17

บทที่ 16


 

บทที่ 16

มาริชขบกรามจนขึ้นสัน ปืนในมือกระชับแน่นพร้อมยิงออกไปทุกวินาที เขาพยายามคิดหาทางออกว่าทำอย่างไรดี เพราะนอกเป็นฝ่ายเสียเปรียบที่มองไม่เห็นข้างนอกแล้ว ยังมีกลางฟ้าอยู่ข้างๆ ด้วยอีกหนึ่งชีวิตที่เขาจะต้องดูแลความปลอดภัยให้เธอ

เขาจึงตัดสินใจตะโกนออกไป 

“อย่าทำอะไรพวกเรา แค่หลงป่ามา”

“เราล้อมตรงนี้ไว้หมดแล้ว ถ้าคนที่อยู่ข้างในมีอาวุธ ขอให้วางลงซะแล้วเดินออกมา ถ้าขัดขืนเราจะยิง”

กลางฟ้าทั้งตื่นเต้นทั้งกลัวจนใบหน้าและริมฝีปากซีดเซียว มาริชโอบเธอไว้แน่นแล้วกระซิบข้างขมับว่า

“ทำใจให้สงบนะ กลางฟ้า อย่าเพิ่งสติแตกตอนนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม คุณต้องเอาตัวรอดให้ได้ จำไว้”

                “ไม่นะ...” เธอเริ่มเสียงสั่น

เสียงจากข้างนอกตะโกนอีก “ถ้ามีอาวุธ ขอให้วางลงแล้วเดินออกมา!”

“บอกมาก่อนว่าพวกแกเป็นใคร” มาริชตะโกนถามอีก

“เราคือเจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามจากซีซียู ขอย้ำอีกครั้ง หากมีอาวุธ ขอให้วางลงแล้วก้าวออกมา...”

กลางฟ้าเงยหน้ามองมาริช ดวงตาเบิกกว้างเปี่ยมความหวัง แต่เขายกนิ้วทาบริมฝีปากเป็นสัญญาณให้เธอนิ่งก่อน แล้วตะโกนออกไปอีกครั้งว่า

“เราจะรู้ได้ยังไงว่า...”

เสียงคุ้นหูเสียงหนึ่งตะโกนแทรกเข้ามา

“นั่นพี่ริชใช่ไหม ผมเอง ดอนจากซีซียู!”

                มาริชเผลอยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก “ไอ้ดอน? นั่นแกเหรอ”

“ใช่แล้ว พี่ริช ผมเอง มีใครอยู่กับพี่หรือเปล่า”

ชายหนุ่มหลับตาถอนหายใจยาว เขาทรุดตัวลงนั่งกับพื้นหลังจากคุกเข่าในท่าระวังจนตัวเกร็งไปหมด

“กลางฟ้า...” เขาตะโกนตอบออกไป “มีแค่กลางฟ้ากับฉันเท่านั้น”

มาริชปลดไกปืน เขาหันไปมองหญิงสาวที่เกาะแขนเขาแน่นราวกับเป็นที่พึ่งพิงสุดท้ายของชีวิต ดวงตาหวาดกลัวของเธอเริ่มมีประกายแห่งความหวัง เขายิ้มให้เธอแล้วยกมือขึ้นโอบรอบศีรษะเข้ามาใกล้ๆ เพื่อประทับจูบบนหน้าผากเป็นการปลอบขวัญ

“เรารอดแล้วนะ กลางฟ้า คุณเอาชีวิตรอดออกมาจากป่าได้อีกครั้ง” เขาพูดกลั้วหัวเราะ

มาริชจูงมือกลางฟ้าออกมาจากพุ่มไม้ ดอนกับเจ้าหน้าที่ซีซียูอีกสามคนก็ก้าวเข้ามาล้อมรอบทั้งสองคน พวกเขาตบไหล่กันไปมา โดยมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซักถามว่ามีใครได้รับบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยบ้างหรือไม่

ผู้กองหนุ่มก้มหน้าลงและแหวกเสื้อออกให้อีกฝ่ายสำรวจบาดแผล พร้อมกับเล่าให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดฟังว่า ก่อนหลบเข้ามาในป่าฟากนี้ ได้มีการยิงสวนกันกับมือปืนกลุ่มหนึ่ง คาดว่ามีไม่น้อยกว่าสองคน 

