8

ตอนที่ 7


7

 

                แฮร์รี่มองร่างบางที่สะอื้นไห้อยู่แทบพื้นด้วยดวงตาสั่นไหว ความรู้สึกเหมือนถูกแบ่งเป็นสองฝั่ง เมื่อเขากำลังยืนอยู่ตรงกลางระหว่างไวโอเล็ตกับมาการ์เร็ต

                “เฮ้ ลุกขึ้นมาเถอะ” แฮร์รี่ลุกขึ้นไปประคองร่างเล็กของคนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยรักสุดหัวใจขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ หยิบทิชชูส่งให้และรอให้เธอสงบลงอย่างใจเย็น “ใจเย็นๆ ก่อนนะ” เขาปลอบ

                “ขอบคุณแฮร์รี่” มาการ์เร็ตยิ้มฝืดๆ ส่งให้แฮร์รี่ หลบตาลงต่ำเพราะละอายแก่ใจเหลือเกินที่เผชิญหน้ากับเขาในสถานการณ์เช่นนี้ “ขอโทษด้วยที่ฉันพลอยทำให้ลูกโกรธคุณไปด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

                “ไม่เป็นไรหรอก ผมเคลียร์กับไวน์ได้” แฮร์รี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ “ผมต่างหากที่ควรจะขอโทษคุณ ผมเสียใจที่ไวโอเล็ต...”

                “ไม่ต้องหรอกค่ะ” มาการ์เร็ตส่ายหน้าดิก น้ำตาหยดแหมะลงมาอีกหน “ฉันไม่ได้ร้องไห้เพราะลูกหรอก ฉันร้องเพราะฉันเกลียดตัวเองต่างหาก” เธอบอกเสียงเครือ “ฉันมันโง่...”

                “เรื่องมันผ่านมาแล้วจะไปรื้อฟื้นให้ได้อะไรขึ้นมา” แฮร์รี่พูดเชิงตำหนิที่เธอชอบโทษตัวเองอยู่เสมอ “เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้หรอกนะ ทำได้อย่างเดียวก็คือทำใจยอมรับ”

                “ฉันมันโง่” มาการ์เร็ตก่นด่าตัวเอง เงยหน้าขึ้นฟ้า พยายามไม่ให้น้ำตาไหลลงมาอีก “วันนั้นฉันไม่น่าทำอย่างนั้นเลย”

                “มาการ์เร็ต...” แฮร์รี่เรียกเสียงอ่อนใจ มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของคนที่นั่งตรงข้ามแล้วก็สะท้อนในอก  “ก็บอกว่าอย่าโทษตัวเองไง”

                “ฉันน่าจะเลือกลูก” มาการ์เร็ตปล่อยโฮ สะอึกสะอื้นจนตัวโยน “ฉันน่าจะรู้ว่าฉันรักลูกมากขนาดนี้ ฉันน่าจะรู้ว่าฉันรักไวโอเล็ต”

                “ตอนนี้เธอก็รู้แล้วไง ไวโอเล็ตก็ไม่ได้ไปไหน” แฮร์รี่พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ให้หลงไปกับความโกรธในอดีต “แต่ไวโอเล็ตแค่ต้องการเวลา เข้าใจลูกหน่อย...”

                “ฉันรู้...แต่ฉันก็ยังเกลียดตัวเองอยู่” มาการ์เร็ตสูดจมูกแรงๆ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างไร้จริตนางแบบ ไม่เหมือนเมื่อครั้งวันวาน “ฉันควรจะอยู่กับลูก ฉันควรจะเลี้ยงลูก ฉันไม่น่าทิ้งแกมาเลย”

                “เธอทำดีที่สุดแล้ว” แฮร์รี่มองมาการ์เร็ตอย่างเข้าใจ เพราะตอนที่มีไวโอเล็ตทั้งเขากับเธอต่างก็ยังเด็กด้วยกันทั้งคู่ การตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างในวันนั้นอาจจะเป็นการตัดสินใจที่แย่ที่สุด แต่เขากับเธอกลับคิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่ายในตอนนั้น แต่พอมาถึงวันนี้...กาลเวลาเปลี่ยนไป การตัดสินใจที่ดีที่สุดในวันนั้นของเขากลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้ แต่สำหรับมาการ์เร็ตนั้น มันกลับพลิกหงาย โชคร้ายที่เรื่องกลับกลายมาเป็นเรื่องแย่แบบนี้

                “ฉันขอโทษค่ะ ฉันขอโทษ”​ มาการ์เร็ตพูดทั้งน้ำตา “ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรกลับไปอีก...แต่ฉันก็คิดถึงลูกมากเหลือเกิน ยี่สิบปีที่ผ่านมามันเหมือนนรก...ฉันคิดถึงไวโอเล็ตทุกวัน...คิดถึงแกเพิ่มขึ้นทุกวัน”

                “ลูกก็คงคิดถึงคุณ” แฮร์รี่ให้กำลังใจ “ตอนเด็กแกถามหาคุณตลอด...แต่ผมไม่รู้จะตอบแกว่ายังไง” คำพูดนั้นของแฮร์รี่เหมือนมีดกรีดหัวใจของมาการ์เร็ต “แกเป็นเด็กน่ารักมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่พอแม่ผมพูดเรื่องคุณ...แกก็เปลี่ยนไป”

                “แม่ของคุณ...ย่าของไวโอเล็ต” มาการ์เร็ตเหยียดยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง “ฉันน่าจะรู้ว่าไวโอเล็ตเจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนใคร แม่คุณท่านคงโกรธฉันมากที่ฉันออกมาจากไร่วันนั้น”

                “ท่านโกรธมาก” แฮร์รี่ยืนยันสิ่งที่มาการ์เร็ตคิด

                “ฉันรู้ค่ะ” มาการ์เร็ตยิ้มเศร้า รู้อยู่แล้วว่าแม่ของแฮร์รี่โกรธเธอมากขนาดไหน เธอยังจำแววตาเกรี้ยวกราดของท่านเมื่อวันที่เธอออกมาจากไร่ได้ดี

