5

บทที่ 4


 

บทที่ 4

ท่ามกลางความเงียบสงบของโรงเรียนประถมกลอรี รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สีแดงคันหนึ่งแล่นผ่านอาคารเรียนแล้วหยุดจอดที่ริมสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ ที่นั่นมีเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังทำการทดลองวิทยาศาสตร์ด้วยการใช้เลนส์นูนรวมลำแสงจากดวงอาทิตย์ ให้ส่องบนแผ่นกระดาษจนเกิดประกายไฟ

ครูซันนีขยับเลนส์ในมือไปมาจนแสงจากดวงอาทิตย์รวมศูนย์เป็นจุดเล็กๆ บนแผ่นกระดาษ เธอเม้มปากอย่างตั้งใจระหว่างถือเลนส์ รอให้ลำแสงรวมตัวกันก่อเกิดปฏิกิริยาสักที หลังจากลุ้นกันอย่างใจจดใจจ่ออยู่เกือบนาที จุดแสงสว่างจ้าบนกระดาษก็เริ่มมีควันจางๆ ลอยขึ้นมา

“ได้แล้ว!” กลางฟ้าร้องอย่างตื่นเต้นพร้อมเสียงกรี๊ดกร๊าดของเด็กๆ

จุดเล็กๆ บนกระดาษเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาล แต่ยังไม่ทันจะติดไฟดี อยู่ดีๆ ก็มีเงาๆ หนึ่งเคลื่อนเข้ามาบดบังแสงอาทิตย์ รอยไหม้เล็กๆ บนกระดาษที่กำลังคุจนมีควัน จู่ๆ ก็ดับวูบ

“อ้าว!” กลางฟ้าร้องเสียงดังเมื่อเห็นไฟดับไปต่อหน้าต่อตา “ใครยืนบังแดดครูคะ”

หญิงสาวเหลียวหลังมองข้ามไหล่ขึ้นไปเพื่อเตรียมตัวดุเด็กนักเรียนที่โผล่มาอย่างไม่รู้กาลเทศะ แต่กลายเป็นชายหนุ่มสวมแว่นกันแดดเลนส์สีฟ้า กับเสื้อเชิ้ตขาวและกางเกงดำ ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่เหนือร่างของเธอ

“หวัดดีฮะ ครูซันนี” เขาเอ่ยปากทักพร้อมยิ้มโชว์ฟันขาววับเรียงเป็นระเบียบ

กลางฟ้าลุกขึ้นยืนพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตัวสูง มือข้างหนึ่งยกขึ้นป้องศีรษะเพื่อบังแดดเพื่อมองชัดๆ ว่าใคร

“วันนี้ไม่ไปถ่ายรูปดักแด้อีกหรือครับ”

อ้าว อีตาผู้กองจอมกวนที่ชื่อมาริชนี่เอง ความหมั่นไส้ยังไม่จางหาย เธอจึงทักทายด้วยเสียงกระด้างทันที “มีธุระอะไร”

“นี่หรือคำทักทายของคนที่ช่วยชีวิตคุณ ไม่ขอบคุณก็ช่วยพูดจาดีๆ กับผมหน่อยสิครับ” ชายหนุ่มยิ้มกว้างให้เธอ รอยยิ้มร้อนแรงระดับหมื่นโวลต์ของเขาสาดใส่หน้าเต็มๆ จนกลางฟ้ารู้สึกตาพร่า เธอพยายามไม่มองรอยยิ้มน่าหมั่นไส้แล้วจ้องตาเขาแทน แต่ต้องนึกหงุดหงิดเมื่อเห็นแต่เงาตัวเองสะท้อนอยู่บนแผ่นเลนส์สีฟ้า

“คุณกำลังรบกวนเวลาสอนหนังสือนะ ถ้ามีเรื่องจะคุยไปรอที่ห้องธุรการโน่น” เธอหันหลังใส่เขา แล้วเดินไปตามสนามเพื่อตรวจดูผลงานของเด็กๆ  

                “ตกลงคุณชื่อครูซันนีจริงๆ เหรอ เห็นสารวัตรเรียกคุณว่ากลางฟ้า ไม่เห็นเข้ากับชื่อไทยของคุณเลย” เขายังคงเดินตื้อตามหลังมา “ทำไมไม่ตั้งชื่อภาษาอังกฤษที่มันเกี่ยวกับท้องฟ้าเหมือนชื่อจริงคุณละ อย่างเช่น เอ่อ... สกายวอล์กเกอร์ อะไรอย่างงี้ ถ้าผมเป็นนักเรียน ผมคงอยากเรียนกับครูที่ชื่อสกายวอล์กเกอร์แน่ๆ”

