3

บริเจ็ต ไวท์


 

3

บริเจ็ต ไวท์

 

                “มอนโรไปส่งคุณผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วครับ” แมทธิวเงยหน้าจากโทรศัพท์มือถือตัวเองขึ้นมองหน้าพนักงานโรงแรมแล้วพยักหน้าเบาๆ เชิงรับรู้ ก่อนจะโบกมือปัด เขาต้องการเวลาส่วนตัวระหว่างรอรถของโรงแรมให้ไปส่งเขาที่สนามบิน ระหว่างนั้นคุณหมอหนุ่มก็ตรวจเช็กตารางงานในวันพรุ่งนี้ของตัวเองไปด้วย

                แมทธิวถอนหายใจก่อนจะเดินออกไปถามผู้ช่วยชั่วคราว ซึ่งก็เป็นผู้จัดการโรงแรมที่ทำงานให้ครอบครัวเขามานาน “เอกสารของผมเรียบร้อยแล้วนะ” ชายหนุ่มถามถึงเอกสารจำเป็นที่เขามอบหมายให้ฝ่ายนั้นไปจัดการ

                “เรียบร้อยแล้วครับคุณแมทธิว” ผู้จัดการโรงแรมเทรเวนแกรนด์สาขาใหญ่ค้อมหัวตอบอย่างนอบน้อม แม้คุณแมทธิวจะอายุยังน้อย แต่ด้วยวุฒิภาวะของเขากลับทำให้ทุกคนในบริษัทต่างเคารพได้ไม่ยากเย็น เห็นได้จากการที่เขาดำรงตำแหน่งรองผู้บริหารพร้อมกับเป็นศัลยแพทย์ทางสมองในเวลาเดียวกันแล้วด้วย จึงเป็นเรื่องยากที่ใครจะตั้งคำถามกับความสามารถของเด็กหนุ่มคนนี้ “แล้วเรื่องเลขาฯ คนใหม่ คุณแมทธิวจะให้ผมเปิดรับสมัครเลยหรือเปล่าครับ ถ้าเรารีบจัดการ ผมว่าคงได้เลขาฯ คนใหม่ก่อนวันจันทร์” แมทธิวหยุดเท้า คิดหาคำตอบกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ย

                “ผมรบกวนเวลาทำงานของคุณหรือ”

                “เปล่าครับ เปล่า” ผู้จัดการส่ายหน้าหวือ เกรงว่าตนจะพูดผิดหูเจ้านายหนุ่มเข้า “ผมเพียงแค่ถามครับ ถ้าคุณแมทธิวยังไม่อยากหาเลขาฯ มาแทนเกวนเน็ต ผมจะดูแลเรื่องเอกสารของคุณๆ ไปก่อนก็ได้ แล้วมอนโรก็เข้ามาช่วยอีกแรง คงพอไหวอยู่ครับ”

                “เกวนเน็ตเป็นผู้หญิงน่ารำคาญที่ไร้ประโยชน์แล้วก็สะเพร่า” แมทธิวเปรยเสียงเบา ก้าวขึ้นรถโดยมีผู้จัดการโรงแรมตามขึ้นมาด้วย “เธอทำงานผิดพลาดทุกอย่าง แปลกใจจริงๆ ที่ผมไม่สังเกตเห็นเร็วกว่านี้”

                แมทธิวนั้นนอกจากจะเป็นคนที่สมบูรณ์แบบแล้ว เขายังเป็นคนที่บ้าความสมบูรณ์แบบชนิดเข้าเส้นเลือดอีกด้วย เขาอาจจะไม่คาดหวังให้ได้ดั่งใจทุกเรื่อง แต่หากเขาจริงจังและทุ่มเทความสนใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วละก็ เขาไม่มีทางยอมรับคำว่าผิดพลาดหรือรับฟังข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น

                โดยเฉพาะเรื่องของชาร์ล็อต ที่เกวนเน็ตทำพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาไม่อาจให้อภัยเธอได้

                “เธอใจร้อน แล้วก็”

                “แล้วก็อะไรมาเธ” แมทธิวเลิกคิ้วสูง ถามกระตุ้นหนึ่งในผู้ใหญ่ไม่กี่คนที่เขารับฟังเมื่อฝ่ายนั้นเงียบไปคล้ายกับว่าไม่กล้าพูดสิ่งที่กำลังคิด

                “เธอหึงหวงคุณ” มาเธพูดออกไปในที่สุด แม้จะเอ่ยไม่เต็มเสียงเพราะกลัวว่าคุณแมทธิวจะไม่พอใจ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้ “ถ้าคุณไม่ไล่เธอออก ผมคงจะบอกคุณให้ย้ายเธอไปทำงานตำแหน่งอื่นอยู่ดี เธอเล่นงานผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาสัมภาษณ์จนอ่วมกลับไปเกือบทุกคน”

                “เล่นงานหรือ” แมทธิวคิ้วกระตุก เกวนเน็ตไม่ใช่คนแรกที่พยายามทอดสะพานให้เขา แต่พอได้ยินว่าเธอเล่นงานผู้หญิงที่มาขอพบเขา ซึ่งนั่นก็อาจจะมีชาร์ล็อตอยู่ในจำนวนผู้หญิงพวกนั้นด้วยแล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถาม “เธอทำอะไรผู้หญิงพวกนั้น”

                “ไม่ได้เล่นงานอะไรทำนองนั้นหรอกครับ” มาเธพูดเหมือนรู้ว่าแมทธิวกำลังคิดอะไรอยู่ “เธอแค่แกล้งตามประสาผู้หญิงนั่นแหละ แต่ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เลยไม่คิดจะเอาเรื่องกับเธอ แต่พอนับวันเกวนเน็ตก็ยิ่งเอาใหญ่ โดยเฉพาะแม่หนูตัวเล็กคนนั้นด้วยแล้ว แกล้งสารพัด”