                “ท่านเป็นคนให้สายตาที่แสนน่ากลัวนั้นกับลูกสาวของฉัน ท่านคงตั้งใจให้มันมาย้ำเตือนความผิดของฉัน”

                มาการ์เร็ตหวนนึกถึงนายหญิงเจ้าของไร่โรส ใบหน้าสงบนิ่งที่น่าเกรงขามของท่าน คิดถึงความเมตตาที่ท่านมีให้เธอเมื่อครั้งอดีต       

                “แม่ผมเลี้ยงไวโอเล็ตมา คงไม่แปลกที่ลูกจะติดนิสัยท่านมาด้วย” แฮร์รี่พูดอย่างอึดอัด ก่อนจะพึมพำด้วยความเสียดาย “นิสัยใจร้ายและคำพูดเย็นชา ไวโอเล็ตได้เลือดตระกูลโรสมามากเหลือเกิน”

                “ท่านเลี้ยงไวโอเล็ตมาได้ดีมากค่ะ” มาการ์เร็ตเอ่ยชมผู้หญิงที่ล่วงลับไปแล้วด้วยความนับถือ “ท่านสอนไวโอเล็ตทุกอย่างที่ฉันไม่เคยรู้ ท่านให้ไวโอเล็ตในทุกอย่างที่ฉันไม่เคยมี ทั้งความเก่ง ความเข้มแข็ง ความตรงไปตรงมา ความน่าศรัทธาที่ไม่มีใครมีได้เหมือนท่าน ฉันดีใจที่ไวโอเล็ตมีมัน”

                “ไวโอเล็ตเจ้าคิดเจ้าแค้น” แฮร์รี่พูดบ้าง ไวโอเล็ตไม่มีอะไรเหมือนเขาเลยสักอย่าง “ผมห่วงลูก ห่วงว่านิสัยของแกที่คุณชื่นชมนักหนาจะทำให้แกเดือดร้อน ลูกไม่ค่อยปล่อยวาง...ยิ่งโตยิ่งน่าห่วง”

                “ฉันดูแลแกเองค่ะ” มาการ์เร็ตให้คำมั่น “ถึงแกจะไม่ให้ฉันเข้าใกล้ แต่ฉันก็ดูแลแกได้ ฉันยังพอมีเส้นมีสาย อย่าห่วงเลยค่ะ”

                “ถ้าคุณพูดอย่างนั้นผมก็เบาใจขึ้นมาหน่อย” แฮร์รี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ผมคงคิดถูกแล้วที่ยอมให้แกมาเป็นนางแบบอยู่ที่นี่ เพราะขืนให้แกอยู่ที่ไร่กับผม ผมก็คงห่วงเพราะแกเป็นผู้หญิงคนเดียว”

                “ที่ไร่เป็นยังไงบ้างคะ” เมื่อได้โอกาส มาการ์เร็ตก็ถามถึงไร่ไวน์ของแฮร์รี่ทันที “งานเยอะเหมือนเดิมหรือเปล่าคะ”

                “เยอะกว่าเดิมน่ะสิไม่ว่า ตอนนี้เราผูกสัญญาส่งออกไวน์ระยะยาวไปได้หลายที่ ยิ่งผูกสัญญากับโรงแรมเทรเวนยิ่งแล้วใหญ่ ยุ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า...แต่ก็ดีนะ”

                “เรียนหมอมา แต่กลับไปบ่มไวน์ขายจนรวย คุณนี่มันพิลึกไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ” มาการ์เร็ตส่ายหัวอย่างขบขัน

                “ก็เรียนไม่จบนี่” แฮร์รี่ตอบ ไม่ทันคิดว่าคำพูดของเขาจะไปกระทบความรู้สึกของมาการ์เร็ตอีกครั้ง “ขอโทษด้วย ผมไม่ได้ตั้งใจจะ...”

                “ช่างมันเถอะค่ะ ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้ตั้งใจ” มาการ์เร็ตยิ้มให้แฮร์รี่ที่กำลังหน้าเสียอย่างเข้าใจ

                “ว่าแต่คุณเถอะ เรื่องหย่าไปถึงไหนแล้ว” แฮร์รี่ฉวยโอกาสที่มาการ์เร็ตเงียบ ถามถึงเรื่องการหย่าของเธอที่คาราคาซังมานานหลายปี แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรคืบหน้า “ตกลงไอ้หมอนั่นจะเอายังไง มันจะยอมหย่าให้หรือเปล่า” ประโยคหลังนั้นแฮร์รี่ถามเสียงแข็ง

                แฮร์รี่ไม่ได้คิดจะหาโอกาสกลับไปคบหากับมาการ์เร็ตอีก เขากับมาการ์เร็ตนั้นเหลือเพียงแค่ความเป็นพ่อกับแม่ของไวโอเล็ต หรือถ้าความสัมพันธ์นั้นมันจะพัฒนาเป็นอย่างอื่นไปได้ ก็คงมีแค่ความเป็นเพื่อนที่ต่างหวังดีต่อกันเท่านั้น

                เพราะบางครั้ง...คนบางคนก็อยู่ได้เพียงแค่ในหัวใจของเรา ไม่มีทางอยู่ในชีวิตของเราได้ และแฮร์รี่เองก็ทำใจยอมรับเรื่องนี้มาได้หลายปีแล้วด้วย

                “ฉันเหนื่อยกับเรื่องนี้มากเลยค่ะแฮร์รี่” มาการ์เร็ตระบายลมหายใจแรงๆ “ฉันรอให้เขาจัดการเรื่องนี้มานานแล้ว ฉันไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว”

