15

ตอนที่ 14


 

บทที่ 14

กลางฟ้าทุ่มสุดตัวเข้าโผกอดร่างที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าจนมาริชถึงกับหงายนั่งก้นกระแทกกับพื้น ก่อนที่จะทันได้ลุกขึ้นมา ร่างเล็กของกลางฟ้าก็ตะกายขึ้นมานั่งบนตักของเขาและซุกใบหน้ากับร่างแข็งแกร่ง พร้อมกับส่งเสียงร้องไห้โฮดังก้องป่า

“เฮ้ๆ กลางฟ้า ผมอยู่นี่แล้ว ใจเย็นๆ” เขากอดร่างบอบบางที่ตัวสั่นเทิ้มทั้งจากแรงสะอื้นและความตื่นกลัว ฝ่ามือกว้างกวาดสำรวจไปตามแผ่นหลังและแขนเพื่อค้นหาร่องรอยบาดเจ็บ และโล่งใจที่ไม่พบรอยแผลแต่อย่างใด

แต่เธอยังคงไม่หยุดร้องไห้ ชายหนุ่มกอดร่างสั่นสะท้านแล้วรับรู้ได้ว่าร่างนั้นสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ ประสบการณ์เขย่าขวัญครั้งนี้คงรื้อฟื้นความทรงจำเมื่อหลงป่าคราวนั้นให้หวนกลับมา และตอนนี้เธอกำลังตกใจจนช็อก

เขาประคองใบหน้าของเธอให้เงยขึ้นสบตาเขา ใบหน้าเล็กในฝ่ามือใหญ่นองไปด้วยน้ำตา ริมฝีปากสั่นระริกของเธอพยายามเอ่ยคำพูด ทว่ามีแต่เสียงสะอื้นฮัก เธอเอาแต่สูดหายใจเข้าถี่ๆ จนน่ากลัวว่าปอดจะระเบิด แล้วเรื่องเล่าเหตุการณ์ในอดีตของเธอเมื่อไม่นานมานี้ก็หวนกลับมาในสมองของเขา

ไฮเปอร์เวนทิเลชั่น

“กลางฟ้า!” ฝ่ามือจับใบหน้าของเธอให้มองเขาตรงๆ “กลางฟ้าตั้งสติดีๆ แล้วมองหน้าผม”

น้ำเสียงหนักแน่นออกคำสั่งนั้น ทำให้เธอสบตาเขาและฟัง แต่ยังไม่สามารถควบคุมการหายใจได้

“ฉัน... ฉัน...” เธอพูดไม่ออกเพราะร่างกายกำลังสั่งให้หายใจเข้าอย่างแรงจนตัวกระตุก มือสองข้างเริ่มเกร็งและนิ้วเริ่มจีบเข้าหากัน

“ทำตามที่ผมบอกนะกลางฟ้า คุณต้องหายใจช้าๆ” 

“ฮือๆๆ” เธอพยายามจะทำตาม แต่อาการเกร็งกำลังครอบงำทุกสิ่ง

“กลางฟ้า” เขาเรียกย้ำเธออีก “คุณต้องตั้งสติดีๆ แล้วทำตามที่ผมบอก โอเคไหม”

เขาเห็นเธอพยายามพยักหน้า ปากคอสั่นระริกด้วยแรงสะอื้นมาจากข้างในที่ควบคุมไม่ได้

มาริชรีบปลดกระเป๋าเป้ออกจากไหล่ แล้วคุ้ยกระเป๋าจนเจอถุงเล็กใบหนึ่ง เขารีบนำมาครอบปิดจมูกและปากของเธอ

“หายใจช้าๆ ใส่ในถุงนี้” เขาออกคำสั่งกับเธอด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สองมือประทับรอบใบหน้าของเธอไว้ เขาทำท่าสูดหายใจเข้าและออกอย่างช้าๆ เป็นตัวอย่าง ใบหน้าเปียกชุ่มของหญิงสาวมองเขาแล้วพยายามทำตาม แรงสะอื้นที่เกิดจากการหายใจเข้าอย่างแรงจนตัวสั่นระริกแทบทำตามไม่ได้ในทีแรก เขามองลึกเข้าไปในดวงตาที่เปียกฉ่ำด้วยน้ำตา สะกดให้เธอพยายามจดจ่อที่ดวงตาของเขา

“ฟังผมนะ กลางฟ้า ผมอยู่ตรงนี้แล้ว คุณปลอดภัยแล้วทีนี้ ฉะนั้นคุณต้องหยุดกลัวแล้วนะ” เขาพูดพร้อมกับหายใจไปพร้อมกับเธอ “ผมจะพาคุณออกไปจากป่า แต่คุณต้องทำตามที่ผมบอก พยายามหายใจให้ช้าลง ทำใจให้สงบ นั่นแหละ อย่างนั้นล่ะ”

ฝ่ามืออบอุ่นของมาริชประคองใบหน้านั้นไว้ระหว่างที่เธอพยายามหายใจเข้าออกเป็นจังหวะเดียวกันโดยที่ยังคงนั่งอยู่บนตักของเขา แม้ว่ากลางฟ้าจัดว่าเป็นหญิงสาวร่างเล็กและค่อนข้างตัวเบา แต่ต้นขาของเขาเริ่มเหน็บชาหลังจากถูกนั่งทับมาเป็นระยะเวลาหลายสิบนาทีแล้ว แต่ชายหนุ่มบอกตัวเองให้อดทนไว้ เวลานี้เขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากเธอเด็ดขาดจนกว่าจะสงบ 