                กลางฟ้าหันหลังเตรียมจะเอาเรื่อง แต่ระดับสายตาของเธอคือแผงอกที่มองเห็นรำไรใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมลงมาถึงกลางอก ผิวสีแทนของเขาตัดกับเชิ้ตขาวดูเซ็กซี่เบาๆ เธอรีบละสายตาด้วยการเงยหน้าขึ้นพูดกับเขา

“ตกลงคุณมาที่นี่ทำไม แค่ต้องการวุ่นวายกับชื่อของฉัน หรืออยากมากวนประสาทเฉยๆ”

มาริชถอดแว่นกันแดดออกแล้วเสียบขาแว่นกับกระเป๋าอกเสื้อ “เรื่องนั้นก็อยากรู้ด้วย แต่เรื่องที่สำคัญกว่านั้นก็คือผมเอาของมาคืนคุณ”

                กลางฟ้าเอียงหน้าสงสัย ขนตายาวงอนของเขาหรุบลงมาจนเกือบถึงแก้มระหว่างที่เขาก้มหน้าลง และล้วงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท

เขาชูของนั้นขึ้นมา พอเห็นว่าเป็นกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง เธอก็ร้องออกมาทันที

                “กระเป๋าสตางค์ของฉัน! คุณเจอมันที่ไหน”

                “มันหล่นอยู่ที่พื้นรถของผมเมื่อวันก่อน”

เธอเอื้อมมือจะไปหยิบ แต่เขาขยับมือหลบ

                “เดี๋ยวก่อน จะเอาไปเฉยๆ ได้ไง ไม่มีของมาแลกเปลี่ยนกันหน่อยเหรอ”

                กลางฟ้ามองหน้าผู้กองอย่างรู้ทัน “จะเอาเมมโมรีการ์ดใช่มั้ย เสียใจด้วย วันนี้ฉันไม่ได้เอากล้องมา”

                “วันนั้นคุณถ่ายรูปโกดังกลางป่าไปทำไม บอกได้ไหมมีอะไรน่าสนใจขนาดนั้น”

                ครูสาวมองหน้าเขาเบื่อๆ “มาอีกล่ะ โกดัง ถ้าคุณอยากรู้นักก็ขับรถไปดูเองสิ มาถามอะไรฉันละ”

“อันที่จริงผมเกือบจะไม่สงสัยคุณอยู่แล้ว แต่คุณดันแอบถอดเมมโมรีการ์ดออกไปซ่อนนี่แหละ ทำตัวมีพิรุธเอง”

“เหรออออ...” กลางฟ้าแกล้งเบิกตาโตเหมือนแมวคู่ใส่เขา “สงสัยคงเป็นเพราะในเมมโมรีการ์ดมันมีภาพลับเก็บไว้มั้ง ฉันก็เลยไม่ต้องการให้คนอื่นเห็น”

“โอ้ว ถ้าลับขนาดนั้น ผมยิ่งอยากเห็น” เขายิ้มด้วยแววตากรุ้มกริ่มแล้วขยับเข้ามาหาเธออีกก้าว “ผมตามไปดูที่บ้านคุณได้ไหม”

กลางฟ้าแอบหันหน้าไปแบะปากด้วยความรังเกียจ ก่อนหันมากลับมาพูดอ้อนเสียงหวาน “งั้นก็เอากระเป๋าคืนฉันก่อนสิคะ ผู้กอง แล้วเราค่อยตกลงกันว่าจะดู ’ภาพลับ’ นั่นที่บ้านฉัน หรือว่าบ้านคุณ”

มาริชกวาดมองผมหน้าม้าที่ปรกบนหน้าผากทำให้ใบหน้าเล็กๆ นั่นยิ่งดูเหมือนลูกแมวเข้าไปอีก เขาชอบผมยาวเป็นลอนธรรมชาติกับหน้าใสที่แทบไม่แต่งหน้า ทำให้เธอน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนสาวน้อยอินโนเซนต์ แต่มันขัดแย้งกับท่าทางที่พยายามยั่วสวาทที่ดูอย่างไรก็ไร้จริตมายาโดยสิ้นเชิง สายตารู้ทันของเขามองเธอแล้วอดไม่ได้ต้องหัวเราะพรืดออกมา

                “นี่! ขำอะไร” หญิงสาวน้ำบึ้งทันที

                “เอ จะพูดยังไงไม่ให้เสียน้ำใจดีนะ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ “ได้ยินแล้วอย่าโกรธกันล่ะ คือมันดูออกทันทีว่าคุณยัง ‘ไม่เคย’ เลยน่ะสิ”

