บทที่ 17
มาริชส่งหญิงสาวในดวงใจขึ้นรถโฟร์วีลสีดำของหน่วยซีซียู เธอก้าวขึ้นไปนั่งที่เบาะหน้าคู่กับคนขับ ดวงตาสองคู่สบประสานกันด้วยความห่วงหาอาวรณ์ที่มีต่อกันอย่างเต็มเปี่ยม ชายหนุ่มยิ้มให้เธอพร้อมกับพยักหน้าทีหนึ่ง ราวกับเป็นคำมั่นว่าเขาจะกลับมาหาเธออย่างปลอดภัย เพื่อสิ่งที่ทั้งคูตกลงกันจะได้กลับไปสานต่อที่ในเมืองอย่างแน่นอน แล้วเขาก็ปิดประตูให้เธอ
กระจกอัตโนมัติเลื่อนลง พร้อมกับเสียงของน่านน้ำตะโกนออกมาจากที่นั่งคนขับ
“ไอ้ริช แกระวังตัวดีๆ ด้วยนะ ขอให้โชคดี”
“เออ ฉันโชคดีอยู่แล้วล่ะ” เขาพูดเสียงเบื่อๆ ยังหงุดหงิดไม่หายที่อีกฝ่ายได้กลับไปกับกลางฟ้าสองต่อสอง “แกไปส่งกลางฟ้าให้ถึงบ้านด้วยล่ะ”
แล้วมาริชหันกลับไปทางกลางฟ้าอีกครั้ง
“อย่าลืมที่ผมพูดนะ กลางฟ้า” เสียงนั้นกระซิบแผ่วเบาราวกับต้องการให้เธอได้ยินเพียงคนเดียว เขาอยากสัมผัสมือของเธออีกสักครั้งก่อนไป จึงเอื้อมมือออกไปที่หน้าต่างรถ กลางฟ้าเห็นเขาค่อยๆ เอื้อมมือเข้ามา เดาได้ว่าเขากำลังจะทำอะไรแล้วจึงค่อยๆ ยกมือขึ้นบ้าง นิ้วของเธอขยับขึ้นมาตรงหน้าต่าง และกำลังจะแตะกับนิ้วของมาริช...
“ไปกันเถอะ” เสียงน่านน้ำพูดพร้อมกับกดกระจกขึ้น นิ้วที่กำลังจะสัมผัสกันก็ถูกกระจกสีชาแทรกขึ้นมากางกั้นจนในที่สุดก็ปิดสนิท
“ไอ้เวรน่าน...” มาริชพึมพำใส่เงาตัวเองในกระจกรถ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้งหรือแกล้งโง่กันแน่
รถโฟร์วีลแล่นออกไปอย่างช้าๆ เพื่อออกจากป่า มาริชสบตาหญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถจนลับสายตา รู้สึกทั้งอิ่มใจและโหยหาอยู่ในใจพร้อมๆ กัน ยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ได้ผจญภัยด้วยกัน เริ่มต้นด้วยความอกสั่นขวัญแขวน แต่กลับลงท้ายอย่างหวานชื่นจนเขาแอบนึกฉุนว่า พวกซีซียูไม่มาพบพวกเขาเร็วขนาดนี้เลย
“ลูกพี่ ไปกันเถอะ” เสียงดอนเรียกมาจากข้างๆ
มาริชพยักหน้าแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในป่า เขาเหลือบมองท้ายรถโฟร์วีลสีดำอีกครั้งหนึ่งที่พาดวงใจของเขาไปด้วย แล้วตระหนักว่าไม่ได้รู้สึกโหยหารอคอยใครสักคนแบบนี้มานานเหลือเกินแล้ว
จีพีเอสที่ติดตั้งในรถ ทำให้น่านน้ำใช้เวลาเพียงชั่วโมงเศษก็สามารถพากลางฟ้าออกจากป่าได้ ชายหนุ่มถอนหายใจยาว แต่ฟังออกว่าไม่ใช่การถอนใจด้วยความโล่งอก
“ผมขอโทษนะกลางฟ้าที่ไม่สามารถเข้าไปตามหาคุณในป่าได้ ถ้าผมทำได้แบบมาริช คงเข้าไปช่วยคุณเองแล้วล่ะ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษคุณและทุกๆ คนที่ทำให้วุ่นวายไปหมดเลย” แล้วเธอก็นึกถึงคำพูดของวิธู เป็นเรื่องแปลกมากที่สารวัตรหนุ่มไม่โวยวายต่อว่าเธอเลยสักคำที่แอบหนีไปเข้าป่าจนวุ่นวายกันไปหมด
“นี่น่าน ตะกี้ที่คุณบอกว่าพี่วิธูจะไม่ลงโทษฉันน่ะ คุณรู้ได้ยังไง” กลางฟ้าถาม
ชายหนุ่มจ้องถนนตรงหน้าอยู่พักใหญ่ก่อนพูดว่า “เพราะงานนี้ผมเป็นคนทำผิดไงล่ะ เขาก็เลยลงโทษผมแทน”
“หมายความว่ายังไงที่ว่าคุณเป็นคนทำผิด”
