3

ตอนที่ 2


บทที่ 2

หนึ่งเดือนต่อมา

เลนส์ซูมยาวสีขาวโผล่พ้นขึ้นมาจากยอดพุ่มไม้กลางป่าในยามบ่าย เสียงฟืดๆ ของระบบปรับความคมชัดอัตโนมัติดังเป็นจังหวะสามครั้ง แล้วนิ้วเรียวที่เคลือบปลายด้วยสีชมพูก็กดลงบนชัดเตอร์ ตามมาด้วยเสียงรัวติดๆ กัน

                กลางฟ้าลดกล้องถ่ายรูปที่ห้อยอยู่ที่คอลงจากใบหน้า ดวงตากลมโตที่ปลายตาชี้ขึ้นนิดๆ เหมือนตาแมวเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น เมื่อภาพหน้าจอเผยรูปที่เพิ่งบันทึกไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนปรากฏบนหน้าจอขนาดเล็ก

คุณพระ! นี่มันโกดังกลางป่าอย่างที่ ‘แหล่งข้อมูลลับ’ ของเธอบอกไว้จริงๆ ด้วย

หญิงสาวยกกล้องขึ้นทาบนัยน์ตาอีกครั้ง ภาพที่เห็นผ่านช่องส่องของกล้องถ่ายรูปเห็นเป็นสิ่งปลูกสร้างหน้าตาเหมือนโรงเรือนชั่วคราวที่ต่อขึ้นด้วยสังกะสีลอนและไม่มีหน้าต่าง แม้ว่าหน้าตาดูห่างไกลจากคำว่า “โกดัง” แต่พิกัดตามที่ระบุในกูเกิลแมปคือตรงนี้พอดี และที่สำคัญ มันคือสิ่งปลูกสร้างที่ไม่ควรมาอยู่กลางป่าตรงนี้ได้เลย ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าใครมาสร้างเพิงนี้ขึ้นมาและสร้างเพื่อเก็บอะไร

หรือว่าจะเป็น... ของผิดกฎหมายอะไรสักอย่าง?

                หญิงสาวกดชัตเตอร์อีกหลายครั้ง เก็บภาพใกล้และไกลของโกดังจนพอใจ ก่อนเบนกล้องไปทางขวาเพื่อมองหาสิ่งน่าสนใจสิ่งอื่น กล้องจับได้ภาพเลือนรางผ่านเลนส์คล้ายใบหน้าของคน เธอกดปุ่มปรับความคมชัดอัตโนมัติ แล้วภาพฟุ้งฝันขมุกขมัวก็เริ่มก่อตัวเป็นใบหน้าคมคายของชายหนุ่มคนหนึ่ง สิ่งแรกที่สะดุดสายตาของเธอทันทีก็คือดวงตาของเขา

อุ๊ย! ผู้ชายอะไรขนตางอนชะมัด

ดวงตาคมกริบของเขากำลังหรี่สู้แสงแดดจ้ายามบ่ายจัดจนหัวคิ้วเข้มแทบชนกัน ขนตาบนที่ยาวงอน หรุบลงมาเกือบแตะถึงผิวใต้ตา ริมฝีปากบนเป็นกระจับเซ็กซี่เผยอขึ้นนิดๆ เหมือนภาพถ่ายของนายแบบ คางแข็งแรงบึกบึนมองเห็นเงาหนวดรำไรบนผิวสีแทน

นิ้วมือของกลางฟ้ากดชัตเตอร์ไปกี่ครั้งจำไม่ได้แล้ว

เลนส์กล้องถ่ายรูปกวาดส่องลงไปตามลำคอ เสื้อเชิ้ตผ้าเดนิมปลดกระดุมลงมาถึงเม็ดที่สาม เห็นแผงอกแน่นซ่อนอยู่ใต้ผ้า ผิวที่ลำคอเป็นสีแทนแดดเช่นเดียวกับผิวหน้า

กลางฟ้าเผลอกลืนน้ำลายเอื๊อก หมอนี่เป็นนายแบบหรือเปล่านะ กลางป่าแบบนี้ไม่น่ามีคนหน้าตาดีขนาดนี้มาเดินเล่น หรือว่าแถวนี้กำลังมีงานถ่ายแบบอะไรหรือเปล่า

                เธอเบนกล้องไปทางซ้ายบ้าง แต่สิ่งที่เห็นผ่านเลนส์มีเพียงธรรมชาติของป่าไม้เขียวกับกิ่งแห้งๆ สีน้ำตาลของต้นไม้ ไม่ปรากฏว่ามีคนกำลังตั้งกล้อง ยกแผ่นสะท้อนแสง หรือทำสิ่งใดเกี่ยวกับการถ่ายภาพอยู่บริเวณนี้เลย เธอจึงเบนกล้องกลับไปทางเก่า แต่ผู้ชายคนนั้นหายไปเสียแล้ว

อยู่ดีๆ ภาพที่มองผ่านเลนส์กลายเป็นสีดำมืดสนิทจนเธอสะดุ้ง เมื่อลดกล้องลงมาดูว่าเกิดอะไรผิดปกติ ก็ปรากฏว่าเป็นมือของใครบางคนทาบปิดกระบอกเลนส์ เธอมองตามมือข้างนั้นด้วยความประหลาดใจ มือใหญ่นั้นเป็นมือของผู้ชาย ผิวที่มือจนถึงแขนเป็นสีแดงด้วยแดดเผา นาฬิกาข้อมือสีดำทรงบึกบึนรัดอยู่รอบข้อแข็งแรง เส้นเอ็นโปนบนหลังมือเห็นเด่นชัด

                “อะ...อะไรน่ะ...” เธอตะกุกตะกัก เบนสายตามองตามกล้องของตัวเองไปที่เจ้าของมือ

คนที่ยืนอยู่ข้างๆ คือชายหนุ่มเจ้าของดวงตาคู่สวยคนนั้น ปีกหมวกแก็ปถูกดึงลงมาจนเงาหมวกปกปิดใบหน้า แต่ยังพอเห็นดวงตาเป็นประกายที่กำลังจ้องเธออยู่ ริมฝีปากแดงเรื่อตัดกับผิวหน้าสีแทนแดดพูดห้วนๆ ว่า

                “เมื่อกี้ถ่ายอะไร”  

เวรแล้ว... เขามองเห็นเหรอว่าเธอแอบถ่ายใบหน้าของเขา

หญิงสาวรีบสวนกลับด้วยน้ำเสียงห้วนๆ “คุณเป็นใคร”

เธอขยับกล้องให้พ้นจากมือของเขาแต่ยังคงจดจ้องด้วยสายตาหวาดระแวงไปยังหุ่นสูงที่อยู่ห่างออกไปแค่ไม่กี่ฟุต ไหล่กว้างของเขาบังแสงแดดที่ส่องมาจากทางด้านข้างจนเหมือนอยู่ในร่มเงา

                “นี่เป็นเขตพื้นที่ส่วนตัว คุณเข้ามาได้ยังไง” ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามของเธอ

                กลางฟ้ากวาดตาสำรวจชายแปลกหน้า กางเกงยีนกับเสื้อเชิ้ตผ้าเนื้อผ้าดีและดูทันสมัยอย่างคนในเมืองใส่ ท่าทางไม่น่าใช่ชาวบ้านชาวไร่ธรรมดา ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนในพื้นที่ อาจเป็นเจ้าหน้าที่ หรือว่า... คนจากโกดังนั่น?

