บทที่ 15
เช้าวันใหม่ อากาศกลางป่าหนาวและชื้น แต่แสงแดดส่องลอดยอดไม้ลงมาช่วยแผดเผาความเย็นยะเยือกภายในป่าลงได้บ้าง มาริชสะลืมสะลือครึ่งหลับครึ่งเตือนด้วยความหนาวที่ผิวเปลือยตรงต้นแขน เสียงปลุกอัตโนมัติในสมองกำลังบอกเขาว่าอย่าเผลอหลับนานเกินไป
ทว่าตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา เขากลับนอนหลับสบายอย่างเต็มอิ่มและแสนสุขใจ แม้รู้สึกหนาวที่แขนบ้าง แต่ลำตัวอบอุ่นด้วยบางอย่างนุ่มเนียนขดอยู่ในอ้อมแขน
เขากระชับสิ่งนั้นในอ้อมแขน จิตใต้สำนึกบอกว่าเตียงของเขาไม่มีหมอนข้าง... งั้นสงสัยคงเป็นหมอนอีกใบ
จมูกและริมฝีปากถูไถกับบางอย่างเนียนนิ่ม แปลกแท้ ปลอกหมอนอะไรถึงได้อุ่นนุ่มเนียนและน่าสัมผัสเช่นนี้ เขาซุกใบหน้าเข้าไปอีกจนปากของเขาแตะไล้หมอนใบนั้นที่แสนน่าจูบ
น่าจูบ?
ตอนนั้นเขาถึงได้แง้มเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ สิ่งที่เห็นคือบางอย่างขาวๆ ตรงหน้า มันอยู่ใกล้จนมองไม่ชัดว่าคืออะไร
อยู่ดีๆ หมอนใบนั้นก็ขยับได้ ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก แล้วตอนนั้นเขาถึงนึกออกว่ากำลังกอดร่างบอบบางของผู้หญิงคนหนึ่ง
กลางฟ้า...
เมื่อคืนตอนก่อนนอน เขายังจำได้ว่าเธอกว่าไม่กล้าขยับขึ้นมานอนบนต้นแขนของเขา แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เช้านี้เธอถึงได้ขยับขึ้นมานอนซุกอยู่ใต้ปีกของเขาเสียแล้ว มิน่าล่ะ เขาถึงรู้สึกอุ่นกายหลับสบายทั้งคืน ทั้งร่างนุ่มนวลบอบบางในอ้อมแขน เส้นผมกลิ่นหอมผลไม้ที่ยุ่งเหยิงกระจายอยู่บนแผ่นอกและซอกคอ
เขายกแขนขึ้นเพื่อมองนาฬิกาข้อมือ เกือบเจ็ดโมงแล้ว เขานอนนานเกินไปแล้ว มาริชค่อยๆ ขยับตัวเธอให้ออกจากวงแขนแล้วลุกขึ้นนั่ง เขามองร่างที่นอนขดด้วยความหนาว ท่าทางเธอดูบอบบางเสียจนน่ากลัวว่าจะสู้ความหนาวไม่ไหวด้วยเสื้อผ้าเพียงชุดเดียว เขาคว้าเสื้อเชิ้ตที่นอนหนุนทั้งขึ้นออกมาคลุมบนตัวให้เธอก่อนแหวกเตนท์ออกไปข้างนอก
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันที่ลำธาร มาริชก็รื้อเป้ของน่านน้ำเพื่อค้นหาแผนที่ เขาเปิดแอพพลิเคชั่นแผนที่จากโทรศัพท์ของตัวเองเพื่อเทียบกัน นึกถึงสิ่งที่น่านน้ำบอกเมื่อวานแล้วมองหาแม่น้ำที่ขดเป็นรูปตัวยูในแผนที่จนเจอ
เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อดูทิศแล้วเดินห่างออกไปจากเตนท์ แอพพลิเคชั่นที่ระบุพื้นที่ภายในป่าบอกว่า ถ้าเดินขึ้นไปทางทิศตะวันตกก็จะเจอลำน้ำสายหนึ่ง ถ้าพวกเขาเดินเลียบลำน้ำไปเรื่อยๆ พวกซีซียูน่าจะตามพวกเขาเจอภายในวันนี้ เขาอยากพากลางฟ้าออกไปจากป่านี้ก่อนที่จะต้องค้างที่นี่อีกหนึ่งคืน
