7

ตอนที่ 6


6

                ไมเคิลและวิลเลี่ยมใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะมาถึงอุทยานแห่งชาติ ระหว่างทางวิลเลี่ยมก็ติดต่อถามอาการของลูกหมาป่ากับเจ้าหน้าที่อีกคนที่ประจำอยู่ที่อุทยานในวันนี้ และผลก็คืออาการของลูกหมาป่าทั้งหมดยังคงร่อแร่ ด้วยเพราะพวกมันนอนอยู่ในรังโดยไม่มีแม่ให้ความอบอุ่นมากว่าสามวันแล้ว

                “ดีขึ้นมั้ยเรย์” วิลเลี่ยมวิ่งหน้าตั้งเข้ามาถามเรย์ หนุ่มน้อยที่เพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาหมาดๆ ก่อนจะย้ายเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกหัดที่นี่เป็นงานแรก

                “ไม่เลยครับหมอ ตัวยังไม่อุ่นขึ้นเลย คงอยู่ได้อีกไม่ถึงชั่วโมง” เรย์ส่ายหน้าให้หมอวิลเศร้าๆ “แม่มันโดนยิงตอนกลับรังครับ เราพบปลอกกระสุน แต่ไม่เห็นซาก”

                “สองตัวนี้ยังมีหวัง มาช่วยกันหน่อย” ไมเคิลเรียกเรย์ ใช้ผ้าห่อและอุ้มเจ้าลูกหมาป่าตัวน้อยเอาไว้ “ปรับอุณหภูมิหน่อยครับ” ไมเคิลตะโกนบอกเจ้าหน้าที่ที่มองอยู่รอบๆ เพื่อบอกให้พวกเขาปรับอุณหภูมิในห้องให้อุ่นอีกนิด

                “ผมว่าปล่อยเจ้าตัวเล็กนั่นไปเถอะครับ” เรย์กระซิบบอกวิลเลี่ยม เมื่อเห็นว่าเจ้าน้องเล็กอาการยังไม่ดีขึ้นเลยตั้งแต่มาถึง “มันไม่ดีขึ้นเลยตั้งแต่มา”

                “แต่ก็ให้ตายไม่ได้” วิลเลี่ยมพูดโดยไม่เสียเวลาหันมามองเรย์ เขาวิ่งไปหาขวดยาที่ครั้งหนึ่งจำได้ว่าเคยเห็นมันอยู่ในตู้ยา “ยานั่นมันอยู่ไหนเรย์! ใครมายุ่งกับตู้ยา!”

                เสียงตวาดของวิลเลี่ยมทำให้ทุกคนต่างถอยกรูด มองเสี้ยวหน้าคมที่แสดงความโมโหอย่างชัดเจนแล้วกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่

                “ไม่มีใครยุ่งเลยครับหมอวิล วันนี้ผมอยู่ในห้องคนเดียว” เรย์บอกอึกอัก พยายามคิดว่ามีใครเข้ามายุ่มย่ามกับตู้ยาหรือเปล่า

                “แล้วยานั่นมันหายไปไหน!” วิลเลี่ยมตะคอก เหลือบเห็นเจ้าหมาป่าตัวเล็กที่สั่นอยู่ในกองผ้าขนหนูแล้ววิ่งมาดู “ไม่ๆ แกจะมาตายแบบนี้ได้ไงตัวเล็ก สู้หน่อยสิ” วิลเลี่ยมพึมพำกับเจ้าลูกหมาป่าตัวน้อยหลังจากตรวจดูเหงือกที่กลายเป็นสีม่วงคล้ำไปแล้ว ก่อนจะตะคอกเรย์อีกครั้งเมื่อเขายังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ “เรย์!”

                “นี่ค่ะ หมอวิล! ฉันเอามันออกไปทำความสะอาด” เสียงร้องสั่นๆ ของเจ้าหน้าที่สาวร่างเล็กที่เป็นเพียงพนักงานชั่วคราวดังขึ้น ก่อนจะวิ่งหน้าตั้งเข้ามาพร้อมกับตะแกรงเหล็กที่บรรจุขวดยาไว้ข้างใน “ฉันขอทะ...”

                “ไสหัวไปซะ แล้วอย่าได้เหยียบเข้ามาในห้องนี้อีก” วิลเลี่ยมกระชากตะแกรงเหล็กมาถือไว้เอง ก่อนจะไล่ตะเพิดหญิงสาว แล้วหยิบหาเครื่องโกนขนมาเสียบปลั๊กก่อนจะค่อยๆ ประคองเจ้าลูกหมาป่าตัวน้อยออกมาจากผ้าขนหนู

                “เจ็บหน่อยนะสุดหล่อ” วิลเลี่ยมกระซิบ ค่อยๆ บรรจงโกนขนของลูกหมาป่าที่โชคร้ายเป็นทางยาวลงมาตั้งแต่กลางลำตัวลากมาถึงหาง

                เขาจัดแจงหยิบกระบอกฉีดยาและเข็มฉีดยามาดูดยาในขวดขึ้นมาพอประมาณ แล้วค่อยๆ ใช้นิ้วมือคลำไปที่กระดูกสันหลังเพื่อหารอยต่อระหว่างกระดูกสันหลังกับขาหลังของลูกหมาป่า กดหาตำแหน่งอยู่นานจนแน่ใจแล้วจึงค่อยๆ กดเข็มฉีดยาลงไป ซึ่งเขาเชื่อว่าจะทำให้เจ้าตัวเล็กตัวอุ่นขึ้นได้ ปิดท้ายด้วยการให้น้ำเกลือเจ้าตัวเล็กได้สำเร็จ โดยทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที

                “เอาละ ฉันทำทุกอย่างที่ฉันทำได้แล้ว คราวนี้ก็ถึงทีแกแล้ว” ว่าแล้ววิลเลี่ยมก็ใช้นิ้วใหญ่ๆ ของเขาถูระหว่างคิ้วของเจ้าลูกหมาป่าที่ยังนอนนิ่งอยู่

                “ดูเอาไว้เรย์ ถ้านายทำแบบนี้ตั้งแต่แรก เจ้าตัวน้อยคงดีขึ้นนานแล้ว” ไมเคิลพยักพเยิดไปที่วิลเลี่ยม บอกให้น้องเล็กในทีมดูวิธีการรักษาที่เขาเองก็ลืมไปนานแล้ว แต่วิลเลี่ยมกลับยังจำได้ “แต่จะโทษนายได้ยังไง ขนาดฉันเองก็ยังลืมเลย”

                “นั่นสุดยอดมากเลยครับหมอวิล” เรย์มองการรักษาที่เขาเคยอ่านในหนังสือแต่ยังไม่เคยเห็นขั้นตอนการรักษาจริง หมอวิลเลี่ยมนี่สมกับเป็นสัตวแพทย์มือหนึ่งของที่นี่จริงๆ

                “ฉันว่าฉันพาเจ้าตัวเล็กนี่ไปเข้ากรงดีกว่า น่าจะพอมีกรงว่างอยู่ที่ไหนสักที่” ไมเคิลพูดขึ้นมาลอยๆ ชูเจ้าลูกหมาป่าที่เขากอดแนบอกเอาไว้โชว์เพื่อนร่วมงานทั้งสอง “ดูสิ อาการดีขึ้นเยอะแล้ว”

                “เจ้านี่ก็ด้วยครับ” เรย์พูดบ้าง “เริ่มขยับได้แล้ว”

                “ไปเถอะ ฉันจะดูเจ้าตัวเล็กนี่เอง” วิลเลี่ยมพยักหน้ารับอย่างขอไปที มองสัตวแพทย์อีกสองคนของอุทยานอย่างไมเคิลกับเรย์ที่เดินอุ้มเจ้าลูกหมาป่าตัวน้อยออกไปจนสุดสายตา ก่อนจะบอกบรรดาเจ้าหน้าที่ที่ยืนมองอยู่ตรงหน้าประตูให้รีบแยกย้ายกันไปทำงาน หลังจากสถานการณ์ในห้องดีขึ้นแล้ว

                ส่วนวิลเลี่ยมนั้น เขาตั้งใจจะเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่รับหน้าที่ดูแลพื้นที่เขตอุทยานในวันนี้ เรื่องที่มีคนแอบเข้ามาล่าสัตว์ แต่แล้วผู้ชายวัยสี่สิบกลางๆ ก็เดินเข้ามาหาเขาที่ห้องนี้แทนเสียก่อน

                “คงรู้เรื่องแล้วนะหมอวิล” แฮงค์พูดเป็นคำแรก มองเจ้าลูกหมาป่าที่นอนหายใจรวยรินภายใต้ผ้าขนหนูแล้วเลิกคิ้วก่อนถาม “จะรอดมั้ยนั่น”

                “ก็หวังว่าจะรอดครับ” วิลเลี่ยมพูดเร็วๆ เหลือบมองลูกหมาป่าที่เขาเพิ่งช่วยไว้ ก่อนจะหันมาคุยกับแฮงค์ “ผมอยากรู้ว่ามีคนบุกเข้ามาล่าสัตว์ในอุทยานรอบที่สามแล้ว แต่ทำไมยังไม่มีใครทำอะไร”

                “ผมก็จนใจจะตอบนะหมอวิล” แฮงค์ทำหน้าลำบากใจ “ผมส่งรายงานไปแล้ว แต่ก็ยังไม่คืบหน้าเลย”

                “นี่มันครั้งที่สามแล้วนะแฮงค์! รอบที่สามในเวลาแค่เดือนเดียว สัตว์ในอุทยานตายไปเกือบยี่สิบตัวแล้ว ทำไมถึงยังไม่มีอะไรคืบหน้า”

                “ผมรู้ครับหมอวิล...ผมเป็นคนเขียนรายงานเรื่องนี้ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าสัตว์ตายไปเท่าไหร่” แฮงค์พูดแกมประชดประชัน “แต่คุณจะให้ผมทำยังไง ผมทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้แล้ว ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจก็แล้ว ไอ้พวกนี้ก็ยังเข้ามาไม่หยุด”

                “ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจงั้นเหรอแฮงค์” วิลเลี่ยมเหยียดยิ้ม ย่างสามขุมเข้ามาประชิดตัวแฮงค์อย่างคุกคาม ก่อนจะคว้าคอเสื้อของแฮงค์เข้ามาใกล้ตัวแล้วสบถถามยาวเหยียด “พวกเจ้าหน้าที่ของคุณนั่นแหละตัวดี ไอ้พวกที่เข้ามาล่ามันจะรู้ได้ยังไงว่ารังหมาป่าอยู่ที่ไหน ถ้าไอ้ชั่วพวกนี้ไม่ไปบอก หึ...”

                “คุณพาลแล้ววิลเลี่ยม” แฮงค์ปลดมือคุณหมอหนุ่มออกจากคอเสื้อ “ผมรู้ว่าคุณโกรธที่สัตว์ในความรับผิดชอบของคุณตาย แต่จะมาพาลใส่ผมแบบนี้มันก็ไม่ช่วยอะไร ทางที่ดีคุณควรจะสงบสติอารมณ์ แล้วเตรียมเขียนแผนดูแลเจ้าลูกหมาป่าพวกนี้ซะ เพราะดีไม่ดี คุณอาจจะต้องฆ่าพวกมันทั้งที่คุณเป็นคนทำคลอดแม่มันเองกับมือก็ได้!”