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรายงานว่า “น่านน้ำได้เบาะแสมาว่าพวกองค์กรเดือนลับกำลังลำเลียงของผิดกฎหมายทางแม่น้ำภายในวันนี้ ผมว่าน่าจะเป็นพวกมัน”

มาริชรับเครื่องจีพีเอสจากดอนมาเปิด จากนั้นเจ้าหน้าที่ทุกคนก็ขยับเข้ามาล้อมรอบ

                “ตอนนี้เราอยู่ตรงนี้...” เขาจิ้มนิ้วไปที่แผนที่ดิจิทัล “น่านบอกว่าพวกมันลำเลียงของกันตรงแม่น้ำที่นี่...”

                กลางฟ้ามองมาริชกำลังวางแผนเตรียมตัวบุกจับพวกแกงค์ส่งของผิดกฎหมายอย่างเอาจริงเอาจังกับทีมของเขา ราวกับว่าไม่เคยบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แล้วอดทึ่งไม่ได้กับความเข้มแข็งของเขา

                เธอมองเขาด้วยสายตาชื่นชม เมื่อสักครู่นี้เขาทำท่าเหมือนจะบอกความในใจว่า...

“กลางฟ้า!”

                น้ำเสียงร้อนรนนั้นทำให้เธอหันไป แล้วเห็นน่านน้ำก้าวลงมาจากรถกระบะโฟร์วีลคันหนึ่งที่ติดตราของซีซียู เขารีบวิ่งตรงเข้ามาหาหญิงสาวที่ยังยืนงุนงงอยู่ ทันทีที่มาถึงตัว ก็กางแขนสวมกอดเธอไว้ราวกับผ้าห่มผืนใหญ่

                “กลางฟ้า คุณไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม โอย ผมเป็นห่วงจะตายอยู่แล้ว!” เขาส่งเสียงอู้อี้มาจากไหล่ของเธอ

มาริชหันขวับ นิ้วของเขาถึงกับจิ้มหน้าจอโทรศัพท์ค้างอยู่กลางอากาศ ดวงตาร้อนผ่าวด้วยแรงริษยาทันทีที่เห็นภาพหญิงสาวคนที่เขานอนกอดทั้งคืน กำลังหายเข้าไปในอ้อมกอดของชายหนุ่มอีกคน เขานึกอยากตรงเข้าไปกระชากไอ้น่านออกมาเดี๋ยวนั้นแล้วชกหน้าหล่อใสๆ นั่นให้ยับคามือ

จู่ๆ น่านน้ำก็ปล่อยมือจากกลางฟ้าราวกับรับรู้รังสีอำมหิต เขามองหน้าผู้กองหนุ่มแล้วเหลือบมองไปที่ผ้าพันแผลตรงบั้นเอวแล้วถามว่า

                “ไอ้ริช แกไม่เป็นไรใช่ไหม” เขาก้มหน้ามองเสื้อที่เปรอะเลือดแล้วเอื้อมมือไปตบไหล่เบาๆ “ฉันขอบใจแกมากนะที่ตามหากลางฟ้าจนเจอ”

มาริชตอบเสียงนิ่ง “ไม่ต้องขอบใจหรอก ยังไงฉันก็ต้องหากลางฟ้าให้เจออยู่แล้วล่ะ” 

น่านน้ำมองสีหน้าบึ้งตึงของเพื่อนร่วมทีมแล้วไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่ซีซียูคนหนึ่งเดินเข้ามาแทรกกลางแล้วส่งวิทยุสื่อสารให้มาริช พึมพำบอกว่าวิธูติดต่อมาและต้องการคุยด้วย ผู้กองหนุ่มรับมาถือไว้แล้วเดินผละไปจากตรงนั้นเพื่อสนทนา

                น่านน้ำหันมาพูดกับกลางฟ้าต่อทันทีที่มาริชไปแล้ว “เฮ้อ ไม่อยากบอกเลยว่าผมแทบเป็นบ้าตอนที่หาคุณไม่เจอน่ะ ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองคุณ”

