“ครับท่าน” ไมเคิลรับคำอย่างกวนประสาท ยอมสงบปากสงบคำ ขับรถต่อไปอย่างว่าง่าย
“พ่อมาที่นี่ได้ยังไงคะ” ไวโอเล็ตหันไปถามชายร่างสูงที่เดินตามหลังมา หรี่ตามองหน้า แฮร์รี่ โรส พ่อผู้ให้กำเนิดเธออย่างจับผิด “พ่อแอบตามหนูมาอย่างนั้นหรือ”
“โว้วๆ ใครเขาจะทำอย่างนั้นกัน” แฮร์รี่ยกมือสองข้างขึ้นระดับอก ปฏิเสธข้อกล่าวหาของลูกสาวตัวเองเสียงแข็ง “พ่อมาคุยงานที่ร้านอาหาร แล้วบังเอิญเห็นคนที่หน้าเหมือนลูกสาวตัวเองควงแขนมากับผู้ชายที่ไหนไม่รู้ พ่อก็เลยลองตามมาดู และก็เป็นหนูจริงๆ ที่สำคัญหนูยังไปยุ่งกับคนที่มีแฟนอยู่แล้วด้วย พ่อผิดหวังมากนะ เอาจริงๆ”
“เขามันไอ้งี่เง่า” ไวโอเล็ตกลอกตาอย่างหงุดหงิด บริภาษวิลเลี่ยมต่อหน้าพ่อตัวเอง “หนูเกลียดคนอย่างเขาที่สุดเลย”
“พ่อพลาดอะไรไปหรือเปล่าเนี่ย” แฮร์รี่หน้าเหลอ เขาคิดว่าไวโอเล็ตกำลังเดตกับไอ้หนุ่มนั่นอยู่เสียอีก “หนูไม่ได้กำลังเดตกับเขาอยู่หรือ”
“ไม่อยู่แล้ว” ไวโอเล็ตตอบเสียงแข็ง ส่งถุงกระดาษในมือให้ผู้เป็นพ่อถือ แล้วสอดแขนเข้าไปคล้องแขนอย่างสนิทสนม ชวนให้คนที่ผ่านไปผ่านมาคิดว่าทั้งสองเป็นคู่รักต่างวัย “เขาเป็นลูกค้าของวิเวียน ไม่ใช่แฟนของหนูหรอกค่ะ”
“อย่างนั้นก็ดีไป” แฮร์รี่ยักไหล่ สบายใจขึ้นมาหน่อยที่ไวโอเล็ตไม่ได้มีแฟนเป็นคนเจ้าชู้ประตูดิน “แต่พ่อว่าเขาก็หล่อดีนะ”
“พี่ชายของเขาหล่อกว่านี้อีกค่ะ” ไวโอเล็ตกระซิบแล้วยิ้มกริ่ม มองแฮร์รี่ทำตาโตแล้วหัวเราะชอบใจ “เขาเป็นน้องชายของ แมทธิว เทรเวน ไงคะพ่อ”
“คนที่ลูกชอบน่ะเหรอ” แฮร์รี่ถามย้ำ เมื่อไวโอเล็ตพยักหน้าหงึกๆ เขาจึงถามอีก “แสดงว่าผู้ชายคนนั้นเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านเทรเวนอย่างนั้นใช่มั้ย”
“พ่อรู้จักบ้านเทรเวนด้วยเหรอคะ” ไวโอเล็ตเลิกคิ้วถาม
“ก็ต้องรู้สิ ไร่เราส่งไวน์ให้โรงแรมเขามาห้าปีแล้วนะ” แฮร์รี่ว่า แต่ความจริงนั้นเขาก็ไม่ได้มีโอกาสเจอกับลูกๆ ของบ้านนี้บ่อยนักหรอก จะเจอลูกชายคนโตแบบผ่านๆ บ้าง เพราะส่วนมากเขาจะคุยเรื่องธุรกิจกับ เคลวิน เทรเวน และภรรยาของเขาเสียมากกว่า ด้วยเพราะว่าคุณนายเทรเวนนั้นชอบไวน์จากไร่ของเขาเป็นส่วนตัวนั่นเอง “พ่อกับแม่ของเขานิสัยดีมาก น่าแปลกที่มีลูกชายเจ้าชู้ไม่เลือกอย่างนี้”
