บทที่ 12
ป๋าเทพ: ของพร้อมแล้ว เตรียมออกพุธกับพฤหัสนี้ หนนี้อย่าพลาดล่ะ
ลามูน: ไม่ต้องห่วง งานนี้ตำรวจซีซียูมาคุมเอง
ป๋าเทพ: ไว้ใจได้แน่เหรอ ยังเข็ดคนก่อนไม่หายที่ปลอมเป็นตำรวจมาหักหลังเราน่ะ
ลามูน: คนนี้ไว้ใจได้ชัวร์ มันตั้งใจจะมาเอาคืนซีซียู
ป๋าเทพ: เอาคืนเรื่องอะไร
ลามูน: แฟนของมันถูกซีซียูฆ่าเมื่อหลายปีก่อน
หนอนซีซียู... ที่ต้องการแก้แค้นที่แฟนถูกฆ่าเมื่อหลายปีก่อน?
กลางฟ้าอ่านข้อความนั้นแล้วต้องเก็บมาครุ่นคิด แสดงว่าหนอนซีซียูตัวนี้จะเข้าไปกำกับดูแลการขนส่งยาเสพติดด้วยอย่างนั้นสินะ
เรื่องนี้ไม่ใช่เล่นๆ แล้ว จะมีการขนส่ง ‘ของ’ สำคัญโดยที่มีหนอนซีซียูมาคุมด้วย กลางฟ้าตระหนักว่าข้อมูลที่รู้มานี้สำคัญเกินกว่าจะเก็บไว้เฉยๆ ซะแล้ว เธอต้องบอกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงให้รับรู้ และคนแรกที่นึกถึงก็คือวิธู
เมื่อกลับถึงบ้าน กลางฟ้าก็เดินข้ามไปยังบ้านของวิธู เห็นรถจอดอยู่จึงกดออดเรียก แต่ผ่านไปเกือบนาทีก็ไม่มีคนออกมาเปิดประตู เมื่อชะโงกหน้ามองเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าข้างในบ้านมืดเหมือนไม่มีคน จึงลองโทร.เข้ามือถือของเขา
เสียงเรียกดังหลายครั้งแต่ไม่มีคนรับจนกระทั่งตัดเข้าเครื่องฝากข้อความว่า
“สวัสดีครับ ผมวิธู ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างประชุมที่กรุงเทพฯ ไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ หากมีเรื่องด่วนกรุณาฝากข้อความ แล้วผมจะรีบโทร.กลับ...”
เธอกดปุ่มวางสาย กว่าวิธูจะกลับมา ไอ้พวกเดือนลับคงขนยากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพราะนี่ก็คืนวันอังคารแล้วด้วย
กลางฟ้าเดินกลับบ้านพร้อมกับใช้ความคิด เรื่องนี้บอกน่านน้ำไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะเขาไม่ใช่ฝ่ายปฏิบัติการ ฉะนั้นจึงควรต้องบอกมาริช เธอชั่งใจอยู่พักหนึ่ง นึกถึงที่เขาทำท่าเย็นชากับเธอเมื่อวันก่อน แต่แล้วตัดสินใจกดปุ่มต่อสาย
“ฮัลโหล”
เธอรีบปรับเสียงให้ฟังดูร่าเริง “เอ่อ มาริช คุณ... คุณเป็นไง”
เสียงฝั่งเขาเงียบไปนานจนกลางฟ้าเริ่มใจเสีย ก่อนมีเสียงตอบว่า “ก็ไม่เป็นไง”
น้ำเสียงของเขาแห้งแล้งจืดชืด เธอจึงอุ่นเครื่องด้วยกันพูดถึงเรื่องอื่นก่อนว่า “อ๋อ คือฉันแค่โทร.มาบอกว่า วันนี้ลูกน้องของคุณชื่อดอนมาติดตามฉันกับเด็กๆ ไปที่สวนสาธารณะนะ”
ปลายสายเงียบไปอีกครั้ง ก่อนมีเสียงตอบกลับมาแค่ว่า “อืม”
“เขาเป็นคนสนุกดี”
“อือฮึ”
“เขาบอกว่าคุณติดภารกิจที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”
“อืม”
“แต่เขาบอกว่าคุณก็ไม่ได้อยากทำนักหรอก”
“อือฮึ”
กลางฟ้ากลอกตาอย่างเหลืออด “นี่มาริช คุณจะไม่พูดอะไรนอกจาก อืม กับ อือฮึ จริงๆ เหรอ”
“อือฮึ”
“เอาล่ะ คุณมีเรื่องอะไรไม่พอใจก็พูดกับฉันมาเลยตรงๆ จะมาอือๆ อือฮึๆ อยู่ได้ ฉันไม่มีทางรู้เรื่องหรอกนะ”
“ผมพูดไปหมดแล้ว กลางฟ้า”
“พูดตอนไหน คุณพูดอยู่แค่สองคำเองนะตั้งแต่รับสายมาเนี่ย”
“วันนั้นผมพูดไปหมดแล้ว ผมไม่ชอบทำตัวเป็นก้างขวางคอใคร ถ้าคุณคบกับไอ้น่านอยู่ก็ให้มันคอยดูแลคุณก็แล้วกัน ผมจะไม่ยุ่งกับคุณอีกแล้ว”
“นี่ เดี๋ยวก่อนสิ ฉันกับน่านไม่ได้...”