ทั้งคู่เริ่มออกเดินทางตั้งแต่เช้าตามเส้นทางที่มาริชสำรวจผ่านจีพีเอสมาแล้วว่า สามารถพาไปสู่ลำน้ำได้สะดวกที่สุดโดยที่กลางฟ้าไม่ต้องเดินฝ่าป่าหรือปีนเขาให้ยุ่งยากแม้ว่าต้องเดินอ้อมหน่อยก็ตาม ทางเดินในช่วงแรกไม่ลำบากนัก เป็นแค่พื้นดินเรียบๆ เท่านั้น แต่เมื่อมาริชพาเธอไปถึงลำธารเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยโขดหิน เขาก็ยืนเท้าสะโพกกวาดตามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันมาเอื้อมมือส่งให้
“ทางเดินตรงนี้เดินลำบากหน่อย จับมือผมไว้”
กลางฟ้าเอื้อมมือไปวางทาบบนฝ่ามือของเขา แล้วชายหนุ่มก็ดึงเธอปีนข้ามโขดหินก้อนใหญ่อย่างง่ายดายราวกับตัวเธอไม่มีน้ำหนัก พอข้ามหินก้อนหนึ่งมาได้ แข้งขาที่ไม่ชินกับความขรุขระของพื้นหินกรวดก็สะดุดซวนเซ มาริชก้าวเข้าไปรับร่างของเธอไว้
“ถามจริงๆ เถอะ ชีวิตนี้เคยเดินอะไรที่เรียบน้อยกว่าถนนบ้างมั้ย”
เขาส่ายหน้าระอาและทำหน้าเหมือนเบื่อหน่ายจนกลางฟ้าชักฉุน แต่หลังจากเดินต่อไปอีกหลายก้าวแล้ว ฝ่ามือกว้างที่กระชับรอบมือน้อยๆ ของเธอก็ยังไม่ยอมปล่อยเสียที
กลางฟ้ายกมือของตัวเองที่หายเข้าไปในมือของเขาขึ้นมามอง แล้วเลิกคิ้วขึ้นอย่างรู้ทัน
“นี่อะไรน่ะ...”
“อย่าดื้อ ให้ผมเดินจูงมือไปแบบนี้นี่แหละ แถวนี้หินขรุขระ เดี๋ยวหกล้มแข้งขาหักแล้วจะลำบากผมอีก”
หญิงสาวแอบยิ้มกับกลวิธีแนบเนียนของเขา เธอปล่อยให้เขาจับมือเดินต่อไป ด้วยความเชื่อในเหตุผลที่ว่าแข้งขาที่ไม่ชินกับการเดินป่าอาจทำให้เธอสะดุดก้อนหินล้มได้ง่ายๆ และจะเป็นภาระกับเขา
“ทำไมคุณถึงใช้ชื่อว่าครูซันนีด้วยล่ะ” มาริชถามระหว่างพาเธอปีนขึ้นหินก้อนใหญ่อีกก้อน
เธออมยิ้มเมื่อนึกถึงที่มาของมัน “ก่อนมาที่เชียงใหม่ ฉันเคยไปดูดวงไพ่ยิปซี จำได้ว่าไพ่ที่เปิดได้ในตอนท้ายคือไพ่ดวงอาทิตย์ที่บอกว่าฉันจะประสบความสำเร็จในชีวิต และได้พบเนื้อคู่เป็นชายหนุ่มที่อบอุ่นเหมือนดวงอาทิตย์ ฉันก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อที่โรงเรียน”
เขาหัวเราะในลำคอระหว่างฉุดแขนเธอปีนขึ้นโขดหินลูกต่อไป “หมอดูก็เดาแม่นนะ”
กลางฟ้าไต่ขึ้นตามโขดหินโดยมีฝ่ามือแข็งแรงของเขาคอยฉุดเธอขึ้น “คุณรู้ได้ยังไงว่าแม่น ขนาดฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันจะประสบความสำเร็จเป็นนักเขียนนิยายหรือเปล่า เนื้อคู่ก็ยังไม่เห็นเงา”
