9

ตอนที่ 8

8

 

                วิลเลี่ยมบิดรถด้วยความเร็วที่จำกัดสูงสุดเพื่อให้มาถึงงานเลี้ยงทันเวลา แต่ก็ยังไม่ทันที่จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งวิเวียนเตรียมให้เมื่อหลายวันก่อน เขากลับต้องกลั้นใจเปลี่ยนแผนการกะทันหัน ยอมก้มหน้าก้มตาเดินเข้างานไปทั้งเสื้อยืดกางเกงยีนอย่างไม่มีทางเลือก

                “วิลเลี่ยม วิลเลี่ยม เทรเวน มา!” หนึ่งในกองทัพนักข่าวตะโกนลั่น หลังจากเห็นว่าใครกล้าควบมอเตอร์ไซค์เข้ามาในงานสุดหรูอย่างนี้

                และตกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อ วิลเลี่ยม เทรเวน มาร่วมงานคนเดียวโดยไร้เงานางแบบสาวที่เพิ่งเป็นข่าวด้วยกันไปเมื่อไม่กี่วันก่อน หรือแม้แต่แองจี้ นางแบบคู่กรณี วิลเลี่ยมก็ไม่คิดจะควงมาเพื่อสยบข่าวลือ ทำให้ทุกคนพลอยคิดว่า ข่าวเลิกราของทั้งสองคนคงเป็นเรื่องจริงแน่

                “คุณวิลเลี่ยมครับ มองทางนี้หน่อยครับ”

                “มองทางนี้ค่ะ”

                “ทางนี้ค่ะ ทางนี้!”

                เสียงตะโกนแข่งกันเซ็งแซ่ของบรรดานักข่าวทำให้คนที่ปั้นหน้ายิ้ม พยายามหันหน้าไปตามเสียงเรียกให้ครบทุกมุมถึงกับคิ้วกระตุก แต่ก็ยังพยายามทำตัวเป็นคนของสื่อได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ยอมเสียชื่อบ้านเทรเวน                

                วิลเลี่ยมหยุดยืนให้พวกนักข่าวถ่ายรูปพอเป็นพิธี ก่อนจะเดินไปสมทบกับพี่ๆ ของเขาที่เข้างานมาก่อนหน้าไม่นาน

                โดนแสนดีกัดนิดหน่อยไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้าย ดีกว่าโดนแสนดีเมินแล้วไปอาละวาดที่บ้านเป็นไหนๆ เขาคิดแล้วยิ้มกริ่ม แต่แล้วก็ต้องหน้าคว่ำในวินาทีถัดมา เมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนที่จ้องพี่สาวเขาตาเป็นมันมาแต่ไกล

                ไอ้บ้า วิกเตอร์ แบล็คครอสส์ สงสัยมันจะไม่ยอมรามือจากพี่สาวเขาจริงๆ วิลเลี่ยมคิดในใจ ก่อนจะจัดการกวนประสาทไอ้หมอนั่นตอนที่เขาจูงแสนดีเดินผ่านหน้าอีกฝ่าย

                ให้มันรู้ไปสิว่าเขากับมันใครจะแน่กว่ากัน เฮอะ!

 

                “ยายเป็ด หล่อนเอาของมาหมดหรือยังเนี่ย” วิเวียนตะโกนข้ามห้องมาถามไวโอเล็ตซึ่งกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่กับลังกระดาษ

                หญิงสาวสวมเสื้อยืดสีดำที่เจ้าหน้าที่ในงานจะสวมเหมือนกันหมดทุกคน เพื่อง่ายต่อการสื่อสารและเพื่อรู้ว่าใครเป็นใคร

                “เหลืออะไรอีกหรือเปล่าเนี่ย”

                “หมดแล้วค่ะ ฉันตรวจทุกอย่างก่อนออกมาแล้ว” ไวโอเล็ตตอบพลางสาละวนกับการหยิบชุดราตรีสำหรับผู้เชิญรางวัลในงานขึ้นมาแขวนไว้บนราว โดยแบ่งเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจนเพื่อกันไม่ให้เกิดการสลับชุดกัน และมีทีมงานอีกหลายชีวิตช่วย

                เหตุที่ต้องใช้ทีมงานหลายคนก็เพราะว่างานวันนี้เป็นงานประกาศรางวัลของหนังสือชื่อดัง และวิเวียนก็รับหน้าที่เป็นแม่งานในการดูแลเรื่องเสื้อผ้า ทำให้ไวโอเล็ตต้องสวมบทบาทเป็นเด็กฝึกงานจำเป็นในวันนี้อย่างไม่มีทางเลือก

                แต่ไวโอเล็ตก็เต็มใจ ถึงแม้จะต้องอดหลับอดนอนเพื่อเตรียมงานอยู่หลายวัน เธอก็ไม่เคยบ่น ทำงานไปเงียบๆ พร้อมกับเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในวงการแฟชั่นไปด้วย

                จนมาถึงวันงาน ไวโอเล็ตออกอาการตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เห็นการทำงานจริงๆ  ถึงจะไม่ใช่งานถ่ายแบบโดยตรง แต่การได้มาเห็นเหล่าคนดังมากหน้าหลายตาในระยะประชิดเช่นนี้ เด็กกะโปโลอย่างเธอก็ย่อมตื่นเต้นเป็นธรรมดา

                ในขณะที่ไวโอเล็ตกำลังจะจัดชุดราตรีชุดสุดท้ายขึ้นแขวนบนราวได้สำเร็จ หน้าสวยก็เปลี่ยนสีไปเล็กน้อยเมื่อเห็นชื่อของเจ้าของชุด

                ‘วิลเลี่ยม ว. เทรเวน’

                “ใส่ชุดแพงเชียวนะคุณวิลเลี่ยม แต่ยังไงพี่ชายคุณก็หล่อกว่าอยู่ดี” ไวโอเล็ตย่นจมูกใส่ป้ายชื่ออย่างหมั่นไส้ ราวกับว่าเธอกำลังพูดกับเจ้าของชื่อตัวเป็นๆ อย่างไรอย่างนั้น

                เมื่อแขกในงานทยอยเข้ามา หลังเวทีก็เริ่มวุ่นวายมากขึ้น คนตัวเล็กอย่างไวโอเล็ตก็ยิ่งตัวเล็กลงไปอีก จนกระทั่งมีผู้หญิงคนหนึ่งมาหยุดยืนอยู่ด้านหลัง

                “ว่าไงยะนังหน้าจืด” แองจี้มองคนที่เธอเข้าใจว่าเป็นนางแบบหน้าใหม่อยู่นานด้วยสายตาดูถูก

                หึ ที่แท้ก็แค่ลูกกะจ๊อกในบริษัทของนังแก่วิเวียน นี่คงสั่งสอนให้มางัดข้อกับเธอด้วยการแย่งวิลเลี่ยมสิท่า ฝันไปเถอะวิเวียน

                “มาช่วยฉันใส่รองเท้าหน่อยสิ” ไม่พูดเปล่า แองจี้ยังเตะรองเท้าที่เธอสวมอยู่ออก ยกเท้ารอให้ไวโอเล็ตช่วยเธอสวมรองเท้า “จะยืนอยู่ทำไมล่ะ” แองจี้เอียงคอถามเมื่อเห็นว่าไวโอเล็ตยังยืนนิ่ง

