บทที่ 7
ดอนเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะเมื่อเห็นลูกพี่สุดหล่อของเขาเดินเข้ามาในห้องทำงาน วันนี้ผู้กองสวมแจ็กเก็ตยีนกับแว่นกันแดดราวกับวายร้ายสุดเท่ แต่เมื่อมาริชขยับเข้าไปนั่งหลังโต๊ะทำงาน ดอนก็ต้องหันไปมองซ้ำอีกครั้งเมื่อลูกพี่ของเขาถอดแว่นอก
“เฮ้ย! ลูกพี่ ไปจับโจรที่ไหนมาทำไมไม่เรียกผมเลย แล้วไปเสียท่ามันตอนไหนเนี่ย หน้าตาดูไม่จืดเลย”
มาริชกลอกตาทำหน้าเซ็ง
“เปล่าจับโจร โดนผู้หญิงชกมาว่ะ” เขาเหลือบมอดอนแล้วรีบหลบตาด้วยความกระดาก เพราะตาข้างขวาดำเป็นวงและบวมตุ่ย “ฝีมือยายครูสารพัดพิษนั่นอีกแล้ว”
ดอนเอียงหน้าสำรวจรอยชกอยู่หลายวินาที แล้วพูดน้ำเสียงเป็นการเป็นงานว่า “ดูจากร่องรอยบาดแผล เหมือนเป็นการลงมือเพราะบันดาลโทสะ สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากความแค้นส่วนตัว”
“เลิกตลกได้แล้ว” มาริชปั้นหน้าเข้มและขมวดคิ้วใส่ลูกน้อง
“ผมฟันธง ลูกพี่ต้องไปขโมยอะไรบางอย่างจากเธอมาแน่ๆ” ดอนยังคงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “น่าจะเป็นของรักของหวง หรือของสงวนบางอย่างที่เธอไม่ยอมให้ยื้อแย่งไปง่ายๆ จึงมีการต่อสู้ช่วงชิงหรือแก้แค้นทวงคืน”
มาริชพยายามเก๊กหน้าขรึม ดอนมองหน้าลูกพี่แล้วค่อยๆ เผยรอยยิ้มทะเล้นออกมา “ไปขโมยจูบเธอมาใช่ไหมลูกพี่”
“เวลาทำงานน่ะ ให้มันแม่นยำได้สักครึ่งแบบนี้บ้างสิ”
“โอย ผมชักอยากเห็นซะแล้วสิ ผู้หญิงที่ซัดลูกพี่ตาเขียวเพราะถูกขโมยจูบ จะสวยเท่าสาวๆ ในศูนย์เราไหม”
มาริชยิ้มกับตัวเอง “เออ ไม่เท่านางฟ้าของเอ็งหรอกไอ้ดอน แต่ผู้หญิงสไตล์ฉันต้องแบบนี้แหละ ห้าวหาญปากกล้าแต่น่ารัก”
ใช่แล้วสาวตัวเล็กที่แสบยิ่งกว่าพริกสิบเม็ดคนนั้น...