“ไม่ต้องอธิบายแล้วล่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นผมรู้สึกไม่ดีมากๆ ที่ทำให้คุณต้องคอยโกหกผมเพื่อจะได้ไปกับไอ้น่าน ผมมานึกดูแล้วคิดว่าคงเป็นเพราะผมไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตคุณมากเกินไป แต่สบายใจได้นะ ผมกำชับไอ้ดอนแล้วว่าอย่าไปวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของคุณนอกจากคอยติดตามอยู่ห่างๆ เท่านั้น”
“หมายความว่าคุณจะให้ดอน...”
“ผมคุยกับสารวัตรแล้ว เขาโอเค”
“เดี๋ยวสิ มาริช...”
“โทษทีนะ ตอนนี้ผมต้องเข้าประชุมแล้ว เท่านี้ก่อนนะ”
หญิงสาวมองโทรศัพท์ที่ตัดสายไปแล้วอยู่นานเกือบสิบห้าวินาที จนกระทั่งหน้าจอดับไปแล้วเธอถึงได้ร้องออกมาลั่นห้อง
“ไอ้บ้า! นายเป็นอะไรของนายเนี่ย! นายจูบฉันสองครั้งแล้ว ทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไงกัน!” กลางฟ้าบ่นใส่โทรศัพท์ระหว่างกดปุ่มตัดสายอย่างหงุดหงิด
ให้ตายสิ เรื่องมาริชก็น่าโมโห เรื่องเดือนลับนัดหมายกันขนของก็กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เธอเดินกลับไปกลับมารอบบ้านอย่างกลัดกลุ้ม แล้วในที่สุดความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในตอนนั้น
เธอก้มหน้าก้มตาต่อสายไปอีกสายหนึ่งทันที
“ไม่ได้! ไม่มีทาง ผมจะไม่พาคุณเข้าไปในป่าเป็นอันขาด” น่านน้ำแทบจะร้องลั่นกลางร้านกาแฟ
“เบาๆ หน่อยสิน่าน” กลางฟ้าจุ๊ปากพลางเหลียวมองรอบตัว “เดี๋ยวมีคนได้ยินหรอก!”
“แล้วคุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าขอให้ผมทำอะไร เข้าป่าไปดูไอ้พวกองค์กรเดือนลับมันกำลังขนของผิดกฎหมายเนี่ยนะ และไอ้ของที่ว่านั่นน่าจะเป็นยาเสพติดซะด้วย คุณรู้ไหมว่าเรื่องนี้มันอันตรายขนาดไหน” เขาหรี่เสียงเบาลงจนเหลือแค่กระซิบ
“แต่คุณเป็นซีซียูนี่นา ฉันไปกับคุณก็ต้องปลอดภัยสิ”
“ผมเป็นฝ่ายสืบหาข้อมูล ไม่ใช่หน่วยปฏิบัติการ เรื่องแบบนี้ต้องเป็นหน้าที่ของสารวัตรวิธู”
“ก็พี่วิธูไม่อยู่” กลางฟ้าแบะมือสองข้างออกเหมือนจะบอกว่ามันช่วยไม่ได้จริงๆ
“แต่เรื่องนี้ผมยังไม่ได้รับอนุมัติจากสารวัตร ผมบุกเข้าไปโดยพลการไม่ได้หรอก”
“ก็ไม่ได้บอกให้คุณบุก แค่ไปสังเกตการณ์เฉยๆ”
น่านน้ำทำท่าลำบากใจอย่างหนัก แต่กลางฟ้าดูรู้ว่าเขาเองก็กำลังสองจิตสองใจจึงงัดไม้ตายเข้าหลอกล่อว่า “น่าน คุณไม่คิดหรือว่าข้อมูลนี้จะทำให้คุณรอดพ้นจากการให้ถูกออกจากงานน่ะ”
“ให้ตายสิ อย่าใช้วิธีนี้กับผมได้ไหม กลางฟ้า” เขากัดฟันกรอด