“ผมบอกสารวัตรว่า ผมเป็นคนหลอกล่อชวนคุณออกมาเที่ยวป่าเพื่อพาคุณดูการขนของผิดกฎหมายเพราะคุณอยากรู้การทำงานของพวกองค์กรเดือนลับเพื่อเป็นข้อมูลในการเขียนหนังสือ ก็เลยอาสาพาคุณไป”
กลางฟ้าแทบร้องลั่นรถ “อะไรกันน่าน! มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย! ฉันต่างหากที่ขอให้คุณพาฉันไปนะ”
“ถ้าผมบอกสารวัตรอย่างนั้น คุณก็ถูกส่งกลับบ้านน่ะสิ”
“แต่คุณจะโดนไล่ออกน่ะสิ! แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคุณหรือเปล่า”
เขาหันมายิ้มอ่อนโยนให้เธอ “คุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมเอาตัวรอดได้อยู่แล้วล่ะ”
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นะ น่าน ตกลงคุณโดนลงโทษยังไงบ้าง”
เขานิ่งไปหลายอึดใจก่อนตอบว่า “ผมต้องออกจากงาน มีผลบังคับทันที”
กลางฟ้าถึงกับนิ่งงันพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ตะลึงจ้องชายหนุ่มที่ต้องออกจากงานเพราะตัวเองแท้ๆ “ไม่ได้นะ คุณจะออกจากงานไม่ได้ มันเป็นความผิดของฉัน ไม่ใช่ของคุณสักหน่อย”
“เชื่อผมเถอะกลางฟ้า ทางออกแบบนี้ล่ะดีที่สุดแล้ว”
“คุณถูกไล่ออกเนี่ยนะ ดีที่สุด?!” กลางฟ้าร้อง “คนผิดคือฉันแต่กลับกลายเป็นคุณที่ถูกไล่ออก ฉันไม่ยอมให้ใครมารับผิดแทนหรอก ถ้าต้องถูกส่งกลับบ้านก็ต้องกลับ ยังดีกว่าปล่อยให้คนอื่นต้องมารับโทษแทน ไว้พรุ่งนี้ตอนพี่วิธูกลับมา ฉันจะพูดกับเขา”
น่านน้ำทำสีหน้าร้อนรนอย่างหนัก เขารีบหักพวงมาลัยเพื่อจอดรถริมถนนแล้วหันมาพูดกับเธอด้วยสีหน้าจริงจัง
“เอาล่ะ ฟังนะกลางฟ้า ผมให้คุณถูกส่งตัวกลับบ้านไม่ได้”
“เพราะอะไร”
“เพราะผมยังต้องการข้อมูลลับจากคุณ”
“ข้อมูลลับ? หมายถึงข้อมูลที่ฉันได้จากแหล่งข้อมูลของฉันน่ะเหรอ” กลางฟ้าส่ายหน้าไม่เข้าใจ “คุณจะอยากได้ข้อมูลลับของฉันไปอีกทำไมถ้าหากคุณต้องออกจากงาน”
“คุณใจเย็นๆ แล้วฟังนะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียวหรอก”
“หมายความว่ายังไง”
“เนื่องจากกฎซีซียูเข้มงวดมากเรื่องการเปิดเผยข้อมูลภายในให้คนนอก ความผิดของผมที่พาคุณเข้าป่าจึงทำให้ผมต้องออกจากซีซียูอย่างไม่มีข้อแม้ แต่ข้อมูลลับเรื่องขนส่งยาเสพติดในป่านี่สิ เป็นข้อมูลที่สร้างผลงานให้กับแผนกของสารวัตร ผมก็เลยได้รับข้อเสนอให้เป็นแหล่งข่าวลับของซีซียูแทนหลังจากนี้”
กลางฟ้ากะพริบตางงๆ “แล้วอย่างนี้แปลว่าคุณยังเป็นเจ้าหน้าที่ซีซียูอยู่หรือเปล่า”
“ไม่ได้เป็นอีกต่อไปแล้ว แต่เปลี่ยนไปเป็นมือปืนรับจ้างแทน ทีนี้คุณเข้าใจหรือยังว่าทำไมผมถึงต้องการข้อมูลลับจากคุณเพื่อจะได้มีงานทำต่อไป”
“แต่ตรรกะของคุณมันแปลกๆ นะน่าน แทนที่คุณจะยังได้เป็นเจ้าหน้าที่ซีซียูดีๆ กลับต้องมาเป็นมือปืนรับจ้างแทนเพื่อช่วยให้ฉันไม่ถูกส่งกลับบ้านงั้นเหรอ”
“เพราะผมหวังผลที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นไงล่ะ” น่านน้ำพูดด้วยแววตามุ่งมั่น “หนอนบ่อนไส้ในองค์กรคือสิ่งที่ซีซียูกลัวที่สุด ถ้าหากผมจับได้ว่าใครเป็นหนอนล่ะก็ บอกได้เลยว่าผมจะต้องได้ตอบแทนเป็นเงินรางวัลก้อนใหญ่แน่นอน ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าผมต้องการเงิน และมันจำเป็นกับผมมากกว่าตำแหน่งหน้าที่ในซีซียูซะอีก”