                “คุณจะฟ้องหย่าเหรอ” แฮร์รี่ถามตาโต คิดไม่ถึงว่ามาการ์เร็ตจะกล้าฟ้องหย่าสามี หรือจะเรียกว่าสามีตามกฎหมายก็คงไม่ผิดนัก เพราะมาการ์เร็ตกับพอลนั้นแยกกันอยู่มาหลายปีแล้ว

                “ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ฉันได้อยู่กับไวโอเล็ต” มาการ์เร็ตคิดไปถึงข้อตกลงของเธอกับสามีอย่างพอลแล้วก็ได้แต่เม้มปาก “ฉันไม่น่าเซ็นสัญญาปิดเรื่องที่ฉันมีลูกเป็นความลับเลย ฉันน่าจะเลิกกับเขาตั้งแต่ตอนนั้น”

                “ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป” แฮร์รี่เตือน รู้ดีว่า ‘ตอนนั้น’ ที่มาการ์เร็ตกล่าวถึง คงเป็นตอนที่เธอบอกสามีของเธอว่าเธอต้องการหย่ากับเขา

                “ถ้าขืนเขายังยื้อเรื่องหย่าไปนานกว่านี้นะแฮร์รี่ ฉันคงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” มาการ์เร็ตพูดลอดไรฟัน แค่คิดถึงความเจ้าเล่ห์ของสามีตามกฎหมายของเธอแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด “ฉันจะประกาศไปเลยว่าไวโอเล็ตเป็นลูกฉัน”

                “นั่นจะทำให้เธอยิ่งเสียเปรียบเขานะ” แฮร์รี่บอก สังเกตเห็นว่าพอลคงรอวันที่มาการ์เร็ตหมดความอดทนแล้วประกาศว่าเธอเคยมีลูก และเขาก็จะกลายเป็นคนที่ได้เปรียบในชั้นศาลหากมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น โดยที่เขาจะเอาเรื่องของไวโอเล็ตมาเป็นข้ออ้าง “เรื่องไวโอเล็ตรอได้ เธอน่าจะคุยกับทนายเรื่องนี้ให้รอบคอบก่อน พอลเป็นคนฉลาด เขาต้องมีแผนเล่นงานเธอแน่”

                “ฉันไม่สน! ฉันเสียจนไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แต่ยังไงฉันก็ไม่ยอมเสียไวโอเล็ตไปอีกแน่”

                “เงินของเธอไม่ใช่น้อยๆ นะมาการ์เร็ต คิดบ้างสิ” แฮร์รี่เตือนสติ มาการ์เร็ตยังคงหุนหันพลันแล่นไม่เปลี่ยนเลย “เธอจะปล่อยให้พอลมาฉวยโอกาส ชุบมือเปิบเอาเงินของเธอไปง่ายๆ ได้ยังไง”

                “ฉันยอมจ่าย ขอแค่ให้ฉันได้อยู่กับลูกแบบไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ก็พอแฮร์รี่” มาการ์เร็ตพูดด้วยอารมณ์ เธอรอมาสามปี มันนานไปแล้ว “ฉันอยากอยู่กับลูก ฉันอยากทำเหมือนที่แม่คนอื่นได้ทำ ฉันจะไม่ทนอีกแล้ว”

                เมื่อมาการ์เร็ตพูดอย่างนั้นแล้ว แฮร์รี่จะพูดอะไรได้ เพราะอย่างนั้นเขาจึงนั่งรับประทานอาหารที่เหลือต่อไปเงียบๆ พลางคิดทบทวนว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นผิดหรือถูกกันแน่

                แฮร์รี่แน่ใจว่าไวโอเล็ตต้องหัวเสียแน่ ถ้าเธอรู้ว่าจะมาเจอกับแม่ของเธอวันนี้ เพราะนับตั้งแต่วันจบการศึกษามัธยมปลายของไวโอเล็ต ซึ่งเป็นวันแรกที่มาการ์เร็ตมาแสดงความยินดี พร้อมกับแสดงตัวว่าเป็นแม่  ไวโอเล็ตก็ไม่เคยญาติดีกับมาการ์เร็ตเลยสักครั้ง กระด้างกระเดื่องเสมอต้นเสมอปลาย

                 จนแฮร์รี่ยังปลงตก และเคยคิดที่จะไม่บังคับให้ไวโอเล็ตมาเจอกับแม่ของเธออีกแล้ว แต่พอมาคิดดูดีๆ ไวโอเล็ตนั้นไม่เคยได้รับความรักจากแม่แท้ๆ มานานเกินไป ถึงเขาจะเลี้ยงไวโอเล็ตมากับมือ แต่ก็ไม่อาจเข้าใจความคิดแบบผู้หญิงได้ และเมื่อมาการ์เร็ตเองก็อยากทำหน้าที่แม่ แฮร์รี่ก็เห็นว่าเป็นเรื่องดี ถึงมันจะช้าไปสิบแปดปี แต่เขาก็เชื่อว่ามันยังไม่สายเกินไป

                ทว่าไวโอเล็ตกลับไม่คิดอย่างนั้น...นั่นละปัญหาใหญ่

 

                หลังจากสติหลุดออกมาจากร้านอาหาร ไวโอเล็ตก็เดินเตร่มาเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย เดินก้มหน้ามองพื้น พยายามจะไม่ร้องไห้แม้จะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม ความรู้สึกของเธอเหมือนถูกเศษแก้วแตกละเอียดเชือดเฉือนให้เลือดไหลช้าๆ จากข้างใน

                ไม่ได้เจ็บปวดมากมาย แต่มันก็ชาหนึบ เป็นอย่างนี้มาตลอดทั้งชีวิต ถึงครอบครัวของเธอจะรักและดูแลเธอมาอย่างดี แต่ทุกครั้งที่เธอเห็นเพื่อนๆ มีแม่มารับที่โรงเรียนและพากันอวดว่าแม่ของพวกเขาถักเปียได้สวยขนาดไหนก็ทำให้เธอรู้สึกอิจฉา และถามตัวเองเสมอว่าเธอเป็นเด็กไม่ดีหรืออย่างไร ทำไมแม่ถึงไม่อยู่กับเธอ

                และเธอก็ได้คำตอบ...ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นเด็กไม่ดี แต่แม่ทิ้งเธอไปเพราะแม่มีครอบครัวอยู่แล้ว แม่ไม่อยากอยู่กับเธอ  แม่ไม่ได้รักเธอ...มันก็แค่นั้น

                “จะร้องให้มันได้อะไรขึ้นมาไวโอเล็ต ร้องให้ตายมันก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก!” ไวโอเล็ตก่นด่าตัวเองอย่างโมโห โกรธเหลือเกินที่คอยแต่จะอ่อนไหว ร้องไห้เป็นเด็ก “เลิกขี้แยสักที ไวโอเล็ต!”