เขาสูดหายใจเข้าออกพร้อมไปกับลมหายใจของเธออยู่พักใหญ่จนรู้สึกได้ว่าจังหวะหายใจของเธอดีขึ้น เขาเอาถุงที่ครอบใบหน้าออก แต่ฝ่ามือยังคงกุมใบหน้าของเธอไว้ตลอดเวลา ดวงตาสองคู่ประสานกันไว้ สะกดให้เธอหยุดนิ่งที่เขา จนในที่สุดมาริชก็รู้สึกได้ว่าเธอหายใจช้าลงจนเกือบเป็นปกติ

นิ้วโป้งข้างหนึ่งปาดน้ำตาจากแก้มเนียนอย่างแผ่วเบา มืออีกข้างเขี่ยผมที่ปรกลงมายุ่งเหยิงบนใบหน้า แล้วเขาก็ตระหนักว่าสิ่งที่จะช่วยเยียวยาความอ่อนแอและหวาดกลัวให้ดีขึ้นได้ คืออ้อมกอดแน่นๆ เพื่อให้เธอรู้สึกปลอดภัย เขาขยับตัวนั่งขัดสมาธิ ช้อนร่างของหญิงสาวให้นั่งลงตรงกลางระหว่างขา จากนั้นก็โอบกอดไว้แนบอกแล้วโยกเบาๆ อย่างปลอบประโลม ร่างเล็กๆ ซุกเข้าซบกับแผ่นอกกว้างเหมือนเด็กน้อยหาที่พึ่งพิง ความอบอุ่นและความแข็งแกร่งของร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม คงทำให้กลางฟ้ารู้สึกสบายใจขึ้น เพราะในที่สุดเสียงสะอื้นก็ค่อยๆ เบาลงจนเหลือแค่เสียงสูดจมูกเบาๆ

“เห็นไหม คุณทำได้แล้ว” มาริชลูบผมเธอเบาๆ รู้สึกได้ว่ากลางฟ้าพยักหน้ารับอยู่กับแผงอก เขาระบายลมหายใจโล่งอกเมื่อสัมผัสได้ว่าร่างที่เกร็งเมื่อสักครู่ได้ผ่อนคลายลง เขาขยับมือข้างหนึ่งโอบหลังศีรษะของเธอให้ซุกกับซอกคอ ฝ่ามือกร้านลูบไล้ไปตามเส้นผมจนถึงแผ่นหลัง เขานึกถึงเด็กน้อยอายุสี่ขวบคนที่หลงอยู่ในป่าแล้วกอดกระชับเธอแน่นขึ้นอีก และนั่งนิ่งอยู่ท่านั้นอีกเป็นเวลานาน ปล่อยให้เธออิงแอบพิงร่างของเขาจนกว่าจะหายกลัว

ในที่สุดเธอก็ขยับตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา มาริชก้มหน้าลงมอง หน้าผากของเธอคงซบอยู่ที่ซอกคอ มือข้างหนึ่งกำอกเสื้อเชิ้ตของเขาไว้แน่นจนป่านนี้คงยับยู่ยี่ ดวงตากลมแป๋วของเธอช้อนขึ้นสบตาเขา

“โอเคแล้วใช่ไหมกลางฟ้า”

เธอพยักหน้า

“ดื่มน้ำหน่อยไหม จะได้รู้สึกดีขึ้น”

เธอพยักหน้าถี่ๆ เขาจับเธอนั่งลงบนพื้น คุ้ยหาขวดน้ำจากกระเป๋าที่น่านน้ำทิ้งไว้ให้จนเจอ แล้วกรอกน้ำใส่ฝาให้เธอจิบช้าๆ เขามองเธอค่อยๆ กลับมาสงบเหมือนเดิมในที่สุด

มาริชนั่งขัดสมาธิตรงหน้าเธออีกครั้ง มือข้างหนึ่งเชยคางเธอขึ้นนิดๆ และเสยผมยุ่งเหยิงที่ปรกลงมาเต็มใบหน้าที่ชื้นไปด้วยน้ำตา ผิวแก้มใสเนียนยังคงมีคราบน้ำตาเปรอะ เส้นผมบนหน้าผากจับเป็นก้อนด้วยเหงื่อจากอะดรีนาลีนฉีดพล่านเพราะความตื่นตกใจ เขาล้วงกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เทน้ำลงไปพอชุ่มแล้วจับใบหน้าของเธอไว้ในฝ่ามืออีกครั้ง

บัดนี้กลางฟ้ากลายเป็นเด็กน้อยสี่ขวบที่เคยหลงป่าคนนั้น เธอนั่งนิ่งอย่างว่าง่ายเมื่อมือของมาริชบรรจงเช็ดตามแก้มและดวงตา เขาเทน้ำใส่ผ้าเช็ดหน้าอีกครั้ง มือข้างหนึ่งเสยผมม้าของเธอจนพ้นหน้าผาก เช็ดตามกรอบหน้าที่เลอะเหงื่อจนสีหน้าของเธอดูสดชื่นขึ้น

ทั้งคู่นั่งเงียบๆ อยู่อย่างนั้น มาริชปล่อยให้เธอผ่อนคลายเต็มที่ นานๆ ทีเขาก็เอื้อมมือออกไปเขี่ยผมให้เธอแล้วทัดไว้หลังหู

                “เอาละ กลางฟ้า เราต้องคุยกันก่อน” เขาเอื้อมฝ่ามือใหญ่ออกไปกุมมือเล็กๆ ไว้เหมือนให้กำลังใจ “คุณพร้อมที่จะฟังผมหรือยัง”

                หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแล้วพยักหน้า แววตาที่มองกลับมาบอกเขาว่าเธอไม่ไว้ใจใครแม้กระทั่งตัวเอง