                “ก็แค่รองเท้าส้นสูงธรรมดา เธอคงไม่ต้องการคนช่วยใส่หรอกมั้งจ๊ะ”

                เสียงพูดของมาการ์เร็ตทำเอาแองจี้หน้าซีดเผือด เมื่อรู้ตัวว่าเธอเพิ่งทำตัวร้ายกาจใส่นังเด็กหน้าจืดขณะที่มีนางแบบแห่งยุคมองอยู่

                “ปล่อยแม่สาวน้อยคนนี้ไปช่วยคนที่เขาต้องการความช่วยเหลือจริงๆ เถอะจ้ะ” ไม่ว่าเปล่า มาการ์เร็ตยังแสร้งฉีกยิ้มที่แฝงไปด้วยการตักเตือนให้แองจี้ แล้วดันแขนไวโอเล็ตให้เดินออกจากวงไป

                “ฉันก็แค่อยากให้เด็กนั่นมาช่วยฉัน เพราะมันใกล้จะถึงคิวฉันแล้วก็เท่านั้นเองค่ะ” แองจี้บอกอย่างกระฟัดกระเฟียด เธอไม่ได้กลัวผู้หญิงคนนี้หรอก แต่มาการ์เร็ตทำงานในวงการนี้มานานกว่ามาก หากเลี่ยงได้ เธอก็ขอไม่มีปัญหาด้วยจะดีกว่า “คุณก็ได้เชิญรางวัลเหมือนกันเหรอคะ” แองจี้เค้นเสียงถามอย่างขอไปที

                “ไม่หรอกจ้ะ ฉันแค่เข้ามาทักวิเวียนก็เท่านั้น” มาการ์เร็ตเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม มองหน้านางแบบสาวที่เด็กกว่าเธอหลายขวบปีอย่างจับสังเกต

                เพราะพอพูดถึงวิเวียน แองจี้ก็บึ้งตึงราวกับโกรธใครมาเป็นแรมปี สงสัยเรื่องบาดหมางของทั้งสองจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ข่าวลือเสียแล้วกระมัง “ขอตัวก่อนนะ พอดีฉันรีบ”

                “เชิญค่ะ” แองจี้บอกลอดไรฟัน ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพื่อเปิดทางให้มาการ์เร็ต ทว่าเธอก็ยังมองตามนางแบบแห่งยุคไม่คลาดสายตา พยายามหาอะไรบางอย่างที่เธอรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากล ระหว่างนังเด็กหน้าจืดกับมาการ์เร็ต แต่ก็ไม่แน่ใจว่าเธอระแวงไปเองหรือเปล่า

                “แองจี้ นั่นใช่นังเด็กใหม่ของวิลเลี่ยมหรือเปล่า” นาตาชาที่รับหน้าที่เป็นผู้เชิญรางวัลคู่กับแองจี้สะกิดแขนเพื่อนสนิทแล้วกระซิบถาม เพราะไม่แน่ใจว่านังเด็กนั่นจะมาทำอะไรที่นี่ “ฉันเห็นมันแวบเดียวหลังเวที ไม่รู้ว่าใช่มันหรือเปล่า”

                “มันนั่นแหละ” แองจี้ตอบเสียงห้วน เหลือบมองหน้านาตาชาเพียงหางตาแล้วจ้องเขม็งไปที่ไวโอเล็ต “เป็นเด็กฝึกงานของนังแก่วิเวียน สงสัยสั่งสอนกันมาสิท่า” แองจี้เบ้ปากอย่างรังเกียจ

                “ฉันคิดไว้แล้วว่านังหน้าจืดนี่ต้องไม่ธรรมดา” นาตาชาเม้มปากอย่างหมั่นไส้ “วิเวียนคงหาทางแก้เผ็ดเธอแน่ ถึงได้ส่งนังเด็กนี่มาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ วิลเลี่ยม พวกมันคงรู้กันแหละ”

                “วิลเลี่ยมไม่เลือกฉัน เขาก็เลือกนังเด็กนี่ไม่ได้เหมือนกัน” แองจี้คำราม รู้สึกเหม็นขี้หน้านังเด็กหน้าจืดจนหายใจแทบไม่ออก “ฉันไม่ยอมหรอก คอยดูก็แล้วกัน”

                “นั่นไงวิลเลี่ยม เขามองนังเด็กนั่นตาเป็นมันเชียว” นาตาชากระซิบกระซาบ ก่อนจะดึงแขนเพื่อนสนิทให้ไปหลบหลังราวเสื้อผ้า ใช้ชุดราตรียาวเป็นเกราะกำบังเพื่อให้พ้นจากสายตาของ วิลเลี่ยม เทรเวน

                “ของใหม่ก็อย่างนี้แหละ” แองจี้แขวะ วิลเลี่ยมก็เป็นอย่างนี้กับผู้หญิงทุกคนนั่นละ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ซมซานกลับมาหาเธออยู่ดี “มันเข้าไปประจบพี่สาวของวิลเลี่ยมด้วย หน้าซื่อๆ แต่ตลบตะแลงจริงๆ นังเด็กนี่”

                แองจี้เม้มปาก โกรธจนควันออกหู เมื่อมองนังเด็กหน้าจืดที่วิลเลี่ยมควงมาหักหน้าเธอ เดินเข้าไปช่วย แสนดี เทรเวน พี่สาวแท้ๆ ของวิลเลี่ยมและพ่วงตำแหน่งนางแบบคนเก่งในสังกัดของวิเวียนอีกคน ไปเปลี่ยนชุดในห้องแต่งตัว

                “มันคงเตี๊ยมกันมากับวิเวียนอย่างนั้นสิท่า มารยานักนะแก” แองจี้สบถในลำคอ

                “วิเวียนคงอยากเล่นงานเธอมากจนต้องใช้นังเด็กนั่น” นาตาชาออกความเห็นบ้าง “วางแผนเก่ง นังหน้าจืดนั่นตรงกับสเปกของวิลเลี่ยมทุกอย่างเลย ผมเข้ม หน้าสวย...”

                “นี่!” แองจี้ตวาดเพื่อนสนิทที่กล้าเอ่ยชมนังเด็กนั่นต่อหน้าเธอ “เธออยู่ข้างใครกันแน่นาตาชา ข้างฉัน หรือข้างนังเด็กนั่น”

                “ก็ต้องข้างเธอสิ” นาตาชาตอบทันควัน “แต่เราจะประเมินนังเด็กนั่นต่ำไม่ได้นะแองจี้ เธอไม่เห็นเหรอว่าขนาดยังไม่แต่งหน้าแต่งตา นังเด็กนั่นยังสวยขนาดนี้ แล้วถ้ามัน...”