                “ไวโอเล็ต!”

                ไวโอเล็ตเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียง ก่อนจะรีบยกมือเช็ดน้ำตาลวกๆ

                “อะไรเนี่ย เป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” เมแกนถึงกับหน้าเสียเมื่อเห็นว่าเพื่อนรุ่นพี่ของเธอร้องไห้จนตาบวม “ใครทำอะไร บอกฉันมาเลย เดี๋ยวฉันจัดการให้”

                “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ไวโอเล็ตส่ายหัว ถามอีกฝ่ายเสียงสั่นและอู้อี้ “แล้วนี่จะไปไหนเนี่ย”

                “ก็มาหาเธอนั่นแหละ” เมแกนทำปากยื่น เคืองไวโอเล็ตเล็กน้อยที่กล้าปิดบังเธอ “ฉันทานข้าวอยู่กับวิเวียนที่ร้านตรงข้าม เห็นเธอเดินเป๋มาทางนี้ เลยมาชวนไปทานข้าวด้วยกัน”

                “งั้นเหรอ แล้วไปทำอีท่าไหนถึงมาทานข้าวกับวิเวียนได้ล่ะ” ไวโอเล็ตถาม อาการสะอื้นดีขึ้นเมื่ออยู่กับเพื่อน ยิ่งเป็นเพื่อนที่ร่าเริงอย่างเมแกนด้วยแล้ว ถ้าเธอเศร้าได้เธอคงต้องละอายใจ “ปกติเห็นคอยหนีวิเวียนตลอดนี่”

                “ก็ฉันยอมวิเวียนไม่ได้เหมือนเธอนี่” เมแกนโอดโอย คิดถึงตอนที่ไวโอเล็ตยืนให้วิเวียนเฉ่งโดยไม่ปริปากเถียงสักคำเธอก็อึดอัดแทนจะแย่ ถึงจะรู้ว่าวิเวียนดุด่าเพราะหวังดี แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะยืนฟังคนด่านิ่งๆ ไม่ไหวติงได้เหมือนอย่างไวโอเล็ตหรอกนะ

                “ไปเถอะ ไปทานข้าวกัน บาร์บีคิวของฉันยังเหลืออื้อซ่าเลย เธอจะได้มาช่วยกิน” ว่าแล้วเมแกนก็รั้งแขนเล็กของเพื่อนให้เดินตามหลังไป ปากก็พูดจ้อไม่มีหยุด

                “นี่นะไวโอเล็ต เธอคงไม่รู้ว่ายายแองจี้อะไรนั่น โดนพ่อสุดหล่อวิลเลี่ยมของนางฉะกลางร้านกระเป๋าเมื่อวานนี้ เห็นว่าแม่นาตาชาเพื่อนนางก็โดนลูกหลงไปด้วย เห็นทีคงโดนทิ้งแล้วแหงๆ” เมแกนจีบปากจีบคออย่างรังเกียจขณะเล่า เหม็นขี้หน้าแม่สองคนนั่นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อีกทั้งวิเวียนเองก็ไม่ถูกกับสองคนนี้ เธอก็เลยไม่มีเหตุผลที่จะต้องเก็บอาการ โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าไวโอเล็ตแอบกลืนน้ำลายลงคอตอนได้ยินชื่อวิลเลี่ยม

                “ข่าวเร็วจัง” ไวโอเล็ตพึมพำกับตัวเองเสียงเบา “เพิ่งเมื่อวานนี้เอง”

                “นี่ไวโอเล็ต เธอไปอยู่ไหนมา บ้านเทรเวนเขาดังไปทั่วทุกหัวระแหง พวกปาปารัซซีก็ต้องตามไปสาระแนเป็นธรรมดา”

                “แล้วเขารู้มั้ยว่าผู้หญิงที่ไปกับวิลเลี่ยมเป็นใคร” ไวโอเล็ตซัก หวั่นใจเหลือเกินว่าเธอจะติดหลังแห ถูกลากเข้าไปเอี่ยวกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของพ่อแคซาโนวาแห่งวงสังคม

                “ไม่รู้หรอก เห็นว่าเป็นนางแบบโนเนม” เมแกนโบกมือ ขมวดคิ้วหากันเมื่อไวโอเล็ตรู้เรื่องที่วิลเลี่ยมควงผู้หญิงอีกคนไปร้านกระเป๋า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร “แต่ยังไงก็สมน้ำหน้ายายแองจี้ หึๆ    กลายเป็นนางฟ้าปีกหักเลย เป็นไงล่ะ”

                “ยายเป็ดๆ มานี่เร็ว!” เสียงตะโกนของวิเวียนทำให้ไวโอเล็ตกับเมแกนยิ้มขำ รีบเดินตรงไปยังโต๊ะที่วิเวียนนั่งอยู่อย่างรวดเร็ว “จะไปไหนของหล่อนยายเป็ด ก้มหน้าก้มตาเดินเชียวนะหล่อน ฉันเรียกจนคอแทบแตกก็ไม่หัน” วิเวียนค่อนขอดอย่างไม่จริงจัง

                “เปล่าค่ะ แค่คิดอะไรเพลินๆ เลยไม่ทันมอง” ไวโอเล็ตโกหกเพื่อปัดเรื่องให้พ้นตัว ไม่อยากบอกเหตุผลที่แท้จริง

                “ทำไมตาบวม หล่อนร้องไห้มาเหรอ” ไวโอเล็ตโกหกได้ไม่แนบเนียนพอที่จะหลอกคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเกินครึ่งชีวิตอย่างวิเวียนได้ “อะไรยังไงยายเป็ด เล่ามาเดี๋ยวนี้”

                “เอ่อ...”