“อ๋อ ฉันมาถ่ายรูปแมลงเพื่อเป็นสื่อในการเรียนการสอนน่ะ ฉันเป็นครูสอนโรงเรียนประถมในเมือง”

ผู้ชายคนนั้นมองหน้าเธอแล้วยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเท้าสะโพก มือของเขาแหวกถูกเสื้อเชิ้ตออกโดยไม่ตั้งใจ จึงทำให้เห็นบางอย่างแวบๆ สีเงินที่เอวของเขาใต้เสื้อเชิ้ต กลางฟ้ากลั้นใจเมื่อเห็นว่ามันคือปืน ท่าไม่ดีเสียแล้ว เธอควรรีบไปจากที่นี่ดีกว่า

“แค่ถ่ายรูปแมลงต้องออกมากลางป่าลึกขนาดนี้เชียว?” เขาถาม

                “แหม คุณก็ ในป่านี่แหละระบบนิเวศสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว มาที่นี่ที่เดียวเราจะเห็นตั้งแต่ผีเสื้อผสมพันธุ์กัน จนวางไข่ จากนั้นก็ฟักตัวกลายเป็นหนอน จากนั้นหนอนก็จะกินใบไม้จนตัวอ้วน แล้วก็กลายเป็น...”

เธอเห็นเขากลอกลูกตาขึ้นมองปลายปีกหมวกแก็ปเหมือนขี้เกียจฟัง กลางฟ้าฉวยโอกาสนั้นรีบบอกลา “เอาเถอะ ถ้าคุณไม่มีธุระอะไร ฉันขอตัวก่อนละ ได้เวลากลับโรงเรียนแล้ว”

กลางฟ้าพูดจบก็หันหลังเตรียมจะเดินหนี แต่ชายหนุ่มขยับก้าวเข้ามาขวางตรงหน้า

“เดี๋ยว อย่าเพิ่งไป ขอดูหน่อยว่าเมื่อกี้คุณถ่ายรูปอะไร” เขาเอื้อมมือคล้ำแดดไปที่กล้อง

                กลางฟ้ารีบขยับตัวเอากล้องหนี “เอ๊า อะไรกัน จู่ๆ มาขอดูกล้องคนอื่นได้ไงล่ะ...”

                วินาทีนั้น เสียงดังเฟี้ยวเหมือนมีบางอย่างแล่นผ่านด้วยความเร็วสูงจนมองไม่ทัน มันดังพร้อมกับร่างใหญ่ของผู้ชายคนนั้นพุ่งตัวโถมเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาชั่วกระพริบตา กว่าหญิงสาวจะรู้ตัวว่ากำลังพิงต้นไม้ใหญ่ โดยมีผู้ชายตัวโตทาบประกบติดตัวก็ผ่านไปหลายวินาทีแล้ว ใบหน้าชายหนุ่มลอยอยู่เหนือดวงตาห่างออกไปแค่ไม่กี่นิ้วจนมองเห็นขนตาหนาเป็นแพ...

                หญิงสาวเผลอมองขนตางอนของเขาเพลินไปหลายอึดใจ ก่อนที่สมองสั่งให้ลำคอโก่งเสียงร้องออกมา

                “กรี๊ดดดด ทำอะไร อีตาบ้า!!” สองมือกำเป็นหมัดทุบใส่อกเขา

                “เฮ้ย! ตะโกนทำไม! อยากตายเหรอ!” เขาจ่อนิ้วที่ริมฝีปากเล็กๆ สีชมพู พลางกระซิบเสียงเขียว

                ดวงตาของกลางฟ้าเบิกโพลงเมื่อนิ้วของเขากดแนบที่ริมฝีปาก

                “ปละ... ปล่อยฉันนะ!” เธอพยายามแหกปากร้อง คราวนี้เขากางฝ่ามือออกทาบปิดปากเธอสนิทซะเลย

                “ปัดโธ่! อย่าส่งเสียงดังสิ เดี๋ยวมันก็รู้หรอก!” ผู้ชายที่เบียดอยู่ที่ด้านหน้าตัวเธอกระซิบร้อนรน ใบหน้ายิ่งโน้มลงต่ำจนกลางฟ้าไม่รู้ว่าตกใจกับอะไรมากกว่ากัน ระหว่างเสียงเฟี้ยวที่น่าจะเป็นเสียงกระสุน กับชายแปลกหน้าหน้าตาดีที่กำลังประกบตัวเธออย่างกับแซนด์วิช หลังจากตะลึงได้สักพัก กลางฟ้าถึงนึกได้ว่าต้องทำอย่างไร เธอก็ยกเท้าขึ้นกระทืบใส่ฝ่าเท้าของเขาอย่างแรง

                เขาร้องลั่นออกมา พร้อมกับที่มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังแหวกอากาศอย่างรวดเร็ว

                เฟี้ยว!!

มันคือเสียงกระสุนอีกนัด คราวนี้ดังใกล้เข้าราวกับคนยิงอยู่แค่หลังพุ่มไม้แค่นี้เอง...

“ตายละเว้ย! รีบไปจากที่นี่เร็ว” ชายหนุ่มฉวยต้นแขนของกลางฟ้า พร้อมกับออกแรงฉุดเธอผละจากลำต้นไม้ใหญ่แล้วเริ่มออกวิ่งราวกับลืมไปแล้วว่าเพิ่งถูกเธอกระทืบ  

เสียงลั่นของกระสุนปืนดังมาจากข้างหลังติดกันหลายนัด กลางฟ้าอุดหูร้องกรี๊ดลั่นระหว่างวิ่งตามเขาไปด้วย ไม่สนแล้วว่าตะกี้ผู้ชายคนนี้โถมตัวเข้ามาประชิดจนแทบโอบเธอเข้าไปในวงแขนแล้ว แต่ความตายที่อยู่แค่เส้นยาแดงผ่าแปดนี้ดูน่ากลัวกว่าเขาตั้งเยอะ 

เขาพาเธอวิ่งราวกับลมกรดไปตลอดทาง แขนข้างหนึ่งของกลางฟ้าถูกเขาฉุดวิ่งกระชากลากถูผ่านกิ่งไม้ลำต้นจนรู้สึกเหมือนถูกฟาดไปตลอดทาง แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่าเสียงยิงปืนที่ดังมาจากข้างหลังแล้ว