“ผมจะพาคุณออกจากป่านี้ ผมรับรองว่าเราจะได้ออกไปจากที่นี่อย่างแน่นอน แต่เราจะต้องออกไปตอนเช้า”

“ทำไม...” เสียงของเธออ่อนระโหยแทบไม่มีเรี่ยวแรง

“ตอนนี้มันมืดแล้ว ถ้าเราเดินต่อ เราจะยิ่งหลง” น้ำเสียงของเขาหนักแน่นเต็มไปด้วยเหตุผล

“เราหลงป่าเหรอ” เธอเสียงสั่นอีกครั้ง เขามองน้ำตาที่เริ่มคลอดวงตาคู่โตแล้วบีบมือเธอเบาๆ

“ไม่หลงแน่นอนตราบใดที่เราค้นหาแม่น้ำเจอ เพราะผมนัดกับน่านว่าเราจะเดินเลียบไปตามน้ำเพื่อให้เขาตามหาเรา ตอนนี้ผมยังไม่เห็นแผนที่ แต่ไว้เช้าแล้วผมเชื่อว่าเราจะหาทางเจอแน่ๆ และที่สำคัญ น่านกำลังเรียกหน่วยซีซียูมาช่วยเราแล้ว เขาเพิ่งแยกกับผมก่อนที่ผมจะหาคุณเจอ”

“น่านเหรอ” 

“ใช่ มีคนรู้ว่าเราสองคนอยู่ในป่า คุณหายห่วงได้เลย ยังไงซีซียูก็ต้องหาเราจนเจอแน่นอน”

“คุณพูดจริงใช่ไหมมาริช” ดวงตาตื่นตระหนกคู่นั้นรอคอยคำตอบของเขาอย่างมีความหวัง

“ผมสัญญา เราจะต้องได้ออกไปจากป่านี้แน่นอน”

                เขาแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าที่อยู่เหนือยอดไม้ เวลาโพล้เพล้ทำให้ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินกระจ่างตาราวกับผืนกำมะหยี่คลุมลงไป เป็นคืนที่ท้องฟ้างดงามหากไม่เบนสายตากลับลงมามองป่าที่มืดมิดจนน่าสะพรึงกลัวเบื้องล่าง

“มืดแล้ว ผมว่าเราหาที่พักกันดีกว่า” เขาลุกขึ้นยืน คว้ากระเป๋าเป้ขึ้นสะพายไหล่ แล้วก้มลงไปเพื่อยื่นมือให้กลางฟ้า

“ที่ไหน”

“ในป่านี้นี่แหละ ตรงที่ที่ปลอดภัยกว่านี้” เขายื่นมือส่งให้ “มาสิ”

กลางฟ้าเอื้อมมือส่งให้เขา ฝ่ามืออบอุ่นนั้นกุมมือเธอแน่นแล้วฉุดเธอลุกขึ้นยืน แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์น่าระทึกขวัญและอาการตื่นตระหนกเพิ่งหายไปได้ไม่นาน ทำให้หญิงสาวยืนโงนเงนอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายที่ยังอ่อนล้าและแข้งขาที่สั่นเทาทำให้เธอต้องทรุดลงไปบนพื้นอีกครั้ง

เธอเหลียวมองรอบตัวด้วยสายตาตื่นๆ งงกับตัวเองที่ขนาดแค่ยืนยังไม่มีเรี่ยวแรง

มาริชไม่พูดอะไรสักคำ เขาคุกเข่าลงข้างตัว แขนข้างหนึ่งโอบกระชับแผ่นหลังบางบาง และอีกข้างสอดแขนที่ใต้เข่า แล้วช้อนร่างของเธอขึ้นมาจากพื้นราวกับไม่มีน้ำหนัก กลางฟ้าตกใจที่ตัวลอยขึ้นมาสูงจากพื้นมากจนต้องรีบตวัดสองแขนรอบคอของเขา

“ผมไม่ทิ้งคุณลงพื้นหรอกน่า” มาริชก้มหน้ามองเธอ ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้มากเสียจนมองเห็นขนตางอนยาวเฟื้อย เธอเบนสายตาหลบให้พ้นจากมนตร์ขลังของดวงตาคู่สวย แต่สายตาของเธอกลับลงจอดที่ริมฝีปากเป็นกระจับของผู้กองหนุ่มแทน เธอมองไรหนวดขึ้นบางๆ รอบริมฝีปากเหนือคางบึกบึน ยิ่งขับให้ใบหน้าคมเข้มคายนั้นดูเซ็กซี่ขึ้นกว่าเดิม แล้วภาพตอนที่ถูกเขาจูบเมื่อหลายวันก่อนก็ผุดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“อ้าว เป็นไรไปน่ะ อยู่ดีๆ สะบัดหน้าทำไม เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก” เสียงเอ็ดดังอยู่ข้างหูระหว่างที่เขาพาเธอเดินลุยป่าไปข้างหน้า

เวลานี้กลางฟ้าไม่มีแรงโต้ตอบหรือเถียงสู้ ได้แต่ซ่อนสีหน้าแดงเถือกกับไหล่ของเขา มือที่เหนี่ยวอยู่ที่ลำคอ สัมผัสถูกกล้ามเนื้อแข็งๆ ที่ซอกไหล่ ความรู้สึกปลอดภัยที่อยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงระบายไปทั่วทั้งร่างจนเธอผ่อนคลายขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

หญิงสาวปล่อยให้เขาอุ้มเดินฝ่าเข้าไปในดงไม้จนพบพื้นที่โล่งโปร่ง จนในที่สุดเขาก็วางเธอลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

“นั่งลงตรงนี้นะ อย่าเพิ่งลุกเดินไปไหนล่ะ เดี๋ยวจะล้มอีก”