ผู้กองหนุ่มอมยิ้มเมื่อนึกถึงรสสัมผัสบนริมฝีปากนิ่มๆ และลมหายใจอุ่นๆ ที่ระบายบนใบหน้า โดยเฉพาะกลิ่นหอมของหมากฝรั่งกลิ่นเลมอนนั้น จะต้องทำให้เขาจดจำความทรงจำนั้นได้ไม่ลืมเลือน เขาอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่ายายครูสาวก็เผลอจูบตอบเขาเหมือนกัน ความคิดนี้ทำเขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างประหลาดจนต้องหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง เชื่อว่ารายงานที่เขียนส่งให้สารวัตรวิธูเมื่อเช้านี้ จะทำให้เขาได้มีโอกาสไปเจอเธออีกครั้ง
ดูเหมือนครูซันนีคนนี้จะรู้อะไรบางอย่างแน่ๆ เธอโผล่ไปที่โกดังสองครั้งแล้ว และในจังหวะที่แสนจะพอดีเหมาะเหม็ง เขาจะต้องไปหาคำตอบให้ได้ว่าเธอกำลังไปทำอะไรกับโกดังแห่งนั้น ความแปลกลึกลับนี้ทำให้เขานึกสนุกที่จะได้ค้นหาคำตอบด้วยตัวเองให้ได้
“อูย อาการหนักแล้วลูกพี่เรา” ดอนส่ายหน้าช้าๆ ระหว่างพิจใบหน้าของผู้กอง “พี่ริชน่าจะเห็นหน้าตัวเองตอนนี้นะ อย่างนี้ผมพอจะเรียกได้ไหมว่า กำลังตกหลุมรัก”
มาริชรีบหุบยิ้มเก๊กหน้าขรึมทันที “เลิกยุ่งกับฉันซักที ไอ้ดอน! ไปทำงานได้แล้ว ไป”
เสียงประตูแผนกเปิด สองหนุ่มหันไปมองแล้วเห็นน่านน้ำสวมเสื้อสูทยับยู่ยี่เดินก้มหน้างุดเข้ามาและเลี้ยวตรงเข้าโต๊ะทำงานของตัวเอง ก่อนหันหลังกลับเพื่อดึงเก้าอี้ออก น่านน้ำเหลือบตาไปเห็นตาดำปี๋ข้างหนึ่งของมาริชพอดี แล้วรอยยิ้มเยาะก็ปรากฏที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม
“ยิ้มหาอะไรวะ ไอ้หน้าจืด” คนตาคล้ำไปข้างเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นกระด้างทันที เมื่อเดารอยยิ้มนั้นได้ว่ามีความหมายอย่างไร
“ปล๊าว” น่านน้ำดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลงโดยที่รอยยิ้มยังไม่จางไปจากใบหน้า เขาพูดกับคนที่นั่งอยู่ข้างหลังโดยที่ไม่หันหลังไป “แค่อยู่ดีๆ ก็นึกถึงรอยสักแว่นถาวรที่มีคนเสนอจะสักให้เมื่อวันก่อนน่ะ ทำให้ฉันนึกสุภาษิตอันหนึ่งขึ้นมาได้... พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมาก ตา เอ๊ย ปากมีสี”
มาริชฉุนกึกขึ้นมาทันที
“แกก็เอารอยสักไปประดับที่ตาสักข้างด้วยสิ ฉันแบ่งให้...” มาริชลุกพรวดจากโต๊ะอย่างแรง เก้าอี้ที่นั่งอยู่ไถลออกไปตามแรงจนกระแทกกับตู้ด้านหลังดังโครม
น่านน้ำพูดกับอีกฝ่ายโดยแค่หันข้างให้ “ฉันเคยเตือนแกแล้วนะ หัดใช้สมองให้เยอะๆ และใช้แรงให้น้อยๆ เห็นไหมว่าเตือนไปไม่ทันขาดคำ...”