                “ฉันรู้ ฉันไม่ได้ตาบอด” แองจี้กระแทกเสียงใส่เพื่อน ไม่จำเป็นต้องให้นาตาชามาบอกในสิ่งที่เธอเห็นอยู่ตำตาอีกครั้งหรอก “ฉันคงรอให้วิลเลี่ยมเบื่อมันเองไม่ได้ ฉันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว” แองจี้พูดอย่างมาดมั่น

                “ฉันคิดออกอยู่อย่างหนึ่ง”​ นาตาชากระซิบกระซาบ        

                “ดีเลย” แองจี้ยิ้มกริ่ม พยักหน้าให้นาตาชาอย่างพอใจ “แต่รอให้วิลเลี่ยมออกไปก่อน ฉันไม่อยากมีปัญหา แค่นี้ก็แก้จนไม่รู้จะแก้ยังไงแล้ว”

                “ดี งั้นเดี๋ยวฉันมา” นาตาชาพยักหน้าให้เพื่อนสนิท แล้วค่อยๆ ย่องออกไป พยายามไม่ให้วิลเลี่ยมเห็นเธอหรือแองจี้ ไม่งั้นเดี๋ยวแผนจะแตกก่อนจัดการนังหน้าจืดสำเร็จ

 

                แม้จะโมโหไม่น้อยที่โดนเรียกด้วยสรรพนามที่น่ารังเกียจ แถมคนที่เรียกยังเป็นผู้หญิงที่มีทีท่าว่าจะไม่ชอบหน้าเธอตั้งแต่แรกพบสบตาอีก พลอยทำให้ไวโอเล็ตนั้นหงุดหงิดและโมโห พานโยนความผิดนี้ไปให้ตัวการใหญ่อย่าง วิลเลี่ยม เทรเวน เธอไม่น่าหลวมตัวไปทำดีกับเขาเลย...

                แต่คนโดนโยนความผิดกลับไม่รู้สึกรู้สา เขาเดินตามวิเวียนเข้ามาเปลี่ยนชุด ถอดเสื้อยืดออกอย่างรวดเร็วเพื่อเปลี่ยนเป็นชุดใหม่เอี่ยมซึ่งวิเวียนเตรียมไว้ให้

                “ไวโอเล็ตเป็นยังไงบ้างครับ วิเวียนคนสวย” วิลเลี่ยมยิ้มแฉ่ง โปรยยิ้มเป็นใบเบิกทาง ด้วยรู้ดีว่า วิเวียนไม่เห็นด้วยที่เขาเข้ามาเกาะแกะยายตัวเล็กเท่าไรนัก

                “จะมาถามฉันทำไม ยายเป็ดเป็นยังไงฉันจะรู้เหรอ” วิเวียนตอบวิลเลี่ยมเสียงแข็ง กระด้างกระเดื่อง เมื่ออีกฝ่ายนั้นไม่ได้ซ่อนอาการอยากได้ยายเป็ดน้อยของเธอเลยสักนิด “อยากรู้นักก็ไปถามกันเองสิ”

                “โธ่ วิเวียน...ไม่เอาน่า อย่างอนผมสิครับ” วิลเลี่ยมทำตาละห้อย ออดอ้อนวิเวียนตามประสา “ผมก็แค่ถามตามประสาคนรู้จักกันเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรแอบแฝงสักหน่อย”

                “อย่ามาใช้มารยากับฉันให้เสียเวลาเลยพ่อคู้ณ” วิเวียนเสียงแหลม หยิกหมับไปที่เนื้อขาวๆ ตรงหน้าท้องของวิลเลี่ยมไม่เบามือ จนพ่อคนเจ้าชู้ไก่แจ้อย่างวิลเลี่ยมร้องจ๊าก “ฉันน่ะแก่ปูนนี้แล้ว เด็กคราวลูกน่ะไม่โดนใจเจ๊...อยากมีสามีย่ะ ไม่ได้อยากมีลูกชาย”

                “พูดเป็นเล่นไปได้นะครับวิเวียน วิเวียนของผมน่ะออกจะเนื้อหอม หนุ่มที่ไหนก็อยากได้เป็นแฟนทั้งนั้นแหละ” ชายหนุ่มว่าตาหยี

                “แน่นอนสิยะ ฉันรู้ว่าฉันสวย” คนที่บ่นว่าไม่อยากได้ลูกชายเชิดหน้า ยกมือขึ้นสะบัดผมไปข้างหลังแล้วจิกตาใส่วิลเลี่ยม “ใครก็อยากได้แฟนสวยเป็นธรรมดา”

                “ของมันแน่อยู่แล้วครับ” วิลเลี่ยมรับมุกอย่างรู้งาน ก่อนจะวกกลับมาเรื่องเดิมที่เขาถามไว้ตั้งแต่ต้นของการสนทนา “ว่าแต่ ไวโอเล็ตล่ะครับ...”

                “ยายเป็ดน่ะเหรอ เฮ้อ...” วิเวียนพูดแล้วถอนหายใจอย่างคิดไม่ตก เพราะหลังจากวันที่ไวโอเล็ตบอกว่าไปเจอแม่มา ไวโอเล็ตก็สลดลงจนเห็นได้ชัด ดวงตาเศร้าของยายเป็ดน้อยไม่อาจพ้นสายตาของคนที่ผ่านโลกมามากอย่างเธอได้อย่างแน่นอน “ไม่ค่อยดีหรอก ช่วงนี้ก็ซึมลงไปนิดหน่อย”

                “มีเรื่องอะไรเหรอครับ” วิลเลี่ยมซัก เพราะตั้งแต่วันที่เขาบังคับไวโอเล็ตไปเดต เธอก็ไม่เคยโทร. มาหาเขาเลย นี่ขนาดเขาให้เบอร์ส่วนตัวกับยายเป็ดนั่นเอาไว้แล้วนะ คิดแล้วก็น่าหงุดหงิด “ยายเป็ดน้อยของคุณเครียดเรื่องงานหรือครับ”

                “เรื่องที่บ้านต่างหาก” วิเวียนมองซ้ายขวาแล้วกระซิบ แต่ในระหว่างนี้ก็พับผ้าเช็ดหน้า แล้วยัดลงไปในกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกของวิลเลี่ยมไปด้วยในที “ยายเป็ดไม่ค่อยลงรอยกับแม่เท่าไหร่น่ะ เห็นทำหน้าเศร้าๆ ช่วงนี้ คงเคลียร์ปัญหากันไม่ได้ละมั้ง”

                “แล้วมีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่าครับวิเวียน” วิลเลี่ยมพยักหน้าแล้วถามอีก เข้าใจว่าวิเวียนคงไม่อาจพูดเรื่องครอบครัวไวโอเล็ตให้เขาฟังไปมากกว่านี้ได้ แต่ก็ยังดีกว่าที่เขาไม่รู้สารทุกข์สุกดิบของยายตัวเล็กเลย “เช่นพักนี้ยายตัวเล็กมีใครมาระรานหรือเปล่าครับ”

                “ทำไมต้องมีใครมาระรานยายเป็ดของฉันด้วย” วิเวียนหน้ายู่ ไม่เข้าใจคำถามของวิลเลี่ยม “มีอะไรที่เธอยังไม่บอกฉันหรือเปล่าวิลเลี่ยม” วิเวียนหรี่ตาจับผิดพ่อคนกะล่อน

                “ผมก็แค่ถาม...” วิลเลี่ยมทำหน้าเหลอ ไม่นำพาสายตาจับผิดของวิเวียนแต่อย่างใด “เผื่อว่าจะมีใครหมั่นไส้ลูกรักคนใหม่ของคุณไงครับ”

                “เรื่องนั้นน่ะมีแน่” วิเวียนกลอกตาเมื่อวิลเลี่ยมพูดได้โดนใจ “ไม่เห็นเมียเก่าของเธอหรือไงจ๊ะวิลเลี่ยม นังนั่นมองยายเป็ดของฉันราวกับจะเข้ามาฆ่าให้ได้ แต่ก็ช่างเถอะ...ยายเป็ดของฉันก็ไม่ได้อ่อนหัดหรอกย่ะ”