                “ฉันไม่เป็นไรน่าน โชคดีที่มาริชเจอฉันก่อนมืด ไม่งั้นฉันเองก็ไม่กล้าคิดแล้วว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

                “ผมขอโทษนะที่จำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้กับสารวัตรวิธู ผมไม่อาจเสี่ยงปล่อยให้คุณอยู่ในป่าได้ เราจำเป็นต้องส่งคนมาช่วยคุณ”

                กลางฟ้าถอนหายใจเหมือนปลงตก “อย่าขอโทษฉันเลย น่าน แค่นี้ฉันก็ทำให้ใครต่อใครลำบากกันมากพอแล้ว ถ้าพี่วิธูจะลงโทษฉันขึ้นมาจริงๆ ก็... สมควรแล้วล่ะ”

                “ไม่หรอกกลางฟ้า ผมบอกได้เลยว่าสารวัตรไม่ลงโทษคุณอย่างแน่นอน” เขายิ้มกว้างพร้อมกับรอยยิ้มให้คำมั่นกับเธอ

                “คุณรู้ได้ยังไง”

น่านน้ำขยิบตาส่งสัญญาณไม่ให้เธอถามอีก เพราะเห็นมาริชกำลังเดินกลับมาทางนี้อีกครั้งพร้อมกับมีวิทยุสื่อสารอยู่ในมือ เสื้อยืดเปื้อนเลือดตัวนั้นถูกถอดทิ้งไปแล้ว เขาสวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวนอกที่ยังไม่ได้ติดกระดุม มีผ้าก๊อซสีขาวแผ่นใหญ่แปะอยู่ที่บั้นเอวข้างหนึ่ง เขาเดินก้าวยาวๆ บนพื้นกรวด สายลมโชยใส่ร่างจนชายเสื้อแหวกออกเห็นกล้ามอกแน่นและลอนหน้าท้องซิกแพค ดูราวกับนายแบบโฆษณากางเกงยีนบนป้ายบิลบอร์ด มือข้างหนึ่งยกวิทยุสื่อสารขึ้นจ่อที่ปากและพูดบางกับปลายทาง เสียงผู้ชายที่ดังออกมานั้นฟังไม่ชัดเพราะสัญญาณรบกวน

                “กลางฟ้าอยู่ตรงนี้ครับ” ชายหนุ่มพูดกับวิทยุ เจตนาก้าวเข้ามาแทรกกลางระหว่างเธอกับน่านน้ำที่กำลังก่อให้เกิดความร้อนรุ่มในใจจนน่าหงุดหงิด เขาเบียดตัวเข้าไปจนอีกฝ่ายต้องขยับตัวออกไป จากนั้นก็ย่อตัวลงคุกเข่าข้างกลางฟ้า ไหล่กว้างของเขาสัมผัสถูกต้นแขนของเธอ

                เขายื่นวิทยุสื่อสารตรงกลางหน้าหญิงสาวคนเดียวในกลุ่ม “สารวัตรอยากคุยกับคุณ”

เสียงครืดคราดดังมาจากลำโพงวิทยุ จากนั้นก็เป็นเสียงพูดของวิธูดังออกมาจากลำโพง

                “ยายกลาง! เธอไม่ได้เป็นไรใช่ไหม!” เสียงของวิธูฟังดูทั้งร้อนรนและเป็นห่วงพอกัน

                “ค่ะ พี่วิธู กลางไม่เป็นไรค่ะ”   

“ตอนนี้พี่อยู่ที่อีกฝั่งของแม่น้ำ กำลังจะเข้าเตรียมจับองค์กรเดือนลับพร้อมของกลางผิดกฎหมาย กว่าจะกลับเข้าซีซียูก็คงวันพรุ่งนี้นะ แล้วเดี๋ยวพี่ค่อยคุยกับเธออีกที”

“กลางขอโทษนะคะพี่วิธู” น้ำเสียงสำนึกผิดของเธอพูดใส่วิทยุ “ตอนนี้กลางรู้สึกผิดมากๆ เลยค่ะที่ทำให้ทุกคน