                “เล่ามาเถอะ ฉันก็อยากรู้” เมแกนยิ้มอ้อน สารภาพความจริงกับไวโอเล็ตด้วยท่าทางน่ารักที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ฉันอยากรู้จนทนไม่ไหวแล้ว คันปากอยากถามยิบๆ แต่ก็ไม่กล้าถาม เกรงใจ”

                “เอ้าๆ เล่ามาแม่คุณ คนเขารอฟังอยู่” วิเวียนสั่ง

                ไวโอเล็ตทำได้แค่ถอนหายใจและยอมเปิดปากอย่างไม่มีทางเลือก

                “ฉัน...เอ่อ ไปเจอแม่มาค่ะ” คำพูดเพียงไม่กี่คำของไวโอเล็ตทำให้คนทั้งโต๊ะถึงกับเงียบกริบทันที

                แม้กระทั่งเมแกนที่ไม่เคยจะหยุดปากได้ก็ยังต้องกัดปากตัวเองเอาไว้ แล้วลอบมองหน้ากับวิเวียนสองคนราวกับปรึกษาหารือ ว่าควรจะพูดเรื่องนี้ต่อไปดีหรือเปล่า เพราะทั้งเมแกนและวิเวียนนั้นต่างรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของไวโอเล็ตกับแม่นั้นไม่ค่อยดีเท่าไร “แล้วก็เหมือนเดิม...ทะเลาะกันเหมือนเดิม”

                “แม่ใจร้ายของหล่อนน่ะเหรอ” วิเวียนทำหน้าขยาด ไม่ได้รู้จักแม่ของยายเป็ดเป็นการส่วนตัว รู้แค่ว่าแม่ยายเป็ดทิ้งลูกให้สามีสุดหล่ออย่างแฮร์รี่เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด นมสักหยดก็ไม่เคยให้ยายเป็ดน้อยนี่กิน แต่เมื่อสองสามปีก่อน...ช่วงที่วิเวียนเห็นแววไวโอเล็ต แล้วทาบทามให้เข้ามาเดินแบบ แม่ยายเป็ดก็ดันโผล่มา ทำเอาบ้านไวโอเล็ตปั่นป่วนไปพักใหญ่ วิเวียนเลยต้องแบกหน้ารอจนถึงทุกวันนี้ยังไงล่ะ

                “จะเอาอะไรอีกละเนี่ย ไม่ใช่ว่าลูกเป็นนางแบบแล้วจะมาเรียกร้องความเป็นแม่นะยะ”

                “โอมายกอด...จริงอย่างที่วิเวียนว่าหรือเปล่าไวโอเล็ต” เมแกนตื่นตูมตามวิเวียนไปอีกคน “แล้วจะทำยังไงล่ะ พ่อเธอรู้เรื่องหรือยัง”

                “ไม่หรอกน่า” ไวโอเล็ตพูดเสียงระอากึ่งรำคาญ “เธอไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอกค่ะ เธอรวยจะตายไป”

                “รวยแล้วจะกลับมาวุ่นวายกับหล่อนทำไมยะ” วิเวียนย้อน ไม่เชื่อหรอกว่าคนที่กล้าทิ้งลูกตัวน้อยๆ ของตัวเองไปตั้งแต่ยังแบเบาะจะหวนกลับมาหาด้วยความรัก “หรือว่าจะมาฉกแฮร์รี่ของฉันไป เอ๊ะ!...นังนี่มันกล้าดียังไง” วิเวียนทำท่าโวยวายใหญ่โตอย่างโมโหโทโสได้สมบทบาท

                “จัดเลยมั้ยคะ” เมแกนเอากับเขาด้วย

                “อย่าเพิ่งเล่นกันได้มั้ยคะ” ไวโอเล็ตครวญ “ฉันขำไม่ออกเลย รู้สึกเหมือนจะเหี่ยวเฉาตาย ไม่มีความสุขยังไงไม่รู้”

                “งั้นมาพูดเรื่องนังแองจี้แทนละกัน” วิเวียนกลอกตาใส่หน้าหมดอาลัยตายอยากของไวโอเล็ตแล้วเปลี่ยนเรื่องให้ “ไหนใครรู้บ้างว่านังแองจี้โดนวิลเลี่ยมทิ้งจริงๆ หรือนังแองจี้เต้าข่าวขึ้นมาให้ตัวเองดังอีก” เอเจนซีคนเก่งกวาดตามองเด็กในสังกัด ต้องการรู้เรื่องนางแบบที่เธอปลุกปั้นมา แต่กลับทรยศเธอด้วยการฉีกสัญญาแล้วบินปร๋อจากอกไปเป็นนางฟ้าที่แสนเลิศเลออย่างที่ต้องการ

                โดนวิลเลี่ยมหักปีกเด็ดหางทิ้งจริงหรือเปล่า “ไหนพูดมาซิเมแกน หล่อนรู้ทุกอย่างไม่ใช่เหรอ”

                “ฉันไม่รู้หรอกค่ะ” เมแกนเบ้ปาก “รู้แค่ว่าแองจี้โดนคุณวิลเลี่ยมฉีกหน้ากลางร้านกระเป๋าซะกระจุย แต่เลิกจริงมั้ยนี่ ฉันไม่รู้ค่ะ”