                “ผมก็คิดว่าอย่างนั้นครับ” วิลเลี่ยมอมยิ้ม เห็นด้วยกับวิเวียนเรื่องที่ยายเป็ดน้อยไม่ได้อ่อนหัด เพราะเธอกล้าวัดฝีปากกับเขาที่เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง ยายเป็ดน้อยนี่พอจะมีของ “ว่าแต่แองจี้มางานนี้ด้วยเหรอครับ ผมไม่เห็นเลยตั้งแต่มา”

                “ก็เธอเอาแต่มองยายเป็ดน้อยของฉัน จะเอาเวลาที่ไหนมาแยแสนังแองจี้ล่ะ” วิเวียนเบ้ปากใส่วิลเลี่ยม ส่งต่อเขาไปให้ช่างแต่งหน้าที่รอทำหน้าที่อยู่แล้ว “ไหนๆ ก็พูดเรื่องนังแองจี้แล้ว ถามอะไรอย่างสิวิล...”

                “คุณเรียกผมแบบนี้ผมไม่สบายใจเลยนะครับ” วิลเลี่ยมแกล้งแหย่ ทำเอาวิเวียนถึงกับต้องกลอกตาใส่ “จะถามผมเรื่องอะไรครับ”

                “เลิกกับนังแองจี้หรือยัง” วิเวียนถามเสียงเบา ไม่ได้ตั้งใจจะสอดรู้สอดเห็น แต่ก็อยากรู้จนอดถามไม่ไหวจริงๆ “อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะวิล แต่ข่าวนี้ใครๆ ก็อยากรู้” วิเวียนยิ้มแหย

                สายตาสงสัยใคร่รู้ของบรรดาช่างหน้าช่างผมที่ห้อมล้อมเขาอยู่ ทำเอาวิลเลี่ยมถึงกับต้องถอนหายใจยาว “ผมก็ไม่เคยบอกว่าคบกับเธอนี่ครับ”

                คำพูดสั้นๆ ง่ายๆ ของทายาทกิจการโรงแรมยักษ์ใหญ่ ทำให้วิเวียนยิ้มกริ่มด้วยความสะใจ

                นังแองจี้...คราวนี้แกโดนฉันหักปีกเดี้ยงแน่ หึๆ

                “ถ้ารู้ว่าเรื่องงี่เง่านี้จะสร้างปัญหาขนาดนี้ ผมคงแก้ข่าวไปตั้งนานแล้ว”

                “ไม่ต้องเลยจ้ะที่รักของฉัน” วิเวียนจับหน้าวิลเลี่ยมแล้วหอมฟอดใหญ่ “มันไม่จำเป็นสักนิดเดียวคนดีของฉัน เธอทำในสิ่งที่เธอควรทำแล้ว ที่เหลือให้ฉันจัดการเองดีกว่า”

                “อย่าหนักมือไปก็พอครับ” วิลเลี่ยมหลับตาลงเมื่อช่างแต่งหน้าเริ่มลงมือ ไม่ได้สนใจว่าวิเวียนจะต้มยำทำแกงอะไรแองจี้ “เดี๋ยวผมโดนเล่นข่าวว่าเป็นคนสั่งให้คุณทำอีก”

                “ฉันว่าเก๋ดีออก” วิเวียนยิ้ม แต่วิลเลี่ยมกลับไม่ตลกด้วย “โอเคๆ ฉันจะเพลามือให้ก็ได้ พอใจหรือยังจ๊ะ”

                “ขอบคุณที่เข้าใจครับ” วิลเลี่ยมยิ้มทั้งที่ยังหลับตา

                วิเวียนประทับจูบหนักๆ ที่แก้มของวิลเลี่ยมอีกครั้งก่อนจะออกไปดูแลงานที่เหลือต่อ ปล่อยให้เหล่าช่างหน้าช่างผมฝีมือดีจัดการเสริมหล่อให้หนุ่มในสังกัดที่เธอตกได้มาจากบ้านเทรเวนให้เสร็จ เพื่อที่เขาจะทำหน้าที่พิธีกรจำเป็นในงานวันนี้

 

                “ไวโอเล็ตจ๊ะ เป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั้ย” มาการ์เร็ตเดินเลี่ยงเข้ามาถามลูกสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บชุดราตรีสีสวยเข้าถุง หลังจากที่ช่วยนางแบบคนหนึ่งเปลี่ยนชุดเสร็จเรียบร้อย “อยากได้อะไรหรือเปล่า”

                “ไม่ค่ะ” ไวโอเล็ตเงยหน้าขึ้นมองมารดาแล้วส่ายหัว ทำตัวไม่ให้คนอื่นผิดสังเกตเท่าที่จะทำได้ “คุณอยากให้หนูช่วยอะไรหรือคะ”

                “เปล่าหรอก แม่แค่แวะมาหา” มาการ์เร็ตป้องปากพูดเสียงเบา ระวังไม่ให้ใครได้ยิน “หนูไม่เป็นไรแน่เหรอไวโอเล็ต นางแบบสองคนนั้นเขาดูไม่ค่อยชอบหนูเลย หนูไหวหรือเปล่า”

                “หนูไหวค่ะ” ไวโอเล็ตพยักหน้าให้คนเป็นแม่ พร้อมกับรอยยิ้มแห้งๆ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอจะรับมือกับผู้หญิงของวิลเลี่ยมไหวหรือเปล่า บอกว่าไหวไปก่อนก็แล้วกัน “คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก วิเวียนก็อยู่ด้วย...เขาคงแกล้งหนูมากไม่ได้หรอกค่ะ”

                “งั้นก็อย่าอยู่คนเดียวนะจ๊ะ” มาการ์เร็ตเตือน “แม่ต้องออกไปแล้ว อีกเดี๋ยวงานคงเริ่ม”

                “ค่ะ” ไวโอเล็ตพยักหน้า

                “โอ้...ไวโอเล็ต” มาการ์เร็ตนึกบางอย่างขึ้นได้

                “คะ?”

                “เสร็จงานแล้วหนูอยากจะไปทานข้าวกับแม่หรือเปล่า” มาการ์เร็ตถาม จ้องหน้าไวโอเล็ตอย่างขอร้องแกมมีความหวัง “แม่จะไปทานข้าวกับเพื่อนนางแบบที่แม่สนิท หนูอยากไปด้วยกันมั้ย”

                “ไปกับเพื่อนคุณหรือคะ” ไวโอเล็ตลังเลเมื่อมาการ์เร็ตบอกว่าจะมีคนอื่นไปด้วย การรู้จักนางแบบคนอื่นในสถานการณ์อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ตอนนี้เธอยังยืนในวงการนี้ไม่ได้ด้วยตัวเอง ถ้าขืนไปรู้จักคนอื่นนอกจากวิเวียน...เธอคงไม่พ้นโดนครหาว่าใช้เส้นสายแน่...