“ถ้าแกใช้สมองเก่งนัก งั้นรีบหาคำตอบมาเร็วๆ สิว่ายาเสพติดจะขนเข้ามาเมื่อไหร่ ฉันรอจะใช้กำลังจนกล้ามเนื้ออ่อนแรงหมดแล้ว”
น่านน้ำหันควับมาทันที ดวงตาคมกริบจดจ้องอีกฝ่ายอย่างชิงชัง “เก่งนักก็มาแลกหน้าที่กันทำสักวันไหมล่ะ ไอ้หน้าลิเก”
เสียงโทรศัพท์ดังมาจากโต๊ะทำงานของมาริช เป็นเหมือนระฆังห้ามมวยที่ดังเข้ามาในเวลานั้นพอดี ดวงตาข้างที่บวมเป่งเขียวคล้ำยังคงจดจ้องใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยแววเคียดแค้นระหว่างที่เอื้อมมือไปหยิบกระบอกโทรศัพท์ เสียงจากปลายสายพูดออกมาโดยไม่มีการกล่าวอารัมภบท
“แกกับน่านมาที่ห้องฉันตอนนี้เลย” วิธูพูด
สารวัตรวิธูกำลังนั่งอ่านเอกสารอยู่บนโต๊ะตอนที่มาริชกับน่านน้ำเดินเข้าไปในห้อง เขาเหลือบตามองตาดำไปข้างหนึ่งของผู้กองแล้วไม่พูดอะไร จากนั้นก็ก้มลงอ่านเอกสารฉบับนั้นต่อไป มันคือรายงานที่เขียนโดยมาริช ระบุว่าพบสิ่งผิดปกติบางอย่างจากในโกดังที่กลางฟ้าสามารถถ่ายวิดีโอไว้ได้ หลักฐานทั้งหมดอยู่ในกล้องถ่ายรูปของเธอ
“มีคนมาที่โกดังนั้นเหรอ” วิธูพึมพำถามโดยที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากรายงาน
“ครับ” มาริชตอบวิธู แต่หันหน้าไปทางน่านน้ำ “ผมเห็นจากวิดีโอที่ครูซันนีถ่ายไว้อย่างชัดเจน ผิดกับสิ่งที่เราได้รับรายงานมาว่า ไม่มีอะไรในโกดัง”
น่านน้ำกำหมัดแน่นด้วยความแค้น เมื่อรู้ตัวว่าประโยคนั้นประชดเขาเต็มๆ
“ผมว่าเราน่าจะบุกเข้าไปที่โกดังเลยนะครับสารวัตร” มาริชเสริม
วิธูยังคงอ่านต่ออีกพักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วพยักหน้าให้มาริช “โอเค เดี๋ยวเย็นนี้เราจะไปหากลางฟ้าด้วยกัน ฉันอยากดูกล้องถ่ายรูปของเธอก่อน แกแจ้งทุกฝ่ายให้เตรียมรอคำสั่งอีกที”
เขาปิดรายงานแล้วเลื่อนออกไปข้างๆ จากนั้นก็หันไปมองน่านน้ำ พูดน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า
“แกไม่ทันไอ้พวกแกงค์เดือนลับอีกแล้วนะ น่าน”
ชายหนุ่มเม้มปากแน่นด้วยความเจ็บใจ นึกหาข้ออ้างแก้ตัวไม่ออก
“มาริช แกออกไปก่อน ฉันขอคุยกับน่านเป็นการส่วนตัว” วิธูพูดกับมาริชก็จริง แต่ดวงตาจ้องเขม็งไปที่อีกคน
หลังมาริชออกไปจากห้องแล้ว ใบหน้าของน่านน้ำดูห่อเหี่ยวราวกับรู้ชะตากรรมของตัวเองล่วงหน้าจนดูน่าเวทนา แต่งานก็ต้องเป็นงานอยู่ดี โดยเฉพาะในองค์กรซีซียูที่ทำงานอย่างมืออาชีพ
“เมื่อสักครู่นี้ผอ.ธมกรเรียกฉันไปคุยเรื่องเกี่ยวกับแก” วิธูเกริ่นนำด้วยประโยคนี้ น่านน้ำเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาตระหนกระคนลุ้นระทึก “จากที่เคยคุยกันว่าให้เวลาแกอีกครึ่งปี ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้วว่าจะให้แกออกจากซีซียูสิ้นเดือนนี้เลย”