เธอพยักหน้าอย่างว่าง่าย แล้วถอยไปนั่งพิงต้นไม้ มองมาริชปลดเป้ออกจากไหล่แล้วลงมือรื้อกระเป๋าที่ได้มาจากน่านน้ำ ในนั้นเต็มไปด้วยอุปกรณ์เดินป่าครบครันจนไม่น่าเชื่อว่าสามารถยัดลงในกระเป๋าเป้ได้เพียงใบเดียว

มืดแล้ว ชายหนุ่มกางเตนท์ใต้ต้นไม้ใหญ่ และเปิดไฟดวงเล็กแต่สว่างไสวจนจนทำให้บริเวณรอบๆ นั้นดูไม่มืดครึ้มน่าสะพรึงกลัวจนเกินไปนัก เขาค้นหาของในกระเป๋าอีกสักพัก จนเจออาหารกินง่ายๆ อย่างขนมปังแล้วยื่นส่งให้กลางฟ้า

“กินแก้หิวไปก่อนนะ ตะกี้ร้องไห้ซะไม่เหลือเรี่ยวแรงเลยไม่ใช่เหรอ”

พอเห็นอาหารแล้วถึงรู้ตัวว่าหิว กลางฟ้ารับขนมปังจากมือเขาอย่างอายๆ แต่แสงจากดวงไฟส่องมาที่มือแล้วถึงเห็นว่ามันดำปี๋ราวกับมือเด็กซนๆ สงสัยคงมาจากตอนที่เธอคลานเข้าไปในพุ่มไม้กระมัง

เขามองตามสายตาของเธอ แล้ววางขนมปังกลับลงไปในกระเป๋า

“นั่งรออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวผมมา”

มาริชเดินไปหลังต้นไม้ใหญ่ที่เป็นลำธารเล็กๆ น้ำใสสะอาด หลังจากล้างมือแล้วเขาก็กลับมานั่งลงที่เดิม หยิบขนมปังออกมาบิเป็นชิ้นเล็กพอดีคำ

“อ้าปาก”

“มะ...ไม่ต้อง ฉันกินเองได้...” เธอยื่นมือจะรับขนมปัง แต่มาริชพยักพเยิดไปที่มือดำปี๋ของเธอ

“อยากท้องเสียหรือไง บอกก่อนว่าที่นี่ไม่มีส้วมให้ใช้นะ”

“แต่... งั้นฉันจะล้างมือ” เธอทำท่าจะลุก แต่ถูกฉุดให้นั่งลงอย่างเก่า

“ดินตรงริมลำธารก็ลื่นมากด้วย เผลอนิดเดียวคุณจะไหลลงไปทั้งตัว อยากนอนหนาวไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนไหม”

ฟังดูเป็นอุปสรรคเหลือเกิน กะอีแค่กินขนมปัง หญิงสาวถอนใจแล้วจำใจอ้าปากให้เขาแทนคำตอบ แล้วนิ้วยาวๆ ก็ป้อนขนมปังใส่เข้าปากให้ หลังจากกินเข้าไปหนึ่งคำ กลางฟ้าถึงได้รู้ตัวว่าหิวจัด พลังงานคงถูกดูดไปใช้จนหมดจากการร้องไห้อย่างหนัก เธออ้าปากให้เขาป้อนคำแล้วคำเล่าด้วยความหิวโหย

จนกระทั่งอาหารเริ่มย่อย และเริ่มมีเรี่ยวแรงกลับมา กลางฟ้าถึงเริ่มสังเกตว่าเขากำลังมองเธออยู่พร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก

“ผมไม่เคยเห็นคุณเป็นแบบนี้มาก่อนเลย” เขายื่นขนมปังจ่อที่ริมฝีปาก

“อย่าแซวสิ ก็คนมันหิวนี่นา” เธออ้อมแอ้มตอบอายๆ

“เปล่า ผมหมายถึงเวลาที่คุณว่าง่ายแบบนี้และไม่ต่อปากต่อคำกับผมต่างหาก”

ตั้งแต่เข้าป่ามาได้ไม่กี่ชั่วโมง เธอก็หมดสิ้นสภาพยายกลางฟ้าสุดแสบไปโดยสิ้นเชิง ความกระดากทำให้เธออ้าปากจะเถียง แต่เขาถือโอกาสนั้นยัดขนมปังเข้าปากอีกชิ้น

“กินเข้าไป ไว้มีแรงแล้วค่อยเถียง”

เธอสบตาเขา ประทับใจกับความอ่อนโยนจนต้องเผลอยิ้มออกมา เวลาที่เขาเป็นชายหนุ่มแสนดีที่ไม่พูดจากวนประสาทแล้ว ต้องบอกว่าเป็นผู้ชายที่เสน่ห์ล้นเหลือชวนให้หัวใจหลอมละลายเป็นที่สุด หลังมือข้างที่ถือขนมปัง มีเส้นเอ็นปูดขึ้นมาแสดงถึงความแข็งแรงของเจ้าของ หวนให้นึกถึงตอนที่ถูกเขาอุ้มขึ้นมาราวกับไม่ต้องออกแรงอะไรเลย แต่แม้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่มีดวงหน้าหล่อคมเข้มและเรือนร่างสูงใหญ่ราวกับนายแบบโฆษณา แต่ดวงตาของเขาคือส่วนที่งดงามที่สุด มันแสดงความรู้สึกและเต้นยิบยับราวกับเป็นอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตในตัวเขา และตอนนี้สายตามีชีวิตคู่นั้นกำลังจดจ้องเธอนิ่งพร้อมกับร่ายมนตร์ขลังบางอย่างออกมา... เป็นมนตร์ขลังที่ทำให้เธอสะท้าน และมีฤทธิ์รุนแรงไม่ต่างจากจุมพิตของเขา