เดือดร้อน และทำให้มาริชบาดเจ็บด้วย”

“เอาเถอะ เธอปลอดภัยพี่ก็ดีใจแล้ว ตอนนี้รีบกลับเข้าบ้านซะ เออ แล้วไอ้น่าน แกอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า”

“อยู่นี่ครับ” น่านน้ำตอบ

“แกพากลางฟ้าขึ้นรถของทางศูนย์กลับเข้าเมืองตอนนี้เลย แล้วพาเธอไปส่งที่บ้านให้เรียบร้อยด้วย ห้ามแวะไปไหนเด็ดขาด เข้าใจไหม” น้ำเสียงห้วนๆ ของวิธูพูดออกคำสั่ง

“ครับผม” น่านน้ำตอบ

มาริชถึงกับเด้งผึงขึ้นมาจากที่นั่งยองๆ ทันที “อะไรนะครับ สารวัตรจะให้น่านกลับไปตอนนี้เนี่ยนะ น่านต้องอยู่พาทีมของเราไปสมทบกับทีมของสารวัตรที่ฝั่งโน้นนะครับ ผมว่าให้ดอนไปส่งกลางฟ้าดีกว่าครับ”

“น่านไม่มีหน้าที่ต้องอยู่ตรงนั้นแล้ว” เสียงวิธูตอบกลับ “รายละเอียดอยู่ในแผนที่หมดแล้ว ดอนต้องอยู่ช่วยทางทีมของแก คนของเรามีจำกัด ฉะนั้นไอ้น่านนั่นแหละที่จะต้องเป็นคนพากลางฟ้ากลับไปพร้อมรถขอศูนย์”

“แต่เขารู้เรื่องเกี่ยวกับไอ้องค์กร...” มาริชแย้ง แต่เสียงเฉียบขาดของวิธูตัดบท

“เอาตามนั้นแหละ ริช ตอนนี้เราต้องเตรียมการแล้ว เวลากระชั้นเข้ามาทุกที”

มาริชตวัดสายตาพิฆาตไปยังตัวการก่อการความหงุดหงิดใจ ปากเซ็กซี่ของเขาคว่ำลงกลายเป็นบูดบึ้งด้วยความไม่พอใจ เขาจำใจพูดตอบรับโดยที่ยังไม่ละสายตาจากน่านน้ำว่า

“ครับ สารวัตร”

แล้วผู้กองหนุ่มก็กระแทกวิทยุสื่อสารลงบนพื้นอย่างหัวเสีย เขาลุกจากพื้นตรงนั้นแล้วเดินผละไปจากวงสนทนาโดยที่ไม่พูดจากับใครแม้แต่กลางฟ้า

หญิงสาวเผยอปากจะเรียกเขาไว้ แต่เสียงจากวิทยุดังออกมาเรียกชื่อของเธอ

                “ยายกลาง ยังอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า”

                “ค่ะ...”

                “เธอไปเก็บข้าวของแล้วขึ้นรถซะ อย่าเสียเวลานาน เดี๋ยวมืดแล้วจะออกมาลำบาก...”

                กลางฟ้าตอบรับวิธูอย่างใจลอย สายตามัวแต่จดจ้องมองตามแผ่นหลังกว้างของมาริชที่เดินก้าวยาวๆ ไปจากตรงนั้นจนชายเสื้อเชิ้ตปลิวไปข้างหลัง ร่างสูงนั้นเดินห่างไปจากตรงนั้นและกำลังจะหายเข้าไปในป่า หญิงสาวใจหายวาบด้วยความเป็นห่วง... นี่เขาจะไปจับแกงค์ค้ามนุษย์จริงๆ หรือนี่ เธอยังไม่ได้พูดอวยพรเขา หรือบอกให้เขาระวังตัว หรือบอกว่าเป็นห่วงเขาเลยสักคำ

                ทันทีที่ตัดสัญญาณการสื่อสารกับวิธู กลางฟ้าก็ก้าวข้ามรากไม้ที่ขึ้นระเกะระกะอย่างทุลักทุเลตามหลังมาริช เขาเดินไวอย่างกับติดปีกที่เท้าไปยังกลุ่มเจ้าหน้าที่สามสี่คนที่กำลังสุมหัวอยู่เหนือแผนที่บนพื้นกรวดริมแม่น้ำ

                “มาริช! เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป!”