ชายหนุ่มถึงกับหน้าถอดสี ดวงตาคู่นั้นดูสลดลงทันทีเมื่อได้ยินข่าวร้าย
“หวังว่าแกจะเข้าใจนะ เรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องรีบด่วน เราไม่สามารถรอไปอีกครึ่งปีเพื่อให้แกมีผลงานได้หรอก” วิธูพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
น่านน้ำก้มหน้ามองมือตัวเองที่บีบแน่นอยู่บนตัก ความรู้สึกท้อแท้สิ้นหวังเกาะกินจนพูดอะไรไม่ออก
“แกมีอะไรอยากจะพูดไหม น่าน”
เขาเงยหน้าขึ้น แล้วมองสารวัตรด้วยแววตาเว้าวอนขอความเห็นใจ “เอ่อ... ขอโอกาสผมอีกสักครั้งไม่ได้หรือครับ”
วิธูถอนหายใจยาว “ฉันก็พยายามต่อรองกับผอ.แล้วนะ แต่เขายื่นคำขาดมาว่าต้องเป็นแบบนี้”
“แต่ถ้าผมหาตัวคนร้ายได้ก่อนสิ้นเดือนนี้ล่ะ” น่านน้ำพยายามคว้าฟางเส้นสุดท้าย
สารวัตรนั่งนิ่งอยู่หลายอึดใจเพื่อพิจารณาคำพูดของน่านน้ำ แล้วในที่สุดก็พูดกับลูกน้องด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เอาเป็นว่าฉันยังรับปากอะไรทั้งนั้น แต่ว่าถ้าแกทำได้อย่างที่พูดจริง ฉันจะเข้าไปต่อรองขอโอกาสให้แกอีกครั้ง”
สีหน้าของน่านน้ำดูมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย “ผมจะพยายามครับ สารวัตร”
“แต่ถ้าพวกเดือนลับส่งยาเสพติดล็อตนี้สำเร็จล่ะก็ แกเตรียมตัวเก็บของกลับบ้านได้เลย” วิธูพูดทิ้งท้าย
เมื่อพ้นจากประตูห้องของสารวัตรแล้ว น่านน้ำก็อิงหน้าผากกับกำแพงด้วยความท้อใจ เขายังออกจากงานนี้ไม่ได้ ให้ตายอย่างไรเขาจะต้องยื้อไว้อย่างสุดความสามารถ แต่ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์ย่ำแย่กำลังบีบเข้ามาทุกขณะ และเขาก็สิ้นหวังจนปัญญาแล้วว่าจะทำอย่างไรดี
เดี๋ยวสิ ยัง... ยังไม่ถึงกับสิ้นหวังเสียทีเดียว
เขานึกถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินเมื่อสักครู่ตอนที่เขา วิธูและมาริชประชุมกัน... หญิงสาวคนที่เขาดักฟังการสนทนาของเธอได้โดยบังเอิญที่ผับเมื่อคืนวันนั้นที่ชื่อกลางฟ้า เธอรู้ข้อมูลดีๆ หลายอย่างที่เขาเข้าไม่ถึง และล่าสุดนี้ เธอก็โผล่ไปที่โกดังในป่าแล้วพบว่ามีคนอยู่ในนั้น ในขณะที่เขาไม่เคยมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับโกดังนั้นเลย
ทำไมผู้หญิงคนนั้นเหมือนจะรู้อะไรดีๆ หลายอย่างนัก
น่านน้ำก็ไม่รู้ว่าข้อมูลของผู้หญิงคนนี้น่าเชื่อถือแค่ไหน รู้แต่ว่าจะเสียงานนี้ไปไม่ได้เป็นอันขาดเพราะตอนนี้กำลังต้องการใช้เงินก้อนใหญ่