“ถ้าอย่างนั้นคุณบอกฉันได้ไหมว่าทำไมต้องการเงินมากมายขนาดนั้นด้วย”
น่านน้ำผละสายตาที่กำลังมองเธออยู่แล้วเอนหลังพิงเบาะรถ เขาเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับถอนใจยาว
“เรื่องนี้ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังมาก่อน อันที่จริงก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก แต่ผมไม่ต้องการความเห็นใจจากใคร เพราะฉะนั้น คุณอย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังได้ไหม”
กลางฟ้าพยักหน้าแข็งขัน “ฉันสัญญา”
ชายหนุ่มหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนเล่าว่า “ญาติสนิทเพียงคนเดียวที่เหลือในชีวิตของผมคือน้องสาว ตอนนี้เธอพักอยู่ที่บ้านหลังที่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของเราสองพี่น้องที่นอกเมืองเชียงใหม่ ช่วงไหนที่ไม่ติดงาน ผมจะไปหาน้องสาวที่บ้าน เพราะเธอไปไหนไม่ค่อยได้ ต้องอยู่แต่ที่บ้านเพื่อรักษาตัว”
“รักษาตัวเหรอ น้องสาวคุณป่วยเป็นอะไร”
“เธอป่วยเป็นโรคหัวใจ ไม่สามารถออกไปทำงานได้ ทุกวันนี้นอกจากผมต้องทำงานเพื่อเลี้ยงเธอแล้ว ยังต้องเก็บเงินเพื่อรักษาเธอด้วย”
“แล้วพ่อแม่คุณล่ะ”
“พวกท่านเกิดเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน โชคร้ายที่พ่อลงทุนทำธุรกิจที่ยังไม่ทันคืนทุน พอพวกท่านเสีย ทุกอย่างที่มีจึงต้องถูกขายเพื่อใช้หนี้ แล้วยังเหลือบางส่วนที่ใช้ไม่หมด ก็เลยตกเป็นภาระของผม” เขาเบนสายตามาทางกลางฟ้าแล้วสบตาเธอ “เพราะอย่างนี้ไงล่ะ ผมถึงต้องการเงินก้อนใหญ่เพื่อใช้รักษาน้องสาวของผม”
เธอมองดวงตาเศร้าสร้อยของเขาแล้วเพิ่งเข้าใจว่าทำไมแววตาของเขาถึงได้ดูเศร้าขนาดนี้
“ฉันขอโทษนะ น่าน ไม่ได้ตั้งใจให้คุณเล่าเรื่องส่วนตัวนี้เลย”
เขาส่ายหน้าแล้วฝืนยิ้มให้ “ไม่เป็นไรหรอก อันที่จริงผมไม่รู้ว่าจะเล่าให้ใครฟังด้วยซ้ำ ผมไม่มีเพื่อนที่ซีซียูหรือเพื่อนที่ไหน เหตุผลหนึ่งก็เพราะผมไม่อยากให้ใครรู้เรื่องชีวิตส่วนตัวแล้วมองผมด้วยความเวทนา ทุกวันนี้ผมก็ใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนาพอแล้ว”
มิน่าล่ะ ความเป็นอยู่ของเขาถึงได้อัตคัดขัดสนเหลือเกินนัก เธอมองเสื้อเก่าๆ ของเขาแล้วรู้สึกว่ากลืนน้ำลายลงคอได้อย่างยากลำบาก ความสงสารและเห็นใจทำให้เธอเอื้อมมือไปตบหลังมือของชายหนุ่มเบาๆ เพื่อปลอบใจ
“น่าน ฉันอยากให้คุณรู้ว่าฉันเป็นเพื่อนของคุณนะ ถ้ามีเรื่องเดือดร้อนอะไรล่ะก็ คุณบอกฉันได้เลยนะ ฉันยินดีช่วยเต็มที่”
เขายิ้มอ่อนโยนให้กลางฟ้า เอื้อมมืออีกข้างกุมทับพร้อมกับบีบเบาๆ เป็นการขอบคุณ
“แค่คุณทำตามที่ผมขอร้อง ก็ถือว่าช่วยผมมากแล้วล่ะ ตกลงทำตามนี้เถอะนะ”
กลางฟ้าถอนหายใจอึดอัด แต่เมื่อมองแววตาจริงจังของน่านน้ำแล้ว เธอจำเป็นต้องพยักหน้ารับ
ความคิดเห็น |
---|