“หนูถึงบอกไงคะว่าเขาเป็นไอ้งี่เง่า” ไวโอเล็ตหัวเราะร่ากับคำพูดที่ตรงไปตรงมาของคนเป็นพ่อแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะไม่อยากเสียเวลาพูดถึงผู้ชายเจ้าชู้ “แล้วพ่อจะค้างที่นี่ก่อน หรือจะกลับไปที่ไร่เลยคะ”
“วางแผนไว้ว่าจะค้าง แล้วพรุ่งนี้จะไปรับลูกสาวมาทานข้าว ใช้เวลาอยู่กับลูกสองคนตามประสา” แฮร์รี่บอกแผนการที่เขาวางไว้ก่อนจะมาในเมือง “แต่บังเอิญเจอลูกสาวระหว่างทาง เลยไม่ต้องตามหาให้เสียเวลา”
“หนูอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ของพ่อ พ่อก็รู้อยู่แล้ว”
“แต่บางครั้งหนูก็ไม่ได้อยู่” แฮร์รี่รู้ว่าบางครั้งไวโอเล็ตก็ชอบออกไปเถลไถล เดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมายเหมือนตอนสมัยเด็กๆ “พ่อปล่อยให้หนูมาอยู่ที่นี่คนเดียวเพราะพ่ออยากให้หนูมาอยู่ใกล้แม่ แต่หนูกลับไม่แม้แต่จะโทร. หาแม่หนูด้วยซ้ำ”
“อย่าพูดถึงผู้หญิงคนนั้นจะได้มั้ยคะ” ไวโอเล็ตชักแขนหนีพ่อทันทีที่ท่านเอ่ยถึงผู้หญิงที่ให้กำเนิดเธอ หน้างามที่ติดจะยิ้มอยู่ตลอดเวลากลายเป็นบึ้งตึงและหงุดหงิดขึ้นมาทันตา
“แม่...ไวโอเล็ต” แฮร์รี่แก้คำพูดลูกสาว มองสาวน้อยหัวแข็งตรงหน้าด้วยความหนักใจ ไม่มีทางไหนที่เขาจะเปลี่ยนความคิดไวโอเล็ตได้เลยใช่มั้ย “เธอเป็นแม่ของลูกนะ”
“ผู้หญิงคนนั้นแค่ให้หนูเกิดมาบนโลกนี้เท่านั้นแหละค่ะ เธอไม่เคยทำอะไรเหมือนที่แม่คนอื่นทำเลยสักอย่าง เพราะฉะนั้นอย่าให้คำที่มีค่าคำนั้นต้องมาตกต่ำเพราะผู้หญิงคนนี้เลย”
“ไวโอเล็ต”
“ถ้าพ่อจะมาทะเลาะกับหนูเรื่องนี้อีกหนูจะกลับแล้วนะคะ” ไวโอเล็ตช้อนสายตามองหน้าคนเป็นพ่อ
สายตาที่ใกล้จะหมดความอดทนของลูกสาวทำให้แฮร์รี่ถอดใจ
“พ่อไม่พูดถึงแม่ของหนูแล้วก็ได้” แฮร์รี่ยกมือยอมแพ้ แต่กระนั้นก็ยังไม่วายขอร้องลูกสาวหัวดื้อของเขา “แต่อย่างน้อยหนูก็ควรจะรับโทรศัพท์แม่เขาบ้าง จะตอบข้อความบ้างก็ได้ถ้าหนูพอมีเวลา”
“หนูไม่ว่างค่ะ” ไวโอเล็ตพูดเสียงขึ้นจมูก โกหกหน้าตาย เพราะความจริงแล้วเธอไม่เคยแม้แต่จะเสียเวลาเปิดข้อความของผู้หญิงคนนั้นอ่านเลยด้วยซ้ำ
“หนูรู้ใช่มั้ยว่าพ่อดูออกเวลาหนูโกหก”
“พ่อก็ต้องรู้สิคะ พ่อเลี้ยงหนูมานี่” ไวโอเล็ตพูดเสียงห้วนแล้วเบือนหน้าหนีพ่ออย่างรำคาญใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมพ่อต้องขุดเรื่องผู้หญิงคนนั้นมาพูดกับเธอทุกครั้งที่เจอหน้ากันด้วย