มาริชเงยหน้าจากขนมปังแล้วเห็นเธอกำลังมองเขาอยู่ เขาสบตาเธอแล้วแววตาของเขาก็เปลี่ยนไป เป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวานละมุนที่แฝงด้วยแววหลงใหล ต่างคนต่างไม่สามารถถอนสายตาจากกันได้ จนในที่สุดเขาก็เอื้อมมือออกมาแล้วเขี่ยที่ริมฝีปากล่างของเธออย่างแผ่วเบา

หัวใจของกลางฟ้าสั่นไหว นึกในใจว่าหากเขาจูบเธอตอนนี้ จะมีเรี่ยวแรงขัดขืนเขาไหม

อย่าว่าแต่ขัดขืนเลย ตอนนี้เธอร่ำร้องอยากให้เขาจูบเธอเลยด้วยซ้ำ จูบที่วาบหวามและรุกเร้าเรียกร้อง ราวกับต้องการกลืนกินเธอเข้าไปทั้งตัว

อยู่ดีๆ หญิงสาวก็สะดุ้งกับความคิดบ้าๆ ของตัวเอง สงสัยเพราะความตกใจกลัวสุดขีดเมื่อตอนหัวค่ำ ทำให้เธอนึกอยากใกล้ชิดเขาอย่างมาก... มากถึงที่สุด

ไม่ได้นะ เธอไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย เธอออกจะ...

ปลายนิ้วโป้งหยาบกร้านเขี่ยริมฝีปากแดงเรื่อของเธออย่างเชื่องช้า และเพียงแค่นี้ ความเป็นหญิงแกร่งก็ถูกเขาลูบจนอ่อนลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ หัวใจของเธอหวนกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง หลังจากที่เพิ่งทำงานอย่างหนักเมื่อผ่านเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวไปหมาดๆ  

เขายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้อีกนิด ดวงตาเปี่ยมมนตร์ขลังคู่นั้นจดจ้องนิ่งที่ริมฝีปากแดงฉ่ำจนกลางฟ้าไม่กล้าหายใจ ปลายนิ้วของเขาเคลื่อนไปที่ริมฝีปากบนและเขี่ยเบาๆ ที่กระจับเล็กๆ บนยอดปาก ความสากของผิวที่ปลายนิ้ว เมื่อสัมผัสกับริมฝีปากบอบบาง ยิ่งปลุกเร้าความรู้สึกวาบหวามอย่างรุนแรง

ดวงตาของเธอหรี่ปรือ รอคอยความอ่อนหวานที่กำลังจะถ่ายทอดออกมาผ่านริมฝีปากนั้นอีกครั้ง สงสัยเหลือเกินว่าจูบครั้งนี้จะมีอะไรมาหยุดเขาและเธออีกไหม เหมือนเมื่อสองครั้งแรก...

เสียงหัวเราะแหบต่ำฟังดูเซ็กซี่เย้ายวนของมาริช ดังออกมาพร้อมเสียงกระซิบเสียงแผ่วในความมืด

“กินยังไงเนี่ย เศษขนมปังติดปากด้วย”

กลางฟ้าเผยอปากค้าง

นิ้วของเขายังคงเขี่ยวนไปรอบปากเพื่อเช็ดเศษขนมปังให้ เขาขมวดคิ้วไปด้วยราวกับกำลังปฏิบัติหน้าที่สำคัญอย่างเช่นปลดสลักระเบิด แต่แววตาเต็มไปด้วยความขบขัน เขาทำท่าส่ายหน้าเอื้อมระอาก่อนล้วงมือไปที่กระเป๋าแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา

“ยายกลางเอ๊ย กินเลอะเทอะอย่างกับเด็กอนุบาล” เขาบรรจงเช็ดปากให้จนสะอาดแล้วป้อนขนมปังอีกชิ้นเข้าปาก “เอ้า ชิ้นสุดท้าย กินซะ แล้วเดี๋ยวเข้าเตนท์นอนได้แล้ว ที่นี่ยุงชุมมาก...”

กลางฟ้าลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้ว่าเพราะโล่งอกหรือเสียดายกันแน่

 

                ดึกแล้ว กลางฟ้ายังคงนอนอยู่ในท่าตะแคง หันหน้าเข้าหาผ้าใบเตนท์ ศีรษะหนุนด้วยกระเป๋าเป้ของตัวเองที่เอาของแข็งๆ ออกหมดแล้ว แต่ทั้งพื้นและหมอนทำให้เธอนอนไม่สบายตัวเอาเลย เวลาผ่านไปกี่ชั่วโมงแล้วไม่รู้ แต่เหมือนข่มตาหลับได้ครั้งละไม่เกินสิบนาทีเท่านั้น แสงจากดวงไฟพลังงานแสงอาทิตย์ดวงเล็กที่เปิดทิ้งไว้สาดแสงเป็นสีนวล ทำให้ผ้าใบเตนท์สีเขียวขี้ม้าทึมๆ ดูน่ากลัวเหมือนอยู่ในถ้ำ

                “นอนไม่หลับเหรอ” เป็นเสียงทุ้มของชายหนุ่มดังอยู่ในเตนท์

เขารู้ได้ยังไงเนี่ย เธออุตสาห์นอนหันหลังให้แล้วนะ 

“อ๋อ พอดีฉันได้ยินเสียงอะไรข้างนอกก็ไม่รู้” เธอพูดตัดบทให้ตัวเอง “แต่ไม่เป็นไร ฉันกำลังจะหลับแล้วล่ะ...”