                “ชาร์ล็อตน่ะหรือ” แมทธิวถามเพื่อความแน่ใจ

                มาเธพยักหน้าแล้วระบายยิ้มกว้างอย่างเอ็นดู เมื่อคิดถึงใบหน้าง้ำงอของหญิงสาวเวลาที่กลับออกไปจากโรงแรมหลังจากปะทะฝีปากกับอดีตเลขาฯ ของแมทธิว

                “ใช่ครับ แต่คุณหนูคนนั้นก็เอาเรื่องเหมือนกันนะครับ เกวนเน็ตที่ว่าแน่ยังทำท่าว่าจะแพ้ไปตั้งหลายรอบ” มาเธหลุดหัวเราะก่อนจะรีบปรับสีหน้าเมื่อคิดได้ว่าเจ้านายเขาไม่เคยจะญาติดีกับนักข่าว “นี่ถ้าเธอกล้ากว่านี้ ผมว่าเธอคงบุกขึ้นไปออฟฟิศคุณแมทธิวแล้ว”

                “ทำไมไม่แปลกใจที่ได้ยินอย่างนั้นเลยนะ” แมทธิวพึมพำ เอนหลังพิงที่นั่งแล้วถอนหายใจ รู้สึกสบายใจขึ้นมาเมื่อได้ยินว่าชาร์ล็อตนั้นยังมีนิสัยไม่ยอมแพ้ใคร และกัดไม่ปล่อยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

                “ชอบเธอหรือครับ” มาเธถามออกไปเพราะอดสงสัยไม่ได้ คิดไว้แล้วว่าคนที่เก็บเรื่องส่วนตัวมากๆ อย่างแมทธิวอาจจะไม่พอใจ แต่ด้วยความที่ไม่เคยเห็นว่าแมทธิวจะแสดงออกว่าชอบใครจนออกนอกหน้าขนาดนี้จึงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

                “ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือยังไง” แมทธิวแกล้งขมวดคิ้วทั้งที่ยิ้มพราย “ทำไมใครๆ ถึงเดากันออกง่ายดายจัง”

                “ถ้าเป็นคนนอกก็คงไม่หรอกครับ แต่ผมทำงานกับคุณมานาน” มาเธเองก็อดยิ้มตามไม่ได้เมื่อเห็นว่าเจ้านายของเขามีความสุข “คุณมีความสุขมากขนาดนี้จะดูไม่ออกได้ยังไงครับ”

                “ผมคงต้องระวังตัวกว่านี้แล้ว” แมทธิวพึมพำ ส่ายหัวให้ตัวเองอย่างอับอาย นี่ถ้าไอ้วิลมันรู้ว่าเขามีความรัก มันคงไม่อยู่เฉยแน่ๆ เขาต้องระวังตัวไว้ “เดี๋ยวไอ้วิลมันรู้”

                “ก็ทำไมไม่จีบเธอเลยล่ะครับ” มาเธโพล่งออกไปรอบที่สอง ไม่เห็นปัญหาว่าการที่คุณแมทธิวจะจีบผู้หญิงสักคนจะเป็นเรื่องยากเย็น “เธอน่ารักมากนะครับ อาจจะตัวเล็กไปหน่อย แต่ผมว่าคงจะพอสู้รบกับพวกคุณๆ ไหวอยู่”

                “ยายนี่น่ะแสบอย่าบอกใคร” แมทธิวหัวเราะเบาๆ กับคำพูดของมาเธ แต่ก็ส่ายหัวปฏิเสธคำแนะนำของเขา “แต่จะจีบไปเลยไม่ได้หรอก ผมยังมีปัญหาให้จัดการคุณก็รู้อยู่”

                “อ้อ…” มาเธร้องเสียงเบาในลำคอ รู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้แมทธิวต้องห้ามตัวเอง ไม่เดินหน้าจีบสาวน้อยนั่น “น่าเสียดายนะครับ คุณคงมีความสุขถ้าได้อยู่กับเธอ”

                “จะยิ่งปวดหัวน่ะสิไม่ว่า” แมทธิวบ่นอุบ แม้รู้ดีว่าตัวเองยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่กับชาร์ล็อต แต่กระนั้นก็ยังปากแข็ง

                “ผมชอบเธอนะครับ” มาเธออกความเห็น เมินสายตาแปลกใจของแมทธิวไปแล้วพูดต่อว่า “เธอเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วน่าจะมีความสุข ใช่มั้ยครับ”

                “เธอเป็นคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วมีความสุข” แมทธิวพยักหน้าเขินๆ “แต่ก็โมโหมากเหมือนกัน เธอเป็นคนที่ไม่เคยฟังอะไร เธอไม่เหมือนคนอื่น”

                “เธอไม่ชอบคุณหรือครับ” มาเธถาม ความสงสัยในตาของเขาทำให้แมทธิวขำไม่ออก “ล้อกันเล่นหรือเปล่าครับ ผู้หญิงที่ไม่ตกหลุมรักคุณยังเหลืออยู่บนโลกอีกหรือ”

                “เธอเกลียดความสมบูรณ์แบบ”

                “โอ้…” คำตอบของแมทธิวทำให้มาเธหน้าเครียด ไม่ชอบความสมบูรณ์แบบก็แสดงว่าไม่ชอบคุณแมทธิว เพราะคุณแมทธิวเท่ากับความสมบูรณ์แบบ “ฟังดูเธอก็เป็นคนที่เข้าใจยากนะครับ”

                “เธอเพี้ยน บ้านิดๆ นั่นแหละ” แมทธิวถอนหายใจยาว ทำไมไม่มีใครเข้าใจว่าเรื่องบางเรื่อง ต่อให้เป็นเขา ก็ใช่ว่าจะได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง “แต่เธอก็เป็นของเธอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะแก้ไขได้”

                “ถ้างั้น ผมว่าเรื่องที่คุณเพอร์เฟกต์มันก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร” มาเธครุ่นคิด “เพราะคุณก็เป็นของคุณแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วเหมือนกัน”