                “ขึ้นรถ!” ผู้ชายคนนั้นตะโกนบอกเมื่อไปถึงรถโฟร์วีลสีแดงที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ เขาเปิดประตูได้ก็ปีนขึ้นนั่งหลังพวงมาลัยอย่างคล่องแคล่ว กลางฟ้ากระโจนเข้ามาจากประตูด้านข้างตามมาติดๆ จากนั้นรถก็กระชากตัวออกไปอย่างแรงจนทุกคนหน้าแหงนหงายหลังกลิ้งโคโร่ หลังจากออกตัวได้เพียงไม่กี่อึดใจ เสียงกระสุนนัดหนึ่งวิ่งฝ่าอากาศก็เข้ามากระแทกท้ายรถดังปัง

“กรี๊ดดดด!! ” กลางฟ้าอุดหูตัวเองแต่เจ้าตัวกลับส่งเสียงลั่นสนั่นรถจนผู้ชายสวมหมวกแก็ปที่ขับรถอยู่ต้องหันมาถลึงตาใส่

“โอ๊ย! คุณ! ร้องเบาๆ หน่อยได้ไหม! ผมไม่มีสมาธิขับรถแล้ว!” เขาตะเบ็งเสียงโหดห้าว  

                “คุณก็อย่าตะโกนสิ” กลางฟ้าหันไปแหววใส่คนขับ

                เขาตะโกนพูดบางอย่างแข่งกับเสียงแหลมปรี๊ดของเธอจนฟังไม่ออกว่าอะไร

“ไม่ต้องพูดมาก! รีบๆ ขับไปได้มั้ย!” เธอยกมือข้างหนึ่งตบที่ต้นแขนแน่นปั้กของเขารัวๆ เมื่อสายตามองเห็นมอเตอร์ไซค์แล่นอยู่ลิบๆ จากกระจกส่องข้างรถ “มันตามมาแล้ว!”

ชายหนุ่มเหลือบมองกระจกส่องท้ายรถทีหนึ่ง มือข้างหนึ่งของเขาตบเกียร์ลงพร้อมกับร้องสั่ง

                “จับแน่นๆ!”

                เสียงบึ่งของเครื่องยนต์เมื่อถูกเร่งความเร็วดังแข่งกับเสียงร้องไห้ จากนั้นรถก็พุ่งทะยานออกไปข้างหน้าราวกับติดปีก กลางฟ้าเหลือบมองตัวเลขดิจิทัลที่แผงควบคุมหน้ารถ เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขที่ไต่ระดับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่มีท่าว่าจะหยุด

                “เดี๋ยวคุณ!...” กลางฟ้าเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง “จะเหยียบถึงสองร้องแล้วนะ!”

เขาไม่ตอบ เสียงเร่งเครื่องเพิ่มความเร็วขึ้นอีกระดับ แต่ถึงกระนั้นก็หนีไม่พ้นลูกกระสุนที่เจาะเข้าท้ายรถจนเสียงดังเป็นชุด

                “ปัง! ปัง! ปัง!”

“กรี๊ด! กรี๊ด! กรี๊ด!”

ชายหนุ่มสบถเสียงหงุดหงิด แล้วหันมาถลึงตาใส่กลางฟ้า

“ฟังนะ ตอนนี้ผมต้องการสมาธิอย่างมาก อุดหูตัวเองซะแล้วหยุดแหกปากสักที เข้าใจไหม!”

“คุณจะทำอะไร” เธอลนลานถามตื่นๆ แต่ก็ยกมือทาบปิดหู

เขาไม่ตอบแต่กดกระจกอัตโนมัติลง เสียงเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์ดังใกล้เข้ามาอย่างกะชั้นชิด ลมแรงตีกระหน่ำเข้ามาจนผมปลิวเต็มใบหน้าของกลางฟ้า เธอเห็นชายหนุ่มจับพวงมาลัยด้วยมือซ้ายเพียงข้างเดียว และอีกข้างล้วงเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ต พร้อมกับกระชากบางอย่างออกมา

สิ่งที่เธอเห็นในป่าเมื่อสักครู่ บัดนี้มันอยู่ในมือของเขาแล้ว กระบอกทรงกะทัดรัดสีเงินเปลี่ยนสีหน้าของชายคนนั้นกลายเป็นโหดเหี้ยมเลือดเย็นภายในเวลาไม่กี่อึดใจ เขาชะโงกหน้าออกนอกหน้าต่าง หรี่ตาแล้วเล็งมันออกไปที่รถมอเตอร์ไซค์ที่แล่นบึ่งใกล้เข้ามา

เสียงกรีดร้องจากกลางฟ้าเมื่อเขาระเบิดกระสุนออกไปราวห้าหกนัดติดๆ กัน จากนั้นก็หดตัวกลับเข้ามาแล้วกดปิดกระจก

เธอมองเขาแอ่นกลางลำตัวขึ้นมาจนติดพวงมาลัยและเผลอมองหน้าท้องของเขาโดยไม่รู้ตัว ชายเสื้อยืดร่นขึ้นจนเห็นขอบกางเกงในบ็อกเซอร์และซิกซ์แพ็คเป็นลอนสวยงาม จู่ๆ เธอก็นึกได้ว่านี่คือสถานการณ์เฉียดตายแล้วนึกด่าตัวเองที่สายตาซุกซนผิดที่ผิดเวลา มือข้างหนึ่งของเขาล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงหลังจนได้ของบางอย่างติดมือออกมา นิ้วกดกระบอกปืนทีหนึ่งแล้วแมกกาซีนเปล่าก็ร่วงลงมาใส่หน้าตัก เขากระแทกแมกกาซีนอันใหม่เข้าใส่กระบอกปืนอย่างว่องไวแล้วเปิดหน้าต่างอีกครั้ง มือข้างหนึ่งยื่นออกไปนอกหน้าต่างและกระหน่ำยิงด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

เสียงกระสุนสาดตอบโต้กันท่ามกลางความเร็วของรถที่คาดว่าแล่นไม่ต่ำกว่า 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าเขาไม่ใช่มืออาชีพที่เก่งมากๆ ก็คงเป็นคนกล้าบ้าบิ่นที่กำลังจะพาเธอไปตายพร้อมกับเขา

เสียงกระสุนกระแทกใส่ตัวถังรถฟังดูน่าสะพรึงกลัว กลางฟ้าตะโกนถามแข่งเสียงอื้ออึงรอบตัว

                “มันระดมยิงขนาดนี้ กระสุนมันจะเข้ามาโดนพวกเรารึเปล่า!”