                พูดเสร็จแฮงค์ก็เดินออกไปจากห้อง เพราะไม่ต้องการจะทะเลาะกับสัตวแพทย์มือดีที่สุดของที่นี่ ไม่ใช่เพราะว่าเขากลัววิลเลี่ยมจะลาออกไปจากอุทยานหรอกนะ วิลเลี่ยมทุ่มเททุกอย่าง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เป็นวันหยุดของเขาหรือไม่ ขอเพียงแค่เกิดเรื่อง หมอวิลเลี่ยม เทรเวน จะเป็นคนแรกที่มาถึงที่นี่ก่อนสัตวแพทย์คนอื่นๆ เสมอ เรื่องที่วิลเลี่ยมจะลาออกจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

                หมอวิล ไม่ใช่ วิลเลี่ยม เทรเวน ที่ใครๆ เคยเห็น เขาไม่เคยผ่อนปรนให้แก่อะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ หมอวิลก็พร้อมจะเอ็ดตะโรเสมอ ถ้าเรื่องที่ว่านั้นจะทำให้สัตว์ในความดูแลของเขาเกิดความเสี่ยง และครั้งนี้ก็เช่นกัน

                “ไม่ต้องห่วงนะ แกปลอดภัยแล้ว” วิลเลี่ยมลูบขนนุ่มๆ ของเจ้าตัวน้อยที่นอนหายใจแผ่ว เขารู้ว่าครั้งนี้เขาแสดงอารมณ์มากเกินไป แต่จะให้เขาทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาเป็นคนทำคลอดเจ้าหมาป่าพวกนี้เองกับมือ เพราะแม่ของพวกมันไม่สามารถคลอดเองได้ วิลเลี่ยมเป็นคนเดียวที่ใช้เวลาทั้งวันนั่งพูดกับแม่หมาป่าของเจ้าพวกนี้ ทำทุกอย่างเพื่อให้แม่หมาป่ายอมให้เขาเข้าใกล้ และตอนนี้แม่ของพวกมันก็ตายไปแล้ว

                “ไม่เป็นไรแล้วนะ พี่สาวฉันต้องรับเลี้ยงพวกแกแน่ ฉันรับรอง”

 

                อะพาร์ตเมนต์ เมืองลอสแอนเจลิส

                “พ่อคะ ไปกันเถอะค่ะ หนูเสร็จแล้ว” ไวโอเล็ตร้องบอกแฮร์รี่ที่นั่งอ่านหนังสือรออยู่ในห้องนั่งเล่น หลังจากที่เธอปล่อยให้พ่อนั่งรอเธอแต่งตัวมาพักใหญ่

                “หนูจะไปชุดนี้หรือ” แฮร์รี่วางหนังสือในมือลง พลางเลิกคิ้วถามลูกสาวซึ่งอยู่ในชุดลำลองทะมัดทะแมง “จะไม่เปลี่ยนไปใส่กระโปรงหน่อยเหรอลูก”

                “ทำไมคะพ่อ เราไปร้านอาหารหรูหรือไงคะ” ไวโอเล็ตก้มมองกางเกงเนื้อนิ่มของเธอแล้วถาม “แต่หนูอยากใส่ชุดนี้นี่คะ ไม่เปลี่ยนไม่ได้เหรอ”

                “ตามใจหนูสิ” แฮร์รี่ไม่ได้เดือดร้อน เดินหยิบกุญแจรถแล้วเดินตามไวโอเล็ตออกไปใส่รองเท้าที่หน้าประตู “กระเป๋าใบใหม่นี่” เขาท้วง

                “ก็ที่ซื้อเมื่อวานไงคะ เกือบตายแน่ะกว่าจะได้มา”

                “ใช่สินะ” แฮร์รี่พยักหน้า “เดี๋ยวพ่อจะโอนเงินเข้าบัญชีให้หนูตอนที่กลับไปถึงไร่แล้ว”

                “พ่อคะ หนูพอมีเงินอยู่ค่ะ” ไวโอเล็ตหน้างอ “พ่อไม่ต้องโอนให้หนูหรอก ถ้าหนูไม่มีเงิน หนูจะขอเอง”

                “พ่อจ่ายได้ ถึงพ่อจะไม่ได้รวยมาก แต่พ่อจ่ายค่ากระเป๋าให้หนูได้ เก็บเงินของหนูไว้ใช้เวลาจำเป็นเถอะ”

                “แต่หนูอยากใช้เงินตัวเองนี่” ไวโอเล็ตหน้างอเข้าไปอีก พ่อเธอก็เป็นเสียอย่างนี้ ไม่เคยยอมให้เธอพึ่งตัวเองสักที “หนูจะเรียนจบอยู่แล้วนะคะพ่อ”

                “เรียนจบแล้วก็ยังเป็นลูกสาวพ่ออยู่” แฮร์รี่พูด เดินคล้องคอลูกสาวคนสวยออกไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าอะพาร์ตเมนต์

                อะพาร์ตเมนต์ที่ไวโอเล็ตอาศัยอยู่นั้น แฮร์รี่ซื้อทิ้งไว้ในเมือง เพราะเขาต้องเข้าเมืองเพื่อมาคุยงานเป็นประจำ บางครั้งก็หลายวัน แฮร์รี่จึงเล็งเห็นว่าการซื้อที่พักในตัวเมืองไม่ได้เป็นสิ่งที่แย่อะไรนัก เพราะการมีที่อยู่ส่วนตัวให้ไวโอเล็ตออกจะเป็นความคิดที่ดีด้วยซ้ำไป และที่สำคัญไวโอเล็ตเองก็โตเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงาน...ถึงจะยังไม่มั่นคงเท่ากับงานของเขา แต่แฮร์รี่ก็เชื่อว่าไวโอเล็ตคงจะสบายใจกว่าถ้ามีที่ทางเป็นของตัวเอง