“แต่คิดดูดีๆ สิ นี่ไมใช่ข้อมูลที่คุณกำลังตามหาอยู่เหรอ”
เขาขมวดคิ้วจนหน้ายุ่งเหยิง ความคิดสองทางกำลังตีกันอย่างหนัก “ไม่ได้หรอก ถ้าซีซียูรู้เมื่อไหร่ว่าผมพาคนนอกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการจับกุมพวกเดือนลับล่ะก็ ไม่ใช่แค่โดนไล่ออกเท่านั้น แต่ผมจะหมดโอกาสในวงการนี้ไปตลอดชีวิตเลยนะ ลำพังแค่เอาข้อมูลการทำงานของซีซียูมาบอกคุณก็เสี่ยงมากพอแล้ว”
“แต่ถ้าเราไม่ลงมือทำอะไร ข้อมูลนี้ก็เท่ากับสูญเปล่าไปเลยนะ ถ้าเกิดนี่เป็นการขนของล็อตสุดท้ายแล้วล่ะ หรือถ้าวันดีคืนดี แหล่งข้อมูลของฉัน...” กลางฟ้าเกือบโพล่งออกไปแล้วว่าพ่อของดอลลีเกิดจับได้ และเธอไม่สามารถเข้าไปที่บ้านหลังนั้นได้อีก “ถ้าเกิดฉันไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนั่นได้อีก ก็เท่ากับว่าคุณทิ้งโอกาสครั้งนี้ไปเปล่าๆ เลยนะ”
น่านน้ำไม่ตอบ กลางฟ้าจึงหย่อนระเบิดอีกลูก “และอีกแค่อาทิตย์เดียวก็สิ้นเดือนแล้วนะ ถ้าคุณไม่มีผลงานล่ะก็...”
น่านน้ำกุมขมับและนั่งอยู่ท่านั้นเป็นเวลานาน เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เขาก็ยื่นมือออกมาตรงหน้ากลางฟ้า
“ไหนขอผมดูแผนที่หน่อย”
หญิงสาวถึงกับยิ้มกว้างด้วยความยินดี แล้วหยิบแผนที่ที่แอบถ่ายมาจากคอมพิวเตอร์ของพ่อดอลลีออกมา
ในที่สุด น่านน้ำก็ตกลงเข้าป่าไปดูจุดขนถ่าย ‘ของ’ ตามข้อมูลที่กลางฟ้าได้มาและตกลงกันว่าจะเข้าป่ากันในวันพุธตอนบ่ายสามโมง วันรุ่งขึ้นกลางฟ้าเตรียมตัวด้วยข้าวของจำเป็นไม่กี่ชิ้นเก็บใส่กระเป๋าเป้ใบเล็ก สิ่งที่สะพายไว้นอกกระเป๋าคือกล้องถ่ายรูป ขวดน้ำและหมากฝรั่งรสเลมอนที่เธอมักพกติดกระเป๋ากางเกงเพื่อเคี้ยวเวลาเหงาปาก วันนี้ไม่มีชั่วโมงสอน เธอเขียนจดหมายลาตั้งแต่เย็นวันก่อน และระบุว่าจะกลับไปสอนตามปกติในวันพฤหัส
ความตื่นเต้นทำให้กลางฟ้าไปถึงก่อนเวลาเกือบชั่วโมง เนื่องจากน่านน้ำต้องสะสางงานที่ซีซียูให้เสร็จเรียบร้อยจึงนัดเธอเจอกันหน้าทางเข้าป่าตรงหลักกม. 36 กลางฟ้าเหลียวมองรอบตัว แถบนั้นไม่มีร้านรวงหรือที่นั่งพัก จึงตัดสินใจเดินสำรวจป่าตื้นๆ เพื่อถ่ายรูปเก็บภาพสวยงามภายในป่า ป่าแห่งนี้ไม่ได้มีต้นไม้ขึ้นทึบจนหนาตา ทำให้มีแสงแดดส่องลอดจากยอดไม้ลงมาเห็นทุกอย่างมีสีสันสดใสงดงาม หน้านี้กำลังเป็นหน้าแล้ง จึงมีต้นไม้ผลัดใบหลายต้นที่กลายเป็นสีเหลืองหรือสีแดงทั้งต้นแซมสลับไปตลอดทั้งป่า นกสีสันแปลกตา ทั้งแดง น้ำเงิน เหลือง บินโฉบตามกิ่งไม้อย่างน่ามอง
