเด็กหญิงนารานอนหลับอยู่บนเตียง ประชาสัมพันธ์ประกาศตามหาผู้ปกครองของเด็กหญิงนาราลักษณ์ มัฌชภิรมณ ตามชื่อที่เด็กหญิงบอกมา แต่กลับไม่มีใครมารับตัวกลับไป จนเธอต้องพากลับมาที่เรือนพักคนงานด้วย

                “ป้านางคะเกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอคะ” ธมนต์ถามหัวหน้าแม่บ้านของบ้านทางเหนือ บ้านของนายจักรินทร์ บิดาของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์

                “พอดีหลานของพ่อเลี้ยงจิณหายตัวไปน่ะ ยังตามหาไม่เจอเลย พ่อเลี้ยงจิณอารมณ์เสียมาก ใครเข้าหน้าก็ไม่ติด ป้าละกลัวจนต้องให้คนงานช่วยตามหาอีกแรง”

                “หลานพ่อเลี้ยงเหรอคะ”

                “ใช่จ้ะ คุณหนูนารา หลานสาวพ่อเลี้ยงจิณ”

                เหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่ทุบลงบนศีรษะจนมึนงงไปหมด ความกลัวเข้าครอบงำ นี่เธอแอบพาตัวหลานสาวของพ่อเลี้ยงมานอนอยู่ในห้องเล็กๆ โดยมีเพียงพัดลมเปิดพัดไล่ยุงอย่างนั้นน่ะเหรอ

                 แต่คิดทวนอีกรอบ นามสกุลของน้องนาราก็ไม่ใช่นามสกุลของพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ แต่คำเรียกขานผู้ปกครองที่น้องนาราเอ่ยออกมาก็มีแต่ คุณอานพ คุณอาจิณ เธอน่าจะเอะใจตั้งแต่ชื่อคุณอาจิณแล้ว

                “มิ้นต์มีอะไรให้ป้านางช่วยดูหน่อยค่ะ ช่วยตามมาหน่อยได้ไหมคะ”

                “ตอนนี้หรือหนูมิ้นต์ ป้าว่าเราตามหาคุณหนูก่อนดีกว่านะ”

                “ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ เราอาจจะตามหาตัวของคุณหนูนาราไม่เจอก็ได้นะคะ” ธมนต์ตอบด้วยรอยยิ้มแหย เพียงแค่วันเดียวเธอกลับทำเรื่องมากมาย เข้าห้องพ่อเลี้ยงโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วนี่ยังจะพาตัวหลานสาวของพ่อเลี้ยงมานอนในห้องเท่ารูหนูอีก

“คุณหนูนารา!”

“คุณหนูนาราแน่ใช่ไหมคะ” ธมนต์ถามทวนอีกรอบ พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ ถึงแม้จะคิดเอาไว้แล้วว่าคงต้องใช่แน่ๆ แต่พอได้ยินกับหูมันก็อดตกใจไม่ได้

“ใช่จ้ะ ทำไมคุณหนูนาราถึงมาอยู่ที่นี้ล่ะ หนูมิ้นต์”

ธมนต์เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้หัวหน้าแม่บ้านฟัง พร้อมถามถึงเรื่องนามสกุลของน้องนาราที่ไม่เหมือนพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ จนได้รู้ความว่าพี่ชายของพ่อเลี้ยงซึ่งเป็นบิดาของน้องนารานั้นใช้นามสกุลมารดา ต่างจากพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ที่ใช้นามสกุลบิดา

“ประกาศตามหาก็ไม่มีใครรู้หรอกหนูมิ้นต์ น้อยคนนักจะรู้เรื่องครอบครัวพ่อเลี้ยงลงลึก ถ้ายิ่งเรื่องของคุณรัณน่ะไม่มีใครรู้อะไรหรอก พนักงานโซนนั้นก็เพิ่งจะรับเข้ามาได้ไม่นาน น้องนาราเองก็อยู่แต่ที่บ้านใหญ่” หัวหน้าแม่บ้านกล่าวออกมา