                โดยแฮร์รี่นั้นเลือกซื้ออะพาร์ตเมนต์ในย่านคนที่มีฐานะ เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยของไวโอเล็ตเป็นอันดับแรก และเหตุผลที่สองก็คือ อะพาร์ตเมนต์นี้อยู่ห่างจากบ้านของแม่ไวโอเล็ตเพียงขับรถยี่สิบนาทีเท่านั้น หากเกิดอะไรขึ้นจะได้มีคนดูแลลูกสาวเขาได้

                เมื่อคิดถึงเรื่องแม่ของไวโอเล็ต แฮร์รี่ก็ต้องแอบถอนหายใจ ไม่เคยรู้สึกอึดอัดใจขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต เพราะเขานั้นรู้ดีว่าภายใต้ความน่ารักและตรงไปตรงมาของไวโอเล็ตนั้น มีสาวน้อยที่ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นซ่อนอยู่อีกคน เพียงแต่รอเวลาและแรงกระตุ้น และอีกไม่นานนี้ เขาก็จะได้เห็นไวโอเล็ตคนนั้นแน่ๆ

                “พ่อจองโต๊ะไว้หรือเปล่าคะ” ไวโอเล็ตถามบิดาที่รับหน้าที่คนขับ หลังจากเห็นว่าท่านขับรถเข้ามาในเขตร้านค้าที่หรูหราที่สุดในเมือง “หนูว่า ตอนนี้เราต้องไม่มีที่นั่งแน่เลย”

                “พ่อต้องจองไว้แล้วสิ” แฮร์รี่ไม่กล้าสบตาลูกสาว “มาทานข้าวกับสาวสวยทั้งที จะเสี่ยงไม่มีโต๊ะได้ยังไง”

                “หนูชอบพ่อนะคะ แต่หนูว่าเราเป็นแค่พ่อลูกกันดีกว่า” ไวโอเล็ตปล่อยมุก ทำเอาบิดาสุดหล่อถึงกับส่ายหน้า “หนูไม่ชอบผู้ชายที่แก่กว่าหนูเป็นยี่สิบปีหรอก”

                “ยี่สิบเอ็ด” แฮร์รี่เหลือบมองหน้าสวยหวานของคนเป็นลูกแล้วแย้งเสียงเข้ม “พ่อมีหนูตอนยี่สิบเอ็ด”

                “ก็เหมือนกันนั่นแหละ” ไวโอเล็ตยักไหล่ แล้วทำปากยื่นพลางคิดว่าเมื่อถึงร้านอาหารแล้วเธอจะสั่งอะไรกินดี “หิวจังเลย”

                “นี่เพิ่งสิบเอ็ดโมง...จะเที่ยงเอง หิวแล้วเหรอ” แฮร์รี่มองเข็มบอกเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนเก่าของเขา ที่สายหนังนั้นมีรอยถลอกปอกเปิกเพราะกรำงานมาหลายปี “ลูกนี่เป็นนางแบบยังไง กินจุอย่างกับลูกหมู”

                “ถ้าหนูเป็นหมู พ่อก็เป็นพ่อหมูไงคะ” ไวโอเล็ตยิ้มแป้นอย่างมีความสุข

                “พ่อหมูที่ไหนจะหล่อขนาดนี้” แฮร์รี่เลิกคิ้ว ยิ้มไม่เต็มปาก แต่กลับทำให้เขาดูหล่อขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า จนไวโอเล็ตอดหมั่นไส้ไม่ได้

                “พ่อไม่ต้องยิ้มแบบนั้นหรอกค่ะ หนูไม่หลงเสน่ห์พ่อหรอก” ไวโอเล็ตย่นจมูกบอก

                “หนูไม่หลง แต่สาวอื่นอาจจะหลงก็ได้” แฮร์รี่พูดขำๆ ไม่รู้สึกว่าต้องวางตัวเป็นผู้ใหญ่เมื่ออยู่กับไวโอเล็ตเหมือนอย่างที่พ่อคนอื่นๆ ทำ

                “ถ้ามีขอหนูดูตัวก่อนนะคะ” ไวโอเล็ตหรี่ตามองพ่อตัวเอง “หนูจะได้บอกว่าผ่านไม่ผ่าน”

                “พ่อล้อเล่นน่ะไวน์” แฮร์รี่พูดเสียงสูง เอื้อมมือไปโยกหัวทุยสวยแล้วเรียกไวโอเล็ตด้วยชื่อเล่นที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าเรียก “อยู่แต่ไร่ จะไปเจอผู้หญิงที่ไหนล่ะ”

                “หนูรู้นะว่ามี” ไวโอเล็ตขัด รู้ดีว่ามีผู้หญิงมากหน้าหลายตามาติดพันพ่อเธอ อาจจะเพราะธุรกิจไวน์ที่กำลังทำเงินเป็นกอบเป็นกำในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ประกอบกับรูปร่างหน้าตาของแฮร์รี่ที่ยังไม่แก่ สาวน้อยสาวใหญ่จึงมาวนเวียนหาเรื่องเข้าใกล้พ่อจนน่ารำคาญ

                “เอาที่ไหนมาพูดน่ะเรา” แฮร์รี่ขมวดคิ้ว แสร้งทำหน้าไม่พอใจใส่ไวโอเล็ต “ไม่เอาแล้ว เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะ พ่อเบื่อ”