เขาจะต้องไปหาเธอให้ได้ อยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้รู้เงื่อนงำอะไร ไม่แน่ว่านี่อาจเป็นทางออกสำคัญของเขาก็ได้
หลังจากสอนพิเศษที่บ้านดอลลีเสร็จแล้ว กลางฟ้าก็กลับเข้าบ้านประมาณหกโมงเย็น ตอนที่เดินผ่านประตูรั้วได้ไม่กี่ก้าว ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นเงาร่างตะคุ่มของผู้ชายสองคนลุกมาจากชิงช้าที่ริมสนามและเดินตรงมาทางเธอ
คนที่ตัวสูงกว่า เดินนำเข้ามาหากลางฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นำหน้าหนุ่มร่างสูงหุ่นล่ำสันหน้าตาคมคายที่เพิ่งมอบจูบแรกให้เธอไปเมื่อวันก่อน เธอมองใบหน้าหล่อร้ายนั้นแล้วต้องกลั้นใจด้วยความกระดาก
“กลาง พี่ขอเข้าไปข้างในหน่อย” วิธูพยักพเยิดไปที่ประตูบ้าน
กลางฟ้ามองหน้าวิธูและมาริชสลับกัน แม้ว่าพอเดาได้ว่าเรื่องอะไร แต่ก็แกล้งถามว่า “มีเรื่องอะไรคะพี่วิธู”
สารวัตรหนุ่มหรี่ตาจ้องน้องสาวตัวดีที่ยังแกล้งตีหน้าใสซื่ออย่างรู้ทัน แต่ยังคงน้ำเสียงเยือกเย็นอยู่ “พี่จะขอเข้าไปตรวจดูบ้านเธอสักหน่อย”
กลางฟ้ายิ้มกว้างให้พี่ชาย “แหม ทำไมพี่วิธูไม่บอกก่อนละคะ ตอนนี้บ้านรกมากๆ เลยค่ะ เตียงก็ไม่ได้จัด เสื้อในกางเกงในยังไม่ซักกองเต็มตะกร้า เอาอย่างนี้ดีไหม พี่กับตำรวจนั่นลงไปโล้ชิงช้าเล่นที่สนามก่อน กลางเก็บบ้านเสร็จแล้วจะเดินออกมาเรียก ไม่นานหรอกค่ะ แค่ห้านาทีเอง”
มาริชก้าวออกมาตรงหน้าเธอทันที
“ตำรวจนั่น? หมายถึงใคร”
กลางฟ้าเชิดหน้าใส่เขา “ไม่รู้สิ ตำรวจอะไรสักอย่างที่ดมหายาเสพติดมั้ง”
เขาเดินอีกก้าวจนเข้ามาประชิดตัว “ปากดีจริงๆ นะคุณครูซันนี อย่าคิดว่าคนอื่นจะหลงกลแผนตื้นๆ แบบนี้เลย ผมรู้ว่าเดี๋ยวคุณก็จะเอาเมมโมรีการ์ดในกล้องไปซ่อน หรือแอบลบภาพ หรือทำอะไรสักอย่างเพื่อปกปิดหลักฐาน”
แล้วเขาก็หันไปหาวิธู “ผมไม่รังเกียจบ้านรกๆ ครับสารวัตร ผมว่าเราเข้าไปกันเลยดีกว่า”
วิธูเห็นด้วย เขาหันมาพูดเสียงออกคำสั่งกับกลางฟ้า “วันก่อนเราเพิ่งคุยกันรู้เรื่องไปแล้วนะยายกลาง อย่าให้พี่ต้องโทร.ไปบอกพ่อแม่เธอเลยว่ากำลังทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอยู่ พี่บอกได้เลยว่าแค่โทร.ไปกริ๊งเดียว ทั้งสองคนจะต้องขึ้นเครื่องบินมาเอาตัวเธอกลับบ้านทันที เธอต้องการให้พี่ทำอย่างนั้นไหม”
หญิงสาวเหยียดปากด้วยความขัดใจ รู้ดีว่าสิ่งที่วิธูพูดไม่ใช่แค่คำขู่ จึงจำต้องไขกุญแจเปิดประตูแต่โดยดี เขาเดินเข้าไปก่อนคนแรกตามด้วยมาริช ตอนที่เดินผ่านเธอเข้าไปในบ้าน ผู้กองหนุ่มหยุดตรงหน้าเธออึดใจหนึ่ง หน้าตายียวนของเขาก็หันมาพูดกับเธอแค่ได้ยินกันสองคนว่า