ตามมาด้วยความเงียบงัน เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา มืออบอุ่นข้างหนึ่งก็ทาบบนต้นแขนของกลางฟ้า ความร้อนจากฝ่ามือของเขาให้ความรู้สึกราวกับถูกนวดด้วยหินร้อนเวลาเข้าสปา 

“หันมาทางนี้สิกลางฟ้า” 

หญิงสาวกลืนน้ำลาย รู้ดีว่าในใจร่ำร้องอยากหันไปหาเขาเหลือเกิน และคืนนี้คงนอนไม่หลับไปทั้งคืนหากไม่ได้ซุกหาความอบอุ่นจากผู้ชายคนนี้ ในที่สุดเสียงแห่งความต้องการก็เอาชนะจนได้ เธอค่อยๆ พลิกร่างไปอีกข้าง เห็นมาริชนอนหนุนอยู่บนเสื้อเชิ้ตลายสก็อตตัวนอก บนตัวของเขาเหลือเพียงยืดสีขาวที่รัดรึงช่วงอกกับต้นแขนจนเห็นกล้ามเป็นลูกชัดเจนใต้เสื้อยืด

“นอนคุยกันไหม จะได้ไม่ต้องฟังเสียงข้างนอก”

“เอ่อ... แล้วคุณไม่นอนเหรอ”

“เข้าป่าแบบนี้ ผมจะพยายามไม่ให้ตัวเองหลับสนิท” 

กลางฟ้าขยับตัวนอนตะแคง แล้วถึงเห็นว่าตัวเองนอนอยู่ห่างจากชายหนุ่มแค่เกือบฟุต ไม่ใกล้ถึงขนาดสัมผัสถูกตัว แต่ก็ใกล้มากพอที่เห็นใบหน้าของเขาชัดเจนท่ามกลางแสงไฟสีนวล เธอมองขนตาหนาล้อมรอบดวงตาบนใบหน้าสงบนิ่ง นึกแปลกใจที่เขาก็มีแววตาอบอุ่นเป็นผู้ใหญ่เหมือนวิธู ไม่ใช่สายตาพิฆาตที่จ้องให้เธอสยบและเชื่อฟังเขา

“คุยเรื่องอะไรล่ะ” กลางฟ้าถาม       

“ไหนเล่ามาสิ ตอนเด็กๆ เคยได้เข้าค่ายกับเขาบ้างหรือเปล่า”

หญิงสาวยิ้มเขินๆ “ก็อย่างที่ฉันเคยเล่าน่ะ... พ่อกับแม่ไม่เคยให้ฉันไปค้างคืนที่ไหนเลยแม้แต่เข้าค่าย นี่เรียกว่าครั้งแรกในชีวิตเลยก็ได้”

เขาพยายามกลั้นหัวเราะ “โถ คุณหนูกลางฟ้าที่น่าสงสาร ครั้งแรกในชีวิตก็ทำเอาซะกระเซอะกระเซิงไปเลย”

มาริชพูดพร้อมกับเอื้อมมือเขี่ยผมยาวที่ติดอยู่ที่แก้มเนียนไปด้วย เธอกลั้นหายใจเมื่อปลายนิ้วมือเฉียดโดนแก้มอย่างแผ่วเบา

“คุณรู้ไหม คนที่คุณวิ่งหนีในป่าเป็นใคร” เขาถามโดยที่ยังคงเขี่ยผมของเธอเล่น

“คุณรู้เหรอว่าฉันวิ่งหนีใคร”

“ผู้ชายตัวใหญ่ หน้าบาก...”

“และถือมีดเล่มใหญ่!” เธอร้องออกมา “คุณเจอเขาเหรอ ฉันเกือบตายแล้วรู้ไหม เขาแกว่งมีดออกมาจะแทงฉันน่ะ”

มาริชหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือขึ้นไปขยี้ผมที่กลางศีรษะของกลางฟ้า “ยายเบ๊อะ นั่นเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลป่าต่างหาก ถ้าคุณตั้งสติดีๆ แล้วฟังเขาพูด คุณจะได้ยินเขาบอกว่าตรงที่คุณนั่งอยู่มีงูเหลือมตัวใหญ่ และเขากำลังจะไล่ให้คุณ”

หญิงสาวเบิกตากลมโตเสียกว้าง เธอเกือบช็อกตายเพราะเรื่องแค่นี้เองเนี่ยนะ...

แต่นึกดูอีกที ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ ป่านนี้คนที่นอนอยู่ในเตนท์กับเธอในคืนนี้คงเป็นน่านน้ำ ไม่ใช่มาริช อยู่ดีๆ ก็นึกดีใจที่สุดท้ายแล้วสถานการณ์กลับกลายเป็นอีกอย่าง เธอช้อนสายตาขึ้นมอง เห็นรอยยิ้มอบอุ่นระบายบนใบหน้าจนเธอต้องยิ้มตาม

“ตอนที่คุณโผล่เข้ามาในพุ่มไม้ รู้ไหมว่าฉันนึกถึงอะไร” กลางฟ้าถาม

“ถ้าถามแบบนี้ ผมเดาว่าคงไม่ใช่อะไรดีๆ คงเป็นผีหรือว่าสัตว์ป่าสักตัวที่กำลังจะขย้ำคุณจนจมเขี้ยว แม้ว่าบางทีเวลาผมนึกหมั่นไส้คุณแล้ว เคยนึกอยากทำอย่างนั้นก็ตาม”