                “มัน ‘ไม่เป็นอะไร’ เพราะผมชอบเธอ” แมทธิวกดเสียงต่ำ “แล้วมันก็ ‘เป็นอะไร’ เพราะเธอไม่ได้ชอบผม”

                “ทำไมมันซับซ้อนจังครับ” มาเธยกมือเกาหัวแกรกๆ เมื่อเรื่องที่ควรจะง่ายกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด “ครอบครัวของคุณคงไม่เคยจะได้อะไรมากันง่ายๆ เลยใช่มั้ยครับนี่”

                “ผมก็เสียใจเหมือนกันที่ไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆ เลย” แมทธิวหัวเราะ ฟังคำพูดของคนที่ทำงานกับครอบครัวของตนมาแล้วก็ส่ายหัวในใจ เพราะครอบครัวของเขาไม่เคยจะได้อะไรมาง่ายๆ เลยจริงๆ โดยเฉพาะกับเรื่องคนรัก ชายหนุ่มย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจแล้วว่า “คงเพราะบ้านเราช่างเลือก ของที่ได้มาง่ายๆ ก็ไม่มีใครอยากได้ ส่วนของที่อยากได้กันก็ดันเป็นของที่ต้องตะเกียกตะกายกันเอาเป็นเอาตาย ทำอย่างกับว่าถ้าไม่ได้แล้วจะตายอย่างไรอย่างนั้น”

                “บ้านคุณเอาแต่ใจกันทั้งบ้าน” มาเธเบ้หน้า ความเอาแต่ใจของตระกูลเทรเวนนี้เขาประจักษ์มาแล้วกับตัวเอง หากได้ปักใจว่าอยากได้อะไรแล้วละก็ ไม่มีหรอกที่จะไม่ได้ ต้องใช้เล่ห์ใช้กลทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ได้ดั่งใจ คุณแมทธิวเองก็ไม่ต่างหรอก เพียงแต่ว่าคุณแมทธิวนี้วิธีที่ฉลาดและนุ่มนวลกว่าคนอื่นๆ ในบ้านนิดหน่อยเท่านั้นเอง

                “เรื่องนั้นผมคงเถียงไม่ได้” แมทธิวยิ้มกริ่มตามประสาคนเจ้าเล่ห์

                “แค่คิดผมก็เหนื่อยแทนคุณแล้ว แต่ยังไงก็สู้ๆ นะครับคุณแมทธิว” มาเธอวยพร ใบหน้าของเขาหมองลงเมื่อคิดว่าเรื่องหัวใจของเจ้านายคนนี้คงหนักหนาไม่แพ้เรื่องราวของน้องๆ  

                “ขอบคุณสำหรับคำอวยพรครับมาเธ” แมทธิวยิ้มรับคำอวยพรนั้น แม้จะยังคิดไม่ตกว่าเขาจะจัดการกับเรื่องหัวใจที่ยังไม่แม้แต่จะเริ่มต้นของตัวเองอย่างไรดีก็ตาม

                แมทธิวไม่มีเวลาให้หนักใจกับเรื่องชีวิตรักตัวเองนานเหมือนอย่างเช่นเคย เพราะหลังจากที่มาถึงสนามบิน เขาก็ต้องรีบเคลียร์ตัวเองแล้วบินตรงไปที่นิวยอร์กแทบจะทันที แต่ถึงอย่างนั้นแมทธิวก็ยังมีเวลามากพอที่จะรับสายจากมอนโรซึ่งโทร. มารายงานด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีว่าเขาไม่สามารถไปส่งชาร์ล็อตถึงที่ทำงานได้ เพราะเธอเกิดหิวกลางทางแล้วขอลงที่หน้าร้านพิซซาใกล้ที่ทำงาน

                ยายตัวเล็กนั่นกล้าทำให้คนของเขาขัดคำสั่งเพียงเพราะว่าเธอหิวอย่างนั้นหรือ นี่เขาจะทำอย่างไรกับผู้หญิงอย่างเธอดีนะ คิดแล้วก็ชักโมโห ทำไมเธอถึงได้เป็นคนที่ชวนให้อารมณ์เสียตลอดเวลา ทำไมนะชาร์ล็อต ทำไมกัน

 

                การมาเยือนของศัลยแพทย์ชื่อดังที่เป็นที่เลื่องลือในความเก่งและความหล่อเหลาทำให้เหล่าหมอและพยาบาลในโรงพยาบาลนิวยอร์กฮือฮาไปตามๆ กัน โดยเฉพาะพวกสาวๆ ที่ต่างกรูกันมารอรับหมอแมทธิวกันหน้าแช่มชื่น โดยไม่รู้เลยว่าตอนนี้แมทธิวไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนทนาพาทีกับใครทั้งนั้น

                “แมทธิว” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อทายาทคนโตของตระกูลเทรเวนด้วยความสนิทสนม คงเพราะว่าเขากับแมทธิวนั้นเรียนมาด้วยกันในสมัยมหาวิทยาลัย ก่อนจะแยกย้าย ไปตามทางหลังจากเรียบจบ “มาถึงแล้วหรือ”

                “เซบาสเตียน” แมทธิวเดินเข้าไปหาเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของตน ไม่นำพาต่อสายตาเชิญชวนของสาวๆ เขาเดินตรงไปกอดทักทายเพื่อนแล้วตัดเข้าประเด็นทันที “เธอเป็นยังไงบ้าง”

                “ดีขึ้น แต่ยังไม่ฟื้น” เซบาสเตียนพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี เดินนำแมทธิวไปที่ห้องพักของคนไข้ในความดูแลก่อนจะอธิบาย “เรายังย้ายแกไปที่แอลเอไม่ได้ ร่างกายแกยังอ่อนแอ เราการันตีไม่ได้เลยว่าแกจะไม่มีอาการแทรกซ้อนระหว่างย้าย”

                “ขอแค่เธอปลอดภัย จะยังไงก็ได้ ฉันไม่มีปัญหา” แมทธิวตอบเร็วๆ มองร่างบางของเด็กหญิงที่นอนนิ่งอยู่ในห้องปลอดเชื้อด้วยสายตาว่างเปล่า “ที่อยากย้ายเธอไปแอลเอเพราะฉันอยู่ที่นั่น แกก็รู้ว่าเบลไม่เหลือใครที่นี่แล้ว”