“บางครั้งพ่อก็เกลียดความเจ้าคิดเจ้าแค้นของย่าหนู ที่ติดมาในเลือดของหนูเหลือเกินนะไวโอเล็ต” แฮร์รี่บ่น ส่ายหัวแล้วถอนหายใจหนักๆ อายุใกล้กับลูกมันดีตรงที่เป็นเพื่อนกับลูกได้ แต่มันก็เหนื่อยตรงที่สั่งให้ลูกทำอะไรไม่ได้
“หนูก็ไม่ได้ชอบใจกับความเห็นอกเห็นใจของพ่อเหมือนกันค่ะ” ไวโอเล็ตเถียงทันควัน เหลือบมองหน้าพ่อด้วยหางตา “ย่าเองก็คงจะเหมือนกัน”
“พอได้แล้ว” แฮร์รี่โอบแขนไปคล้องคอลูกสาว เอาศีรษะตัวเองโขกกับศีรษะทุยสวยของไวโอเล็ตเบาๆ อย่างลงโทษที่ไม่จริงจังสักเท่าไรแล้วว่า “ไม่เถียงเรื่องนี้กันแล้ว โอเคมั้ย”
“พ่อก็เลิกพยายามแก้ไขเรื่องนี้สักทีสิคะ” ไวโอเล็ตบ่นอุบอิบ “หนูก็ไม่อยากเป็นแบบนี้หรอก หนูเบื่อเต็มทนแล้วเหมือนกัน”
“พยายามหน่อย...พยายามให้โอกาสแม่เขาหน่อย โอเคมั้ย เพราะเธอเองก็พยายามอยู่เหมือนกัน” แฮร์รี่มองเสี้ยวหน้าของลูกสาวที่ได้เค้าความสวยมาจากผู้หญิงที่เขารักสุดหัวใจคนนั้นแล้วสะท้านในอก
ทำไมหนอ...ทั้งๆ ที่เหมือนกันขนาดนี้ ทำไมไวโอเล็ตถึงยังจงเกลียดจงชังแม่ตัวเองอยู่อีก
“ผมต้องบอกเลยว่าตอนนี้ผมหงุดหงิดมาก” วิลเลี่ยมเปิดฉากพูดเป็นคนแรกหลังจากที่ไวโอเล็ตเดินออกไปจากร้านกระเป๋า “พวกคุณสองคนเข้ามาก่อกวนเวลาส่วนตัวของผมอย่างไม่น่าให้อภัย และผมก็เกลียดจริงๆ”
“วิลเลี่ยมคะ แองจี้ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณโมโหนะ” แองจี้แก้ตัวตะกุกตะกัก จ้องหน้านิ่งเรียบของวิลเลี่ยมด้วยความหวั่นใจ “แองจี้ขอโทษ...”
“คุณไม่ได้ตั้งใจทำให้ผมโมโห แต่คุณกลับทำให้ผมโมโห” วิลเลี่ยมพูดเนิบนาบด้วยน้ำเสียงเย็นๆ
“แองจี้ขอโทษค่ะ แองจี้ไม่ทันคิด”
“มีสมองทำไมไม่คิด” วิลเลี่ยมชักสีหน้าถาม สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือความวุ่นวาย และการทำตัวน่ารำคาญเพราะหึงหวงของพวกผู้หญิง “ผมไม่เคยบอกคุณหรือไงว่าห้ามทำตัวรุ่มร่ามตอนที่ผมออกมาข้างนอก ผมไม่สนุกไปกับคุณด้วยหรอกนะ”
“แต่คุณก็ยังควงนังเด็กนั่นออกมานี่ แล้วทำไมแองจี้จะเข้ามาถามไม่ได้” นาตาชาย้อน กางปีกปกป้องเพื่อนของเธอสุดฤทธิ์ หลังจากที่แองจี้ยืนนิ่งเป็นใบ้กินเมื่อโดนวิลเลี่ยมต่อว่า “คุณทำกับแฟนคุณอย่างนี้ได้ยังไงคุณวิลเลี่ยม”