                “ไม่ต้องห่วง รถผมกันกระสุน” เขาร้องตอบด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความมั่นใจ และราวกับเป็นการยืนยันคำตอบของเขา ก็มีเสียงระเบิดดังโป้งมาจากใต้ท้องรถ รถเอียงวูบตรงฝั่งของเธอพร้อมกับเสียงขลุกขลักเหมือนบางอย่างจะหลุดออกมา

                “แต่ล้อมันไม่กันกระสุนนี่นา!!” หญิงสาวหวีดร้องเสียงหลง

รถเริ่มบังคับไม่อยู่แล้ว เขาพยายามหักพวงมาลัย แต่ตัวรถก็ยังแฉลบออกนอกถนนไปเรื่อยๆ

                “หาอะไรยึดไว้แน่นๆ!” เธอได้ยินเสียงของเขาตะโกนแข่งเสียงเร่งเครื่องยนต์ เสียงยางบี้ๆ ที่บดกับถนน สลับกับเสียงระเบิดของกระสุนรัวติดกันหลายนัด

กลางฟ้าหลับตาปี๋ สองมือโหนที่จับเหนือประตูราวกับโหนรถไฟฟ้าแล้วซุกใบหน้ากับต้นแขน ในใจสวดมนต์ภาวนาทุกบทสวดเท่าที่นึกออก เสียงรอบตัวทุกอย่างตีกันชุลมุนจนเธอแยกแยะไม่ได้แล้วว่าเป็นเสียงอะไรบ้าง ท่ามกลางเสียงระเบิดของกระสุน เธอคิดว่าได้ยินเหมือนเสียงโลหะกระแทกพื้นอย่างแรงตามมาด้วยเสียงเสียดสีและเสียงล้มระเนระนาด

ตัวรถกระเด้งกระดอนขึ้นลงอย่างน่ากลัวจนกลางฟ้าเริ่มคลื่นไส้ มือของเธอหลุดจากราวจับ แล้วอยู่ดีๆ ก็มีร่างหนักๆ ทาบทับบนตัวเธอก่อนที่ตัวรถกระแทกบางอย่างอย่างแรง เธอรับรู้ถึงแรงส่งที่พาร่างของเธอพุ่งออกไปด้านหน้า แต่มีร่างๆ หนึ่งเข้ามาเป็นกันชนให้อีกทีหนึ่ง จนในที่สุดทุกอย่างก็หยุดนิ่ง

และเธอยังไม่ตาย...

 

เสียงหวอของรถตำรวจดังประสานเสียงกันไปตลอดถนนสายนั้น ไฟกะพริบฟ้าแดงหมุนติ้วอยู่ข้างรถโฟร์วีลสีแดงที่หัวทิ่มลงไปในดงอ้อข้างทาง เจ้าหน้าที่สวมเครื่องแบบตำรวจประมาณห้าคน ช่วยดึงกลางฟ้าออกมาจากรถ ถัดออกไปราวร้อยเมตร รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ล้มตะแคงอยู่กลางถนน เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินกำลังนำร่างคนเจ็บเข็นขึ้นรถพยาบาล

กลางฟ้ายืนตัวสั่นอยู่ริมถนน มองชายหนุ่มที่ขับรถควงปืนอย่างบ้าบิ่นที่พาเธอหนีห่ากระสุนกำลังปีนลงมาจากรถอย่างทุลักทุเล แขนข้างขวาห้อยข้างลำตัวอย่างผิดปกติ แล้วเธอก็นึกถึงร่างที่โถมเข้ามาทับก่อนวินาทีที่รถจะพุ่งตกลงข้างทาง

ระหว่างที่กำลังยืนงง ก็มีคนราวห้าหกคนกรูเข้ามาตรงหน้าเธอพร้อมกับกดชัตเตอร์ถ่ายรูปใบหน้าเธอรัวๆ ตามมาด้วยเสียงร้องถาม

“เกิดอะไรขึ้นครับ! พอจะเล่าเหตุการณ์ได้ไหม! ใครยิงใครก่อน!

กลางฟ้าอ้าปากหวอด้วยความมึนงง กว่าจะนึกออกว่ากลุ่มคนตรงหน้าคือนักข่าว ชายหนุ่มนักซิ่งปืนโหดที่เพิ่งพาเธอรอดตายอย่างหวุดหวิดก็เดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างเธอกับนักข่าว

“ห้ามทำข่าวครับ ยังไม่ให้มีการสัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เดี๋ยวเสียรูปคดีครับ” เขาพูดเสียงหนักแน่นแต่เยือกเย็นระหว่างก้าวออกมาบังกลางฟ้าและยกมือปิดกล้องของนักข่าว จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นทำสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสองสามคนให้เข้ามา

ชายหนุ่มพูดอะไรบางอย่างกับเจ้าหน้าที่แล้วรุนหลังกลางฟ้าให้เดินห่างออกไปอีกทางพร้อมกับเขา

“คุณต้องไปกับผม”

“ไปไหน และทำไมต้องไปกับคุณ” กลางฟ้าสงสัย

เขาดึงบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วชูขึ้นตรงหน้าเธอ

“ผมคือร้อยตำรวจเอกมาริช อินทรักษ์ เป็นฝ่ายปฏิบัติการของศูนย์ป้องกันอาชญากรรมพิเศษ เมื่อสักครู่คุณเข้าไปในพื้นที่ส่วนที่เรากำลังเฝ้าระวังอยู่ ผมจำต้องเชิญคุณไปให้ปากคำที่หน่วยของเรา”

กลางฟ้าได้ยินแล้วหน้าเสียทันที “ตำรวจเหรอ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

“ยังไม่ได้บอกว่าทำผิด แค่ขอความร่วมมือ คุณก็ไปทำหน้าที่ของพลเมืองดีเท่านั้นเอง” ผู้กองหนุ่มชื่อมาริชเสียบกระเป๋ากลับเข้าที่เดิม “ถ้าตรวจสอบแล้วไม่พบการกระทำความผิด เดี๋ยวเราก็จะปล่อยคุณ”

“แต่ฉันต้องกลับโรงเรียนนะ ฉันมีสอนตอนบ่ายสอง ถ้าไปไม่ทันเข้าชั้นเรียนนี่ถือว่าหนีการสอนเลยนะคุณ โทษหนักยิ่งกว่าเด็กหนีเรียนอีก อย่าให้ฉันต้องตกงานเลย งานที่นี่ยิ่งหาลำบากๆ อยู่...”

เขาพูดตัดบท “โทร.บอกโรงเรียนสิว่าต้องไปโรงพัก”

“บ้าเหรอคุณ โรงเรียนนี้กลัวเรื่องฉาวโฉ่เป็นข่าวหน้าหนึ่งที่สุดแล้ว ถ้าบอกว่าไปโรงพัก มีหวังได้โดนเชิญออกหรอก”

“ไอ้นู่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ ตกลงทำอะไรได้บ้าง เลือกมาสักอย่างซิ” เสียงผู้กองหนุ่มคิ้วขมวดแล้วกอดอกด้วยท่าทางหงุดหงิด “หรือจะให้ผมยื่นข้อหาไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ”

กลางฟ้านึกถึงผลที่ตามมาหากโดนมีเรื่องกับตำรวจขึ้นมาจริงๆ พ่อกับแม่คงสั่งให้เธอลากกระเป๋ากลับบ้านเดี๋ยวนั้นทันที หลังจากชั่งน้ำหนักใคร่ครวญผลได้ผลเสียของสองฝั่งแล้ว เธอก็จำใจหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วส่งข้อความไปหาดาวรุ่ง ผู้อำนวยการโรงเรียนที่เป็นเพื่อนสนิท  

“ไปก็ได้ ไม่เห็นต้องขู่กันเลย” เธอบ่นระหว่างพิมพ์เรื่องที่แต่งขึ้นมาปุบปับว่า ต้องไปเป็นพยานที่โรงพักเพราะพบเห็นเหตุยิงกัน

“อ้อ... ผมขอยึดกล้องถ่ายรูปของคุณไว้ด้วย” ตำรวจหนุ่มยื่นมือออกมาที่สายสะพายกล้องถ่ายรูปตรงไหล่ของกลางฟ้า

“ทำไมต้องยึด” กลางฟ้าใจหายวาบ รีบเบี่ยงตัวหลบ ขืนยึดไปก็เห็นหมดสิว่าเธอแอบรัวชัตเตอร์หน้าหล่อๆ ของเขาไปไม่รู้กี่รูป

“ผมเห็นคุณถ่ายรูปบางอย่างกลางป่า จำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่ของเราตรวจสอบภาพในกล้อง...”