“อ้าว ไม่ทำท่ายั่วผมแล้วเหรอ ทำอีกสิ น่ารักดี ผมชอบ”

“จะเอากระเป๋าคืนมาดีๆ ไหม หรือจะให้ฉันโทร.ไปฟ้องพี่วิธู ฉันเตือนไว้ก่อนนะ ฉันนับถือเจ้านายคุณเหมือนพี่ชายแท้ๆ เขาเห็นฉันมาตั้งแต่เด็กและรักฉันมากด้วย อย่าให้ฉันต้องรายงานเขานะว่ามีคนมารังแกน้องสาวสุดที่รัก”

“แหม มีขู่ด้วยแฮะ” เขามองเธอตาเป็นประกายด้วยความขบขันแต่ก็ยื่นกระเป๋าสตางค์คืนให้แต่โดยดี “เอ้า เอาคืนไป ผมไม่เก็บไว้หรอกน่า เพราะข้อมูลทั้งหมดของคุณ ผมถ่ายเก็บไว้หมดแล้ว”

เธอฉวยโทรศัพท์ไปจากมือของเขา แล้วเดินสะบัดหน้าไปจากตรงนั้น มาริชยังคงยืนมองครูซันนีเดินกระฟัดกระเฟียดไปหาเด็กๆ แล้วเรียกให้เอาผลงานมาดู เขาอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นเด็กๆ วิ่งชูกระดาษทดลองให้ครูดูพร้อมกับส่งเสียงเซ็งแซ่รายงานสิ่งที่ทำไป เธอทำท่าตื่นเต้นกับผลงานของลูกศิษย์ตัวน้อย ทั้งๆ ที่เพิ่งทำหน้ายักษ์และส่งเสียงหงุดหงิดใส่เขา

                ผู้กองหนุ่มยืนมองครูสาวเพลิน แววตาสวยใสของเธอดูออกว่าไม่เคยผ่านพบความเลวร้ายในชีวิต เวลาเธอยิ้มแล้วสดใสเหมือนดวงอาทิตย์กลางท้องฟ้า ไม่แปลกใจเลยที่เด็กๆ วิ่งกรูกันเข้าไปหา เพราะเขาเองก็ยังอยากเข้าไปอยู่ใกล้ๆ

แม่พิมพ์ของชาติ... แม่ของลูก...

มาริชสะดุ้งกับความคิดบ้าๆ ของตัวเองที่ผลุบขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ชายหนุ่มหยิบแว่นกันแดดมาสวมแล้วเดินกลับไปที่มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบก์เพื่อไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

 

บิ๊กไบค์ดูคาติสีแดงส่งเสียงกระหึ่มไปตามทางแล้วเลี้ยวเข้าป้ายโรงพยาบาลในตัวเมือง มาริชนัดเจอกับดอนตอนบ่ายสองเพื่อสอบปากคำนักบิดมอเตอร์ไซค์ที่ดวลปืนกับเขาเมื่อวาน ก่อนที่เลี้ยวรถเข้าไปถึงที่จอดรถด้านหน้าโรงพยาบาล เขาก็ดันกระจกกันลมของหมวกกันน็อกสีดำขึ้น แล้วมองไปที่ลานหน้าโรงพยาบาลด้วยความสนเท่ห์เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่ยืนล้อมรอบหน้าตึกโรงพยาบาล เสียงโหวกเหวกโวยวายดังขรมจนเขาสังหรณ์ใจไม่ดีบางอย่าง เขารีบนำรถเข้าจอด ถอดหมวกกันน็อกวางไว้บนตัวรถ

“คนไม่เกี่ยวถอยออกไป!” เสียงร้องตะโกนของเจ้าหน้าที่เพื่อขับไล่คนให้พ้นจากบริเวณ มาริชแหวกผู้คนที่ยืนเบียดกันแน่นและส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันดังขรม เขาฝ่าวงล้อมเข้าไปจนถึงด้านหน้าสุดและสิ่งที่เห็นทำให้เขาต้องผงะ ตรงบริเวณลานโล่งหน้าตึกโรงพยาบาล มีร่างในชุดสีเขียวอ่อนของผู้ป่วยโรงพยาบาลนอนหงายแน่นิ่งบนพื้น แข้งขาบิดผิดรูป และมีเลือดหย่อมใหญ่นองอยู่ข้างตัว

เขานิ่วหน้าด้วยความสยดสยองกับภาพที่เห็น ยังไม่ทันได้มองหาเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลหรือตำรวจในพื้นที่ที่อาจมาถึงก่อนเขา เสียงหนึ่งก็ตะโกนเรียกชื่อ

“พี่ริช!”