                “พวกเขาน่ารักจ้ะ” มาการ์เร็ตให้ความมั่นใจเพิ่ม เพราะวันนี้เธอนัดรับประทานข้าวกับเพื่อนที่สนิทและไว้ใจได้จริงๆ เท่านั้น “ไปเถอะนะ แม่รับรองว่าจะไม่มีปัญหาตามมาแน่นอน”

                “ก็ได้ค่ะ” ไวโอเล็ตตกลงหลังจากไตร่ตรองแล้ว ทำให้มาการ์เร็ตยิ้มกว้างเหมือนดอกไม้ได้รับแสงอาทิตย์

                “เดี๋ยวแม่โทร. บอกพ่อให้นะว่าวันนี้หนูจะกลับบ้านดึก” มาการ์เร็ตยิ้มกว้าง ดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ แต่ทั้งสองกลับถูกขัดจังหวะโดยชายร่างยักษ์ที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาเป็นบอดีการ์ด

                “คุณไวโอเล็ตใช่มั้ยครับ” เคนถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามแบบฉบับทหารเก่า “นี่เค้กมะนาวของคุณครับ” ว่าแล้วเคนก็ส่งเค้กที่วิลเลี่ยมโทร. สั่งให้เขาไปซื้อจากร้านกาแฟที่อยู่ไกลเกือบอีกฟากของเมืองเพื่อเอามาให้ผู้หญิงที่ชื่อไวโอเล็ต

                “คุณเป็นใครคะ” ไวโอเล็ตมองเคนด้วยสายตาหวาดระแวง ไม่ต่างจากมาการ์เร็ต

                “ผมชื่อเคน เป็นบอดีการ์ดของคุณแสนดี เทรเวน ครับ” เคนค้อมหัว แนะนำตัวแก่สองสาวสวยแล้วพูดต่อ “คุณวิลเลี่ยมให้ผมเอามาให้คุณครับ”

                “เอ่อ...ขอบคุณค่ะ” ไวโอเล็ตทำหน้าไม่ถูกเมื่อรู้ว่าใครเป็นคนส่งเค้กนี้มาให้ “ฝากขอบคุณคุณวิลเลี่ยมด้วยนะคะ”

                “ยินดีครับ” เคนพยายามฉีกยิ้มแล้วถอยออกไปจากสถานการณ์วุ่นวายหลังเวที หลังจากทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จเรียบร้อย

                “วิลเลี่ยม ส่งขนมมาให้” มาการ์เร็ตมองกล่องเค้กในมือไวโอเล็ตอย่างไม่ไว้ใจ “แถมยังรู้ด้วยว่าหนูชอบกินเค้กรสนี้ อืม...”

                “มันก็แค่เรื่องไร้สาระค่ะ อย่าใส่ใจเลย” ไวโอเล็ตถอนหายใจยาว “คุณต้องรีบออกไปข้างนอกไม่ใช่หรือคะ ทำไมถึงยังอยู่ตรงนี้อยู่อีก”

                “แม่รู้จ้ะ” มาการ์เร็ตฝืนยิ้ม เห็นทีเธอกับแฮร์รี่คงมีเรื่องใหม่ให้ช่วยกันคิดเสียแล้ว “โทร. หาแม่ตอนหนูเสร็จงานแล้วนะจ๊ะ แม่จะมารับ”

                “คุณจะขับรถมาเองหรือคะ” ไวโอเล็ตทำหน้าย่น คิดไม่ถึงว่ามาการ์เร็ตจะกล้าขับรถมารับเธอเอง ไม่คิดกลัวปาปารัซซีเลยหรือยังไงนะผู้หญิงคนนี้ “ทำไมไม่ให้คนขับรถของคุณมารับหนู แบบนั้นไม่จะง่ายกว่าหรือคะ”

                “หนูอยากให้คนอื่นมารับหนูเหรอ” มาการ์เร็ตเลิกคิ้วถาม

                “เปล่าค่ะ หนูแค่คิดว่าคุณคงไม่อยากทำให้เรื่องมันวุ่นวาย”

                “ไม่มีอะไรวุ่นวายหรอก” มาการ์เร็ตยิ้มกว้าง “แม่จะมารับหนูเอง ตกลงตามนี้นะ”

                “ค่ะ” ไวโอเล็ตพยักหน้า มองนางแบบแห่งยุคอย่างมาการ์เร็ตเดินออกไปจากหลังเวทีด้วยสีหน้าเรียบเฉย

                เธอไม่ได้โกรธผู้หญิงคนนี้ มันไม่ใช่อารมณ์โกรธเสียทั้งหมด มันซับซ้อนกว่านั้นมาก และเธอก็ต้องการเวลามากกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะญาติดีกับมาการ์เร็ตได้ง่ายๆ หรอกนะ...ตอนนี้เธอแค่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่ มีเหตุผล และทำอะไรอย่างรอบคอบ จะให้อารมณ์อ่อนไหวมาทำให้เธอกลับไปเป็นเด็กน้อยขี้แย เอาแต่ใจอีกไม่ได้

                “ประจบถูกคนเชียวนะ”

                เสียงพูดกระแนะกระแหนทำให้ไวโอเล็ตเงยหน้าจากเค้กชิ้นเล็กในมือขึ้นมองสองนางแบบสาว แองจี้กับนาตาชานั่นเอง

                “หล่อนนี่ร้ายไม่เบา เลียแข้งเลียขาแต่นางแบบเบอร์ใหญ่ๆ สงสัยจะฝันไกลอยู่สิท่า” แองจี้เบ้ปาก พูดเสียงขึ้นจมูกอย่างดูถูก

                “มันก็ขึ้นอยู่กับว่าฝันไกลของคุณมันหมายความว่ายังไง” ไวโอเล็ตวางเค้กลงที่มุมโต๊ะ มองหน้าแองจี้แล้วเลิกคิ้ว “เพราะถ้ามันหมายถึงการยอมเป็นของเล่นบนเตียงผู้ชายเพื่อให้ได้งานมา มันก็คงไม่ใช่ฝันไกลของฉัน”

                “นังหน้าจืด!” แองจี้ร้องกรี๊ด กำหมัดแน่นเมื่อนังเด็กหน้าจืดกล้าต่อปากต่อคำกับเธอ

                “ไม่ทราบว่าเรียกหาใครคะจะได้ตามให้ถูก” ไวโอเล็ตพูดหน้าตาย

                “ปากดีนักนะแก เป็นแค่ทีมงานปลายแถว อย่าเหลิงนักเลย” นาตาชาเยาะเย้ย “แกคิดเหรอว่าวิลเลี่ยมจะเสียเวลาชุบตัวแกขึ้นมาเป็นนางแบบ ในเมื่อเขามีนางแบบจริงๆ อยู่แล้ว”

                “สงสัยเพราะเขามีนางแบบจริงๆ อยู่เยอะ ถึงได้มีแผนจะโละของเก่าทิ้ง” ไวโอเล็ตยิ้มเยาะ พูดแทงใจดำอีกฝ่ายได้ถูกจุด “แย่หน่อยนะคะที่ข่าวเรื่องคุณโดนปลดไม่ใช่ความลับ คงไม่ว่ากันที่ฉันจะเอามาพูด”

                “นังหน้าจืด!” แองจี้ร้องกรี๊ด เดือดพล่านเมื่อไวโอเล็ตกล้าเอาความลับเรื่องงานของเธอมาป่าวประกาศ นังเด็กนี่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง หรือว่าวิลเลี่ยม... “แก!”