“อ้าว ถ่ายรูปตัวกว่างกับดักแด้นี่ผิดกฎหมายด้วยเหรอ”

ผู้กองมาริชมองเธอด้วยสายตาเบื่อหน่าย “ผมว่าจับโจรเหนื่อยแล้วนะ ต่อปากต่อคำกับคุณเหนื่อยกว่าอีก หยุดพูดแล้วเอากล้องมา”

อารามตกใจ กลางฟ้าสะบัดตัวแรงๆ เพื่อหลบให้พ้นจากมือของเขา แต่สะบัดแรงไปหน่อย กล้องถ่ายรูปจึงกระเด็นหวือออกไปตกพื้นไกลออกไปหลายฟุต

“เฮ้ย กล้องของฉัน!”

หญิงสาวรีบถลาลงไปคุกเข่าข้างกล้องถ่ายรูป แบตเตอรี่หลุดกระเด็นกลิ้งไปกันคนละทาง ผู้กองถึงกับหน้าเสียแล้วรีบวิ่งตามไปเก็บ ตอนที่เขาเดินกลับมาพร้อมกับแบตเตอรี่ในกำมือ ก็เห็นเธอกำลังนั่งคุกเข่าพลิกสำรวจความเสียหายของกล้องด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้

“เอ้า...” เขาคุกเข่าลงข้างๆ และยื่นแบตเตอรีให้ ใบหน้าของเขาเจื่อนไปถนัด แววตารู้สึกผิดมองมาที่เธอ “กล้องเสียหรือเปล่า”

“ไม่รู้!” เธอทำหน้าเบ้ระหว่างฉวยแบตเตอรีจากฝ่ามือของเขา “ถ้าเจ๊งขึ้นมาฉันจะทำยังไงล่ะ นี่เพิ่งผ่อนไปได้ไม่กี่เดือนเองนะ โอ๊ย ทำไมวันนี้ถึงมีแต่เรื่องซวย...”

เสียงบ่นเป็นชุดทำให้ผู้กองต้องลุกขึ้นและหันหลังไปจากตรงนั้นด้วยท่าทางเบื่อหน่าย เขาตะโกนบอกเจ้าหน้าที่ให้ต้อนเด็กๆ ขึ้นรถ ระหว่างนั้นกลางฟ้าก็ยังคงส่งเสียงคร่ำครวญอาลัยอาวรณ์ถึงกล้องถ่ายรูปในมือ แต่เมื่อหันหลังไปจนพ้นสายตาผู้คน หญิงสาวก็ลอบยิ้มกับตัวเองระหว่างก้มลงมองที่มือ เมมโมรีการ์ดแผ่นจิ๋วถูกคีบอยู่ระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ก่อนถูกยัดใส่กระเป๋ากางเกง

 

กลางฟ้านั่งรออยู่ในห้องโล่งๆ ห้องหนึ่งมาเกือบชั่วโมงหนึ่งแล้ว เธอหมุนเก้าอี้ไปมาด้วยความหงุดหงิด ทันทีที่ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับผู้กองมาดกวนเดินเข้ามา เธอก็ลุกจากเก้าอี้ เดินตรงเข้าไปยืนอยู่ใต้ร่างหนุ่มร่างสูงบึกบึน พอเห็นกล้องของตัวเองก็ฉวยจากมือของเขาทันที

“ดูเสร็จแล้วนะ ฉันจะกลับสักที” เธอเดินเบียดผ่านเขาไปที่ประตู แต่มือแข็งแรงข้างหนึ่งกระชับต้นแขนบอบบางของเธอแล้วดึงกลับมาที่เดิมจนผมที่รวบเป็นหางม้าสะบัด

“ลูกเล่นเยอะนะเรา เอาเมมโมรีการ์ดออกมา” เขาแบฝ่ามือกว้างๆ ตรงหน้าเธอ

“เมมโมรีการ์ดอะไร” 

“ผมรู้ว่าคุณแอบแกะเมมโมรีการ์ดออกไป”

“แกะออกตอนไหน มันก็อยู่ในกล้องนั่นแหละ” 

เขาฉวยกล้องคืนจากมือของเธอ กดที่ช่องเสียบเมมโมรี่การ์ดที่ว่างเปล่ายื่นใส่หน้ากลางฟ้า “ไม่ต้องมาลีลา ของอยู่ไหน เอาออกมา”

“เลิกเค้นฉันสักที ฉันไม่ใช่อาชญากรนะ”

“ผมถามอีกครั้ง คุณเอาการ์ดไปซ่อนไว้ที่ไหน”

“ฉันก็จะตอบเหมือนเดิมว่า ไม่-ได้-ซ่อน”      

“แน่ใจนะ” นิ้วชี้ของเขาแทบจิ้มที่ปลายจมูกของเธอ

เธอแบะปากยักไหล่ใส่นิ้วของเขาด้วยท่าทางยียวน “ไม่เชื่อก็ตามใจ”

เขาหรี่ตามองเธอด้วยแววตาประสงค์ร้าย แล้วพูดเสียงต่ำๆ กับหญิงสาวที่กำลังเชิดหน้ากวนประสาทใส่เขาว่า

“งั้นก็ถอดเสื้อซะ”

ผู้กองหนุ่มเกือบหลุดยิ้มเมื่อมองตากลมโตเบิกกว้าง แววตาดุเหมือนเสือเปลี่ยนไปเป็นแมวน้อยประหลาดใจไปแล้ว ริมฝีปากแดงของหญิงสาวเผยอขึ้นแต่ไม่มีคำพูดหลุดรอดออกมา เขากวาดมองใบหน้าเล็กๆ ที่ผิวแก้มบอบบางจนเห็นเส้นเลือดจางๆ เธอดูเป็นหญิงสาวตัวเล็กน่ารักน่าถนอมก็จริง แต่เวลาออกฤทธิ์เดชอาละวาดแล้วนึกอยากแกล้งเสียให้เข็ด 

“ตกลงจะถอดเอง หรือว่าผมถอดให้ เลือกเอานะ” เขาถามต่อเมื่อเห็นเธอมัวแต่อึ้ง

“คุณจะทำอะไร”