เขาปล่อยให้เธอยืนอยู่บนโขดหินก้อนใหญ่ ตัวเขากระโดดลงมารอก่อนที่พื้นแล้วหันขึ้นมาเงยหน้ามองหญิงสาว
“แม่นตรงที่ว่า คุณเจอดวงอาทิตย์ดวงนั้นแล้วน่ะสิ”
ใบหน้าอาบแสงแดดของเขาเงยหน้าขึ้นมองกลางฟ้า รอยยิ้มของเขาอบอุ่นไม่ผิดจากแสงแดดอุ่นผิวในยามเช้าที่หนาวเหน็บ เขาทำให้เธอนึกถึงภาพไพ่ใบนั้นที่แม่หมอยิปซีพลิกออกหงายออกมา แล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้าเธอ
ภาพดวงอาทิตย์บนไพ่ที่ให้รู้สึกเหมือนถูกร่ายมนต์วิเศษที่มองทุกอย่างสวยงามไปหมด
ชื่อของผม แปลว่าดวงอาทิตย์
เธอมองลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของเขา ไม่แน่ใจว่าที่เขาบอกว่าดวงอาทิตย์ดวงนั้นหมายถึงตัวเขาหรือเปล่า เธอย่อตัวลงเพื่อให้เขาโอบรอบเอวบาง สองมือของเธอเอื้อมมือจับไหล่ของเขาแน่น แล้วมือใหญ่ของชายหนุ่มก็ยกร่างเบาหวิวของเธอลงมาที่พื้นอย่างนุ่มนวลราวกับนักเต้นรำ
เมื่อเดินมาถึงลำธารน้ำตื้นๆ เขาหันมาก้มมองรองเท้าผ้าใบสีชมพูของกลางฟ้า แล้วย่อตัวลงตรงหน้าเธอ
“ขึ้นขี่หลังผมสิ ผมจะพาคุณเดินลุยน้ำ”
“น้ำตื้นจะตาย ฉันเดินเองได้น่า”
เขาพยักพเยิดที่ไปปลายเท้าของกลางฟ้า “รองเท้าของคุณไม่กันน้ำ เดี๋ยวมันซึมเข้าไปในเท้าแล้วคุณจะเดินไม่สบายเอานะ”
หญิงสาวอึกอักลังเล แต่เมื่อเห็นใบหน้าของมาริชที่เหลียวหลังมองพร้อมรอยยิ้มเชื้อเชิญ เธอก็ขยับตัวเข้าไปเกาะที่แผ่นหลังกว้างและอบอุ่น เขาตัวสูงกว่าเธอเยอะมาก เพราะตอนที่ลอยอยู่เหนือพื้นแล้วรู้สึกมองเห็นทุกอย่างกว้างไกลกว่าเดิม
“แล้วคุณล่ะ มาเป็นตำรวจได้ยังไง” กลางฟ้าโอบแขนสองข้างไว้เหนืออกและพาดคางที่ไหล่ของเขา ชวนคุยระหว่างที่เขาเดินลุยน้ำตื้นๆ บนลำธาร
“ตั้งแต่เด็กผมก็รู้แล้วว่าโตขึ้นต้องเป็นตำรวจ พ่อของผมเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในอำเภอที่มีอาชญากรมากที่สุดของจังหวัดน่าน ผมเห็นพ่อคว้าปืนจากข้างฝาออกไปจับโจรตอนกลางคืนจนเป็นเรื่องเคยชิน ตอนที่ลูกคนเดียวของพ่อสอบติดนายร้อยตำรวจ พ่อผมหัวเราะลั่นบ้าน ส่วนแม่ผมเอาแต่ร้องไห้”
“น่าสงสารแม่คุณจัง” เธอพึมพำเบาๆ “นึกถึงแม่ฉันเลย ถ้าเป็นแม่ฉันคงร้องไห้เป็นลมเป็นแล้งไปแล้ว”
มาริชหัวเราะเบาๆ “แม่ผมปลาบปลื้มจนน้ำตาไหลต่างหากที่ผมรับราชการตำรวจ คุณตาและคุณลุงของผมก็เป็นตำรวจ ตระกูลของพ่อแม่ผมอยู่ในแวดวงราชการทั้งนั้น”
“งั้นแสดงว่าอีกหน่อยคุณก็คงแต่งงานกับคนในวงการราชการด้วยกันน่ะสิ อย่างคุณหนูใส่บิ๊กอายคนนั้นที่เป็นลูกสาวผอ.ในซีซียูไง... ดูๆ ไปก็เหมาะกับคุณนะ” เธอแกล้งหยอก