                “เขาอาจจะทะเลาะกันตามประสามั้งคะ” ไวโอเล็ตพูดเสียงเบา ถ้าเธอนั่งเงียบเกินไปอาจจะมีพิรุธได้

                “ไม่มีทาง” วิเวียนบอกปัดข้อสันนิษฐานอันไร้สาระของไวโอเล็ต “วิลเลี่ยมไม่ใช่คนแบบนั้น เขาไม่ชอบทะเลาะกับผู้หญิง”

                “ถ้าเขาชอบเขาคงไม่ได้เป็นแคซาโนวาหรอกค่ะ” เมแกนโคลงหัว ก่อนจะหันมาหลิ่วตาจ้องไวโอเล็ตอย่างจับผิด “ผู้ชายอันตรายต้องอยู่ให้ห่างเอาไว้ เข้าใจมั้ยคะ”

                “ก็ไม่ได้อยู่ใกล้นี่” ไวโอเล็ตยกมือขึ้นทั้งสองข้างแล้วพูดเสียงหลง

                “เสียงสูงทำไม” เมแกนจับผิด

                “เปล๊า!”

                “นังเป็ด!”

 

                อุทยานแห่งชาติ

                “หมอวิลครับ เจ้านี่ไม่ยอมทานอะไรเลยครับ ผมป้อนเท่าไหร่ก็ไม่กิน” เรย์หอบเจ้าลูกหมาป่าหัวดื้อที่แข็งข้อกับเขา โดยไม่ยอมแตะนมมาสองชั่วโมง ทั้งๆ ที่พี่ๆ ของมันกินกันไปไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว จนเขาจนปัญญา ต้องหอบมันมาให้พ่อทูนหัวของมันเป็นคนจัดการ

                “ทำไมถึงไม่กินล่ะ” วิลเลี่ยมเงยหน้าจากเอกสารความคืบหน้าเรื่องการบุกรุกป่าที่เขาเพิ่งไปเอามา แล้วเอ่ยถามเพื่อนร่วมงาน “แล้วตัวอื่นล่ะ กินมั้ย”

                “กินไปสามรอบแล้วครับ” เรย์มองหมาป่าสีเทาตัวจ้อยในมือแล้วว่า “มีแต่เจ้าตัวเล็กนี่แหละ เพิ่งดีขึ้นแท้ๆ เชียว”

                “ทำไมแกไม่กินนมฮะ” วิลเลี่ยมเดินมาประคองเจ้าตัวน้อยที่เขาดูแลมันจนอาการดีขึ้นมาไว้ในมือ ลูบหัวเจ้าลูกหมาป่าตัวเล็กเบาๆ ราวกับมันเป็นหมาบ้าน ไม่ใช่หมาป่าสีเทาที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้าย “ฉันดูแลแกตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”

                วิลเลี่ยมบ่นแล้วหยิบถ้วยเหล็กมาวางตรงหน้าลูกหมาป่า รินนมผงที่มีติดตู้ไว้ลงไป แต่คะยั้นคะยอเท่าไร เจ้าหมาป่าหัวดื้อก็ไม่ยอมก้มหน้าเลียนมจากถ้วยสักที ทำให้หมอมือใหม่อย่างเรย์ถึงกับกระแทกลมหายใจเซ็งๆ

                “ผมบอกแล้วว่าเจ้านี่มันดื้อ”

                “ก็ดื้อเหมือนแม่ของมันนั่นแหละ” วิลเลี่ยมพูดขำๆ พับแขนเสื้อขึ้นมาจนถึงข้อศอก เดินไปหยิบขวดนมเก่าเก็บจากตู้เก็บอุปกรณ์ที่มีไว้สำหรับสัตว์อนุบาลที่นานๆ จะหลุดมาจากสำนักงานใหญ่มาอยู่ที่เขตดูแลของวิลเลี่ยมสักครั้ง

                “ผมก็ลืมไป แผลหมอยังอยู่เลย” เรย์ยิ้มเขินเมื่อเหลือบเห็นรอยแผลเป็นจากเขี้ยวหมาป่าบนท้องแขนของหมอวิล ซึ่งเป็นหลักฐานความดุร้ายของแม่หมาป่าสีเทา “พูดถึงแม่พวกมันแล้วก็ใจหายนะครับ น่าสงสาร”

                “ใช่ น่าสงสาร” วิลเลี่ยมเออออ ระหว่างประคองเจ้าตัวน้อยเข้ามานอนหงายในแขน จับจุกนมยัดปากมันเหมือนเด็ก แต่คราวนี้กลับได้ผล เมื่อเจ้าลูกหมาป่าตัวน้อยตะปบปากขวด ยอมดื่มนมจนได้ “ยิ่งอยู่ในป่านานเท่าไหร่ เรายิ่งมองคนในเมืองเลวขึ้นเท่านั้น”

                “ไอ้คนพวกนี้มันเลวจริงๆ นะครับ ล่าสัตว์เพราะความสนุก” เรย์เข่นเขี้ยว “เอาชีวิตหนึ่งไปแล้วปล่อยให้ลูกๆ มันอีกสามตัวต้องตาย ไม่รู้ว่ายังเป็นคนอยู่หรือเปล่า”

                “ก็เพราะเป็นคนไงถึงได้กล้าทำ” วิลเลี่ยมยิ้มอย่างดูแคลน แม้เขาจะไม่ใช่นักอนุรักษ์ที่ต่อต้านให้คนเลิกฆ่าสัตว์ทุกชนิดแบบสุดโต่ง แต่การที่มาล่าสัตว์ในเขตอุทยานเช่นนี้ เขาก็ไม่ชอบใจเหมือนกัน

                “ผมเพิ่งได้รายงานว่าเจอซากหมาป่าอยู่อีกฝั่งของอุทยาน คุณจะช่วยไปดูได้หรือเปล่าเรย์” วิลเลี่ยมถาม เมื่อเห็นว่ารถของเจ้าหน้าที่อุทยานที่จะนำเขาไปดูซากหมาป่า ที่น่าจะเป็นแม่ของเจ้าพวกนี้มาจอดเทียบข้างหน้าสำนักงาน “ผมมีธุระต้องไปทำต่อน่ะ”