“แก้ผ้าค้นตัว” เขายิ้มมุมปากอย่างคนที่ถือไพ่เหนือกว่า “อย่างที่พวกเราต้องทำเวลาค้นหาของกลางไงละ”

ดวงตาแมวน้อยตกใจยังคงจดจ้องเขาค้างอยู่อย่างนั้น ผู้กองหนุ่มยิ้มเยาะเมื่อเห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ

“เอ้า เร็วเข้า ผมให้เวลาคุณตัดสินใจครึ่งนาทีว่าจะให้ผมถอด หรือคุณถอดเอง ไม่ก็เอาเมมโมรี่การ์ดออกมาซะแต่โดยดี” มาริชพูดพร้อมกับทำเป็นกดนาฬิกาข้อมือเพื่อจับเวลา “ผมจะเริ่มนับแล้วนะ”

เขามองเธอกัดริมฝีปากล่างและดวงตาเป็นประกายจ้องเขาอยู่ชั่วอึดใจ ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวเหมือนยอมจำนน

“โอเค ก็ได้...”

ชายหนุ่มแค่นหัวเราะอย่างผู้ชนะ เขามองหญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แต่แล้วอยู่ดีๆ เธอก็ชะงักมือในกระเป๋า แล้วช้อนสายตาขึ้นมอง

“ฉันว่าฉันเปลี่ยนใจดีกว่า ฉันขอเปลี่ยนเป็น...” เธอขยับร่างเข้าใกล้ชายหนุ่ม สบตาเขาด้วยแววตาเย้ายวน “ถอด”

คิ้วข้างหนึ่งของผู้กองเลิกขึ้นจนโก่งถึงหน้าผาก

"แต่ว่า..." กลางฟ้าขยับเข้าไปใกล้อีกนิดจนประชิดตัว นิ้วชี้เรียวเล็กของเธอจิ้มที่กล้ามท้องของเขา แล้วเลื่อนขึ้นไปช้าๆ จนหยุดที่กระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดแรกตรงกลางอก ปลายนิ้วเขี่ยมันเบาๆ โดยที่ยังไม่ละสายตาจากเขา

“แต่คุณต้องถอดด้วยนะ”

                ลูกกระเดือกของมาริชขยับขึ้นลงพร้อมกับกะพริบตาถี่ๆ จนขนตางอนเป็นแพขยับกระพือ เขามองรอยยิ้มเย้ายวนของหญิงสาวแล้วอ้าปากพูดเสียงแหบห้าว

“ถะ... ถอดอะไร...”

เสียงของหญิงสาวดังแหววขึ้นกลางอากาศเป็นคำตอบ

                “ก็ถอดเล็บนายไงล่ะ!!”

                สิ้นประโยคนั้น เท้าของเธอก็กระทืบเข้าใส่เท้าที่สวมรองเท้าผ้าใบสุดแรง จนเขาส่งเสียงร้องจ๊ากลั่นห้อง ร่างสูงของเขาทรุดฮวบลงแทบเท้าตรงหน้า สองมือโอบกุมรอบเท้าข้างที่กระทืบ

                “โอ๊ย สองทีแล้วนะวันนี้!” เขาร้องครวญ

“อย่าคิดว่าเป็นตำรวจแล้วจะทำอะไรกับประชาชนตาดำๆ ได้ตามใจชอบ! ฉันไม่ใช่อาชญากรนะเว้ย อย่ามาใช้วิธีบังคับข่มขู่!” สาวร่างเล็กยืนเท้าสะโพกด้วยท่าก๋ากั่น ระหว่างก้มหน้าลงพูดใส่ใบหน้าที่ก้มลงแนบหัวเข่าและส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บ “คิดจะเบ่งกับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างฉัน ช่วยไปคิดใหม่ก่อนนะ คราวหน้าจะได้ไม่ต้องเงิบ...”

จู่ๆ ประตูห้องก็เปิดผลัวะออก ผู้ชายในสูทดำทั้งตัวก็ปรากฏกายมาจากประตูหน้าห้อง

                “เอะอะเสียงดังอะไรกันในนี้ นี่มันที่ทำงานนะ!”

                น้ำเสียงเข้มงวดดังมาจากร่างสูงชะลูด ผู้ชายคนนั้นตัวสูงมากจนน่าจะสูงประมาณ 190 ซม.ได้ เขาก้าวเข้ามากลางห้องแล้วมองร่างตำรวจหนุ่มปากดีทรุดฮวบกองกับพื้น

                “ไอ้ริช แกไปนั่งทำอะไรตรงนั้นน่ะ”

                คนบนพื้นค่อยๆ โงนเงนลุกขึ้นยืน ใบหน้ายังคงบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ “คือ... พอดีว่าผม...”

                เสียงคุ้นหูของผู้ชายคนนั้นทำให้กลางฟ้าหันไปมองผู้ที่เข้ามาใหม่ แล้วเธอก็อุทานเสียงดังว่า

“พี่วิธู!”

                ผู้ชายร่างสูงโย่งเบนสายตาจากผู้กองหนุ่มมาตามเสียงเรียก เขาจ้องหน้าหญิงสาวชั่วอึดใจด้วยสีหน้างุนงง

                “อ้าว เฮ้ย ยายกลาง! เธอโผล่มาซีซียูได้ยังไงน่ะ” วิธูร้องเสียงดังพร้อมกับก้าวยาวๆ ตรงเข้ามายังสองหนุ่มสาวที่ถกเถียงกันอยู่กลางห้อง

                “สารวัตรครับ” ผู้กองมาริชรีบลุกเขาพูดโดยที่ยังจ้องหน้าหญิงสาวตัวแสบ “นี่ละ ครูที่พาเด็กนักเรียนประถมไปที่ป่า ที่ผมรายงานเข้ามาเมื่อตอนเกิดเหตุไล่ยิงกับบนถนน...”

                วิธูหันไปมองกลางฟ้าสลับกับมาริช “ถามจริง ครูกับเด็กนักเรียนที่ถูกมอเตอร์ไซค์ไล่ยิง... ตกลงคือเธอเองหรอกเหรอ กลางฟ้า”

                เมื่อตระหนักว่าตัวเองรู้จักสนิทสนมกับสารวัตรของที่นี่ กลางฟ้าก็รีบปั้นหน้าหญิงสาวอ่อนแอผู้โดนกลั่นแกล้งและรีบถลาไปยืนข้างวิธู

                “ใช่แล้วค่ะพี่วิธู วันนี้กลางพาเด็กๆ ออกไปทัศนศึกษาที่ป่าตรงนอกเมืองอย่างสงบเรียบร้อย แล้วจู่ๆ ก็ถูกคนบ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาไล่ยิงพวกเรา แล้วตำรวจคนนี้...” เธอชี้นิ้วใส่หน้ามาริช “ก็ลากกลางมาที่โรงพักค่ะ พอมาถึงก็สั่งจะค้นตัวกลาง นี่มันเรื่องอะไรกันคะ กลางทำอะไรผิด”