เขาไม่ตอบและเงียบไปอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า
“คุณกำลังคบกับน่านจริงๆ เหรอ”
กลางฟ้านึกถึงเหตุการณ์หลังคอนเสิร์ตที่น่านน้ำพูดโพล่งออกมาว่าเขากำลังจีบเธออยู่ แล้วจู่ๆ ก็เผลอหัวเราะออกมา
“คุณหัวเราะทำไม”
“คบกันได้ยังไงล่ะ เราสองคนเป็นเพื่อนกันนะ”
“จริงเหรอ” เขาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “แล้วคุณไม่ได้ชอบไอ้น่านหรอกเหรอ”
“บอกแล้วไงว่าเขากับฉันเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้นจริงๆ”
“แต่ทำไมคุณถึงต้องโกหกผมเพื่อจะไปกับเขาด้วยล่ะ” มาริชถามน้ำเสียงจริงจัง
เฟี้ยว...
เสียงนั้นแล่นแหวกอากาศอย่างรวดเร็ว กลางฟ้ายังไม่ทันรู้ว่าเสียงนั้นคืออะไร รู้แต่ว่าจู่ๆ มาริชวิ่งไปหลบซ่อนที่หลังโขดหินใหญ่อย่างรวดเร็ว เขาวางเธอลงแล้วฉุดลงนั่งซ่อนตัวข้างหิน ร่างใหญ่ของเขาประกบด้านข้างของเธออีกที
“แย่ล่ะ มีคนตามเรามา” เขากระซิบพร้อมกับหยิบปืนออกมาจากกางเกง
“อย่าบอกนะว่านั่นเสียงกระสุนนะ!” กลางฟ้าเริ่มสติแตก
เขายกปืนขึ้นบนโขดหินแล้วยิงส่งเดชออกไปนัดหนึ่ง หลับตาลงแล้วฟังเสียงยิงสวนกลับมา
“มันมีกันสองคน คงเป็นไอ้พวกองค์กรเดือนลับ สงสัยเราคงเผลอเดินเข้าไปในจุดที่พวกมันกำลังจะลำเลียงคน เราอยู่ตรงนี้ไม่ปลอดภัยแน่ๆ” เขาควานเข้าไปในกระเป๋าเป้จนเจอแมกกาซีน หยิบออกมาสองอันใส่ไว้ที่กระเป๋ากางเกง
“ฟังนะกลางฟ้า เดี๋ยวผมจะยิงคุ้มกันให้คุณ พอผมบอกให้วิ่ง คุณวิ่งให้เร็วที่สุดตรงไปที่ป่าตรงหน้า แล้วรีบซ่อนหลังต้นไม้ต้นที่มีดอกสีแดงนั่น” เขาหันไปชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่ที่ป่าด้านหลัง ห่างออกไปราวสิบเมตร “ไปถึงแล้วก้มตัวให้ต่ำที่สุดอยู่ใต้ต้นไม้ แล้วผมจะรีบตามคุณไป”
“คุณจะไม่ทิ้งฉันไว้ในป่าใช่ไหม” ดวงตาของกลางฟ้าเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว
ฝ่ามือกว้างทาบไปบนใบหน้าของหญิงสาว “เชื่อในตัวผมนะกลางฟ้า ผมจะต้องพาเราสองคนให้รอดไปด้วยกันให้ได้”
ทันทีที่มาริชเหนี่ยวไก เสียงกระสุนก็ระเบิดสนั่นหวั่นไหว กลางฟ้าวิ่งสุดกำลังแทบลืมหายใจ จนในที่สุดมือของเธอก็เอื้อมออกไปสัมผัสลำต้นใหญ่ของต้นไม้ที่มาริชบอกไว้ เธออ้อมไปอีกฟากของต้นไม้แล้วหลบซ่อนอยู่ข้างลำต้นใหญ่
เขามองจนมั่นใจว่าเธอปลอดภัย แล้วเตรียมตัวกระชับปืนในมืออีกครั้ง
เอาล่ะ เดี๋ยวตาแกแล้ว