                “เบลล่าอ่อนแอมากนะแมทธิว” เสียงของเซบาสเตียนนั้นแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนย้ายคนไข้ของเขา จากเหตุการณ์ที่เด็กหญิงตัวน้อยเผชิญมา ขนาดให้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวยังต้องใช้เวลาหลายเดือน แล้วเด็กตัวแค่นี้เขาไม่อยากจะรับปากเพื่อนว่าเธอจะแข็งแรงขึ้นและสามารถย้ายไปแอลเอได้เร็วดั่งใจนึก “ฉันไม่กล้ารับปากจริงๆ ว่าเราจะต้องใช้เวลากันเท่าไหร่”

                “เอาที่ดีที่สุดสำหรับเบลก็แล้วกัน” แมทธิวเบนสายตาจากร่างบางของเด็กหญิง ที่เป็นน้องสาวต่างแม่ของตนมาที่เซบาสเตียน “ถ้ามันต้องใช้เวลานาน ฉันจะลาพักร้อนแล้วย้ายมาอยู่นี่สักพัก แต่ก็หวังว่าไม่ต้องทำถึงขั้นนั้น”

                “ถ้าเบลล่าดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างนี้ก็คงไม่ต้องทำ” เซบาสเตียนแบ่งรับแบ่งสู้ จากที่เขาดูแลเบลล่าตั้งแต่เกิดเรื่องมานั้น ถ้าเบลล่าอาการไม่ทรุดลงไปกว่านี้ก็ไม่น่าเป็นห่วง “แกจะทำยังไงกับเธอ” เซบาสเตียนถาม ครั้งนี้ในฐานะของเพื่อนที่เป็นห่วงเพื่อน

                “ฉันทำอะไรอย่างอื่นได้อีกหรือไง” แมทธิวตอบ ทว่าคล้ายกับเขานั้นเย้ยหยันโชคชะตาตัวเองเสียมากกว่า “นายก็รู้ว่าเบลเป็นน้องสาวฉัน ฉันต้องเลี้ยงเธออยู่แล้ว”

                “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี” เซบาสเตียนระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก ผงกหัวอย่างพอใจ แต่ก็ไม่วายมีเรื่องห่วงอีกเรื่อง “แล้วเรื่องคดีล่ะ”

                “เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน” แมทธิวส่ายหัว ยังไม่อยากคิดถึงเรื่องคดีความตอนนี้ ตาคมกวาดไปยังห้องกระจกห้องข้างๆ นัยน์ตาคมวาวโรจน์ด้วยแรงอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่แมทธิวจะสะกดมันลงไปไว้ภายใต้หน้ากากอันงดงามของเขา “เขาเป็นยังไงบ้าง จะฟื้นหรือเปล่า”

                เซบาสเตียนมองตามเป้าสายตาของเพื่อนแล้วสูดลมหายใจเมื่อเห็นว่าคนที่แมทธิวถามถึงนั้นเป็นชายคู่กรณีของพ่อแท้ๆ ของแมทธิว ผู้ชายซึ่งเป็นคนที่พรากพ่อและทำให้น้องสาวของเพื่อนเขาคนนี้มีสภาพไม่ต่างจากคนพิการ

                “สมองเขาตายแล้ว”

                คำตอบนั้นเพียงพอแล้วสำหรับแมทธิว เขาไม่จำเป็นต้องรับรู้อะไรเพิ่ม แต่ใจหนึ่งก็อดเสียดายไม่ได้ที่คู่กรณีของพ่อเขากลายเป็นคนพิการไปอย่างนี้ หากชายคนนี้ยังมีสติอยู่ อย่างน้อยแมทธิวก็คงถามเรื่องที่เขาคาใจอยู่ได้ “นายไม่เชื่อว่ามันเป็นอุบัติเหตุอีกเหรอ” เซบาสเตียนถาม

                “ไม่” แมทธิวตอบเสียงเย็น ตาคมหันกลับมามองที่น้องสาว แต่ไม่รู้สึกเสียใจมากมายอะไร เพียงแค่สงสารที่เด็กหญิงตัวแค่นี้ต้องมาโชคร้าย เจ็บตัวหนักเพียงเพราะคนที่ขับรถเลินเล่อและประมาท “ผู้ชายคนนั้นเขาไม่เคยขับรถเองเลยตั้งแต่ที่ฉันเจอเขา แต่เขากลับต้องมาตายเพราะอุบัติเหตุรถชน เรื่องมันดูไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย”

                “แต่นายไม่มีหลักฐานอะไรเลยนะ” เซบาสเตียนเตือนเพื่อนของตนด้วยความหวังดี “ผลชันสูตรก็ไม่มีอะไรในศพพ่อนาย ต่อให้นายยืนยันให้ตายยังไง ตำรวจเขาก็คงสรุปว่าเป็นอุบัติเหตุอยู่ดี”

                “ฉันรู้” แมทธิวรับเสียงเบา เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะเอาแค่คำพูดตัวเองมายันกับหลักฐานที่ดูเหมือนจะถูกจัดเตรียมกันไว้อย่างสมบูรณ์พร้อม แต่เขาก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปโดยไม่ทำอะไรเลย “ฉันแค่อยากพาเบลกลับบ้าน เรื่องคดีฉันรอได้” แมทธิวหมายความอย่างที่พูดจริงๆ สำหรับเขาแล้วอย่างไรซะคนเป็นก็ต้องมาก่อนคนตาย

                “ฉันจะช่วยเท่าที่ฉันจะช่วยได้” เซบาสเตียนว่า มองเสี้ยวหน้าคมที่ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ไม่อาจจะเทียบเคียงความหล่อนั้นได้ ก่อนจะตัดใจเบือนหน้ากลับมาที่คนไข้ตัวเล็กของเขาต่อ “น้องสาวนายแกร่งมากนะ ฉันไม่เคยเห็นเด็กคนไหนใจสู้เท่าเบลมาก่อนเลย”

                “ไม่มีใครอยากจะตายอย่างโดดเดี่ยวหรอกจริงมั้ย” แมทธิวยิ้มเศร้า ยกมือแตะกระจกห้องปลอดเชื้อด้วยหัวใจห่อเหี่ยวเพราะความสงสาร ก่อนเสียงโวยวายที่หน้าประตูจะทำให้แมทธิวต้องเรียกหน้ากากเย็นชาของเขากลับมา ร่างสูงถอยตัวออกห่าง ผ่อนลมหายใจอย่างรอคอย

                ยายแม่มดมาแล้ว...