เมื่อเดินลึก ป่าไม้ก็ยิ่งงามจัด เธอเดินเข้าไปอีกนิดจนเจอสะพานไม้แคบๆ แห่งหนึ่ง เมื่อวานน่านน้ำบอกเธอว่าก่อนเข้าไปในป่าลึก จะมีสะพานไม้แคบๆ ข้ามลำห้วยขนาดเล็ก คงเป็นสะพานนี้สินะ
เธอไม่รู้ว่าสะพานนี้ยาวแค่ไหน รู้แต่ว่าเดินเข้าไปเรื่อยๆ ด้วยความเพลิดเพลิน จนในที่สุดสะพานไม้นั้นก็สิ้นสุดลงที่อีกฟากของห้วยน้ำ บัดนี้เธออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดูเป็นป่ายิ่งกว่าตอนแรก ต้นไม้ขึ้นหนาทึบ ดินชื้นและมีเสียงสัตว์ป่าร้องได้ยินมาแต่ไกลๆ เธอเงยหน้ามองไปรอบๆ ได้ยินเสียงนกแปลกหูร้องเพลงเจื้อยแจ้ว แล้วตอนนั้นก็มีอีกหนึ่งเสียงดังมาแต่ไกลๆ เธอเงี่ยหูฟังแล้วได้ยินเป็นเสียงฝีเท้าสวบสวบมาจากทางฟากขวามือ ฟังดูเหมือนเดินมาหลายคน เธอชะโงกหน้าไปพร้อมกับยกกล้องถ่ายรูปไปตามต้นเสียง แล้วเริ่มเห็นบางอย่างมัวๆ เคลื่อนไหวตรงมาทางนี้ เธอปรับเลนส์ซูมจนคมชัด
คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ เธอนับได้สี่คน
คนพวกนี้เป็นใครก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่ทำให้สะดุดตาก็คือ ปืนยาวที่สะพายอยู่คนละกระบอก
กลางฟ้าใจหายวาบ หันรีหันขวางอยู่พักหนึ่งแล้วรีบเดินเข้าไปในป่าที่อยู่ลึกลงไปจากที่ยืนอยู่ เมื่อเจอพุ่มไม้หนาตาพุ่มหนึ่ง เธอก็ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้นั้น นั่งยองๆ รอฟังเสียงฝีเท้าดังชัดขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกำลังเดินมาผ่านมาถึงตรงนี้แล้ว จากนั้นเสียงนั้นก็ค่อยๆ เบาลงจนในที่สุดก็ไม่ได้ยินเสียงนั้นอีก
คนพวกนี้เป็นใครก็ไม่รู้ล่ะ แต่ระวังตัวไว้ก่อนดีที่สุด
หญิงสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ บ่ายสามแล้ว ได้เวลาที่นัดกับน่านไว้พอดี เธอลุกขึ้นจากพุ่มไม้เพื่อเดินกลับออกไปรอน่านน้ำที่ทางเข้าป่า เพราะเริ่มรู้สึกว่าเดินเข้ามาในนี้ลึกเกินไปแล้ว
อากาศร้อนอบอ้าวทำให้คอแห้ง เธอแกะห่อหมากฝรั่งรสเลมอนใส่เข้าปาก และตอนนั้นก็มีเสียงห้าวของใครคนหนึ่งดังมาจากข้างหลังที่ทำให้เธอสะดุ้งจนกระดาษห่อหมากฝรั่งหลุดจากมือ
“อย่าขยับ!”
เมื่อหันหลังไป หญิงสาวถึงกับใจหล่นวูบเมื่อเห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินย่างสามขุมตรงมาหาเธอ เขาแต่งชุดสีเข้มเหมือนหน่วยปฏิบัติการอะไรสักหน่วย ลำพังแค่ผิวคล้ำและรูปร่างบึกบึนเหมือนทหารก็น่ากลัวพอแล้ว แต่ใบหน้าของเขานี่สิ มีทั้งรอยบากและแผลเป็น แล้วยังปืนไรเฟิลที่สะพายไว้ข้างตัวนั่นอีก...