อีกฝ่ายยิงตอบโต้กลับมาเป็นชุด กระสุนวิ่งฉิวจากฟากตรงข้ามซัดกระหน่ำใส่โขดหินและพื้นน้ำรอบๆ มาริช เขายกแขนขึ้นปกป้องศีรษะและแนบลำตัวชิดติดหลังโขดหินเมื่อเศษหินดีดกระดอนไปมารอบตัว
ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อหินคมกริบจากกระสุนดีดกระเด็นขึ้นมาเฉือนผ่านลำตัวที่เอวของเขาพอดี เขากัดฟันแน่น ยกปืนขึ้นเหนือโขดหินแล้วยิงกราดไปทั่วทิศ ก่อนหงายมือที่กุมที่บาดแผลตรงเอวขึ้นมา
เลือดหย่อมหนึ่งกองอยู่ในอุ้งมือ
เขากลั้นหายใจ หันหลังไปวิ่งสุดฝีเท้าไปสมทบกับกลางฟ้าที่ด้านหลังต้นไม้
“วิ่งเร็ว!” เขาคว้ามือของเธอได้แล้วพาวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้าไปในกลางป่า
บ่ายสามแล้ว น่านน้ำลงมาจากรถโฟร์วีลที่แล่นเข้ามาในป่า พร้อมกับเจ้าหน้าที่หน่วยซีซียูอีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาค้นหากลางฟ้าและมาริชโดยใช้เส้นทางเลียบมาตามแม่น้ำตามที่ได้นัดแนะกับมาริชไว้ ก่อนหน้านี้ทีมของน่านน้ำพบร่องรอยบนดินคล้ายมีการใช้สมอบกเพื่อกางเตนท์ เมื่อสำรวจอย่างใกล้ชิดก็พบว่าเป็นร่องรอยที่เพิ่งเกิดขึ้น
น่านน้ำหวังว่ามาริชคงเจอกลางฟ้าแล้วและน่าจะค้างแรมกันที่นี่ เขาจึงรีบสั่งให้หน่วยค้นหารีบเดินเท้าต่อไปเพื่อหาลำน้ำกลางป่า เชื่อว่าอีกไม่นานคงได้พบทั้งคู่
ระหว่างที่เดินเลียบไปตามลำน้ำที่ระเกะระกะไปด้วยโขดหิน เขาก็พบปลอกกระสุนจำนวนหนึ่งตกอยู่ด้านหลังโขดหิน
น่านน้ำคุกเข่าลงหยิบปลอกกระสุนขึ้นมา ข้างๆ ปลอกโขดหินนั้น พบเลือดหยดหนึ่งบนพื้นหิน
เห็นแล้วเขาแทบทำปลอกกระสุนหลุดจากมือ...
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองกลางฟ้าด้วย ขออย่าให้เธอได้รับบาดเจ็บร้ายแรงเลย
มาริชไม่พูดไม่จา เอาแต่ฉุดมือของกลางฟ้าเดินย่ำป่าไปอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็ถึงธารน้ำตกแห่งหนึ่ง เขาทรุดฮวบลงข้างก้อนหินก้อนใหญ่แล้วนั่งเอนหลังหลับตาพิงงก้อนหินนั้นเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง
กลางฟ้าหันไปมองใบหน้าซีดเซียวของเขาแล้วเขย่าไหล่เบาๆ
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า มาริช”
เขาลืมตาช้าๆ ลมหายใจเข้าออกถี่กระชั้นระหว่างถอดเสื้อเชิ้ตตัวนอกออกจากไหล่จนเหลือเสื้อยืดสีขาว
“คุณช่วยดูตรงนี้ให้ผมหน่อย”
กลางฟ้ารีบทรุดตัวลงคุกเข่าข้างตัวแล้วอุทานเบาๆ เมื่อเห็นเสื้อยืดสีขาวของเขามีหย่อมเลือดสีแดงฉานตรงเอว เขาเลิกชายเสื้อขึ้น เผยบาดแผลเป็นทางยาวที่บั้นเอวเกรอะกรังด้วยเลือด
“ตายแล้ว คุณถูกยิงเหรอมาริช!”