                แมทธิวมองผ่านทางเดินของโรงพยาบาลไปยังผู้หญิงที่มีอายุแก่กว่าเขาเพียงแปดปีด้วยสายตาว่างเปล่า สำหรับชายหนุ่มแล้วเรื่องความรักต่างวัยนั้นไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย แต่สำหรับผู้ชายที่ให้กำเนิดเขาคงจะไม่ใช่แบบเดียวกัน เพราะหลังจากมีเบลล่าได้ไม่นาน สเตฟานก็ทำเรื่องฟ้องหย่ากับอดีตภรรยาจนเป็นที่โจษจันกันไปทั้งเมือง

                บ้างก็บอกว่าบริเจ็ต อดีตภรรยาของสเตฟานคนนี้คบชู้แล้วโดนจับได้จนเกิดเรื่องเกิดราวตามมา บ้างก็ว่าเพราะทั้งสองมีปัญหาเรื่องความต่างระหว่างวัย แต่ความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นแมทธิวแทบจะไม่รู้เลย เพราะนอกจากจะเจอกันตามโอกาสที่สเตฟานร้องขอเขาแล้ว หรือไม่ก็แม่ณิชาอ้อนวอนให้เขาไปเจอกับสเตฟาน แมทธิวก็แทบจะไม่ติดต่อส่วนตัวกับพ่อผู้ให้กำเนิดเขาเลย

                จนกระทั่งวันที่ได้รับแจ้งเรื่องอุบัติเหตุ

                “มาได้สักทีนะแมทธิว” บริเจ็ตเรียกชายหนุ่มด้วยความสนิทสนมเกินสมควรที่แมทธิวได้วางลิมิตเอาไว้ ดวงตาคมของชายหนุ่มหรี่แคบลงเมื่อเขามองบริเจ็ตอย่างประเมิน “ฉันรอเธอตั้งนาน ฉันแวะมาดูทุกวันเลย รออยู่ว่าเมื่อไหร่เธอจะมา”

                “มีธุระอะไรกับผมอย่างนั้นหรือครับ” แมทธิวถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ตาคมกวาดมองร่องรอยบนตัวของบริเจ็ตด้วยสายตาว่างเปล่า ทว่าคุณหมอหนุ่มนั้นกำลังจดจำร่องรอยอาการของคนไข้ที่ใช้สารเสพติด และบริเจ็ตเองก็มีมันครบแทบทุกข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการลุกลี้ลุกลนของคนที่กำลังขาดยาแบบที่เธอกำลังเป็นอยู่ “คุณดูไม่ค่อยสบายนะครับคุณบริเจ็ต น่าจะให้หมอตรวจสักหน่อย”

                “ไม่ๆ ฉันไม่เป็นไร” บริเจ็ตโบกมือห้าม กอดกระเป๋าถือใบเก่าของเธอเอาไว้แน่น สลับกับมองซ้ายขวาอย่างระแวง แม้บริเจ็ตจะอายุยังไม่ถึงสี่สิบดี ทว่าใบหน้าของเธอกลับผอมโกรกและดูเหนื่อยล้าจากการอดหลับอดนอน ทั้งริ้วรอยบนใบหน้า แล้วไหนจะผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงทำให้เธอดูไม่ผิดไปจากคนข้างถนน แม้เสื้อผ้าของเธอจะเป็นเสื้อผ้าราคาแพง แต่ก็เป็นเสื้อผ้าที่ขาดการดูแลจนสีซีดเซียว “ฉันสบายดี แค่เหนื่อยนิดหน่อย”

                “อย่างนั้นก็ตามใจคุณเถอะครับ” แมทธิวคลี่ยิ้ม ไม่ใช่ธุระของเขาที่จะต้องดูแลอดีตภรรยาของสเตฟาน ที่เขามาที่นี่ก็เพราะเบลล่าคนเดียวเท่านั้น

                “แมทธิวจ๊ะ” บริเจ็ตเรียกเสียงหวานหยด ยังเชื่อว่าความสวยความสาวของเธอยังมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม โดยหลงลืมไปว่าความงามนั้นได้ถูกลบเลือนไปด้วยยานรกที่ซุกไว้ในกระเป๋าของเธอตั้งนานแล้ว “ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอหน่อย พอจะมีเวลามั้ย”

                “เอ่อ เดี๋ยวฉันไปตรวจยาที่จะให้เบลล่าอีกครั้งก่อนนะ” เซบาสเตียนเอ่ยข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกไปอย่างคนมีมารยาท

                แมทธิวพยักหน้าให้เพื่อนที่เป็นเจ้าของไข้ของน้องสาวอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันกลับมาที่บริเจ็ต

                “ผมพอมีเวลาอยู่ครับ” แมทธิวพูดอย่างสุภาพเช่นเคย ใบหน้างดงามของเขาเรียบเฉยเมื่อบริเจ็ตขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม “เชิญคุณพูดธุระมาได้เลย”

                “คืออย่างนี้” บริเจ็ตทำหน้ากระอักกระอ่วน ยกมือเกาข้อพับแขนที่มีรอยเข็มฉีดยาก่อนจะรีบชักแขนหนีให้พ้นสายตาแมทธิวเมื่อเธอรู้สึกตัว “เธอก็รู้ว่าฉันไม่มีงานทำ เงินที่ฉันได้จากรัฐบาลทุกเดือนก็หมดไปเพราะค่ากินค่าอยู่”