                “ได้เพคะฝ่าบาท” ไวโอเล็ตเบ้ปาก ประชดประชันเหมือนทุกครั้งที่โดนพ่อบังคับให้ทำอะไรที่เธอไม่อยากทำ ก่อนจะถอนหายใจหันมามองดูร้านค้าสองข้างทางต่อ แล้วพ่นลมทางจมูกแรงๆ ทำเอาแฮร์รี่อดถามไม่ได้

                “มีอะไรหรือเปล่าลูก”

                “ไม่รู้สิคะ หนูรู้สึกเบื่อๆ ยังไงไม่รู้” ไวโอเล็ตไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง “เหมือนจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นยังไงไม่รู้”

                “ไม่มีอะไรหรอกน่า” แฮร์รี่บอกปัดความคิดไม่เข้าท่าของลูกสาว แล้วชี้บอกร้านอาหารที่เขาจองโต๊ะไว้ก่อนหน้า

                “ทำไมพ่อจองร้านนี้คะ มันไม่หรูไปหน่อยเหรอคะ” ไวโอเล็ตยู่หน้าใส่บิดาอย่างไม่แน่ใจ เมื่อร้านนี้ไม่ใช่ร้านประจำที่พ่อของเธอชอบมา

                แฮร์รี่ดับเครื่องยนต์ก่อนตอบ “พาสาวสวยมาทานข้าวทั้งทีก็ต้องทุ่มไม่อั้นสิครับ” แฮร์รี่พยายามแสร้งยิ้มให้เป็นธรรมชาติที่สุด เพราะกลัวว่าไวโอเล็ตจะจับพิรุธได้ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปตามแผน “ป๋าจ่ายได้น่า เศษเงินแค่นี้ ขนหน้าแข้งป๋าไม่สะเทือนหรอก”

                “หนูก็แค่แปลกใจเฉยๆ ค่ะ หนูรู้ค่ะว่าป๋าของหนูรวยมาก แต่ปกติไม่เห็นชอบเอาเงินมาโยนทิ้งแบบวันนี้นี่”

                “ก็ทำตัวเหมือนคนรวยบ้างไม่เห็นจะเป็นไรนี่” แฮร์รี่ให้เหตุผลข้างๆ คูๆ แล้วโอบเอวเล็กของไวโอเล็ต บังคับให้ลูกสาวตัวน้อยของเขาเดินไปที่ร้านอาหาร “มากับสาวสวยทั้งทีก็ต้องโชว์กันหน่อย”

                “ไม่ต้องโชว์ หนูก็รู้ว่าพ่อรวยค่ะ” ไวโอเล็ตพูดกลั้วหัวเราะ “หนูเป็นคนทำบัญชีให้พ่อนะ พ่ออย่าลืมสิคะ”

                “พ่อไม่ได้แก่ถึงขั้นหลงๆ ลืมๆ นะไวน์...” แฮร์รี่หรี่ตา “พ่อรู้ว่าหนูเป็นคนทำบัญชีแล้วก็เป็นลูกพ่อ” เขาพูดเชิงบ่น ล็อกคอไวโอเล็ตแล้วดันตัวลูกสาวให้เข้าไปในร้านอาหารสุดหรู

 

                “สวัสดีจ้ะ ไวโอเล็ต” เสียงทักที่เปี่ยมไปด้วยความรักร้องทักสาวน้อยที่เดินยิ้มแป้นเข้ามา

                แต่เมื่อไวโอเล็ตเห็นเจ้าของเสียง หน้าสวยเมื่อครู่ก็กลายเป็นบึ้งตึงทันที “นี่มันอะไรกันคะพ่อ” ไวโอเล็ตหันมาเอาเรื่องกับแฮร์รี่ทันที “พ่อนัดเขามาเหรอ”

                “อย่าไปโกรธพ่อเขาเลยไวโอเล็ต แม่ขอร้องให้พ่อพาหนูมาเท่านั้นเองจ้ะ” มาการ์เร็ตสารภาพอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะมองหน้าของแฮร์รี่ด้วยสายตาขอโทษ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “มานั่งก่อนสิจ๊ะ”

                “หนูไม่กิน” ไวโอเล็ตเสียงแข็ง ยกมือขึ้นกอดอกเป็นการต่อต้าน

                แต่แฮร์รี่กลับทำเพียงเหล่ตามอง บังคับให้ไวโอเล็ตมานั่งที่โต๊ะด้วยวิธีเดิม นั่นก็คือใช้แขนรัดตัวแล้วพาคนเป็นลูกมานั่งแหมะจนไวโอเล็ตร้องลั่น

                “พ่อ!”

                “นั่งดีๆ หิวไม่ใช่เหรอ” แฮร์รี่สั่งแล้วถาม ดันไวโอเล็ตให้เข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวในสุด แล้วตามเข้าไปนั่งปิดทางออก บังคับให้ไวโอเล็ตหมดหนทางหนี

                “หนูไม่กิน!” ไวโอเล็ตเสียงแข็ง จ้องหน้าพ่ออย่างโมโห

                “ไว-โอ-เล็ต” แฮร์รี่เน้นชื่อลูกสาวตัวเองทีละคำด้วยน้ำเสียงเอาจริง ทำให้สาวน้อยที่ตั้งท่าจะงอแงทำหน้าง้ำงอ หันมาต่อว่าแขกไม่ได้รับเชิญทางสายตา

                “แม่ขอโทษจ้ะ แม่ไม่อยากโกหกหนู...”

                “แล้วโกหกทำไมล่ะ!” ไวโอเล็ตไม่ปล่อยให้มาการ์เร็ตพูดจบประโยค สวนคำถามกวนประสาทใส่คนเป็นแม่ทันที

                “ไว-โอ-เล็ต” แฮร์รี่เรียกชื่อลูกสาวอีกครั้งเมื่อไวโอเล็ตทำท่าจะไม่ยอมง่ายๆ “พูดกับแม่ดีๆ หน่อย”

                “ไม่!” ไวโอเล็ตเถียงเสียงแข็ง

                “ไวน์...”