“ไม่ขนาดนั้น แค่โดนเศษหินดีดใส่ คุณกลัวเลือดไหม ช่วยทำแผลให้ผมได้หรือเปล่า ในกระเป๋ามีอุปกรณ์ปฐมพยาบาล”
ระหว่างที่เขาถลกเสื้อกล้ามสีขาวขึ้นมาจนถึงอก กลางฟ้าก็ขุ้ยหาชุดปฐมพยาบาลออกมาจากกระเป๋าเป้อย่างรวดเร็ว ในนั้นมีน้ำเกลือฆ่าเชื้อโรค ยาทาแผลป้องกันการติดเชื้อและผ้าก๊อซปิดแผล
โชคดีที่กลางฟ้าไม่กลัวเลือด เธอใช้น้ำเกลือเช็ดทำความสะอาดรอบๆ บาดแผลที่อยู่ใต้ชายโครงค่อนไปด้านหลังตรงบั้นเอว เลือดยังคงซึมออกมาจากใต้ผิวหนังจนดูน่าหวาดเสียว
“โอย... คุณเจ็บไหมอะ มาริช” เธอนิ่วหน้าระหว่างแตะรอบๆ บาดแผลด้วยความกังวล
เขาไม่ตอบจนกลางฟ้าใจคอไม่ดี เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาทีหนึ่ง เห็นหน้านิ่วคิ้วขมวดของเขาแล้วเดาว่าคงเจ็บแผลน่าดู เมื่อหวนกลับมามองที่แผล เธอก็ทำได้แค่เช็ดแผลของเขาอย่างเบามือ
“ตะกี้คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย” เสียงของเขาดังอยู่เหนือศีรษะ
สิ่งที่มาริชพูดทำให้กลางฟ้าชะงักด้วยความประหลาดใจ เธอเบนสายตาขึ้นจากหน้าท้องของเขาไปที่ใบหน้าทันที “ตอบคำถามอะไร”
“ทำไมคุณถึงต้องโกหกผมเพื่อออกไปกับไอ้น่าน”
กลางฟ้าสบตาเขา มองแววตาจริงจังคู่นั้นที่กำลังจ้องเธอเขม็งราวกับคาดคั้นคำตอบจากเธอให้ได้ เมื่อเห็นเธอไม่ตอบ เขาจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงตัดพ้อว่า
“ไอ้น่านสารภาพกับผมแล้วว่าคุณขอให้เขาพาเข้าป่าเพราะอยากดูแกงค์เดือนลับลำเลียงยาเสพติด คุณยอมออกมากลางป่ากับเขาแบบนี้ แสดงว่าคุณต้องไว้ใจเขามากสินะ”
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกมาริช”
“ไม่ใช่ยังไง”
กลางฟ้าก้มหน้าหลบตาเขาด้วยการหันไปทำแผลให้เขาต่อ เธอใช้ผ้าก๊อซพันรอบเอว พยายามจดจ่อกับร่องรอยแผลถูกถากเข้าเนื้อที่ดูแล้วไม่โสภาเอาเสียเลย แต่ก็ดีกว่าให้เขาเห็นสีหน้าพิรุธและจับผิดเธอได้ อันที่จริงเธอเองก็อยากสารภาพทุกอย่างกับมาริชเพื่อให้เขาเลิกเข้าใจผิดเรื่องเธอกับน่านน้ำสักที แต่ก็เกรงว่าหากพูดมากเกินไป น่านน้ำอาจลำบากก็ได้ เธอควรออกไปจากป่าและคุยกับน่านน้ำให้เรียบร้อยว่า...
ว่าแต่.... ผู้ชายบ้าอะไรเนี่ย ทำไมถึงได้หุ่นดีขนาดนี้ กล้ามเนื้อแข็งปั๋ง ไม่มีไขมันใต้ผิวหนังแม้แต่นิดเดียว หน้าท้องของเขาแบนราบเป็นซิกแพคสวยงามราวกับพระเอกภาพยนตร์บู๊ เธออยากรู้ว่าเขาเข้ายิมบ้างไหม หรือได้มาเพราะการฝึกฝนอย่างหนัก...