ดอนเดินเลียบขอบนอกที่เจ้าหน้าที่วางราวกั้นไว้เพื่อกันผู้คนให้อยู่รอบนอกที่เกิดเหตุ สีหน้าเคร่งเครียดบ่งบอกว่ามีบางอย่างไม่ใช่เรื่องดี

                “เกิดอะไรขึ้นวะดอน นี่ใครน่ะ”

“คนขับมอเตอร์ไซค์ที่ยิงรถลูกพี่เมื่อวาน”

มาริชสบตาดอนนิ่งอยู่หลายอึดใจ ก่อนมองร่างบิดเบี้ยวบนพื้น เขาเดินลอดราวกั้นเพื่อเข้าไปดูร่างไร้ลมหายใจ แล้วคุกเข่าลงข้างๆ เพื่อสำรวจตามเนื้อตัวของผู้เสียชีวิต บาดแผลจากที่รถมอเตอร์ไซค์ล้มจากเมื่อวานพันไว้ด้วยผ้าพันแผลสีขาวตามแขนสองข้างและขา ศีรษะมีบาดแผลถลอกเล็กน้อย เขาพยายามหารอยฟกช้ำหรือบาดแผลใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการต่อสู้ ที่ทำให้ชายคนนี้พลัดตกลงมาจากหน้าต่าง

หรือถูกโยนลงมา

ชุดผู้ป่วยสีเขียวอ่อนที่สวมทับซ้ายขวาแบบเสื้อกิโมโนแหวกออกจากกันตรงอกเสื้อ พลันสายตาของผู้กองหนุ่มก็สะดุดบางอย่างใต้เสื้อ

เขาดึงปากกาออกมาจากกระเป๋าแล้วใช้ปลายปากกาเขี่ยสาบเสื้อออกให้เปิดกว้างขึ้น บริเวณแผงอกขึ้นไปถึงไหล่ที่มีผ้าพันแผลสีขาวพันอยู่  บางอย่างที่มองเห็นเพียงบางส่วนใต้ผ้าพันแผลทำให้เขาต้องกลั้นหายใจ 
     

รอยสักรูปพระอาทิตย์ใบหน้าคนที่มีรัศมีเป็นแฉกรอบดวง

“ดอน” เขาเรียกลูกน้องโดยที่ยังไม่ละสายตาจากร่างที่นอนแผ่อยู่กับพื้น “สั่งเจ้าหน้าที่เคลียร์พื้นที่ตรงนี้เป็นการด่วน เรามีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องตรวจสอบ”

 

                ร่างเปลือยไร้ลมหายใจของนักบิดมอเตอร์ไซค์นอนอยู่บนเตียงเหล็กภายในห้องดับจิต มาริชขอให้เจ้าหน้าที่ถอดผ้าพันแผลที่พันรอบไหล่ออกแล้ว บัดนี้มองเห็นรอยสักรูปดวงอาทิตย์หน้าคนอยู่ที่เหนืออกข้างซ้ายชัดเจน  ลวดลายของดวงอาทิตย์ใบหน้าคนที่ฉายรัศมีไปรอบดวง ละม้ายคล้ายพระอาทิตย์ในไพ่ยิปซีโบราณ นอกจากลวดลายละเอียดซับซ้อนที่บ่งบอกถึงฝีมือชั้นครูแล้ว ดูเผินๆ ก็เป็นเพียงรอยสักธรรมดารอยหนึ่ง

เขาหันไปสบตาดอนและพยักหน้าทีหนึ่ง ลูกน้องหนุ่มผมเกรียนหยิบถุงมือยางมาสวมและยกร่างนั้นขึ้นโดยช้อนไหล่ทั้งสองข้างขึ้น มาริชมองร่างนั้นถูกจับเอียง แล้วรอยสักดวงอาทิตย์ที่มีรัศมีเป็นแฉกรอบดวง ก็ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นจันทร์เสี้ยวหน้าปิศาจที่รอยล้อมด้วยงูอย่างน่ามหัศจรรย์

“ใช่แน่แล้ว รอยสักเดือนลับ...” มาริชพึมพำ

เมื่อดอนจับไหล่ร่างนั้นกลับมานอนตามเดิม รอยสักจันทราก็เปลี่ยนกลับมาเป็นสุริยันสุกใสตามเดิม หมอและพยาบาลที่อยู่ในห้องดับจิต ถึงกับก้าวเข้ามาดูใกล้ๆ ด้วยความอัศจรรย์ใจ