                “ค้นตัว? ทำไมต้องค้นตัว” เขาหันไปถามผู้กอง

                ตำรวจตัวการที่ถูกอ้างถึง กัดฟันกรอดด้วยความแค้นเคือง เขานิ่วหน้าซี้ดปากระหว่างยืนประคองตัวบนขาข้างเดียว สายตาจดจ้องหญิงสาวตัวเล็กแต่แสบแซ่บพริกสิบเม็ดที่เพิ่งกระทืบใส่หัวแม่เท้าเขาไปเมื่อสักครู่

                “ตอนที่ผมไปสำรวจโกดังกลางป่า ผมเห็นครูคนนี้กำลังถ่ายรูปโกดังอยู่ ผมก็เลยขอเอากล้องมาตรวจดูครับ”

                กลางฟ้าถลึงตาใส่ชายหนุ่ม “แหม เล่าให้หมดด้วยสิยะ ตะกี้นายไม่ได้ขอเอากล้องมาตรวจดูเฉยๆ แต่สั่งฉันถอดเสื้อเพราะจะแก้ผ้าค้นตัว ลืมไปแล้วเหรอ”  

                “ผมเอ่ยปากขอคุณแล้ว แต่คุณดันเล่นลูกไม้กับผมเอง ถ้าให้ดีๆ แต่แรก ใครจะอยากแก้ผ้าผู้หญิงจอแบนแบบคุณ”

                “นี่คุณ!”

                “หยุด!!” วิธูร้องเสียงดังแล้วหันมาพูดเสียงดุใส่ลูกน้อง “ฉันบอกแกหลายทีแล้วนะไอ้ริช ว่าพูดจาให้เกียรติผู้หญิงบ้าง ไม่ใช่ว่าคนที่มาที่ศูนย์ทุกคนจะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างกับเป็นผู้ต้องหาทุกคนนะ!”

                “แต่ยายครูประถมนี่ทำตัวน่าสงสัยจริงๆ นะครับสารวัตร เธอแอบแกะเมโมรี่การ์ดในกล้องออกไปซ่อน ทำตัวแบบนี้มีพิรุธชัดๆ”

                “เอาละ พอได้แล้ว มาริช ฉันรู้จักกับกลางฟ้า เดี๋ยวฉันจะคุยกับเธอเอง”

                มาริชหันไปมองหน้ากลางฟ้าด้วยสีหน้ายียวน และพูดน้ำเสียงแดกดันว่า “อ้าว ตกลงชื่อกลางฟ้าหรอกเหรอ คิดว่าชื่อครูซันนี”

                “มีหลายชื่อแล้วไง อิจฉาเหรอ”

                ผู้กองมาริชจดจ้องหญิงสาวที่หนีไปแอบข้างผู้บังคับบัญชาของเขาเหมือนเด็กนักเรียนขี้ฟ้อง เห็นแล้วชวนให้ยิ่งหมั่นไส้หนัก เขากัดฟันกรอดและพูดกับวิธูโดยที่ยังไม่ละสายตาจากเธอ

                “สารวัตรครับ ผมขอเป็นคนสอบปากคำแม่ตัวแสบนี่ไม่ได้เหรอ เมื่อกี้เห็นๆ อยู่ว่า...”

                “ไอ้ริช กลางฟ้าเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทฉันเอง” วิธูพูดเสียงเรียบๆ แต่เน้นย้ำ “งานตรงนี้ฉันจัดการเอง”

                น้ำเสียงและสายตาของสารวัตรทำให้มาริชยอมสงบปากคำแต่โดยดี เขายกแขนสองข้างกลางอากาศเหมือนเบื่อหน่ายแล้วหันหลังเดินไปที่ประตู

                ก่อนเอื้อมมือเปิดประตูและก้าวออกไปจากห้อง หน้าตายียวนของชายหนุ่มก็หันมามองกลางฟ้า เขายกสองนิ้วขึ้นแตะหน้าผากด้วยท่าตะเบ๊ะล้อเลียน

                “แล้วเจอกันใหม่นะครับ คุณครูซันนี”

 

                “วันนี้กลางไปถ่ายรูปอะไรมา ไอ้ริชถึงอยากดูรูปในกล้องของเธอให้ได้” วิธูหันมาถามกลางฟ้าหลังจากมาริชออกจากห้องไปแล้ว

                “ก็แค่รูปแมลงต่างๆ ในป่าเท่านั้นเองค่ะ พวกหนอน ดักแด้ ตัวด้วงตัวกว่างอะไรพวกนี้ เอาไปประกอบการสอนที่โรงเรียน กลางไม่รู้เลยว่านั่นเป็นเขตหวงห้ามหรือเฝ้าระวัง ทำไมเหรอคะ ที่นั่นมันมีอะไรผิดปกติ”

                วิธูทำหน้ากระอักกระอ่วน แล้วตอบเพียงแค่ว่า “ก็แค่สถานที่ที่เรากำลังเฝ้าจับตามองอยู่เท่านั้นเอง คราวหน้าคราวหลังก็อย่าได้ไปที่ห่างไกลแบบนั้นอีก หวังว่าเธอยังไม่ลืมนะว่าสัญญาอะไรกับพ่อแม่ไว้” 

                “ไม่ลืมแน่นอนค่ะพี่วิธู กลางกำลังสนุกกับการใช้ชีวิตที่นี่ ไม่ทำตัวซุกซนให้ถูกจับส่งกลับบ้านเด็ดขาด เชื่อกลางเถอะ” เธอพูดเสียงขึงขังเพื่อให้วิธูมั่นใจ

                “ถ้างั้นพี่จะให้รถส่งเธอกลับไปที่โรงเรียนก็แล้วกัน”

                ระหว่างที่วิธูเดินไปส่งเธอที่หน้าตึก กลางฟ้ากวาดตามองเจ้าหน้าที่ชายหญิงในชุดสูทสีดำที่เดินสวนไปมาราวกับเหล่าสายลับในภาพยนตร์ ภายในตึกสีขาวแห่งนี้ดูทันสมัยและไฮเทคโนโลยี ประตูทุกบานเปิดปิดด้วยการสแกนม่านตา กล้องวงจรปิดที่ทำงานด้วยการจับคลื่นความร้อนของมนุษย์ หมุนเบนไปตามฝีก้าวของผู้คนภายในศูนย์ราวกับหุ่นโรบอต ไม่น่าเชื่อเลยว่าภายในจังหวัดที่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ ไปหลายร้อยกิโลเมตร จะมีสถานที่แบบนี้ด้วย

                เธอเหลือบตามองตัวอักษรสีเงินเหนือทางเข้าที่เขียนว่า ‘หน่วยต่อต้านและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ’ กับภาษาอังกฤษที่บรรทัดล่างเขียนว่า Counter Criminal Unit (ซีซียู) 

                “ที่นี่เหรอคะ ซีซียู ไม่น่าเชื่อว่าออกมาไกลถึงที่นี่จะมีศูนย์ปราบปรามใหญ่ขนาดนี้เลยเชียว” เธอแหงนหน้ามองรอบๆ ดวงตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น