                “ไม่เป็นไรหรอกแฮร์รี่” มาการ์เร็ตยกมือห้ามแฮร์รี่ พยักหน้าน้อยๆ ส่งให้เพื่อบอกว่าเธอรับมือได้ “ฉันเข้าใจ”

                ไวโอเล็ตเม้มปากแน่นอย่างหงุดหงิด มองหน้าของผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามเธอกับพ่อด้วยตาขุ่นขวาง กล่าวโทษผู้หญิงคนนั้นทางสายตา

                “แม่ไม่รู้ว่าหนูอยากกินอะไร แต่แม่สั่งเค้กมะนาวไว้ให้หนูแล้ว แม่จำได้ว่าหนูชอบ” มาการ์เร็ตเอ่ยกับลูกสาวคนเดียวด้วยรอยยิ้มเปี่ยมความรัก แม้ไวโอเล็ตจะไม่แสดงท่าทีเป็นมิตรกับเธอก็ตาม “ร้านนี้เค้กมะนาวอร่อยมากนะจ๊ะ หนูคงชอบ”

                “หนูไม่กิน!” ไวโอเล็ตยังค้านเสียงแข็ง พูดคำเดิมเหมือนตอนที่เข้ามาไม่มีผิด “พ่อ หนูจะกลับบ้าน”

                “แต่พ่อยังไม่ได้กินอะไรเลยนะไวโอเล็ต” แฮร์รี่บอกเสียงเรียบ “จะให้พ่อหิ้วท้องรอหนูไปอย่างนี้น่ะเหรอ ไม่เอาหรอก”

                “เราไปทานที่อื่นกันก็ได้นี่” ไวโอเล็ตเสียงแข็ง

                “แต่พ่ออยากทานที่นี่” แฮร์รี่บอกความต้องการ “พ่อทานไม่นานหรอก ถ้าหนูไม่กินก็ทนนั่งเป็นเพื่อนพ่อหน่อย”

                “แต่พ่อคะ...”

                “ขอโทษครับ ขอเมนูหน่อย” แฮร์รี่โบกมือเรียกพนักงาน ตั้งใจเมินไวโอเล็ตที่กำลังจะโวยวาย แล้วจัดการสั่งอาหาร ปล่อยให้สาวน้อยในโต๊ะได้แต่นั่งกัดปากตัวเองอย่างขัดใจเหมือนเด็กๆ

                แม้ไวโอเล็ตจะแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย แต่กระนั้นมาการ์เร็ตกลับยิ้มกว้างอย่างมีความสุข มองหน้าลูกสาวของเธอไม่วางตา ด้วยเพราะคิดถึงที่ไม่ได้เจอหน้าอีกฝ่ายมานาน

                “แม่ได้ยินว่าหนูเพิ่งเข้าไปออดิชัน เป็นยังไงบ้างจ๊ะ เป็นไปด้วยดีหรือเปล่า” มาการ์เร็ตถามคนที่กำลังกินอาหารจานเดียวกับคนเป็นพ่อ ทั้งที่บอกว่าจะไม่กินเสียงแข็งอยู่แท้ๆ

                “คุณจะอยากรู้ไปทำไมคะ” ไวโอเล็ตช้อนสายตาขวางๆ ขึ้นมาจากจานอาหาร “เรื่องงานของหนูมันเป็นเรื่องส่วนตัวนะ”

                “ไม่ได้ส่วนตัวขนาดนั้นไม่ใช่หรือ” แฮร์รี่ขัด “แม่เขาถามเพราะห่วง ทำไมไม่ตอบดีๆ”

                “พ่ออะ” ไวโอเล็ตกระเง้ากระงอด กระฟัดกระเฟียดพอเป็นพิธีแล้วกัดฟันตอบมาการ์เร็ตแกนๆ “ก็ดีค่ะ แต่หนูคงไม่ได้หรอก”

                “แล้วหนูจะเข้าไปออดิชันของ Sandee’ brand หรือเปล่าจ๊ะ” มาการ์เร็ตถามต่อ “แม่ได้ยินมาว่าเขากำลังจะยกเลิกสัญญานางแบบคนเก่า งานนี้น่าลองนะ หนูควรจะไป” เธอแนะนำ มั่นใจว่าจะมีการเปลี่ยนตัวนางแบบอย่างแน่นอน เพราะเธอก็ได้รับการติดต่อให้เข้าไปออดิชัน แต่เธอไม่อยากจะกลับไปทำงานในวงการอีกแล้ว อายุอานามก็ปาเข้าไปขนาดนี้ ไม่อยากจะลดน้ำหนักให้เสียสุขภาพอีก

                “คุณรู้ได้ไงคะ ข่าวอาจจะมั่วก็ได้” ไวโอเล็ตพูดอย่างขอไปที

                “แล้วถ้าเขายกเลิกสัญญาจริงๆ หนูจะไปหรือเปล่าจ๊ะ” มาการ์เร็ตหยั่งเชิงถาม

                “ไม่รู้ค่ะ หนูไม่อยากอยู่ใกล้คนชื่อวิลเลี่ยม” ไวโอเล็ตส่ายหัว ค่อยๆ ลดกำแพงอารมณ์ลงมาอย่างไม่รู้ตัว “เขาชื่อเสียงไม่ดีเท่าไหร่”

                “เมื่อวานเขาพาไวโอเล็ตไปซื้อกระเป๋าด้วย” แฮร์รี่เอ่ยถึงเหตุการณ์เมื่อวานให้มาการ์เร็ตฟัง