แต่ที่น่าสยดสยองที่สุดจนทำให้ขนลุกซู่ก็คือ มีดปลายเลื่อยด้ามใหญ่ในมือของเขา
“อย่าขยับ!” เขาพูดซ้ำ เสียงนั้นเย็นเยียบจนน่ากลัว
มีดเล่มนั้นยาวโง้ง ฟันเลื่อยเป็นหยักๆ ดูน่าหวาดเสียว กลางฟ้ารู้สึกได้ว่าตัวกำลังสั่นมาจากข้างใน ความกลัวแรกที่จู่โจมเข้ามาในความคิดก็คือ ถ้ามีดเล่มนั้นเสียบเข้ามาในตัวแล้ว เธอจะตายทันทีไหม หรือถ้าไอ้หมอนี่ใช้มีดขู่เพื่อบังคับข่มขืนเธอ คงไม่มีทางต่อสู้ขัดขืนได้อย่างแน่นอน
เธอรีบถอยกรูดจากพุ่มไม้นั้นทันที “อย่าเข้ามา...”
“บอกว่าอย่าขยับ!” เขาตะโกนพลางยื่นมีดออกมาอีก แต่เธอไม่ฟังเสียง สัญชาติญาณร้องสั่งให้ขาของเธอวิ่งไปจากตรงนั้นอย่างไม่คิดชีวิต กลางฟ้าวิ่งล้มลุกคลุกคลานสะดุดไปตามรากไม้และพุ่มไม้เตี้ย เสียงร้องตะโกนไล่หลังฟังไม่ได้ศัพท์ แต่เธอไม่สนใจฟัง ได้แต่วิ่งออกไปข้างหน้าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ขาจะพาไปได้
ชายหน้าบากคนนั้นมองตามหลังกลางฟ้าที่วิ่งลับสายตาไปแล้ว เขาส่ายหน้าช้าๆ แล้วหันไปกวัดแกว่งมีดฟันเลื่อยตรงบริเวณที่เธอซุ่มซ่อนตัวอยู่เมื่อสักครู่จนมีเสียงดังสวบสาบ เขาก้มลงมองงูเหลือมตัวใหญ่เลื้อยช้าๆ เข้าไปในพุ่มไม้
“มัวแต่ตกใจคน ไม่รู้ตัวเลยว่าเกือบถูกงูเขมือบหัวเอาอยู่แล้ว” เขาบ่นพึมพำพลางแกว่งมีดในมือเพื่อไล่งู “วิ่งเตลิดไปแบบนั้น เดี๋ยวได้มีคนหลงป่าแน่ๆ”
กลางฟ้าวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง วินาทีนั้นเธอไม่สนแล้วว่าวิ่งไปทางไหน แต่ภาพมีดฟันเลื่อยกับชายหน้าตาน่ากลัวทำให้เธอลืมตัวไปหมดทุกอย่าง หลังจากวิ่งลึกเข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งสภาพรอบตัวเริ่มทึบและแสงแดดส่องลอดลงมาน้อยลงเพราะความหนาของใบไม้ ถึงได้เริ่มตระหนักว่าวิ่งเข้ามาลึกเกินไปเสียแล้ว
เธอหันซ้ายหันขวา สิ่งรอบตัวในขณะนี้ดูเหมือนๆ กันหมดนั่นคือมีแต่ป่า ป่าและก็ป่า นกน้อยสีสวยที่เห็นเมื่อแรกก้าวเท้าเข้ามาไปอยู่ที่ไหนหมดไม่รู้ มีแต่นกสีดำตัวใหญ่บินโฉบผ่านไปอย่างน่าสะพรึงกลัว กลางฟ้าถึงกับขนลุกซู่...
เธอหันหลังกลับ มองตรงไปข้างหน้าแล้วบอกตัวเองว่าเมื่อสักครู่เธอวิ่งมาจากทางนี้ แต่เมื่อเดินไปทางนั้นได้อีกสักพักใหญ่ กลับไม่เจอสะพานไม้นั้นเลย
เธอเดินวนกลับไปกลับมา แต่ดูเหมือนจะสิ้นสุดลงที่ทางเดิมทุกครั้ง
อย่าบอกนะว่า...
จู่ๆ ภาพที่ไม่เคยอยู่ในความทรงจำก็หวนกลับมา ภาพป่าที่ล้อมรอบตัวจนน่าสะพรึงกลัว เหมือนกับที่เคยหลงป่าตอนสี่ขวบ...