“ไม่ใช่” กลางฟ้าพูดยิ้มๆ ช้อนสายตาขึ้นจ้องตาเขาอย่างมีความหมาย “ฉันนึกถึง... นึกถึงพี่ตำรวจคนนั้นที่เคยอุ้มฉันออกมาจากพุ่มไม้เมื่อฉันหลงป่าตอนอายุสี่ขวบน่ะ ฉันกำลังนึกถึงเขา แล้วคุณก็ปรากฏตัวออกมาเหมือนเป็นคนๆ เดียวกันเลย”

“จริงเหรอ ป่านนี้พี่ตำรวจคนนั้นคงเป็นลุงตำรวจไปแล้วมั้ง คุณจำเขาได้ด้วยเหรอ”

“ฉันจำไม่ได้หรอก และไม่รู้ว่าเป็นใครด้วย เพราะหลังจากนั้นพ่อกับแม่พยายามไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย อันที่จริงฉันก็ไม่ได้นึกถึงพี่ตำรวจคนนั้นนานแล้ว แต่ตอนที่ฉันเห็นเงาคนตัวสูงๆ เดินตรงเข้ามาหาฉัน อยู่ดีๆ ตอนนั้น... ฉันนึกถึงเขาได้ยังไงก็ไม่รู้ หรือว่าเขาอาจเป็นญาติกับคุณก็ได้นะ”

                เธอพูดติดตลกและคาดว่าเขาจะหัวเราะ แต่มาริชกลับเอาแต่นอนมองเธอนิ่งอยู่ในแสงสลัว ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนโยนของเขาเหมือนมีรอยยิ้มจนเธอรู้สึกแตกต่างจากทุกครั้งที่สบตาเขา มันทั้งอบอุ่น อ่อนโยนและแสดงความรู้สึกทุกอย่างที่อยู่ในความคิดของเขา จนพาให้หัวใจของกลางฟ้าวาบหวิวและหวั่นไหว

ความรู้สึกแบบนี้มาอีกแล้ว ทำให้เธอไม่กล้ามองเขานานกว่านี้จนต้องสั่งตัวเองให้เบี่ยงสายตาหลบ แต่เขาสะกดเธอเสียนิ่งจนไม่สามารถเบนสายตาไปทางอื่น ขนตางอนยาวยิ่งทำให้ดวงหน้านั้นอ่อนโยนจนเธออยากเบียดร่างเข้าไปในอ้อมกอดของเขาแบบเดียวกับที่ได้โผเข้าไปกอดเขาแน่นเมื่อตอนพลบค่ำ ถ้าเขากอดเธอไว้ตลอดทั้งคืน เธอคงจะนอนตาหลับด้วยความมั่นใจว่าผู้ชายคนนี้จะคอยปกป้องระวังภัยให้อย่างแน่นอน

พอนึกได้ว่าเริ่มคิดเพ้อเจ้อ เธอก็ขยับศีรษะเพื่อถอยออกมาให้ห่างจากใบหน้านั้น แต่แล้วบางอย่างแข็งปั๋งที่โผล่นูนขึ้นมาจากพื้นเตนท์ก็ชนถูกศีรษะจนเจ็บ

มาริชมองเธอบีบตาแน่นเมื่อศีรษะหนุนไปโดนบางอย่างใต้กระเป๋า

“หนุนถูกรากไม้ใช่ไหม”

“อือ มันมาอยู่ตรงนี้พอดี” เธอดึงกระเป๋าใต้ศีรษะให้ปิดรากไม้นั้น

ชายหนุ่มขยับตัวแล้วยื่นลำแขนออกมา “กระเป๋านั่นไม่ช่วยหรอก มาสิ เข้ามานอนหนุนแขนผม”

เธอค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นมองเขา ดวงตาเบิกโตกว้างขึ้นอีกหลายมิลลิเมตร

“หนุนแขนคุณ?”

“ใช่ รากไม้มันขึ้นอยู่ทุกที่ คนไม่ชินจะไม่มีทางนอนสบายได้เลย” เขายื่นแขนออกมาและมืออีกข้างตบแขนล่ำเบาๆ เหมือนเชิญชวน  “มาสิ แขนผมไม่แข็งเหมือนรากไม้หรอก ลองนอนดู”

“อย่าเลย เดี๋ยวคุณเมื่อยตาย นี่หัวคนนะไม่ใช่...”

กลางฟ้าหยุดพูดกลางครันเมื่อฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งของเขาเอื้อมไปโอบที่กลางแผ่นหลังของเธอ

“มานี่เลย เข้ามานอนตรงนี้ดีๆ อย่าดื้อ”

กลางฟ้าอ้าปากแต่กลั้นเสียงร้องได้ทัน เขาดันร่างบางของเธอจนศีรษะขยับขึ้นมาบนลำแขนแข็งแรงของเขาจนได้

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งที่กำลังทิ่มแทงสายตาเต็มๆ ก็คือแผงอกแน่นๆ ของเขาจนใจสั่นหวิว เธอยอมให้ตัวเองเข้าใกล้เขามากที่สุดแค่นี้ จึงหยุดอยู่แค่หนุนอยู่บนข้อพับแขน และบอกได้เลยไม่ได้ทำให้นอนสบายกว่านอนพื้นเลยสักนิด

“ไม่ใช่ตรงนั้น แขนผมได้เหน็บชากินพอดี ขยับเข้ามาใกล้ๆ สิคุณ มาหนุนตรงต้นแขนนี่” มือข้างหนึ่งของมาริชตบที่ต้นแขนล่ำของตัวเอง

บ้าจริง!  ตรงนั้นแทบซุกอกของเขาเลยนะ

“มาสิ กลางฟ้า ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”