“ไหนๆ เราก็พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นมา ‘ระดับหนึ่ง’ แล้ว เลิกเรียกผมว่า ‘ตำรวจนั่น’ สักที ผมชื่อมาริช ช่วยเรียกชื่อของผมด้วย” พูดจบเขาก็เดินตามวิธูเข้าไปข้างใน
กลางฟ้าโกรธเสียจนแทบยกเท้าถีบประตู แต่สิ่งที่ยิ่งทำให้โกรธจนแทบตาถลนก็คือ พอมาริชก้าวเข้ามาในบ้านแล้ว เขาก็เดินขึ้นบันไดไปทันชั้นสอง
“เฮ้ นั่นห้องนอนฉันนะ คุณขึ้นไปไม่ได้!” เธอเงยหน้าตะโกนขึ้นจากบันไดชั้นล่าง
“กลาง” เสียงวิธูปราม “พี่เป็นคนสั่งให้เขาปฏิบัติหน้าที่ เธออยู่เฉยๆ เถอะ”
ไม่ถึงหนึ่งนาที ผู้กองมาริชก็เดินลงมาจากชั้นสองพร้อมกล้องถ่ายรูป วิธูรับมาแล้วกดปุ่มเปิดดูภาพในกล้องทันที
กลางฟ้าจดจ้องมาริชด้วยสายตาเคียดแค้นราวกับเสือหิวที่พร้อมจะฟาดเหยื่อเป็นอาหาร แต่เขาทำลอยหน้าลอยตา กวาดตาสำรวจบ้านของเธอต่อไป ทำเหมือนไม่รับรู้สายตาพิฆาตที่กำลังแผดเผาแผ่นหลังของเขาแทบไหม้เป็นจุณ
เขาเดินไปที่โต๊ะอาหาร เห็นหมากฝรั่งรสเลมอนในห่อสีเหลืองที่กลางฟ้าเคี้ยวเล่นตอนไปสำรวจป่า แล้วหยิบขึ้นมาจ่อที่ปลายจมูกโด่ง
“กลิ่นคุ้นๆ” เขาหลับตาพริ้มเคลิบเคลิ้ม สูดแท่งหมากฝรั่งแรงๆ แล้วทำหน้าเคลิบเคลิ้มเหมือนอัดยา “อา... หอมชื่นใจ เคยได้กลิ่นนี้ในปากของใครมาก่อนน้อ...”
“พี่วิธูขา!!” กลางฟ้าฟ้องวิธูเสียงลั่นบ้าน “วันก่อนอีตาตำรวจนั่นจู... เอ้อ... ลวนลามกลางในป่า พี่ต้องจัดการเขาด้วย ไม่อย่างนั้นกลางไม่ยอมนะพี่”
วิธูเงยหน้าขึ้นจากกล้อง “พี่รู้เรื่องแล้ว วันนี้ถึงได้พาเขามาขอโทษเธอนี่ไงละ ขอดูตรงนี้ให้เสร็จก่อนแล้วเดี๋ยวเรามาเคลียร์กัน”
มาริชเดินหวนกลับมาช้าๆ หยุดตรงหน้ากลางฟ้า “เอาอีกแล้วนะ บอกแล้วว่าอย่าเรียกตำรวจนั่น”
“เปล่า ฉันเรียกอีตาตำรวจนั่นต่างหาก”
เขาขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาเป็นประกายแพรวพราวจ้องไปที่ริมฝีปากของเธอ
“เอ... รูปปากของคุณมีปัญหากับการออกเสียงคำว่ามาริชหรือไงนะ” เขาหรี่ตามองริมฝีปากของเธอด้วยสายตาวิเคราะห์เจาะลึก เธอมองแผงขนตายาวเฟื้อยของเขาแล้วรู้สึกหายใจไม่ค่อยคล่องขึ้นมาเฉยๆ “ไหนขอดูปากชัดๆ หน่อย จำได้ว่าเท่าที่สัมผัสด้วยตัวเอง ริมฝีปากของคุณออกจะได้สัดส่วนดี ไม่น่ามีปัญหากับการออกเสียงเลยนี่นา”
กลางฟ้ายังไม่ทันได้ตอบโต้ เสียงวิธูก็ตะโกนเรียกมาริชดังข้ามห้อง “ไอ้ริช แกมาดูนี่สิ”
มาริชยิ้มกวนๆ ให้เธอหนึ่งทีก่อนผละเดินไปข้างตัวสารวัตร เขาชะโงกหน้าไปดูที่หน้าจอกล้องถ่ายรูปของกลางฟ้า
“ใช่แล้วครับพี่ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายวันนี้ แสดงว่าพวกมันกำลังส่งของกันจริงๆ”