ธมนต์พยักหน้าอย่างเข้าใจเหตุผลที่ไม่มีใครรู้จักน้องนาราเลยสักคน

พอจบการสนทนาทั้งสองก็คิดหาทางออกให้เรื่องนี้ หากพ่อเลี้ยงรู้ว่าพนักงานขายที่เพิ่งเข้ามาทำงานพาตัวหลานสาวของเขามาโดยไม่ได้รับอนุญาตคงโดนไล่ออกแน่

“ป้าว่าเราปลุกคุณหนูก่อนก็แล้วกันนะ”

สิ้นเสียงของนาง ธมนต์ก็เขย่าเด็กหญิงเล็กน้อยพร้อมกับเรียกชื่อ แต่ดูเหมือนว่าเด็กหญิงจะขี้เซากว่าที่คิด เพราะธมนต์เรียกเท่าไรก็ได้รับเพียงเสียงครางเบาๆ และการพลิกตัวหนีอย่างขัดใจจนเธอถอดใจ ไม่อยากจะปลุกต่อ ปล่อยให้ร่างเล็กนอนต่อไป

“เดี๋ยวป้าให้คนไปตามพ่อเลี้ยงมาอุ้มไปดีกว่า ปล่อยไว้แบบนี้ยุงจะกัดเอา”

“มิ้นต์คงไม่โดนไล่ออกใช่ไหมคะ” ธมนต์อดห่วงเรื่องนี้ไม่ได้เพราะเธอยังไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากไปพบเจอใครในตอนนี้ และการอยู่ที่นี่มันทำให้เธอรู้สึกดีมาก

“พ่อเลี้ยงมีเหตุผลพอ ไม่ไล่ใครออกง่ายๆ หรอก หนูมิ้นต์ไม่ต้องห่วงลูก”

‘น่าจะใช่อย่างที่ป้านางพูด หากเป็นเพื่อนของพ่อเลี้ยงคนนั้นก็ว่าไปอย่าง...’

ในเวลาไม่นานนัก เสียงรถยนต์ก็ดังขึ้นด้านหน้าเรือนพักคนงาน ทำเอาธมนต์ถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่ล้านของวัน ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงออกไปยืนรอให้พ่อเลี้ยงมารับตัวหลานสาวและรอรับคำต่อว่าจากอีกฝ่าย

“ห้องไหนครับ”

เสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้นด้านหน้าห้องพัก ตามด้วยน้ำเสียงตกใจของเบญญาที่คงจะเจอพ่อเลี้ยงหนุ่ม

“เชิญค่ะ” ธมนต์เชิญชายหนุ่มให้เข้ามา พร้อมกับเปิดทางให้อีกฝ่ายเดินได้สะดวกขึ้น

“คุณเองเหรอที่เอาตัวน้องนารามา”

“เอ่อ...คือว่า...ใช่ค่ะ” ธมนต์รับคำอย่างจำนน

สายตาของเขาที่จ้องมองมาไม่ต่างจากวันแรกที่เจอกันเลยสักนิด จนธมนต์ต้องกระแอมกระไอให้เขาหันไปสนใจหลานของตัวเองแทนที่จะจ้องมองแต่รูปร่างของเธอ

“เดี๋ยวผมจะอุ้มน้องนาราไป ช่วยไปเปิดประตูรถให้หน่อยได้ไหมครับ” ชายหนุ่มร้องขอความช่วยเหลือก่อนจะอุ้มน้องนาราไปที่รถ โดยมีธมนต์เดินตามไปเปิดประตูรถให้ ท่ามกลางสายตาของคนงานที่มองตาม

“ทำไมคุณธนานพมารับคุณหนูนาราแทนพ่อเลี้ยงล่ะแม่” ชายร่างบางแต่หัวใจหญิงถามป้านาง

“สงสัยคุณท่านห้ามไว้ล่ะมั้ง แกก็รู้ว่าพ่อเลี้ยงจิณเวลาโกรธเป็นยังไง”

“คนเมื่อกี้ไม่ใช่พ่อเลี้ยงจิณเหรอคะ ป้านาง” เบญญาที่ฟังบทสนทนาของสองแม่ลูกอยู่ใกล้ๆ อดถามออกมาอย่างสงสัยไม่ได้ เพราะเธอเข้าใจว่าธนานพคือพ่อเลี้ยงจิณธนนท์แห่งไร่ทางเหนือ