                “ได้สิครับ” เรย์พยักหน้าหงึกๆ คว้าแจ็กเกตมาสวมทันควัน แต่กระนั้นก็ไม่ลืมย้ำกับวิลเลี่ยม “แต่ยังไงก็ช่วยป้อนนมเจ้านั่นให้อิ่มก่อนไปด้วยนะครับ ขืนอาการแย่ขึ้นมาอีก ผมคงจนปัญญาช่วย”

                “ฉันรู้แล้ว” วิลเลี่ยมพูดสั้นๆ แทนการรับปาก แล้วมองเรย์ซึ่งวิ่งจี๋ออกไปขึ้นรถเพื่อนำซากหมาป่ากลับมาตรวจที่สำนักงาน ระหว่างนั้นโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของวิลเลี่ยมก็ดังติดๆ กัน

                “ว่าไงแมทธิว” วิลเลี่ยมรับสาย

                “แกอยู่ไหนเจ้าวิล” น้ำเสียงขุ่นๆ ของพี่ชายทำให้วิลเลี่ยมแอบระบายลมหายใจ จะมีวันไหนที่พี่ชายของเขาไม่อารมณ์บูดบ้างไหมหนอ “แสนดีโทร. หาแกเป็นล้านรอบแล้วมั้ง ไหนจะข้อความอีก ฉันบอกแกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้อยู่ในที่ที่มันมีสัญญาณหน่อย เผื่อมีเรื่อง...”

                “นี่พี่จะโทร. มาบ่นผมอย่างเดียวเลยใช่มั้ยเนี่ยแมท” วิลเลี่ยมพูดสวนพี่ชาย “ก็ผมทำงานอยู่ในป่า เข้าใจหน่อยสิครับ”

                “ฉันจะโทร. มาบอกแกว่างานเริ่มตอนห้าโมง แกรีบโผล่หัวมาเลยนะไอ้ตัวดี” แมทธิวสั่ง “ขืนแกยังชักช้า แสนดีได้ขย้ำคอฉันก่อนพอดี”

                “ผมกำลังไป” วิลเลี่ยมพูด ไม่สนว่าเขาจะกำลังยืนให้นมเจ้าหมาป่าน้อยอยู่ “รับรองไม่สายแน่นอนครับผม”

                “ฉันรู้ว่ายังไงแกก็สาย” แมทธิวดักทางอย่างรู้นิสัยน้องชายตัวเองดี “แค่เป็นผู้เป็นคนมาก็พอ ฉันขอแค่นั้น”

                “ครับท่านครับ กระผม วิลเลี่ยม เทรเวน จะไปร่วมงานอย่างเป็นผู้เป็นคนแน่นอนครับ ไม่เอาเสือเอาสิงโตไปถล่มงานแน่นอน สัญญาครับผม” วิลเลี่ยมล้อเลียนพี่ชายได้อย่างกวนประสาท

                “เออ อย่างนั้นก็ดี อ้อ แล้วอย่าลืมเตรียมคำพูดมาแก้ข่าวเรื่องแม่นางแบบของแกด้วยล่ะ”

                “งั้นไม่ไปแล้วนะ” วิลเลี่ยมพูดเซ็งๆ

                “เจอกันที่งาน” พูดแค่นั้น แมทธิวก็ตัดสายน้องชาย ทิ้งให้วิลเลี่ยมถอนหายใจเซ็งๆ ยอมจำนนให้แก่ความซวยที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

                “กินเร็วๆ หน่อยแก ฉันต้องขับรถอีกไกลนะ” วิลเลี่ยมพูดกับเจ้าตัวน้อยสี่ขาหูตั้งที่นอนดูดขวดนมไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ

                แม้ปากจะบอกว่ารีบ แต่วิลเลี่ยมก็ยังเลือกที่จะอาบน้ำก่อนไปงานอยู่ดี เพราะไม่อาจเหยียบย่างเข้าไปในงานสังคมใหญ่โตในสภาพโจรป่าอย่างนี้ได้แน่ ไหนจะเสื้อผ้าเน่าๆ ที่เขาสวมอยู่อีก

                เอาวะ...โดนแสนดีฆ่าเพราะไปสาย ก็ยังดีกว่าโดนแสนดีฆ่าเพราะแต่งตัวเป็นยาจกไปงานก็แล้วกัน

               

                “ไม่ พวกแกไปด้วยไม่ได้” วิลเลี่ยมที่เพิ่งก้าวออกมาจากห้องพักชี้หน้าบอกเจ้าสี่ขาสามพี่น้องที่นั่งเรียงหน้ากระดาน กระดิกหางรอเขาอยู่หน้าประตูห้อง แล้วเดินอ้อมพวกมันเพื่อไปหยิบหมวกกันน็อก แต่เจ้าตัวแสบทั้งสามก็ไม่ยอมแพ้ วิ่งตามไปขย้ำขากางเกงของหมอวิลสุดหล่อเพื่อเรียกร้องความสนใจ

                “เฮ้ย! ไอ้พวกตัวแสบ” วิลเลี่ยมกัดฟันด้วยความเจ็บเล็กๆ เมื่อถูกเขี้ยวแหลมๆ ปักผ่านเนื้อผ้าเข้ามาครูดเนื้อขา จนต้องคว้าหลังคอของลูกหมาป่าในความดูแลขึ้นมา แล้วจัดการโยนพวกมันเข้ากรงทีละตัวเพื่อตัดปัญหา “ฉันไปงานเลี้ยง เอาพวกแกไปไม่ได้หรอก”