                แมทธิวเงยหน้า ยกมือขึ้นกอดอกแล้วฟังอย่างตั้งใจ เขากำลังครุ่นคิดกับตัวเองอยู่ว่า เขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรให้จบตรงนี้ โดยไม่มีปัญหาคาราคาซังตามมาทีหลัง “ฉันรู้นะว่าเธอรวยมาก ฉันคิดเรื่องนี้อยู่นานว่าจะพูดดีหรือเปล่า” บริเจ็ตถอนหายใจ “คือ...เรื่องพินัยกรรมของสเตฟานน่ะ ฉันว่ามันไม่ถูกต้อง”

                “ผมก็คิดอย่างนั้นครับ”

                “ใช่มั้ยจ๊ะ” บริเจ็ตใจชื้นทันทีเมื่อชายหนุ่มคล้อยตาม “ในฐานะแม่ ฉันอยากให้เธอแบ่งครึ่งทุกอย่างในพินัยกรรมให้เบล ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์จะขอเธอ แต่เบลต้องการเงินหลังจากที่แกหายป่วย เธอเข้าใจใช่มั้ย ไหนจะค่าเรียน ค่ากินค่าอยู่ แล้วค่าหมออีก”

                “ครับ”

                “อีกอย่าง ฉันเองก็ไม่ค่อยสบาย ทำงานไม่ได้ เบลต้องการคนมาดูแล ฉันอยากให้เบลได้สิ่งที่ดีที่สุด เงินของพ่อแกคงพอจะช่วยเรื่องนั้นได้ ช่วงที่ฉันรักษาตัวอยู่”

                “เรื่องเงินคุณไม่ต้องห่วงเลยครับบริเจ็ต เบลจะได้รับทุกอย่างอย่างดีที่สุด ทั้งโรงเรียน เพื่อน สังคม” แมทธิวร่ายยาว ให้คำมั่นแก่บริเจ็ตเพราะเข้าใจว่าอย่างไรเสียคนเป็นแม่ก็ต้องห่วงลูก “เพราะแกจะย้ายไปอยู่กับผมที่แอลเอ”

                “ว่าไงนะ!” บริเจ็ตแผดเสียง ปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำอย่างลืมตัว แต่จะไม่ให้เธอโกรธได้อย่างไรในเมื่อไอ้ลูกเมียเก่าของไอ้สเตฟานกำลังจะพรากบ่อเงินบ่อทองไปจากเธอ นังเบลล่ามันเป็นลูกของเธอ เธอคลอดมันมา เงินที่มันมีก็ต้องเป็นของเธอสิ!

                “อย่าพูดเป็นเล่นหน่อยเลยน่าแมทธิว ฉันเป็นแม่นะ เบลล่าต้องอยู่กับฉันสิ” บริเจ็ตยิ้มจืดเจื่อน แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ

                “คุณเป็นบุคคลล้มละลาย ติดยาเสพติด และไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเลี้ยงดูเบลล่าได้” แมทธิวร่ายยาวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เบลล่าจะย้ายไปอยู่กับผม ครอบครัวเรายินดีที่จะต้อนรับแก”

                “เหลวไหล! แกเอานังนี่ไปเพราะแกคิดจะฮุบสมบัติทั้งหมดเอาไว้เองใช่มั้ยล่ะ” บริเจ็ตแผดเสียง ไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะสร้างภาพเป็นคนดีอีกต่อไป “ครอบครัวบ้าบอของแกน่ะหรือจะหลับหูหลับตารักนังเด็กบ้าคนนี้ลง”

                “เบลเป็นน้องของผม” แมทธิวกดเสียงต่ำ ความโกรธคืบคลานเข้ามาแทนที่ความใจเย็น เมื่อได้ยินบริเจ็ตเรียกน้องสาวของเขาด้วยถ้อยคำที่อย่าว่าแต่คนเป็นแม่เลยที่ไม่ควรพูดอย่างนั้น คนธรรมดาก็ไม่ควรจะใช้คำพูดนั้นกับเด็กอายุเพียงไม่กี่ขวบอย่างเบลล่า “เศษเงินของสเตฟานไม่ได้มีค่าอะไรกับผมเท่าชีวิตของเบลหรอก”

                “งั้นแกจะหวงเงินพวกนั้นเอาไว้ทำไม เอามาให้ฉันสิ ฉันก็เป็นเมีย ฉันมีสิทธิ์ที่จะได้” บริเจ็ตอ้างสิทธิ์ของตน

                “คุณเป็นแค่เมียเก่าของสเตฟาน” แมทธิวเข่นเขี้ยว สายตาคมวาววับด้วยโทสะที่น้อยคนนักอยากจะเผชิญ “แล้วเงินส่วนที่เป็นเมีย คุณก็ได้ไปตอนหย่ากับเขาแล้วนี่”

                “อย่างนั้นเอาเงินค่าตัวนังเด็กนี่มา” บริเจ็ตสั่งอย่างถือสิทธิ์ “ฉันอุ้มท้องตั้งเก้าเดือน คลอดมันมา ถ้าแกจะเอามันไปเลี้ยงต่อก็เอาเงินมา ฉันคิดห้าล้านเหรียญ!”

                “คุณจะไม่ได้เงินจากเราแม้แต่เซนต์เดียว!” แมทธิวคำราม เนื้อตัวสั่นเทายากจะควบคุม เขาไม่เคยโกรธใครขนาดนี้มาก่อนในชีวิต และไม่เคยขยะแขยงใครเท่าบริเจ็ตมาก่อนเลยด้วย “ผมมีสิทธิ์ในตัวเบลตามกฎหมายแล้วทุกอย่าง หรือถ้าคุณจะสู้กับผม ก็เชิญไปฟ้องเอา!”