“คนนี้น่ะคุณธนานพ เพื่อนสนิทของพ่อเลี้ยงจิณ ตอนนี้กำลังร่วมหุ้นขยายรีสอร์ตและทำไร่กาแฟกันอยู่น่ะหนู”

“คุณธนานพมีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องการรับพนักงานหรือไล่ออกไหมคะ” เบญญาตัดสินใจถามต้นเหตุของเรื่องที่ทำให้เธอเข้าใจผิดคิดว่าธนานพคือพ่อเลี้ยงจิณธนนท์

“มันก็แล้วแต่ช่วง แล้วแต่ตำแหน่งงานนะหนู อย่างพนักงานขายที่ชอปของไร่อย่างหนูก็ตัดสินใจได้เลยไม่ต้องผ่านพ่อเลี้ยงจิณ อย่างแม่บ้านหรือคนงานในไร่ก็ตัดสินใจแทนได้ แต่ถ้าต้องทำเกี่ยวกับเอกสารในไร่ พ่อเลี้ยงหรือคุณท่านจะเป็นคนตัดสินใจจ้ะ ถึงแม้คุณนพจะมีหุ้นอยู่ในไร่ แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง” นางบอกเล่ารายละเอียดไขข้อสงสัยของเบญญาได้เป็นอย่างดี

“แล้วป้าพอจะมีรูปพ่อเลี้ยงจิณบ้างไหมจ๊ะ”

“ทำไมหรือหนู”

“คืออย่างนี้จ้ะป้า ฉันกับพี่มิ้นต์เข้าใจผิดคิดว่าคุณธนานพคือพ่อเลี้ยงจิณ ป้าพอจะมีรูปพ่อเลี้ยงบ้างไหม ฉันอยากจะดูไว้เผื่อเจอที่อื่นจะได้ไหว้ถูกคน”

“หม่อนไม่ต้องห่วงเรามีเต็มเครื่องเลย” เสียงของลูกชายป้านางเอ่ยขัด พร้อมกับยกมือไม้ขึ้นเพื่อแสดงตนว่ามีสิ่งที่เบญญาต้องการ

“จริงเหรอ หม่อนขอดูหน่อยสิเทียน”

โทรศัพท์หน้าจอสัมผัสเครื่องไม่ทันสมัยนักแต่พอใช้งานได้ปรากฏภาพพ่อเลี้ยงจิณธนนท์ในอิริยาบถที่หลากหลาย แต่ละภาพที่ปรากฏออกมาแม้จะไม่ค่อยชัดเพราะเป็นการแอบถ่าย แต่ก็พอมองออกว่าพ่อเลี้ยงจิณธนนท์หน้าตาเป็นอย่างไร

“ทำไมคุ้นจังนะ” เบญญาพูดพึมพำ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอที่ไหนสักแห่งแต่ก็นึกไม่ออก

“แล้วพี่มิ้นต์เข้าใจผิดด้วยรึเปล่า อย่าลืมบอกนะ วันนี้ก็ไปก่อเรื่องวุ่นวาย ทำไมพี่มิ้นต์ชอบก่อเรื่องอยู่เรื่อยเลย”

“พี่มิ้นต์ไปก่อเรื่องอะไรเหรอ” เบญญาถามสุชาติต่อ

“วันนี้พ่อมาเล่าให้เราฟังว่า พี่มิ้นต์ไปเบิกองุ่นแต่ไม่ได้เอาเอกสารไป แล้วพ่อเลี้ยงจิณโทร. มาสั่งให้คนงานเอาองุ่นไปลงร้านแทน พ่อเลยคิดว่าพี่มิ้นต์คงไปก่อเรื่องที่เรือนสำนักงานเข้าให้น่ะสิ ไหนจะพาคุณหนูนารามาที่นี่อีก” สุชาติร่ายยาว

“เรือนสำนักงาน...เฮ้ย!”

เบญญาร้องออกมาเสียงดังเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเคยเจอพ่อเลี้ยงจิณธนนท์อยู่ที่ไหน วันแรกที่เธอได้งานเธอเห็นธมนต์พูดคุยกับใครสักคนที่หน้าเรือนสำนักงาน ก่อนจะได้ความว่าธมนต์พูดจาต่อว่าชายหนุ่มคนหนึ่งที่หยิบองุ่นขึ้นมาให้ลูกกิน

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น