“นั่นรอยสักสามมิติเหรอครับผู้กอง ทำไมมันถึงเปลี่ยนรูปได้ด้วยล่ะ” ชายสวมชุดกาวน์ของหมอร้องอุทานอย่างประหลาดใจพลางยื่นหน้าไปดูใกล้ๆ

ดอนพึมพำเบาๆ เหมือนกำลังพูดกับตัวเอง “มันคือรอยสักพิเศษ เป็นสัญลักษณ์ขององค์กรเดือนลับ”

มาริชเอ่ยถามขึ้นว่า “ใครพอจะเล่าเหตุการณ์ก่อนที่เขาตกลงมาจากตึกได้ไหมครับ มีคนมาหาเขาหรือเปล่า และเขาตกลงมาได้ยังไง”

“ตั้งแต่ถูกส่งตัวมารักษาตัวที่นี่ ยังไม่มีใครมาเยี่ยมเขาเลยค่ะ” พยาบาลตอบ “เขาเพิ่งผ่ากระดูกไหปลาร้าหักจากอุบัติเหตุรถล้มให้เขาเมื่อวาน”

มาริชหันไปพูดกับหมอเจ้าของไข้ “อาการของเขาสาหัสไหม มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่หลังผ่าตัดแค่หนึ่งวัน เขาจะสามารถเดินไปที่ระเบียงและปีนขึ้นไปเพื่อกระโดดลงมาเอง”

หมอยกมือขึ้นกอดอก ทำหน้าเหมือนไม่แน่ใจ “อาการไม่ได้สาหัสมาก แต่เขาเพิ่งฟื้นเมื่อเช้านี้และยังมีอาการเจ็บแผลอยู่ ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะมีสติและมีแรงพอที่จะพาตัวเองไปถึงระเบียง ปีนขึ้นแล้วทิ้งตัวลงมาโดยที่ไม่มีใครเห็นนะครับ”

หลังจากเงียบกันไปพักหนึ่ง อยู่ดีๆ ดอนก็ถามบ้างว่า “ตอนที่หมอผ่าตัดผู้ชายคนนี้ หมอเห็นรอยสักนี้ไหม”

มาริชหันไปมองหน้าลูกน้องด้วยสายตาประหลาดใจ “แกถามอะไรวะ ดอน รอยสักอันใหญ่กระแทกลูกตาขนาดนั้น ถ้าตาไม่บอดก็ต้องเห็นอยู่แล้วสิ”

แต่หมอกลับพูดว่า “ถามได้ตรงใจผมเลยครับหมวด เพราะผมพบบางอย่างแปลกๆ บนตัวผู้ชายคนนี้ตอนผ่าตัดเปิดแผลที่บริเวณไหล่”

“อะไรหรือครับ”

“มันมีแผ่นซิลิโคนสีเดียวกับผิวของเขา และติดสนิทแนบเนียนจนดูไม่ออก ปิดทับรอยสักนี้จนแทบจะเหมือนผิวหนังเลยทีเดียว ตอนแรกผมยังดูไม่รู้เลยว่ามีรอยสักตรงนี้ จนกระทั่งจดมีดผ่าตัดนี่แหละ”

มาริชกับดอนหันมาสบตากัน “แผ่นซิลิโคนนั่นยังอยู่หรือเปล่า ผมขอดูหน่อยหมอ”

“พยาบาลห้องผ่าตัดน่าจะยังคงเก็บไว้ เดี๋ยวผมจะให้เจ้าหน้าที่ของที่นี่ส่งไปที่ซีซียู พร้อมกับของใช้ส่วนตัวของผู้ชายคนนี้”

หลังจากที่คนอื่นๆ ออกไปจากห้องแล้ว มาริชกับดอนก็ก้มหน้าเหนือร่างนั้น

“ฉันสงสัยว่าจะเป็นการฆ่าปิดปาก” มาริชตั้งข้อสังเกต “หวังว่าข้าวของที่ติดตัวมันมา จะพอบอกได้บ้างว่ามันเป็นใคร”

ดอนขยับก้าวเข้าไปที่ตรงไหล่ของศพนั้น แล้วก้มหน้าลงสำรวจรอยสักอย่างตั้งใจ แววตาทะเล้นขี้เล่นเป็นนิจของเขา กลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง

“มือสักเทวดา” เขาพึมพำ “ฝีมือล้ำลึก ยากจะมีผู้ใดเลียนแบบ”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น