“ใคร”
“อะไรนะคะ” นาตาชาไม่เข้าใจสิ่งที่วิลเลี่ยมพูด
“ใครเป็นแฟนผม เมื่อกี้คุณพูดว่าใครเป็นแฟนผมนะ” วิลเลี่ยมถาม ถอนหายใจยาวเพื่อรอฟังคำตอบ
“ก็แองจี้ไง” นาตาชาว่า ชี้ไปที่เพื่อนของตัวเองแล้วชักสีหน้าใส่วิลเลี่ยม “อย่ามาทำเป็นไม่เข้าใจ คุณเป็นแฟนกับแองจี้ไม่ใช่เหรอ”
“เธอบอกคุณอย่างนั้นเหรอ” วิลเลี่ยมปรายตามองแองจี้ที่หน้าซีดเผือดเมื่อความแตก แล้วเหยียดยิ้มใส่นาตาชา “ผมเคยพูดเหรอว่าเพื่อนคุณเป็นแฟนผม”
“จะมาพูดแบบไร้ความรับผิดชอบอย่างนี้ได้ยังไง ข่าวเขาลงกันให้ทั่วว่าคุณกับเพื่อนฉันคบกันอยู่” นาตาชาเสียงแข็ง “ถ้าไม่ได้คบ ทำไมคุณไม่ออกมาแก้ข่าวล่ะ จะปล่อยให้เขาเชื่อกันมาเกือบปีอย่างนี้ทำไม”
“แล้วทำไมผมต้องเสียเวลาไปสนใจเรื่องที่มันไม่จริงด้วยล่ะ” วิลเลี่ยมย้อนถามได้อย่างน่าตบ “บอกผมหน่อย ทำไมผมต้องใส่ใจเรื่องไร้สาระที่เพื่อนคุณแต่งขึ้นมาเพื่อหางานให้ตัวเองด้วย ทำไมผมต้องแคร์”
“วิลเลี่ยม!” แองจี้ร้องกรี๊ด เมื่อชายหนุ่มไม่คิดจะรักษาหน้าเธอแม้แต่น้อย “มันจะมากไปแล้วนะ”
“มันเป็นสิ่งที่คุณสมควรได้รับแล้วแองจี้ ผลของความไร้มารยาทของคุณเองไงล่ะ” วิลเลี่ยมพูดอย่างไร้เมตตา “อย่าล้ำเส้นผมอีก เพราะผมจะไม่ใจดีเหมือนอย่างวันนี้ เข้าใจใช่มั้ย”
“คุณมันเลว!” นาตาชาชี้หน้าวิลเลี่ยมก่อนจะด่ากราดอย่างโมโห คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่ใครๆ ต่างพูดว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้จะเลวไร้ที่ติ
“ไว้ให้คุณดีกว่าผมเมื่อไหร่ค่อยกลับมาด่า” วิลเลี่ยมมองหน้าผู้หญิงที่กล้าชี้หน้าด่าเขาอย่างดูหมิ่น “เพราะผมไม่ฟังคำพูดของคนที่มีแต่ราคาคุย”
“วิลเลี่ยม!” แองจี้ร้องกรี๊ด กำหมัดจนตัวสั่นเมื่อเธอโมโหจนเกือบควบคุมตัวเองไม่อยู่ “คุณกล้าดียังไง...”
“ผมพูดถูกไปหน่อยหรือไง” วิลเลี่ยมหัวเราะหึ แล้วเลิกคิ้วถาม “หรือผมรู้จักผู้หญิงแบบพวกคุณดีเกินไป”
“สารเลวเอ๊ย!” นาตาชาที่เป็นฝ่ายทนไม่ไหวตะโกนด่า พุ่งตัวหมายจะเข้ามาจัดการกับวิลเลี่ยมให้สาสมกับคำพูดของเขา แต่โดนแองจี้กันเอาไว้ “มันด่าแกขนาดนี้ แกยังจะปกป้องมันอีกเหรอ!” นาตาชาตะโกนถามเพื่อนสนิท “แองจี้!”