ชายหนุ่มหันหลังตามเสียง ใจแฟบๆ ฟูขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นกลางฟ้าพยายามประคองตัวเก้ๆ กังๆ บนรากไม้ราวกับนักไต่ลวดตามมาข้างหลัง เขามองท่าทางเงอะงะเหมือนจะสะดุดล้มได้ทุกวินาทีด้วยสายตาเป็นห่วง แต่แกล้งทำเป็นส่ายหน้าถอนหายใจแรงๆ แล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกไปให้เธอจับ ลำแขนแข็งแรงฉุดพาร่างเล็กจนก้าวเข้ามายืนบนพื้นหญ้าเรียบนุ่มใต้ต้นไม้ใหญ่

                “มีอะไรอีกล่ะ ผมต้องรีบไปประชุมกับทีมนะ” มาริชพูดเสียงหงุดหงิดราวกับว่าเธอกำลังทำให้เขาเสียเวลา ทั้งๆ ที่แอบลิงโลดที่หญิงสาวตามเขามา

“คุณจะไปจับพวกเดือนลับจริงๆ เหรอ” กลางฟ้าเงยหน้าขึ้นถาม “ทั้งๆ ที่อดหลับอดนอนในป่ามาทั้งคืนเนี่ยนะ”

ริมฝีปากคว่ำอันเป็นเอกลักษณ์ในยามหงุดหงิดปรากฎบนใบหน้าที่ครึ้มด้วยเงาหนวด “คดียาเสพติดนี้เราตามมาหลายเดือนแล้ว ผมทำพวกมันหลุดมือไปหลายครั้งแล้วด้วย หนนี้ยังไงผมก็ต้องไป”

“คุณบาดเจ็บด้วนนะ มาริช ให้คนอื่นไปแทนไม่ได้เหรอ”

                เขามองแววตาเป็นห่วงของกลางฟ้าแล้วหัวใจพองโตคับอก แต่นั่นยังไม่พอ เขาอยากให้กำลังใจจากเธอมากกว่านี้ อยู่ดีๆ มาริชก็จับไหล่ของกลางฟ้าแล้วดันจนแผ่นหลังของเธอประชิดติดลำต้นไม้ต้นใหญ่ สองมือของเขาเหยียดตรงออกมาพาดกับลำต้นไม้ ขังหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนกว้าง

                “ถ้าอย่างนั้นพูดอะไรดีๆ กับผมได้ไหม” เขากระซิบ

“อะ...อ้าว  ฉันก็พูดดีๆ กับคุณแล้วไง ตะกี้ฉันพูดไม่ดีตรงไหน”

                ใบหน้าใสซื่อของเธอเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ เขาถอนหายใจด้วยความขัดใจอย่างแรง

“บอกผมมาสิ กลางฟ้า คุณเป็นห่วงผมหรือเปล่า”

                “ก็... ก็ใช่น่ะสิ ฉันไม่อยากให้คุณไปยิงสู้กับไอ้พวกโจรนั่นทั้งๆ ที่คุณยังเจ็บอยู่”

                “แสดงว่าคุณเป็นห่วงผมใช่ไหมล่ะ พูดออกมาได้ไหม ผมอยากได้ยินจริงๆ นะ” เขาย่อตัวลงจนใบหน้าของเขาขยับเข้ามาใกล้

                หญิงสาวหน้าแดงจัดด้วยความกระดาก “แหม ฉันพูดขนาดนี้แล้ว คุณก็น่าจะรู้แล้วนะ...”

                “ผมบอกคุณไว้ก่อนนะกลางฟ้า การบุกจับแต่ละครั้ง ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากผมเสียท่าพวกมันแล้วไม่ได้กลับมาเจอคุณอีก ผมอยากได้ยินเป็นครั้งสุดท้าย...”

                “หยุดพูดแบบนี้นะมาริช!” กลางฟ้ายกสองมือขึ้นทาบปิดริมฝีปากของเขาด้วยความโกรธ ดวงตาเหมือนแมวลุกวาวเหมือนตาเสือ “เวลาคนออกป่า เขาไม่พูดจาแบบนี้กัน ห้ามคุณพูดแบบนี้อีก ได้ยินไหม!”