                “เอ๋งๆ” เมื่อเจ้าลูกหมาป่ารู้ว่ากำลังจะโดนวิลเลี่ยมทิ้ง พวกมันก็พากันประท้วงด้วยการใช้เขี้ยวเล็กๆ แทะลูกกรง ขัดขืนการโดนจับขังได้ดุดันมากจนวิลเลี่ยมถึงกับหัวเราะร่วน

                “ฉันไปไม่นานหรอก เป็นเด็กดีแล้วฉันจะหาปลอกคอสวยๆ มาให้” วิลเลี่ยมสอดนิ้วใหญ่ผ่านกรงเข้าไปลูบหัวของลูกหมาป่าทั้งสามแล้วให้สัญญา และเหมือนเจ้าตัวแสบทั้งหลายจะเข้าใจคำพูด เพราะมันยอมปล่อยเขี้ยวออกจากกรงแล้วนอนหมอบกับขาหน้า คล้ายกับรอให้วิลเลี่ยมกลับมาพร้อมกับปลอกคอ “ใช่ อย่างนั้นแหละเด็กดี” เขาชมเปาะเมื่อเจ้าตัวน้อยทั้งสามรับคำสั่งอย่างว่าง่าย

                “หมอวิล รถคุณมาแล้วนะ” แฮงค์โผล่หน้าจากประตูห้องข้างๆ มาบอก หลังจากเห็นว่ารถของอุทยานที่หมอวิลใช้เป็นประจำมาจอดเทียบที่ด้านหน้า

                “ผมจะเอารถผมไปเองครับ” วิลเลี่ยมชูหมวกกันน็อกเป็นเชิงบอก ก่อนจะล่ำลาลูกๆ ของเขาเป็นครั้งสุดท้าย “อย่าดื้อแล้วก็กินนมให้ตรงเวลานะ รู้มั้ย ส่วนแกก็ห้ามดื้อกับเรย์อีกรู้หรือเปล่า เจ้าตัวเล็ก”

                “แง่ม!” เจ้าน้องเล็กแยกเขี้ยวใส่พ่อบุญธรรมเป็นการรับคำสั่ง

                วิลเลี่ยมจึงยอมลุกขึ้น ก้าวยาวๆ อย่างเร่งรีบเพื่อมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้มีความกระตือรือร้นที่จะไปงานเลยสักนิด

                ...

                “คุณว่าหมอวิลจะฆ่าเราหรือเปล่า ถ้าเราดูแลลูกๆ ของเขาไม่ดี” แฮงค์กระซิบถามไมเคิลที่เป็นเพื่อนสนิทของหมอวิล “ผมว่าเขาอาละวาดแน่ถ้าลูกๆ ของเขาเป็นอะไรไป”

                “ผมไม่หาเรื่องใส่ตัวหรอกแฮงค์” ไมเคิลยกมือขึ้นระดับอก ไม่รู้ไม่ชี้อะไรกับแฮงค์ด้วยทั้งนั้น “แต่ผมแน่ใจว่าถ้าคุณปล่อยให้ไอ้พวกเจ้าหน้าที่จากศูนย์ดูแลสัตว์กำพร้ามาเอาลูกๆ ของวิลเลี่ยมไป ศพคุณไม่สวยแน่”

                “แล้วทำไมต้องเป็นผมที่อยู่ตรงกลางทุกทีเลยเนี่ย!” แฮงค์ถึงกับโอดครวญเมื่อไมเคิลพูดถึงเรื่องที่กำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ เพราะศูนย์สัตว์กำพร้านั้นทำท่าว่าจะขอเจ้าลูกหมาป่าที่หมอวิลกำลังดูแลอยู่ไปดูแลเอง “ทำไมต้องเป็นผมคนเดียวที่จะต้องเจอกับหมอวิลภาคมาร ผมเป็นหัวหน้านะ ทำไมต้องเป็นผมด้วย”

                “ก็เพราะคุณเป็นหัวหน้าไงล่ะ” ไมเคิลยิ้มกริ่ม ชะเง้อคอมองรถจี๊ปคันใหญ่ที่เพิ่งสวนเข้ามา “ผมขอตัวนะครับ ต้องไปรับศพหมาป่ามาตรวจ”

                “งั้นเดี๋ยวผมจะไปลาออก แล้วมาสมัครเป็นเจ้าหน้าที่ธรรมดาแทน” แฮงค์ทำหน้ายักษ์ใส่

                “เอางั้นเลยเหรอครับ แต่ก็ดีนะ ผมอยากเห็นคุณตอนเป็นเด็กฝึกงานจะแย่” ไมเคิลตะโกนบอกระหว่างเดินออกไป

                “ผมพูดเล่นน่ะ ผมไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอกไมเคิล อย่าแกล้งโง่ไปหน่อยเลย”

                “ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะโง่ขนาดนั้น” ไมเคิลพูดยิ้มๆ “ขืนคุณลาออก ผมก็ต้องเสี่ยงดวงอีกว่าเจ้านายคนใหม่จะเฮงซวยเท่าคุณหรือเปล่า”

                “ขอบใจที่ชมผมนะไมเคิล” แฮงค์ประชดประชัน “ผมรู้ว่าผมเป็นเจ้านายที่แสนวิเศษ อย่าชมให้เสียเวลาเลย”

                “จะยังไงก็ช่าง ขอให้คุณโชคดีตอนเจอพวกจากศูนย์สัตว์กำพร้านะแฮงค์” ไมเคิลยักคิ้วให้กวนๆ “อย่าปล่อยให้พวกนั้นได้ลูกๆ ของวิลเลี่ยมไปละ เดี๋ยวจะซวยรอบสอง”

                “ผมรู้น่าว่าต้องทำยังไง” แฮงค์บอกปัดความหวังดีที่แสนเสแสร้งของไมเคิลแล้วเดินไปหยิบเสื้อ เตรียมตัวเข้าไปเจรจาเรื่องเจ้าลูกหมาป่าพวกนี้กับเจ้าหน้าที่จากศูนย์สัตว์กำพร้า

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น