“เธอปกป้องตัวเองต่างหาก” วิลเลี่ยมกระตุกยิ้ม ตอบคำถามนั้นแทนนางแบบสาว “ยังดีหน่อยที่ยังมีหัวคิด ไม่โยนอนาคตทิ้งด้วยการทำตัวโง่เป็นครั้งที่สอง”
“ฉันขอโทษ” แองจี้กัดฟันพูด แม้จะโกรธแค่ไหนแต่ก็ไม่กล้าหือ เมื่อ วิลเลี่ยม เทรเวน ไม่ใช่คนที่เธอสามารถต่อกรด้วยได้ “ได้โปรด ฉันไม่ได้ตั้งใจ นาตาชาก็ด้วย”
“ดีที่ได้ยินอย่างนั้น” วิลเลี่ยมพูดยิ้มๆ ก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋าเตรียมจะเดินออกไปจากร้าน แต่ก็คิดบางอย่างขึ้นได้เสียก่อน “อ้อ แล้วอีกอย่าง...ถ้าคุณอยากให้ใครเขาให้เกียรติคุณ คุณก็ต้องทำตัวให้มีเกียรติเสียก่อน ไม่ใช่สักแต่คิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงแล้วทุกคนต้องสงบปากสงบคำ ไม่กล้าด่าคุณ...ผมไม่ใช่คนประเภทนั้น ขืนมาทำตัวต่ำใส่ผม รับรองเลยว่าคุณจะได้รับสิ่งต่ำๆ กลับไปเป็นล้านเท่า!”
วิลเลี่ยมเดินหน้าบูดบึ้งออกมาจากร้านกระเป๋า เพราะหงุดหงิดที่ทุกอย่างพังไม่เป็นท่า แถมยังมีใครหน้าไหนก็ไม่รู้มาฉกยายเป็ดน้อยของเขาไปหน้าตาเฉย เบอร์ติดต่อก็ไม่มีแล้ว อย่างนี้จะไม่ให้หงุดหงิดได้อย่างไร
พยายามจะเลิกหงุดหงิดไปได้ไม่นานเท่าไร เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมากวนอารมณ์ของวิลเลี่ยมให้ขุ่นอีกรอบ
“วิลเลี่ยมพูด” วิลเลี่ยมกรอกเสียงห้วนๆ ลงไปหลังจากกดรับ โดยไม่สนใจจะมองชื่อคนที่โทร. เข้ามาแม้แต่น้อย
“แกโมโหอะไรของแก” ปลายสายถามอย่างสับสน ดันโทร. มาผิดจังหวะตอนที่เพื่อนตัวดีของเขาโมโหเข้าเสียได้ “ฉันโทร. มากวนแกหรือเปล่าเนี่ย”
“มีอะไรไอ้ไมค์ รีบๆ พูดมาจะได้วาง” วิลเลี่ยมถามอย่างรำคาญใจ เรียกไมเคิลด้วยชื่อเล่นอย่างสนิทสนมหลังทำงานด้วยกันมาร่วมปี
“แกอยู่ไหน” ไมเคิลถามเร็วๆ “รีบย้ายก้นแกไปอุทยานเดี๋ยวนี้เลย มีลูกหมาป่าอาการโคม่ารอแกอยู่ ตอนนี้ฉันกำลังไป”
“ฉันอยู่เบเวอร์ลีฮิลส์ กำลังจะไปเหมือนกัน” วิลเลี่ยมพูดเร็วๆ วิ่งออกไปมองหาแท็กซี่ทันทีที่ได้ยินเรื่องจากปากของไมเคิล
“ฉันกำลังจะผ่านไปพอดี แกอยู่ตรงไหน ฉันจะไปรับ จะได้ไปพร้อมกัน” ไมเคิลถามลอดปลายสาย หักเลี้ยวพวงมาลัยเพื่อเข้ามารับเพื่อนสนิทในย่านชอปปิงแทนที่จะขับออกไปจากเมือง เพื่อเลี่ยงรถติดเหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก
“ตรงร้านเสื้อบ้านฉันน่ะ มาเร็วๆ ฉันยืนอยู่ตรงฟุตพาท” วิลเลี่ยมตอบ ถอยกลับมายืนรอเพื่อนของเขาแทนที่จะเรียกรถแท็กซี่ เกือบสิบนาที รถจี๊ปคันใหญ่ที่ใช้สำหรับสมบุกสมบันกลางป่ากลางเขาของไมเคิลก็ทะยานเข้ามาจอด