มือสั่นเทาฉวยโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เมื่อเปิดโทรศัพท์ได้ เธอแทบไม่ได้เลือกเลยว่ากดปุ่มหาใคร นิ้วชื้นเหงื่อกดไปยังเบอร์ที่อยู่ในรายชื่อคนที่เพิ่งคุยกันเมื่อวันก่อน
เสียงเรียกเข้าดังกระท่อนกระแท่นเพราะอับสัญญาณ หลังจากดังอยู่สองสามครั้ง ก็มีเสียงใครสักคนรับสาย
“ฮัล...โหล...” เสียงนั้นขาดๆ หายๆ
“ชะ...ช่วยฉันด้วย ฉันอยู่ในป่า!...” เธอตะโกน
พูดได้เพียงเท่านั้น สัญญาณมือถือก็ดับวูบ
มาริชมองโทรศัพท์ในมือที่มีแต่เสียงติ๊ดๆ ที่แปลว่าสายหลุดไปแล้ว เขากดกลับไปดูบันทึกสายเรียกเข้าล่าสุดอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาด
เป็นชื่อของกลางฟ้า...
เขารู้สึกได้ว่าขนแขนลุกซู่ทั้งสองข้าง เมื่อกี้นี้เขาได้ยินเต็มรูหูว่า “ช่วยด้วย!”
เขารีบกดปุ่มต่อสายกลับไป มีแต่เสียงตอบกลับว่า
“หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
เกือบสี่โมงแล้ว น่านน้ำยังคงยืนรอกลางฟ้าอยู่ที่ทางเข้าป่าที่เป็นจุดนัดพบ เขาต่อสายหาเธอมาร่วมชั่วโมงแล้วแต่ไม่สามารถติดต่อเธอได้เลย นึกสงสัยว่าเธออาจยกเลิกเข้าป่าเอานาทีสุดท้ายก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะโทร.บอกเขาสักคำ
ในที่สุดโทรศัพท์ก็สั่นอยู่ในมือ เขาถอนหายใจโล่งอกแล้วเตรียมตัวรับสาย แต่ก็ต้องชะงักที่ชื่อบนหน้าจอเขียนว่า “มาริช”
เขาชั่งใจอยู่พักหนึ่งแล้วกดปุ่มตัดสาย เสียบโทรศัพท์กลับเข้ากระเป๋ากางเกง กระชับสายกระเป๋าเป้ที่ไหล่ให้เรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปในป่าโดยข้ามสะพานไม้แห่งนั้น ตัดสินใจได้ว่าไหนๆ ก็จะได้ข้อมูลลับจากกลางฟ้าพร้อมแผนที่แล้ว เขาจะเข้าป่าไปดูด้วยตาตัวเอง ไว้ออกมาแล้วเขาค่อยเล่ารายละเอียดให้เธอฟังเป็นการตอบแทนที่ได้รับข้อมูลมาก็แล้วกัน
โทรศัพท์สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงอีกครั้ง เขารู้ว่าจะต้องเป็นมาริชจึงปล่อยให้มันสั่นอยู่อย่างนั้นจนสายตัด แต่หลังจากนั้นแค่ไม่กี่วินาที ปลายสายก็ถูกเข้ามาใหม่อีกจนโทรศัพท์สั่นไปตลอดทางจนถึงปลายสะพาน ในที่สุดน่านน้ำก็หยิบโทรศัพท์ออกมากดปุ่มรับสายตัดรำคาญ
“มีอะไร ฉันกำลังยุ่ง!”
“กลางฟ้าอยู่ไหน!”
เสียงร้อนรนของมาริชที่ตะโกนเข้ามาในโทรศัพท์ ทำให้น่านน้ำต้องชะงักเดี๋ยวนั้น และสัมผัสลางร้ายบางอย่างจากน้ำเสียง
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
เสียงของมาริชฟังออกว่ากำลังข่มอารมณ์อย่างหนัก “ไอ้น่าน แกฟังนะ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนกลางฟ้าโทร.มาเข้าเครื่องฉัน เธอร้องขอความช่วยเหลือ บอกว่าอยู่ในป่า แล้วสายก็ตัด หลังจากนั้นฉันก็โทร.กลับไปหาเธอไม่ได้อีกเลย”
น่านน้ำถึงกับสะอึก
“เสียงของเธอเหมือนกำลังตกใจมาก ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอหรือเปล่า” และประโยคสุดท้ายนั้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงจนเกือบเหมือนเว้าวอน “แกรู้ไหมว่ากลางฟ้าอยู่ไหน”
ความคิดเห็น |
---|