                “ร้องไปก็เท่านั้นแหละค่ะ ฉันไม่เดือดร้อนหรอก อย่างมากก็แค่รำคาญที่ต้องทนฟังเสียงร้องเหมือนควายออกลูกของคุณก็เท่านั้น”

                “แกคิดว่าแกเป็นใครถึงกล้าพูดอย่างนี้กับพวกเราฮะ” นาตาชาเดินเข้าไปคว้าแขนไวโอเล็ตไว้แล้วบีบแน่น “คิดว่าตัวเองแน่นักเหรอ แกน่ะ”

                “แล้วคุณล่ะคะคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน” ไวโอเล็ตมองมือของนาตาชาที่บีบแขนเธอ ก่อนจะใช้มืออีกข้างแกะนิ้วโป้งของนาตาชาออก แล้วหักมันไปด้านหลัง “มาทำตัวต่ำใส่ฉันแบบนี้ คิดหรือว่าฉันจะกลัว”

                “นังบ้า!”  นาตาชาร้องลั่น เจ็บที่โดนไวโอเล็ตหักนิ้วไปด้านหลังจนต้องรีบปล่อยมือ “แกกล้าทำร้ายฉันเหรอ ใครเป็นหัวหน้าผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการคุยกับหัวหน้า!” นาตาชาตะโกน เรียกร้องความสนใจจากคนที่หลังเวทีทั้งหมดให้มองมาที่พวกเธอเป็นตาเดียว

                “มีเรื่องอะไรกัน” วิเวียนเดินเข้ามาร่วมวงด้วยสีหน้าซังกะตาย นังตัวแสบสองตัวนี่ป่วนเธอเข้าจนได้ “มีอะไรกัน ไวโอเล็ต”

                “โอ้ ที่แท้ก็คนของคุณเองหรือคะวิเวียน” แองจี้ถามเสียงอ่อนเสียงหวาน แสดงสีหน้าผิดหวังจนวิเวียนอยากแนะนำให้ไปเป็นนักแสดงแทนที่จะเป็นนางแบบ “ฉันเสียใจแทนคุณจริงๆ นะคะที่มีทีมงานห่วยแตกแบบนี้ คุณรับมันมาทำงานได้ยังไงคะ”

                “ทำไม คนของฉันทำอะไร” วิเวียนถามอย่างขอไปที “พูดมาเร็วๆ ฉันจะได้ไปทำงานต่อ”

                “นังนี่มันทำร้ายนาตาชา” แองจี้ชี้หน้าไวโอเล็ตอย่างกล่าวหา “นังเด็กหน้าจืดของคุณมันทำตัวพาล แย่มาก...ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลยสักนิด”

                “นาตาชาก็ไม่ได้พิกลพิการ รอยถลอกก็ไม่เห็นมี แล้วไหนหลักฐานที่บอกว่าคนของฉันทำร้าย” วิเวียนพูดเนิบๆ ปรายตามองนาตาชาตั้งแต่หัวจดเท้า แล้วส่งยิ้มอย่างเหยียดๆ ให้

                “อ้อ นี่คุณเข้าข้างคนของคุณอย่างนั้นสินะ” แองจี้เบ้ปากใส่วิเวียนอย่างรังเกียจ “ฉันเพิ่งรู้ว่าคุณเลือกปฏิบัตินะคะวิเวียน ฉันเสียใจจริงๆ ที่เคยชื่นชมคุณ”

                “ฉันเลือกปฏิบัติยังไงมิทราบยะ” วิเวียนถามกลับ ทว่าคราวนี้ในน้ำเสียงของคนที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมาเกือบชั่วชีวิตมีแววไม่พอใจแฝงมาด้วย “พูดมาชัดๆ ซิ”

                “ก็ที่คุณเข้าข้างนังเด็กฝึกงานของคุณ แถมยังให้เราใส่ชุดคอลเล็กชันเก่าๆ แต่หาชุดคอลเล็กชันใหม่มาให้เด็กในสังกัดตัวเองไงละ” คำพูดของนาตาชาเป็นการราดน้ำมันใส่กองไฟ สะกิดความไม่พอใจของนางแบบทั้งหลายที่เพิ่งเห็นชุดของ แซนดี เทรเวน

                “ก็หล่อนสั่งให้ฉันวิ่งหัวปั่นไปหาชุดนี้มาให้พวกหล่อนใส่เองไม่ใช่หรือไง” วิเวียนไม่เดือดร้อนกับสายตาจิกกัดของคนข้างหลังเวที และทำแค่ปรายตามองชุดของนาตาชากับแองจี้ก่อนยิ้มมุมปาก “ชุดก็ได้อย่างที่สั่งทุกอย่าง...แต่กลับไม่พอใจ แล้วจะให้ฉันทำยังไง”

                “พูดไร้ความรับผิดชอบจังนะคะ” แองจี้จิกกัด

                “นี่แหละมีความรับผิดชอบสุดๆ แล้ว” วิเวียนเดินเข้าไปใกล้แองจี้แล้วมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “ชุดของแสนดีน่ะ ต่อให้หล่อนดิ้นรนหาเงินมาทั้งชีวิตเน่าหนอนของหล่อน ก็ยังไม่มีปัญญาจ่ายค่าเศษผ้าเลยฉันจะบอกให้...คราวหน้าคราวหลัง ถ้าอยากจะเปรียบเทียบตัวเองกับใครเขา...ก็ดูก่อนด้วยว่าหล่อนมันอยู่ระดับไหน แล้วแสนดีของฉันอยู่ระดับไหน นังนางฟ้าปีกหัก!”

                “ฉันจะเปลี่ยนชุด ชุดนี้มันหลวม” นาตาชาเชิดหน้าสั่ง วิเวียนมีหน้าที่ต้องดูแลเธอ อย่างไรเสียวิเวียนก็ต้องยอมอ่อนข้อให้เธอ...ให้มันรู้ไปสิว่าวิเวียนจะยอมปล่อยให้งานตัวเองเสีย “ถ้าฉันไม่ได้ชุดใหม่ ฉันก็จะถอนตัวจากการเชิญรางวัล” นาตาชาขู่

                “ฉันเหมือนกัน” แองจี้เล่นตามแผน กดดันให้วิเวียนไล่นังเด็กหน้าจืดนี่ออกจากงานไปเนียนๆ “ฉันต้องการให้คุณไล่นังเด็กนี่ออก ข้อหาที่มันทำร้ายนาตาชาและดูถูกฉัน!”

                “ไม่อยากทำมันก็เรื่องของหล่อน” วิเวียนไม่สนใจ ทำไมเธอต้องมาเสียเวลาทำตามใจคนที่ไร้ความเป็นมืออาชีพอย่างนังสองตัวนี่ด้วย “ใครก็ได้ไปตาม แสนดี เทรเวน กลับเข้ามาให้ฉันที บอกว่าฉันอยากให้แสนดีเชิญรางวัลอีกรางวัล!”