                “นี่แก!” บริเจ็ตกำหมัด ตัวสั่นเทาเพราะความโกรธและคับแค้นใจไม่แพ้แมทธิว เจ็บใจที่มันกล้าทำเป็นหัวหมอกับเธอ

                “เบลจะต้องอยู่กับผม” แมทธิวยื่นคำขาด “ถ้าคุณอยากจะลองท้าทายความอดทนของผม ก็เชิญคุณบริเจ็ต แต่ยังไงก็เตรียมเงินไว้จ่ายตอนแพ้คดีด้วยล่ะ”

                “พูดอย่างนี้แกคิดว่าฉันจะกลัวแกเหรอไอ้แมทธิว” บริเจ็ตตวาด “แกคิดว่าแค่แกมีเงินแล้วแกจะเอานังเด็กนี่ไปจากฉันได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ฉันทำให้พ่อแกยอมจ่ายค่าตัวมันมาได้รอบหนึ่งแล้ว ทำไมฉันจะทำให้แกยอมจ่ายบ้างไม่ได้”

                “ผมไม่ใช่สเตฟาน” แมทธิวเอ่ยลอดไรฟัน ใบหน้าคมเหี้ยมขึ้นจนบริเจ็ตหน้าซีดเผือด เผลอคิดว่าเธออาจจะเดินหมากในเกมผิด แต่มันคงสายที่จะกลับลำตอนนี้ไปเสียแล้ว “ผมไม่ได้เป็นคนอยากได้เบล แต่ผมต้องเลี้ยงเธอ” เขาเค้นเสียง “แต่ถ้าคิดว่าผมจะยอมจ่ายเงินเพื่อทำให้เรื่องมันจบละก็ อย่าได้ฝัน ทนายที่เก่งแสนเก่งของคุณน่ะ ต่อให้มันจะแน่สักแค่ไหนก็เถอะ ผมมีดียิ่งกว่านั้นอีกจะบอกให้”

                “แกขู่ฉันหรือ” บริเจ็ตเอ่ยลอดไรฟัน

                “ผมพูดความจริง คุณก็รู้” แมทธิวเสียงเฉียบ “ท้าทายผมอีกสิ แล้วคุณจะได้รู้ว่าที่สเตฟานทำน่ะเขาเรียกว่าเมตตา”

                “ฉะ...ฉันไม่กลัวแกหรอก”

                “ผมเองก็ไม่กลัวคำว่าแม่ของผู้หญิงใจยักษ์อย่างคุณเหมือนกัน!” เขาตอบกลับอย่างเลือดเย็น “จะฟ้องก็ฟ้อง ผมไม่กลัวหรอก”

                “แกได้รู้แน่ว่าคนอย่างฉันน่ะ ไม่มีทางกลัวคำขู่ของคนอย่างแกหรอก” บริเจ็ตชี้หน้าคมคาย ใช้คำพูดจิกกัดคาดโทษชายหนุ่มด้วยความเจ็บแค้น “แล้วแกจะได้รู้ว่าแกไม่มีทางเอานังเด็กนั่นไปจากฉันได้ ไม่มีทาง!”

                “เรื่องนั้นก็ต้องรอดูกันไป” แมทธิวเงยหน้า ปรายตามองบริเจ็ตที่เข่นเขี้ยวก่นด่าเขาอย่างคับแค้นใจแล้วเลิกคิ้ว นึกแปลกใจตัวเองอยู่ไม่น้อยที่เขาสามารถทนคุยกับบริเจ็ตได้นานขนาดนี้

                “หึ่ย!” บริเจ็ตกระแทกลมหายใจ มองหน้าแมทธิวด้วยสายตาโกรธแค้นแล้วหมุนตัวหนี แต่แมทธิวก็ยังไม่วายได้ยินคำด่าหยาบคายจากปากของเธอก่อนที่เธอจะเดินพ้นไป “ไอ้พวกเวร ตายไปแล้วยังทิ้งลูกไว้เป็นมารชีวิตฉันอีก แกนะแก”

 

                “ไม่เป็นอะไรนะแมทธิว” ​เซบาสเตียนกลับมาหาเพื่อนทันทีหลังจากที่เห็นบริเจ็ตเดินผ่านห้องไป ใบหน้าของคุณหมอยับยู่ด้วยความขยาด รู้จักฤทธิ์ของผู้หญิงคนเมื่อครู่ดีทีเดียว เพราะแม่เจ้าประคุณเล่นมาโวยวายหาแมทธิวไม่เว้นแต่ละวัน ทำราวกับว่าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาล “เจอฤทธิ์ของเจ้าหล่อนแล้วละสิ ทีนี้เชื่อฉันหรือยังว่าบริเจ็ตน่ะไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เจ้าตัวเที่ยวบอกใครต่อใครหรอก”

                “ฉันไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อเสียทีเดียว” แมทธิวตอบเพื่อนของตน แม้เขาจะได้ยินใครต่อใครพูดถึงฤทธิ์เดชของอดีตภรรยาสเตฟานกันให้แซ่ดว่าเธอร้ายอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เขาก็ยังไม่ปักใจเชื่อจนกระทั่งวันนี้ “แต่เธอร้ายกว่าที่ฉันคิดไว้มาก”

                “น้อยไปสิไม่ว่า” เซบาสเตียนเค้นเสียงหัวเราะ เม้มปากเป็นเส้นตรง ไม่คิดว่าการที่บอกเรื่องของอดีตแม่เลี้ยงให้แมทธิวฟังจะเป็นเรื่องดี แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้แมทธิวใจอ่อน ส่งเบลไปให้บริเจ็ตดูแลอีกครั้งได้ “ก่อนที่พ่อนายจะฟ้องหย่าบริเจ็ตน่ะ นายรู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเบลล่า”

                “เกิดอะไรขึ้น” แมทธิวขมวดคิ้ว เขาไม่รู้สาเหตุการหย่าของสเตฟานกับบริเจ็ตเลย “สเตฟานเขาไม่ได้บอกอะไรฉันเลย มีเรื่องอะไรงั้นหรือ”