                “วิลเลี่ยม เทรเวน น่ะเหรอจ๊ะ” มาการ์เร็ตอุทานอย่างแปลกใจ หันมามองหน้าลูกสาวอย่างเป็นห่วง “เขารู้จักลูกได้ยังไงจ๊ะ แล้วเขาทำตัวไม่ดีใส่หนูหรือเปล่า”

                “หนูไม่อยากพูดถึงเขา” ไวโอเล็ตตัดบท “หนูคงไม่มีทางได้เจอเขาอีกแล้วละค่ะ”

                “แม่ไม่อยากให้หนูอยู่ใกล้เขาเลยไวโอเล็ต” มาการ์เร็ตพูดด้วยความไม่สบายใจ “ชื่อเสียงเขาเรื่องผู้หญิงไม่ดีเอาเสียเลย หนูแน่ใจเหรอจ๊ะว่าปลอดภัย”

                “ไอ้หนุ่มนั่นน่ะปลอดภัย แต่ไวโอเล็ตน่ะไม่แน่” แฮร์รี่แทรกขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมยกมือปิดปากที่กำลังเคี้ยวอาหาร

                “หนูไม่ใช่แนวเขาหรอกค่ะ” ไวโอเล็ตหันมาพูดกับแฮร์รี่ด้วยสีหน้าขยาด แค่คิดว่าเธอต้องสู้รบตบมือกับบรรดาสาวๆ ใจกล้าทั้งหลายของ วิลเลี่ยม เทรเวน เธอก็ขนพองสยองเกล้าแล้ว “แล้วเขาก็ไม่ใช่แนวหนูด้วย เขาเป็น...” ตากลมโตหรี่ลงเมื่อคิดหาคำพูดที่จะใช้จำกัดความ วิลเลี่ยม เทรเวน ได้ทั้งหมด “ไอ้งี่เง่า”

                “เอ่อ...ไวโอเล็ตจ๊ะ” มาการ์เร็ตเรียกชื่อลูกสาว รอให้ไวโอเล็ตหันกลับมาหาเธอ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ “แม่อยากถามหนูว่าวันศุกร์นี้หนูมีแผนจะทำอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

                “ยังไม่ทราบค่ะ วิเวียนไม่ได้บอกว่าหนูมีตารางงานที่ไหน แต่ช่วงนี้ผู้ช่วยของวิเวียนป่วยเยอะ บางทีเธออาจจะเรียกหนูเข้าไปช่วย” ไวโอเล็ตบอกตามจริง “คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”

                “หนูจะปฏิเสธเธอได้หรือเปล่าจ๊ะ” มาการ์เร็ตว่าเชิงขอร้อง “แม่จะไปงานประกาศรางวัล...แล้วแม่ก็อยากให้หนูไปงานกับแม่”

                “แล้วสามีคุณไปไหนล่ะคะ” ไวโอเล็ตถามออกไปอย่างไม่คิดจะรักษาน้ำใจ จ้องหน้าซีดเผือดของคนที่ให้กำเนิดเธออย่างท้าทาย รอให้มาการ์เร็ตพูดถึงสามีตามกฎหมายของเธอ

                “ไวโอเล็ต” แฮร์รี่ทำเสียงเครียด

                “ก็หนูแค่สงสัย ทำไมพ่อต้องเสียงแข็งด้วยล่ะคะ” ไวโอเล็ตโวยวายใส่แฮร์รี่เมื่อเขาดุเธอ

                “พอลเขาทำงานจ้ะ” มาการ์เร็ตฝืนยิ้มก่อนตอบ

                “ทำงานจนไม่มีเวลาว่างออกงานสังคมกับภรรยาเลยหรือไงคะ” ไวโอเล็ตเลิกคิ้ว

                “เขาว่างจ้ะ แต่แม่อยากไปกับหนูมากกว่า” มาการ์เร็ตบอกเหตุผล เธอไม่อยากปิดเรื่องที่เธอมีไวโอเล็ตกับใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนที่เธอเป็นนางแบบอยู่ก็ตาม “แล้วหนูว่ายังไงจ๊ะ พอจะลาวิเวียนเขาได้หรือเปล่า...แม่ต้องโทร. ไปพูดให้มั้ย”

                “หนูไม่อยากไปกับคุณ” ไวโอเล็ตพูดอย่างไร้เยื่อใย “หนูไม่อยากให้ใครรู้ว่าหนูเป็นลูกคุณ”

                “ไวโอเล็ต!” แฮร์รี่ตวาดลูกสาว

                ทว่าไวโอเล็ตกลับไม่รู้สึกรู้สม มองหน้ามาการ์เร็ตด้วยสายตาเย็นชาเหมือนอย่างตอนแรก

                “แม่เข้าใจจ้ะ” มาการ์เร็ตยิ้มจืดเจื่อน แม้จะสะเทือนใจกับคำพูดเมื่อครู่ของลูกสาว แต่เธอก็สมควรได้รับสิ่งนี้ตอบแทน “แม่แค่อยากไปงานกับหนูเท่านั้นเอง แม่อยากออกงานกับลูกสาวเหมือนแม่คนอื่นๆ บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไรจ้ะ...”