“ไงแก หล่อเนี้ยบเหมือนเดิมนะ” ไมเคิลทักเพื่อนสนิทอย่างทะเล้นตามประสา แม้ตามจริงแล้วความหล่อของเขาก็สูสีพอจะสู้วิลเลี่ยมได้ก็ตาม
“พูดมาก น่ารำคาญ” วิลเลี่ยมผรุสวาทเพื่อนตัวเองไปหนึ่งดอก ระหว่างปีนขึ้นไปนั่งข้างคนขับ “รีบๆ ขับรถไปเลยไป๊”
“ไปกินรังแตนที่ไหนมาวะไอ้นี่” ไมเคิลเหล่มองหน้าบูดบึ้งของวิลเลี่ยมแล้วบ่นกับตัวเองเบาๆ พลางเบนสายตามองกระจกมองข้าง เพื่อเบี่ยงรถกลับเข้าสู่ถนน “ตกสาวไม่ได้หรือไง วันหยุดทั้งทีทำไมถึงยังหงุดหงิดอยู่อีก”
“ก็ไม่ได้น่ะสิวะ” วิลเลี่ยมสบถตอบ “อีกนิดก็เกือบจะได้อยู่แล้วเชียว”
“มีด้วยเหรอที่แกไม่ได้ผู้หญิง” ไมเคิลถาม ยิ้มมุมปากอย่างขบขันเพราะไม่เคยเห็นว่ามีครั้งไหนที่ไอ้เพื่อนตัวดีของเขาอยากได้ผู้หญิงแล้วจะไม่ได้ “แปลกแฮะ สงสัยผู้หญิงคนนั้นจะฉลาด”
“ก็ไม่รู้ว่ะ ไม่รู้ว่าฉลาดหรือว่าดวงดี ยายเป็ดนี่มีคนมาช่วยตลอดเลย แถมยังปากจัดอีกต่างหาก”
“อื้อฮือ น่าสนใจนะนี่” ไมเคิลทำเสียงในคอ “แต่ยายเป็ดอย่างนั้นเหรอ”
“ปากยายตัวเล็กเหมือนเป็ด ฉันก็เลยแกล้งเรียก...อันที่จริงเรียกตามคนอื่นน่ะ” วิลเลี่ยมกลอกตา “ก็น่ารักดี เป็นนางแบบ”
“นางแบบอีกแล้วเหรอ” ไมเคิลเบ้ปาก ไม่ว่าจะกี่รายต่อกี่ราย ผู้หญิงของวิลเลี่ยมก็ไม่พ้นพวกคนมีชื่อเสียงสิน่า “ยังไม่เบื่อแนวนี้อีกเหรอวะ”
“ก็เบื่อนะ” วิลเลี่ยมพึมพำ ครุ่นคิดกับตัวเองไปด้วยในที “ถ้าได้คนนี้ก็พอแล้วแหละ เหนื่อยว่ะ”
“แกนี่นะจะพอ!” ไมเคิลทวนคำเสียงสูง เลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อหูกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินไป “จะพูดอะไรคิดดีๆ นะครับไอ้วิล”
“ก็ไม่รู้” วิลเลี่ยมว่าพลางยักไหล่ “แต่คนนี้น่ารักดี ต้องจูบก่อนถึงจะแน่ใจว่าจะหยุดหรือเปล่า”
“นี่แกยังไม่ได้จูบผู้หญิงคนนั้นเหรอ” ไมเคิลตาโต ก่อนจะพูดล้อเลียนเพื่อนสนิท “โอ้วิลเลี่ยม...วิลเลี่ยมพ่อยอดนักรัก กลายเป็นหนุ่มน้อยอ่อนหัดไปเสียแล้วเพื่อนเรา”
“ฉันเจอเธอแค่สองครั้ง จะให้พุ่งตัวเข้าไปจูบมีหวังเธอได้คิดว่าฉันเป็นไอ้โรคจิตก่อนพอดี” วิลเลี่ยมแก้ตัว
“แกแปลกๆ แล้วนะไอ้วิล” ไมเคิลเหลือบมองหน้าคมของคนข้างตัวแล้วว่า “แปลกมากด้วย”
“เงียบแล้วตั้งใจขับรถของแกต่อไปเถอะน่า” วิลเลี่ยมเปลี่ยนเรื่อง เบี่ยงเบนความสนใจของไมเคิลด้วยการไล่ให้ไปสนใจท้องถนนตรงหน้าต่อ “มัวแต่มาจับผิดฉัน เดี๋ยวก็ได้รถชนตายห่ากันทั้งคู่หรอก”
ความคิดเห็น |
---|