                “นี่คุณกล้า...” นาตาชาอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าวิเวียนจะยอมหักไม่ยอมงอ

                “รู้จักฉันน้อยไปแล้ว นังตัวแสบ” วิเวียนเลิกคิ้วเยาะเย้ยแองจี้และนาตาชา “จะเอาอะไรอีกนะ อยากให้ฉันไล่ไวโอเล็ตออกใช่มั้ย”

                “…”

                “บอกฉันหน่อยสิไวโอเล็ต เธอได้ทำร้ายคุณนาตาชาก่อนหรือเปล่า” วิเวียนถามไวโอเล็ตโดยไม่มองหน้า

                “ฉันไม่ได้ทำร้ายเธอก่อนค่ะ” ไวโอเล็ตพูดความจริง “ฉันแค่ปลดมือคุณนาตาชาออกจากแขนฉันเท่านั้น”

                “โกหก! แกหักนิ้วฉัน ใครๆ ก็เห็น!” นาตาชาชี้หน้าด่ากราดอย่างไม่เกรงใจ “ใช่มั้ยแองจี้!”

                “ใช่” แองจี้ยืนยันช่วยเพื่อนสนิท

                “งั้นก็เอาเทปจากกล้องวงจรปิดมาตรวจสิคะ” ไวโอเล็ตเสนอทางออก “เพราะฉันมั่นใจว่าฉันไม่ได้โกหก”

                “ฉลาดมากนังเป็ด!” วิเวียนดีดนิ้วอย่างถูกอกถูกใจกับความฉลาดของไวโอเล็ต “เอ้าๆ ใครว่างไปเช็กเทปกล้องวงจรปิดให้ฉันหน่อย!”

                “ทางนี้เลยค่ะวิเวียน” หนึ่งในทีมงานที่ดูเหตุการณ์มาตั้งแต่แรกตะโกนข้ามห้องมา พร้อมกับโบกมือให้วิเวียน “ฉันจะนำไปเองค่ะ”

                “ไหนดูสิ ใครนะที่ตอแหลไม่เนียน” วิเวียนพูดเสียงดัง เดินลอยหน้าลอยตาไปกับทีมงานที่บอกว่าจะนำเธอไปดูเทปกล้องวงจรปิด ทำเอาสองเพื่อนสนิทอย่างแองจี้กับนาตาชาถึงกับลนลาน มองหน้ากันอย่างหวาดหวั่น ลืมคิดถึงเรื่องกล้องวงจรปิดไปสนิทเลย...

                “นาตาชา!” แองจี้สะกิดเพื่อนสนิท หน้างามซีดเผือดเมื่อเรื่องนี้ไม่เป็นไปตามแผน “จะทำยังไงดี”

                “ทำตัวให้ฉลาดขึ้นก็พอค่ะ” ไวโอเล็ตพูดขึ้นมาขณะที่นาตาชากับแองจี้ทำท่าจะเดินหนีออกจากงาน “อย่าโง่ซ้ำโง่ซากเลยค่ะ มันน่าเบื่อ” คนที่มีพิษสงไม่แพ้กันพูดด้วยใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ “อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าสวยใสไร้สมองของจริง...เคยได้ยิน แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอตัวเป็นๆ แถมยังโง่แพ็กคู่อีกต่างหาก ดีใจจริงๆ”

                “อีบ้า!”

                “เลิกโวยวายสักทีเถอะแองจี้” นาตาชาแหวเพื่อนสนิท รีบมองหาทางหนีทีไล่เมื่อเห็นว่าบ่วงกำลังจะย้อนกลับมารัดคอเธอกับแองจี้ “อยากโง่เหมือนนังเด็กนี่นักหรือไง”

                “แล้วมันเป็นความคิดใครล่ะ” แองจี้ถามลอดไรฟัน เหลือบมองช่างแต่งหน้าและทีมงานที่กำลังเมียงมองมา ก่อนจะหลบตา “ฉันจะกลับละ เอาไว้นัดเจอกันวันหลังนะ”

                “จะทิ้งกันแบบนี้เลยหรือแองจี้” นาตาชามองเพื่อนสนิทที่กำลังรวบชายกระโปรง เดินออกไปจากงานอย่างไม่เชื่อสายตา “ทำไมเธอเห็นแก่ตัวอย่างนี้แองจี้!”

                “ก็มันแผนของเธอนี่” แองจี้กระซิบเพื่อนสนิท “เธอไม่ได้เดือดร้อนคนเดียวสักหน่อยนะนาตาชา ฉันเองก็พลอยเดือดร้อนไปด้วยเหมือนกัน แล้วจะให้ฉันทำยังไงได้”

                “แต่ที่ฉันทำก็เพราะฉันอยากช่วยให้เธอได้ผู้ชายของเธอคืนมานะ” นาตาชาแหว

                “ฉันรู้แล้ว” แองจี้ขึ้นเสียงแหลมไม่ต่างกัน “ฉันถึงบอกไง ว่าค่อยคุยกันน่ะ!”

                ไวโอเล็ตมองนาตาชากับแองจี้เถียงกันแล้วเบ้หน้า หมุนตัวเดินหนีไปทำหน้าที่ของเธอต่อ โดยการช่วยทีมงานยกกล่องใส่ของออกไปวางไว้ข้างนอก เพื่อไม่ให้เกะกะการทำงานของคนอื่นๆ ถึงจะไม่ใช่หน้าที่ของเธอ แต่เธอก็อยากทำและเป็นการถือโอกาสออกมาสูดอากาศเพื่อสงบสติอารมณ์ของเธอด้วย

               

                “ไหวหรือเปล่าเนี่ย เพิ่งมาก็เจอดีเลย” ทีมงานชายที่ไวโอเล็ตช่วยยกกล่องออกมาเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “สวยมากก็โดนเขม่นอย่างนี้แหละ ทำใจเถอะ”

                “ค่ะ” ไวโอเล็ตพยักหน้าแกนๆ แล้วถอนหายใจ “ฉันแค่เห็นว่ามันน่ารำคาญเท่านั้นเองน่ะค่ะ ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากหรอก”

                “วิลเลี่ยม เทรเวน เชียวนะ...ผู้หญิงตบตีกันเป็นเรื่องธรรมดา”

                “ฉันรู้ค่ะ ผู้ชายเจ้าชู้ แถมรวยด้วย” ไวโอเล็ตยิ้มให้ทีมงานชายอย่างขอไปที

                “ไอ้เจ้าชู้นี่ไม่รู้นะว่าจริงหรือเปล่า” เขาเบ้หน้า “แต่เรื่องรวยนี่มั่นใจได้ เปิดมูลนิธิให้สัตว์ตั้งมากมายขนาดนั้น ไม่รวยคงทำไม่ได้”

                “มูลนิธิเหรอคะ” ไวโอเล็ตเลิกคิ้วเป็นเชิงถามด้วยความแปลกใจ ทำไมเธอไม่เคยได้ยินว่าวิลเลี่ยมก็ทำอะไรดีๆ เหมือนคนอื่นเขาด้วย เพราะส่วนมากมีแต่ข่าวเรื่องผู้หญิงกับเรื่องเที่ยวเตร่ “ฉันไม่เคยได้ยินเลย”

                “ไปอยู่ที่ไหนมาเนี่ยไวโอเล็ต” ทีมงานชายที่พอจะรู้จักมักคุ้นกับสาวน้อยน่ารัก ว่าที่ลูกรักคนใหม่ของวิเวียน เอ่ยถามเธอด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ “ก็มูลนิธิที่พี่สาวเขาเป็นผู้บริจาครายใหญ่ไงล่ะ คุณคนสวยคนนั้นน่ะ”