                “คุณไม่ได้เลี้ยงหนูมาเหมือนอย่างแม่คนอื่นๆ แล้วคุณจะมาเรียกร้องอะไรคะ” ไวโอเล็ตขยี้ความรู้สึกของมาการ์เร็ตที่บอบช้ำอยู่แล้วจนไม่เหลือชิ้นดี ก่อนจะวางช้อนส้อมในมือแล้วสูดหายใจเฮือกใหญ่ “ทำไมเราต้องมาเสแสร้งอย่างนี้ด้วยคะ ทำไมเราต้องมานั่งทานข้าวสามคนพ่อแม่ลูก ทั้งๆ ที่เราก็รู้กันดีว่าเราไม่เคยแม้แต่เป็นครอบครัวเดียวกันด้วยซ้ำ”

                “ถ้าลูกจะพูดอะไรดีๆ ไม่ได้ ลูกก็น่าจะเงียบซะไวน์” แฮร์รี่ดุลูกสาวเสียงเครียดกว่าเดิม โกรธจนควันออกหูเมื่อไวโอเล็ตทำตัวไม่ต่างจากเด็กเอาแต่ใจ “แม่เขาถามลูกดีๆ ลูกก็น่าจะตอบดีๆ”

                “แล้วหนูตอบไม่ดีตรงไหนคะ” ไวโอเล็ตย้อนถาม

                “ลูกประชดประชัน จิกกัดแม่เขา แบบนี้ไม่น่ารักเลยไวน์” แฮร์รี่แจกแจงความผิดลูกสาว

                “นี่พ่อเข้าข้างผู้หญิงที่ทิ้งพ่อ ทิ้งหนูไปตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” ไวโอเล็ตขุดเรื่องเก่าขึ้นมาพูดได้อย่างแสบสัน “พ่อเข้าข้างผู้หญิงที่หนีสามีตัวเองมาท้องกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไงคะพ่อ”

                “ไวน์!” แฮร์รี่ตวาดไวโอเล็ต ตบโต๊ะเสียงดังอย่างโมโหเมื่อไวโอเล็ตลามปาม “พ่อบอกให้หยุดไง”

                “หนูไม่ได้เป็นคนเริ่ม พ่อต่างหากที่เริ่ม” ไวโอเล็ตพูดด้วยสีหน้าไร้สำนึก “พ่ออาจจะลืมว่าเราต้องเจออะไรบ้างกว่าจะมีวันนี้ แต่หนูไม่ลืม...หนูไม่มีทางลืมว่าผู้หญิงคนนี้ทำอะไรกับเราไว้บ้าง เพราะฉะนั้นเชิญพ่อให้อภัยเขาไปคนเดียวเถอะ!”

                “ไวโอเล็ตจ้ะ ไวโอเล็ต” มาการ์เร็ตเอื้อมมือมาคว้ามือเล็ก แต่กลับโดนไวโอเล็ตสะบัดออกอย่างไม่ไยดี “ฟังแม่ก่อนนะลูก ฟังแม่ก่อน”

                “คุณจะพูดอะไรคะ จะพูดว่าทิ้งหนูเพราะจำเป็น ทิ้งหนูเพราะชื่อเสียงเงินทองตอนนั้นของคุณงั้นเหรอ จะบอกว่าคุณเลือกชื่อเสียงเงินทองมากกว่าลูกอย่างหนูอย่างนั้นใช่มั้ยคะ” ไวโอเล็ตว่าเสียงแหลม “เพราะถ้าคุณจะพูดแค่นั้นก็คงไม่จำเป็นหรอกค่ะ เพราะหนูรู้อยู่แล้ว”

                พูดเสร็จไวโอเล็ตก็ลุกขึ้น เบียดตัวออกมาจากเก้าอี้ด้านใน เพราะไม่อาจทนอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนเช่นนี้ได้อีกต่อไป และแฮร์รี่เองก็ไม่ได้ห้าม เพราะคิดว่าต่อให้พูดอะไรไปตอนนี้ ไวโอเล็ตก็คงไม่เข้าใจ

                “แม่ขอโทษลูก แม่ขอโทษ” มาการ์เร็ตคว้ามือเล็กเอาไว้ พยายามขอโทษเด็กน้อยที่เธอรักยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกด้วยเสียงสั่นเครือ “แม่ขอโทษ แม่ผิดเอง แม่ขอโทษ”

                “เลิกยุ่งกับหนูสักทีเถอะค่ะ” ไวโอเล็ตอ้อนวอน แต่คำอ้อนวอนนั้นกลับทำให้มาการ์เร็ตปล่อยโฮออกมา “ทำไมคุณไม่อยู่กับครอบครัวคุณไปคะ จะกลับมาทำไมอีก”

                “แม่ขอโทษลูก แม่ขอโทษ...”

                “หนูกำลังจะมีความสุข ชีวิตของเด็กผู้หญิงที่คุณทิ้งไปกำลังจะสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว แต่คุณก็กลับมาทำลายมันอีก...คุณจะใจร้ายไปถึงไหนคะ”

                “แม่ขอโทษลูก...” มาการ์เร็ตพูดได้เพียงประโยคเดียวก่อนจะสะอึกสะอื้นต่อจนตัวโยน “แม่...”

                “เลิกยุ่งกับหนูสักที หนูไม่ได้เกลียดคุณ แต่หนูก็ทำใจรักคุณไม่ได้เหมือนกัน”

                “ไวโอเล็ต!” มาการ์เร็ตร้องเรียกชื่อคนที่สลัดมือเธอออกเสียงดัง ทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นแล้วร้องไห้ปิ่มจะขาดใจ ไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งที่เธอทำในอดีตจะกลับมาทำร้ายเธอให้เจ็บราวจะขาดใจได้ขนาดนี้ “แม่ขอโทษ...แม่ขอโทษ”

                มาการ์เร็ตร้องไห้จนตาพร่ามัว แต่น้ำตาที่ไหลออกมานั้นเทียบไม่ได้กับความรู้สึกบาดลึกจากถ้อยคำกล่าวโทษของไวโอเล็ต เธอกำหมัดแน่น ก้มหน้าร้องไห้กับความผิดของตัวเองอย่างสมเพช “ลูกจ๋า...ลูกแม่”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น