น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้เธอเงยหน้าขึ้นสบตา แววตาจริงจังของเขาสร้างความเชื่อมั่นขึ้นมาอย่างประหลาดว่าเขาจะไม่ทำอะไรเธออย่างที่พูดจริงๆ บนโลกใบนี้ที่ยามนี้เหมือนมีกันเพียงสองคนเท่านั้น เธอรู้สึกได้ว่าเขาคือบุคคลที่ปราศจากอันตรายโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่เคยเรียกเขาเสียๆ หายๆ มาแล้วสารพัด ทั้งตำรวจจอมหื่น ลามกและอื่นๆ อีกหลายคำ

เธอค่อยๆ ขยับศีรษะขึ้นหนุนบนต้นแขนของเขา กล้ามแขนแข็งแรงนั้นไม่ได้แข็งปั๋งเหมือนอย่างที่เห็น เมื่อหนุนลงไปแล้วไม่รู้สึกเจ็บศีรษะอีกเลย กลับอบอุ่นด้วยเลือดเนื้อที่อยู่ใต้ผิวเนียนน่าสัมผัส ใบหน้าของเธออยู่ตรงกับลำคอของเขาพอดี อย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องมองขนตางอนยาวที่ทำให้หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงเต้นตึกตักของเธอไปด้วย

                ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดบนหน้าผากของเธอ ให้ความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นเหมือนรู้ว่ายังมีอีกหนึ่งลมหายใจที่อยู่ร่วมกับเธอบนโลกที่แสนน่ากลัวใบนี้

เขากลายเป็นบุคคลที่น่าไว้ใจได้สำหรับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่นะ

                “มาริช” เธอเอ่ยเบาๆ

                “หืม?”

                “ชื่อของคุณแปลว่าอะไรเหรอ” อยู่ดีๆ เธอนึกอยากรู้ขึ้นมา

                เธอรู้สึกได้ว่าลมหายใจของเขารดเบาๆ ตรงหน้าผาก “ลองเดาดูสิ”

                “มาริช... ริชแปลว่ารวย” น้ำเสียงครุ่นคิดเหมือนพูดกับตัวเอง “ชื่อคุณแปลว่า... มารวย?”

                เขาหัวเราะเบาๆ จนเธอรู้สึกได้ว่ากล้ามแขนของเขาขยับไปด้วย “ปล่อยมุขได้แบบนี้ ผมสบายใจแล้ว”

                “แล้วตกลงมาริชแปลว่าอะไรล่ะ” ความอบอุ่นและสบายใจทำให้กลางฟ้าผ่อนคลายจนเริ่มง่วง เธอหาวใส่ลำคอของเขาแล้วรอฟังคำตอบ

                มาริชแปลว่าดวงอาทิตย์” ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาสัมผัสกับหน้าผากตอนที่เขาตอบเธอ “ดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า เหมือนชื่อซันนีของคุณไง”

                “แปลว่าดวงอาทิตย์เหรอ...” เธอพึมพำเหมือนละเมอ คลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับว่าดวงอาทิตย์มีความหมายบางอย่างกับเธอ แต่สมองที่กำลังง่วงงุนทำให้นึกอะไรไม่ออก

“เป็นชื่อที่เหมาะกับคุณจัง...”

                “เหมาะยังไง”

                “กล้าหาญ” เสียงของกลางฟ้ากระซิบแผ่วเบา “เด็ดเดี่ยว มีความหวัง...”

                เขาเงียบไป ลมหายใจที่เป่ารดบนหน้าผากทำให้เธอสบายใจจนเริ่มก้าวสู่ความหลับใหล ตอนที่กำลังเคลิ้มๆ จะหลับ เธอก็รับรู้การเคลื่อนไหวบางอย่างจากเขา มือจากแขนข้างที่เขายื่นให้เธอหนุน ขยับโอบขึ้นมาที่ด้านหลังศีรษะ นิ้วมือของเขาเขี่ยเส้นผมของเธอแผ่วเบา ปลายนิ้วคลึงเบาๆ กลางศีรษะจนเธอรู้สึกผ่อนคลายดีเหลือเกิน

                “รู้ไหม ดวงอาทิตย์ต้องอยู่ที่ไหน” เสียงทุ้มของเขาดังขึ้นในความเงียบ

                “ก็ต้องบนท้องฟ้าสิ...” เธอรู้สึกล่องลอยเหมือนพูดมาจากอีกมิติหนึ่ง

                “ใช่ อาทิตย์ต้องอยู่กลางฟ้า” เสียงอบอุ่นของเขาให้ความรู้สึกเหมือนนอนอาบอยู่กลางแสงแดด “ผมจะดูแลคุณอย่างดีนะ กลางฟ้า...”

                “กลางฟ้า มาริช” เธอพึมพำแผ่วเบาข้างลำคอของเขา รู้สึกฝ่ามือใหญ่ของเขาโอบศีรษะของเธอให้ขยับเข้ามาอีกจนประชิดแผ่นอกแข็งแรงที่พร้อมจะปกป้องภัย หญิงสาวหลับตาพริ้ม ซุกตัวแนบแนบกับไหล่กว้างอย่างไม่รู้ตัว สูดกลิ่นของผู้ชายที่น่าอบอุ่นไว้ในลมหายใจ

                “หลับตาซะคนดี...” เสียงกระซิบแผ่วๆ อยู่ที่หน้าผาก

                สัมผัสสุดท้ายก่อนที่จะผล็อยหลับไป เธอรู้สึกได้ว่ามีความอบอุ่นทาบประทับอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่นบนหน้าผาก  และประทับอยู่อย่างนั้นนานเนิ่นนานจนเธอหลุดหายเข้าสู่ความหลับใหล เธอบอกตัวเองว่า เป็นสัมผัสที่แสนวิเศษที่จะทำให้เธอหลับฝันดีไปตลอดทั้งคืน


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น