                “เธอชื่อแซนดีค่ะ แซนดี เทรเวน”

                “ใช่ คุณคนสวยคนนั้นแหละ เห็นว่าบริจาคกันทั้งบ้านเชียว จะว่าเปิดมูลนิธิเพื่อเลี่ยงภาษีหรือก็ไม่ใช่...เพราะก็เห็นทำงานแลกเงินเดือนเหมือนอย่างเราๆ อยู่นะ ทั้งที่ทำงานกับที่บ้านก็ได้เงินมากมายแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังทนลำบาก แปลกคนจริงๆ” ทีมงานชายปรารภอย่างครุ่นคิด “แต่ก็นั่นแหละ บ้านเทรเวนมีใครปกติดีที่ไหนล่ะ”

                “คุณไม่ชอบบ้านเทรเวนหรือคะ” ไวโอเล็ตโยนหินถามทาง เพราะใช่ว่าบ้านเทรเวนจะเป็นที่รักของทุกคน มีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบ

                ไหนจะเพราะความหมั่นไส้ในความรวยและอิทธิพล รวมไปถึงหน้าตาที่เหมือนหลุดออกมาจากนิตยสารกันทั้งบ้าน บ้านเทรเวนเลยถูกบางคนหมั่นไส้และถูกเกลียดด้วยเหตุผลไร้สาระไปโดยปริยาย

                “ชอบสิ...สาวๆ บ้านนี้สวยชวนขาดใจตายกันทุกคน” ทีมงานวัยกลางคนหัวเราะร่วน ก่อนจะทำหน้าขยาด “แต่ผู้ชายนี่ขอผ่านนะ...เพราะแรงกันหมดทุกคนเหมือนกัน”

                “อันนี้เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ” ไวโอเล็ตเห็นพ้องกับเรื่องนี้เป็นที่สุด เพราะตั้งแต่เธอเกิดมา ยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนห่วงภรรยามากเท่า เคลวิน เทรเวน พ่อของวิลเลี่ยมเลยสักคน ที่สำคัญท่านยังหวงลูกสาวยิ่งกว่าจงอางหวงไข่อีกต่างหาก ไม่แปลกใจเลยที่คุณแซนดียังไม่มีแฟน ทั้งๆ ที่สวยหยาดฟ้ามาดินขนาดนี้แท้ๆ “สงสารก็แต่คุณแซนดีที่ไม่เคยจะมีแฟนเหมือนใครเขา”

                “อ้าว เธอมีแล้วไม่ใช่เหรอ” ชายคนนั้นหลุดอุทาน “ได้ยินว่าเดตกับมาเฟียเม็กซิกันอยู่นี่...ชื่ออะไรนะ วิก...วิกอะไรสักอย่างนี่แหละ”

                “วิกเตอร์หรือคะ” ไวโอเล็ตถามตาถลน ได้ยินข่าวลือมาเหมือนกัน ข่าวที่ว่าคนที่ชื่อวิกเตอร์กำลังตามตื๊อนางแบบคนหนึ่งอยู่ แต่ใครจะคิดล่ะว่านางแบบคนนั้นคือคุณแซนดี “วิกเตอร์ แบล็คครอสส์ หรือเปล่าคะ”

                “ใช่ คนนั้นแหละ!” ชายคนเดิมดีดนิ้วเสียงดัง อยากจะมอบรางวัลให้แม่สาวน้อย เพราะความดีความชอบที่ช่วยทำให้เขาจำชื่อมาเฟียที่โหดไม่แพ้ผู้ชายบ้านเทรเวนได้ “วันนี้ก็มางานด้วย ดูท่าจะไม่กลัวว่าที่พ่อตาเลยแฮะ...”

                “กระดูกก็เบอร์ใหญ่พอๆ กัน คงไม่มีอะไรให้กลัวแล้วมั้งคะ” ไวโอเล็ตกระซิบกระซาบระหว่างเดินกลับเข้ามาทางด้านหลังเวทีพร้อมกับทีมงานชายคนเดิม “ดีไม่ดีอาจจะโหดกว่าด้วยซ้ำ”

                “คอยดูเถอะ ก่อนคบก็เก่งกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ พอเป็นแฟนกันเข้าเท่านั้นนะ...หงอจนลูกแมวยังอายเลยคอยดู เชื่อผมเถอะ ผมรับประกันเลยล้านเปอร์เซ็นต์” คนที่ผ่านโลกมามากท้า

                “มั่นใจจังนะคะ เคยเป็นหรือเปล่าเนี่ย” ไวโอเล็ตกระเซ้า “ไม่ใช่ว่าตัวเองก็เป็นเหมือนกันนะคะ”

                “อย่างผมน่ะเรียกว่าเกรงใจ ยังไม่ได้กลัว” ทีมงานชายที่แต่งงานไปเมื่อไม่กี่ปีก่อนพูดอย่างวางท่า

                “ยังเหรอคะ” ไวโอเล็ตแกล้งอีก

                “แค่ยังครับผม”

                ไวโอเล็ตส่ายหัวให้แก่อารมณ์ขันที่ทำให้เธอลืมเรื่องเครียดทั้งหมดทั้งมวลไป ก่อนจะเอ่ยลาเมื่อต้องแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ เธอเดินกลับไปหาวิเวียนที่ยืนเท้าสะเอว ทำหน้ายักษ์เมื่อมองหายายเป็ดไม่เจอ

                “นังเป็ด หล่อนไปไหนของหล่อนมายะ” วิเวียนพุ่งเป้ามาที่ไวโอเล็ตทันทีที่คนตัวเล็กเดินหน้าจ๋อยเข้ามา “นังพวกนั้นมันไปไหนแล้ว ดูซิ...อุตส่าห์จะกลับมาเอาเรื่องพวกมันแท้ๆ เชียว”

                “ไปแล้วค่ะ” ไวโอเล็ตตอบตาใส

                “แล้วหล่อนก็ปล่อยให้มันกลับไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ!” วิเวียนถลึงตาใส่ไวโอเล็ต เจ็บใจนักที่พวกนั้นหนีกลับไปก่อน “หล่อนนี่มันโง่จริงๆ นังเป็ด โอกาสมาถึงมืออยู่แล้วเชียว”

                “ขอโทษค่ะ” ไวโอเล็ตก้มหน้า ไม่อยากจะทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก เพราะเถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ ดูท่าวิเวียนจะไม่ยอมจบง่ายๆ ยังคงบ่นไวโอเล็ตต่อจนตอนนี้สมองของคนตัวเล็กเริ่มอื้ออึง ถ้าหากว่าแสนดีเข้ามาช่วยไม่ทันเวลา เธอคงจะโดนวิเวียนแหกอกแน่...

                “หยุดร้องไห้แล้วไปหาอะไรทำซะไป๊ยายเป็ด” วิเวียนเอ่ยไล่ไวโอเล็ต โดยมีแสนดีส่งยิ้มอย่างให้กำลังใจ

                “ค่ะ” ไวโอเล็ตพยักหน้าหงึกๆ รีบวิ่งออกไปจากหลังเวทีทันที แต่ด้วยความโชคร้ายหรืออย่างไร คนตัวเล็กที่เพิ่งโดนต่อว่าก็เสียหลัก โซซัดโซเซไปชนเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงที่เดินพ้นหัวมุมห้องออกมาพอดี

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น