วิธูเงยหน้าขึ้นมองมาทางกลางฟ้าทันที “ทำไมเธอถึงโผล่ไปที่โกดังได้ถูกเวลาพอดี เธอไปรู้อะไรมาหรือกลาง”
เอาแล้วไงล่ะ วิธูกำลังสงสัยแล้ว แต่เธอจะไม่มีวันยอมคายข้อมูลลับสุดยอด ที่จะนำไปสู่การเป็นหนังสือเปิดโปงองค์กรร้ายโดยเด็ดขาด
“อย่าดุกลางสิคะพี่วิธู” กลางฟ้าตีหน้าใสซื่อ “กลางแค่สงสัยว่าในป่านั้นมีอะไรกันแน่ ทำไมวันนั้นแค่ไปถ่ายรูปแมลงก็โดนมอเตอร์ไซค์ไล่ยิงซะเกือบแย่ และพี่วิธูก็ไม่ยอมบอกอะไรกลางเลย พอดีวันนี้ไม่มีสอนก็เลยลองไปเก็บข้อมูลอีกที”
วิธูส่ายหน้าหงุดหงิดใส่น้องสาวตัวดี “ทำไมเธอถึงชอบเอาตัวเข้าไปยุ่งกับเรื่องเสี่ยงอันตรายเหลือเกินนะยายกลาง พูดไม่ฟังแบบนี้ พี่จะต้องเอาจริงกับเธอสักที”
“อย่าค่ะ พี่วิธู!” กลางฟ้าใจหายวาบ รีบถลาเข้าไปเกาะแขนพี่ชายแน่น “กลางแค่โผล่ไปเล่นๆ เท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ที่นั่นจริงๆ อย่าส่งกลางกลับบ้านเลยนะคะ”
“พี่รับปากพ่อแม่เธอไว้แล้วด้วยว่าจะต้องดูแลเธอดีๆ ฉะนั้น พี่จะต้องทำอย่างที่พูด...”
วิธูหันไปหามาริช เขายังพูดอยู่กับกลางฟ้าโดยที่มองหน้าผู้กองไปด้วย “เพื่อความปลอดภัยของเธอและความสบายใจของพี่ พี่จะให้มาริชคอยติดตามเธอ”
“อะไรนะ ให้ตำรวจนั่นติดตามกลางเหรอคะ!?”
“ถ้าเธอไม่โอเค พี่จำต้องเรียกไอ้ตะวันให้มาเอาตัวเธอกลับบ้าน”
“แต่พี่วิธู ถ้าเพื่อความปลอดภัยของกลางล่ะก็ ต้องไม่ใช่เขาค่ะ” กลางฟ้าต่อรอง
“ผู้กองมาริชนี่แหละเหมาะสมที่สุดแล้ว เขาฝีมือดีพอที่จะคุ้มครองเธอได้ดีกว่าใครๆ”
“แต่วันนั้นเขา... เขาล่วงเกินกลางนะคะ พี่วิธูจะปล่อยให้คนปากไวและมือไวอย่างเขาดูแลกลางจริงๆ เหรอคะ”
วิธูเหลือบตามองลูกน้องทีหนึ่ง “มาริชได้เล่าทุกอย่างให้พี่ฟังหมดแล้ว เห็นว่าสิ่งที่เขาทำไปก็เพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า แต่ก็ได้ตำหนิเขาไปแล้วที่ทำตัวไม่สุภาพกับเธอ และวันนี้เขาก็จะมาขอโทษเธอด้วย”
เขาหันไปหามาริช “เอ้า พูดขอโทษน้องดีๆ ซะ ไอ้ริช”
ผู้กองหนุ่มก้าวออกมาข้างหน้า สีหน้าสำนึกผิดของเขาไม่เหลือคราบจอมยียวน เขามองเธอตรงๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขังจริงจัง
“กลางฟ้า...” เขาเรียกชื่อจริงของเธอ ไม่ใช่ครูซันนี “วันนั้นถ้าสิ่งที่ผมทำลงไป ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ผมขอโทษนะครับ”
“แต่ตะกี้คุณยังพูดแซวเรื่องรูปปากฉันอยู่เลย อ้อ แล้วเรื่องหมากฝรั่งนั่นด้วย อย่ามาทำเป็นสร้างภาพต่อหน้าพี่วิธู”
“ผมไม่ได้สร้างภาพ และตอนนั้นพี่วิธูยังไม่ได้สั่งให้ผมขอโทษสักหน่อย...”