                ใบหน้าที่ถูกมือขาวๆ ปิดไปครึ่งหน้านั้นอิ่มเอมด้วยความพอใจ ดวงตาหวานฉ่ำที่ยิ่งกว่าหวานใต้กรอบขนตางอนยาวจ้องเธออยู่อีกพักใหญ่ แล้วในที่สุดมือข้างหนึ่งของมาริชก็เอื้อมไปจับมือเล็กๆ ที่กำลังปิดปากของเขาออก กลางฟ้าถึงกับกลั้นหายใจเฮือกเมื่อเขาค่อยๆ พลิกหลังมือของเธอยกขึ้นจดริมฝีปาก ชายหนุ่มก้มหน้าลง บดริมฝีปากบนมือข้างนั้นด้วยอย่างท่วมท้นด้วยอารมณ์เสน่หา ดวงตาของเขาหลับพริ้มจนขนตางอนเขี่ยอยู่ที่ผิวใต้ตา และนิ่งอยู่ท่านั้นนานจนกลางฟ้าแทบหน้ามืดเพราะกลั้นหายใจไว้นานเกินไป

                “มาริช ดะ... เดี๋ยว! เดี๋ยวมีคนเห็น!”                    

                “ถ้าไม่อยากให้คนเห็นก็อวยพรผมก่อนเดินทางหน่อยสิ” เสียงกระซิบดังมาจากริมฝีปากเซ็กซี่ที่ยังจรดอยู่บนหลังมือเนียนนุ่ม ไรหนวดที่ไม่ได้โกนยี่สิบสี่ชั่วโมงถากผิวอ่อนนุ่มที่หลังมือจนเธอรู้สึกขนลุกซู่ไปตลอดทั้งแขน

                “โอเคๆ!” กลางฟ้าร้องบอกพลางเหลียวมองซ้ายขวาว่ามีใครกำลังมองอยู่หรือเปล่า “ฉันขอให้คุณกลับมาอย่างปลอดภัย รักษาตัวดีๆ ด้วย เพราะ... เพราะฉันเป็นห่วงคุณ โอเคนะ”

มาริชมองเงาใบหน้าของตัวเองในลูกตาดำขลับของเธอแล้วนึกอยากให้โลกนี้ไม่มีเงาของผู้ชายคนไหนอยู่ในดวงตาคู่นี้อีกเลย

“ผมจะกลับมาอย่างปลอดภัย” เขาพูดเสียงหนักแน่น “แต่คุณต้องรับปากกับผมอย่างหนึ่ง”

“อะไร”

                “อย่าปล่อยให้ไอ้น่านมันมาจีบคุณนะ”

                กลางฟ้าอึ้งไปหลายวินาทีแล้วแทบระเบิดหัวเราะออกมา

                “บ้าจริง นี่คุณยังไม่ลืมเรื่องนั้นอีกเหรอ เขาไม่ได้จีบฉันจริงๆ หรอกน่า”

“ผมซีเรียสนะกลางฟ้า” เขาย้ำเมื่อเห็นเธอทำท่าเหมือนเป็นเรื่องตลก

                “โอเค ฉันจะไม่เปิดโอกาสให้เขาจีบฉัน แต่คุณต้องระวังตัวด้วย โอเคไหม” 

แววตาอิ่มเอมด้วยความพึงใจของมาริชตรึงอยู่ที่ใบหน้าสวยใสของกลางฟ้า อารมณ์วาบหวามที่ส่งออกมาจากดวงตาของเขาทำให้เธอแทบอ่อนหลอมละลาย

แล้วเขาก็พูดทิ้งท้ายกับเธอว่า

                “ตั้งแต่ผมเสียแฟนไปเมื่อหลายปีก่อน ผมไม่เคยคิดอยากมีใครอีกเลย... รอผมที่บ้านนะ กลางฟ้า เดี๋ยวพอกลับไปแล้ว ผมอยากคุยกับคุณ... เรื่องของเราสองคน”


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น