ความคิดของเธอชะงัก เมื่อฝ่ามือของเขาช้อนคางของเธอขึ้นจนต้องสบตาเขา
“ทำไมไม่ตอบผมล่ะ”
“ปัดโธ่ มาริช เลิกสนใจเรื่องนั้นเถอะ คุณปวดแผลมากไหม ฉันจะลองค้นหายาในกระเป๋า”
กลางฟ้าหาเรื่องเบี่ยงเบนจากหัวข้ออันตรายนั้นแล้วทำท่าจะลุกไปหยิบยา แต่เขาฉวยข้อมือแน่นแล้วดึงเธอไว้
“ตอบผมตามตรงได้ไหมกลางฟ้า ถ้าคุณบอกสักคำว่าคุณชอบไอ้น่าน พอผมพาคุณออกจากป่าได้แล้วล่ะก็ ผมจะได้เลิกยุ่งกับชีวิตของคุณจริงๆ” เขาสบตาเธออย่างมีความหมาย “แต่ถ้าไม่...
เธอช้อนสายตาขึ้นสบตาเขา พูดอย่างนี้หมายความว่าเขา... เขาก็ชอบเธอเหมือนกันใช่ไหม...
“แต่ถ้าไม่แล้วอะไร...”
เสียงสวบสาบเหมือนเสียงย่ำกิ่งไม้ดังเบาๆ มาริชร่างกระตุกทันทีด้วยแรงสัญชาติญาณ ดวงตาปรือเมื่อสักครู่เข้มขึ้นทันทีด้วยความหวาดระแวง เขานิ่งฟังอยู่อีกสองสามอึดใจ หันไปมองกลางฟ้าแล้วยกนิ้วขึ้นทาบกับริมฝีปาก แล้วทำสัญญาณมือให้เธอค่อยๆ ย่องตามเขาเพื่อไปซ่อนตัวหลังพุ่มไม้
เสียงคนเดินสวบสาบอยู่ด้านนอกพุ่มไม้ แม้ว่าเบาแทบไม่ได้ยิน แต่สัญชาติญาณระแวดระวังของมาริชก็ทำให้คลำไปตามลำตัวจนเจอปืนกระบอกคู่ใจแล้วคว้าขึ้นมาถือไว้ในมือ
เขาพยายามเงี่ยหูฟัง เสียงฝีเท้าเริ่มดังมากกว่าหนึ่งคน เขาพยายามมองความเคลื่อนไหวจากช่องโหว่ของพุ่มไม้ แต่มองไม่ถนัด
“พวกองค์กรเดือนลับหรือเปล่า” เสียงสั่นระริกของกลางฟ้าดังมาจากข้างตัว
“ไม่รู้สิ” เขากระซิบตอบพลางเงี่ยหูฟังเสียงข้างนอกไปด้วย มีเสียงคนอยู่ข้างนอกไม่ต่ำกว่าสองคน มาริชเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวด้วยฝีเท้าเบาหวิว เขาเข้าไกปืนอย่างเบามือที่สุด กระชับมันไว้ในมือแล้วกระซิบกับกลางฟ้า
“ฟังนะ ถ้าพวกมันยิงผม คุณอย่าได้สู้หรือขัดขืนมัน ทำตามทุกอย่างที่มันสั่งนะ พวกซีซียูกำลังมาช่วยคุณ...”
“หา! มันจะยิงคุณเหรอ” เธอกอดแขนของเขาแน่น
“ได้ยินที่ผมพูดหรือเปล่า!”
กลางฟ้าตัวสั่นอีกครั้ง “ไม่นะ ถ้าพวกมันฆ่าคุณล่ะ ฉันจะทำยังไง...”
“ชู่ว์!”
เสียงจากข้างนอกดังใกล้เข้ามาทุกขณะ กลางฟ้าหลับตาแน่น ภาวนาของให้พวกมันอย่ากระทำอะไรโหดร้ายเลย เธอสัมผัสต้นแขนของเขาเกร็งจนแข็งเพื่อเตรียมตัวระวังเต็มที่ มือที่ถือปืนเล็งออกไป
“มีคนอยู่หลังพุ่มไม้ใช่ไหม” เสียงผู้ชายร้องตะคอกมาจากข้างนอก “ออกมา!”
ความคิดเห็น |
---|