                “ที่นี่ใหญ่แต่สถานที่ แต่เรามีเจ้าหน้าที่ทั้งศูนย์อยู่เพียงสามสิบกว่าคนเท่านั้น ทุกฝ่ายจึงต้องทำงานหนัก แต่เราทำงานกันอย่างมีประสิทธิภาพมาก”

“แสดงว่าพี่วิธูจะต้องเก่งมากๆ เลยสิ เป็นถึงสารวัตรในองค์กรเท่ๆ แบบนี้ด้วย” 

                “แผนกที่พี่คุมอยู่คือแผนกปฏิบัติการและสืบสวนข้อมูล” วิธูเล่าต่อ “ทีมของเรามีทั้งหมดห้าคน ผู้กองมาริชที่เธอเจอวันนี้ เป็นหนึ่งในตำรวจฝ่ายปฏิบัติการภาคสนาม”                 

                “โห พี่วิธู! พี่ไม่คิดอยากเป็นเซเล็บบ้างเหรอคะ” กลางฟ้าร้องเสียงตื่นเต้น

                “เซเล็บอะไร” ชายหนุ่มหันมาขมวดคิ้วมอง

                “ก็ให้สัมภาษณ์ในหนังสือของกลางไงคะ ตอนนี้กลางกำลังเขียนหนังสือเกี่ยวกับคดีอาชญากรรม และคิดว่าจะต้องสัมภาษณ์ตำรวจสักคนด้วย ถ้าพี่วิธูยอมให้ข้อมูลกลางนะ กลางจะเอาหน้าหล่อๆ หุ่นเท่ๆ ของพี่มาโปรโมทในแฟนเพจ รับรองคนต้องแห่มาซื้อหนังสือของพลางเพื่อรู้จักกับสารวัตรวิธูแห่งซีซียู...”

                “ยายบ๊องเอ๊ย!” วิธูใช้แขนข้างหนึ่งล็อกรอบคอน้องสาวตัวแสบ ใช้มืออีกข้างกำเป็นหมัดแล้วขยี้กลางหัวเธอแรงๆ “งานจับผู้ร้าย เอามาทำเล่นๆ ได้ที่ไหน ไป เลิกคิดได้เลย พี่ไม่มีทางให้เธอสัมภาษณ์แน่นอน รวมถึงเจ้าหน้าที่คนอื่นในซีซียูด้วย ทุกคนเซ็นสัญญาก่อนทำงานแล้วว่าห้ามเปิดเผยข้อมูลภายในให้กับคนนอก ฉะนั้นลืมเรื่องนี้ได้แล้ว ยายกลาง”

                “ว้า น่าเสียดายจัง” กลางฟ้าเงยหน้ามองรอบๆ ศูนย์อีกครั้ง “นี่แหล่งข้อมูลในฝันของกลางเลยนะเนี่ย”

“งั้นจงฝันต่อไปได้เลย เพราะมันจะไม่มีวันเป็นจริง” วิธูพูดติดตลกพลางยิ้มให้น้องสาว “กลับบ้านไปซะแล้วอย่าเที่ยวในที่เงียบๆ เปลี่ยวๆ อย่างวันนี้อีกล่ะ เชียงใหม่ไม่เหมือนกรุงเทพฯ นะ และอีกอย่าง เธอไม่ใช่คนในพื้นที่ด้วย ระวังตัวหน่อยก็ดี”

                สารวัตรหนุ่มส่งกลางฟ้าขึ้นรถตู้สีดำของซีซียู และกำชับคนขับให้ไปส่งเธอถึงที่โรงเรียน ระหว่างนั่งรถตามลำพังเงียบๆ หญิงสาวก็นึกถึงโกดังลึกลับกลางป่าแห่งนั้น เธอเอามือแตะกระเป๋ากางเกงยีนจนสัมผัสเมมโมรี่การ์ดที่แอบแกะออกมาก่อนที่จะถูกผู้กองมาริชยึดกล้องไป

                เธอนึกถึงท่าทางของตำรวจจอมยียวนที่ต้องการดูรูปถ่ายของเธอให้ได้ กับเสียงเข้มของวิธูที่ไม่ยอมเปิดปากพูดถึงการทำงานของซีซียูแม้แต่คำเดียว จึงเสียบการ์ดกลับเข้าไปในกล้องแล้วเปิดดูอีกครั้ง

                ภาพเพิงขนาดใหญ่นั้นปรากฏบนจอเล็กๆ ในกล้องถ่ายรูป ‘ข้อมูล’ ที่เธอได้มาแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ

กลางฟ้าตื่นเต้นกับการค้นพบครั้งนี้ที่กระตุ้นให้อยากรู้อยากเห็นอย่างหนัก ข้อมูลลับนี้จะทำให้นิยายของเธอมีสีสันน่าตื่นเต้น เพราะมันเป็นเรื่องจริง

                เธอกดเลื่อนดูภาพโกดังไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นภาพใบหน้าสีแทนของผู้ชายคนหนึ่ง กำลังหรี่ตาสู้แสงแดดและเผยอริมฝีปากอย่างน่ามองจนใบหน้าคล้ำแดดนั้นดูหล่อเหลาและเซ็กซี่ร้อนแรง

ให้ตายสิ... อีตาผู้กองนี่หล่อเป็นบ้า หุ่นสูงล่ำสันดูบึกบึนอย่างกับนายแบบโฆษณา และยิ่งตอนที่เขาควงปืนยิงสู้กับนักซิ่งมอเตอร์ไซค์นั่นอีก... ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานการณ์ใจหายใจคว่ำขนาดนั้น เขายังทำให้เธอหายใจสะดุดด้วยมาดเท่เหลือร้าย

แต่แล้วท่าทางยียวนกวนประสาทและคำพูดสองแง่สองง่ามก็แล่นเข้ามาขยี้ภาพหล่อเหลาของเขาจนหมด เธอนึกถึงตอนที่เขาสั่งจะเธอแก้ผ้าเพื่อค้นตัวแล้วนึกโมโหขึ้นมาทันที แล้วจัดการกดลบรูปของเขาจดหมดเกลี้ยง

                “เชอะ หล่อแล้วไง? ไอ้ตำรวจลามก” กลางฟ้าพึมพำเบาๆ อย่างแค้นเคือง

รถตู้ของซีซียูเลี้ยวเข้าประตูทางเข้าของโรงเรียนประถมกลอรีพอดี กลางฟ้าปิดกล้องและเตรียมตัวลง ถึงแม้เหตุการณ์ในวันนี้น่าหวาดเสียวระทึกใจยิ่งกว่าดูภาพยนตร์แอกชั่น แต่ก็แลกมาด้วยข้อมูลอันมีค่า เธอได้ข้อสรุปกับตัวเองว่า ภายในเร็วๆ นี้ จะต้องกลับไปดูโกดังแห่งนั้นอีกครั้งให้ได้ มันจะต้องมีอะไรในกอไผ่อย่างแน่นอน

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น