“ไอ้ริช แกช่วยไม่เถียงสักคำได้ไหมวะ” วิธูคำราม
“เอ้า... ก็ได้” เขายกฝ่ามือสองมือขึ้นเป็นเชิงว่ายอมแพ้ “เอาเป็นว่าผมขอโทษคุณจริงๆ จากก้นบึ้งของหัวใจ ผมไม่ได้มีเจตนาจะลวนลามคุณหรือทำมิดีมิร้ายกับคุณ แต่ที่ตัดสินใจทำตอนนั้น เพราะผมไม่มีทางเลือกจริงๆ”
ในที่สุดสารวัตรก็พูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “กลางฟ้า เธอยังติดใจอะไรอยู่อีกไหม ถ้าไม่มี พี่จะรีบกลับไปเรียกประชุมด่วน”
มีค่ะ” เธอจ้องเขาโกรธๆ “กลางไม่ชอบให้ถูกติดตาม กลางไม่อยากให้ตำ...”
“มา-ริช” ตำรวจหนุ่มตาสวยพูดเน้นเสียงขึ้นมาดักคอ ก่อนที่เธอจะโพล่งคำว่า ‘ตำรวจนั่น’
กลางฟ้าทำหน้าไม่สนใจ “กลางไม่อยากให้ตำรวจนั่นติดตามกลางค่ะ”
วิธูพูดเสียงกร้าวอย่างหงุดหงิดอย่างที่กลางฟ้าไม่เคยได้ยินมาก่อน “พอได้แล้วนะยายกลาง ตั้งแต่มาเชียงใหม่ เธอก็ก่อเรื่องวุ่นวายมาสองครั้งแล้ว และทั้งสองครั้งก็ต้องเป็นริชมาแก้ไขสถานการณ์ให้ พี่จะไม่สนใจแล้วว่าเธอพอใจหรือไม่ เอาเป็นว่าต่อจากนี้ไปมาริชจะจับตาเธอดูทุกฝีก้าว ถ้าเธอฝืนคำสั่งพี่อีกครั้งเดียว! อีกครั้งเดียวเท่านั้น พี่จะต่อสายเรียกตะวันเอาเธอกลับบ้าน ถ้าไม่เชื่อก็ลองทำดูได้เลย จะได้รู้ว่าพี่เอาจริง”
กลางฟ้าถึงกับหน้าเสียที่โดนเพื่อนพี่ชายดุ เธอเหลือบตามองไปทางมาริช สีหน้าของเขาอ่อนลงจนดูเหมือนเห็นใจ เขาส่ายหน้านิดๆ เหมือนเป็นเชิงบอกให้เธอหยุดเถียงสารวัตร
วิธูยืนจ้องกลางฟ้าด้วยแววตาเข้มให้เธอรู้ตัวว่าเขาทำอย่างที่พูดจริงแน่ จนทำเอาหญิงสาวกลัวหัวหด เมื่อสารวัตรหนุ่มเห็นว่ากำหราบน้องสาวจอมหัวดื้อได้แล้ว เขาก็หันหลังเดินออกจากประตูโดยไม่พูดอะไรอีก มาริชเดินตามหลังวิธูออกไป แต่ก่อนที่พ้นจากประตู เขาทิ้งสายตามาทางเจ้าของบ้านแล้วยิ้มให้ด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ไม่เหลือวี่แววความยียวนอีกต่อไป
ความคิดเห็น |
---|