                “นายรู้เรื่องแผลเป็นของเบลล่าใช่มั้ย” เซบาสเตียนถาม รอให้แมทธิวพยักหน้ารับเขาจึงยอมเล่าต่อ “แกได้แผลตอนอยู่กับบริเจ็ต”

                เพียงแค่นั้นก็ทำให้ตาสีฟ้าของแมทธิวกลับมาวาววับด้วยแรงอารมณ์ ใบหน้างดงามของเขาสงบนิ่งคล้ายทะเลก่อนที่พายุจะโหมกระหน่ำ เสียงกรามแกร่งบดกันทำให้เซบาสเตียนใจเสียขึ้นมาเล็กน้อย

                “ฉันไม่อยากให้นายให้โอกาสบริเจ็ต ตอนนั้นฉันเป็นคนรักษาแผลให้เบล แล้วก็เป็นฉันเองนี่แหละที่ออกใบรับรองแพทย์ให้สเตฟานใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องหย่าบริเจ็ต ฉันขอร้องละแมทธิว อย่าให้บริเจ็ตได้สิทธิ์ดูแลเบลแม้แต่วันเดียวนะ”

                “ฉันคิดเรื่องนี้อยู่” แมทธิวยกมือขึ้นเสยผมด้วยความยุ่งยากใจ เห็นเค้าลางความวุ่นวายมาแต่ไกล “แต่ยังไงก็คงไม่ปล่อยให้บริเจ็ตได้สิทธิ์ดูแลเบล แกต้องไปอยู่กับฉันที่โน่น”

                “นายมีแผนแล้วใช่มั้ย” เซบาสเตียนถาม หน้าคมเคร่งเครียดด้วยความเป็นห่วงคนไข้ประจำของเขา “เรื่องศาลล่ะ”

                “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว” แมทธิวพยักหน้า เขาแวะยื่นเรื่องขอเป็นผู้ปกครองเบลล่าแต่เพียงผู้เดียวเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ตอนขามาที่โรงพยาบาล “ฉันแค่รอให้ศาลเรียกไป แต่ดูท่าบริเจ็ตคงไม่อยู่เฉย เธอคงฟ้องขอสิทธิ์เลี้ยงดูเบลจากฉันอย่างที่เธอขู่แน่ๆ”

                “เรื่องนั้นคงไม่เป็นปัญหา” เซบาสเตียนแสดงความคิดเห็น

                “ฉันไม่สนเรื่องปัญหา แต่ฉันไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อ เบลต้องกลับบ้าน” แมทธิวเอ่ยเสียงเฉียบ คางแกร่งได้รูปยกขึ้น พร้อมกับเสียงบดกันของกราม เมื่อคิดว่าเบลล่าต้องถูกเจ้าหน้าที่จากศูนย์สงเคราะห์เด็กรับไปดูแลระหว่างการฟ้องร้อง ทั้งๆ ที่เขามีบ้านและโรงเรียนเตรียมไว้รอท่าเบลล่าเรียบร้อยแล้วที่แอลเอ “แล้วเกิดศาลสั่งให้เบลอยู่กับบริเจ็ตระหว่างรอคดีไกล่เกลี่ย ก็มีแต่เบลที่จะยิ่งแย่”

                “อย่างนั้นไม่ได้นะ!” เซบาสเตียนพรั่นพรึง แค่คิดถึงบาดแผลเบลล่าครั้งล่าสุดที่ได้มาตอนอยู่กับบริเจ็ตแล้ว เขาก็อยากจะอาเจียนออกมา “เบลจะอยู่กับบริเจ็ตไม่ได้”

                “ฉันต้องหาตัวช่วย” แมทธิวเอ่ยเมื่อตัดสินใจได้ และที่พึ่งเดียวของเขาตอนนี้ก็คงหนีไม่พ้นคุณพ่อเคลวินและคุณแม่ณิชา พ่อแม่บุญธรรมของเขา “อย่างฉันคงสู้บริเจ็ตคนเดียวไม่ไหว ฉันต้องหากำลังเสริม”

                “ตัวเลือกของนายมีมากมายทีเดียว” เซบาสเตียนพยักหน้า คิดตามคำพูดของแมทธิวแล้วอมยิ้มด้วยความสะใจ แค่คิดถึงบรรดาตัวช่วยของเพื่อนเขาคนนี้ “ขอให้โชคดี ฉันจะดูแลเบลให้นายเอง ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้นะ”

                “ขอบคุณ” แมทธิวพยักหน้า ขอบคุณเซบาสเตียนจากใจที่อุตส่าห์สละเวลาวันหยุดของเขาเพื่ออยู่ดูแลเบลล่าระหว่างที่แมทธิวอยู่แอลเอ

                “แล้วหมอนั่นล่ะ นายจะให้ฉันทำยังไง” เซบาสเตียนชี้ไปยังคนไข้ห้องข้างกัน ซึ่งเป็นห้องพักฟื้นของชายคู่กรณีในอุบัติเหตุที่คร่าชีวิตสเตฟาน พ่อแท้ๆ ของแมทธิวไป “จะให้ฉันจัดการเลยมั้ย จะได้ไม่รบกวนเงินของนาย”

                “เอาไว้ก่อน” แมทธิวคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัวเป็นคำตอบ “ฉันอยากรอดูว่าจะมีญาติมาเยี่ยมเขาหรือเปล่า ขืนปล่อยให้จากไปแบบโดดเดี่ยวอย่างนี้ เขาคงเหงาแย่”

                “อย่างนั้นก็ได้” เซบาสเตียนมองตามสายตาแมทธิวแล้วยักไหล่ แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมแมทธิวต้องเห็นอกเห็นใจชายคนนี้ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยแย้งอะไร ทำเพียงเดินเคียงร่างสูงของแมทธิว พาเขาออกไปจากโรงพยาบาลพร้อมกับบอกรายละเอียดขั้นตอนการรักษาเบลล่าให้แมทธิวฟังไปตลอดทาง

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น