4

‘เธอ’ ของแมทธิว


 

4

‘เธอ’ ของแมทธิว

 

                “ฮื่ม ฮื่ม ฮื่อ ฮือ หือ หื้อ” เสียงฮัมเพลงดังมาจากชาร์ล็อตที่เดินดูดน้ำอัดลมโปรดมาตามทาง เพลงของนักร้องผิวสีชื่อดังที่เพิ่งเปิดในร้านพิซซายังดังก้องอยู่ในหัว เห็นทีจะต้องไปโหลดลงโทรศัพท์มือถือเสียแล้ว  

                หญิงสาววางแผนกับตัวเองก่อนเดินตรงกลับเข้าไปในที่ทำงาน ไม่ได้มีความกังวล เพราะแมทธิวรับปากกับเธอแล้วว่าจะจัดการกับเกร็กสัน บก. ขาโหดของเธอให้ก่อนที่เขาจะไปนิวยอร์ก

                คิดแล้วแปลกใจอยู่บ้างที่คุณแมทธิวไม่ได้โหดอย่างที่ใครเขาเล่าลือกันเลยสักทีเดียว เขาอาจจะเป็นเสือยิ้มยากและหล่อสุดๆ อย่างที่คนต่างพูดกันปากต่อปาก แต่เรื่องที่ชอบจับนักข่าวโยนออกมาจากโรงแรมนี่ไม่เห็นจะจริงเลย บางทีอาจจะเป็นเพราะเจ๊เลขาฯ แสนเขี้ยวคนนั้นที่เป็นคนจัดการกับพวกนักข่าว

                แต่ยังดีที่ชาร์ล็อตยังพอมีโชค ได้เจอคุณแมทธิวโดยไม่ต้องรอให้เลขาฯ เขาอนุญาตก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วชาร์ล็อตเองก็คงไม่ต่างจากนักข่าวสาวๆ ที่โดนขัดแข้งขัดขาไม่ให้มีโอกาสเจอคุณแมทธิวตัวต่อตัวอยู่ร่ำไป

                แล้วนี่เขายังบอกเธออีกว่าจะไปนิวยอร์ก เพราะเรื่องคดีพ่อเขาหรือเปล่านะ ชาร์ล็อตคิดกับตัวเองเล่นๆ แล้วเธอควรจะโทร. หาเพื่อนเธอที่ทำงานเป็นนักข่าวอยู่ในนิวยอร์กไทม์ให้ตามติดเขาระหว่างที่เธอรอท่าอยู่แอลเอดีหรือเปล่า

                “ไม่เอาๆ เดี๋ยวคุณแมทธิวรู้ทันแล้วโกรธ” ชาร์ล็อตพูดออกมาเสียงดัง สะบัดหัวไล่ความช่างสอดรู้สอดเห็นที่กำลังจะทำให้เธอเดือดร้อนไปเสีย “รอให้คุณแมทธิวโทร. มาดีกว่า ปลอดภัยกว่ากันตั้งเยอะ”

                “นี่นังเด็กฝึกงานกลับมาได้แล้วหรือ!” เสียงเรียกกระแนะกระแหนของเอลลี่ทำให้ทุกคนต่างพากันรีบวางงานในมือลง ก่อนจะพุ่งตัวมาที่ชาร์ล็อต พร้อมรัวคำถาม

                “เป็นไงบ้าง ได้สัมภาษณ์คุณแมทธิวหรือเปล่า”

                “ตัวจริงเขานิสัยดีมั้ย”

                “เขาจะให้เราทำสกู๊ปเพิ่มเติมหรือเปล่า”

                “แล้วเขาไม่ด่าอะไรมาหรือ”

                ชาร์ล็อตตาลอยคว้าง มองหาเจ้าของคำถามสลับกันไปมาด้วยความงงงวยก่อนจะยกมือ หยุดการยิงคำถามของคนในบริษัทแล้วทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

                “เอ่อ คือว่า”

                “คว้าน้ำเหลวมาอีกละสิ” เอลลี่ตัดบท ดูแคลนชาร์ล็อตด้วยความเหนือกว่าไปเรียบร้อย คิดแล้วเชียวว่านังเด็กนี่ไม่ได้มีอะไรที่วิเศษวิโสไปกว่าเธอ เพราะถ้านักข่าวสายบันเทิงยังหาบทสัมภาษณ์ของ แมทธิว เทรเวน มาไม่ได้ นังเด็กใหม่นี่ก็อย่าได้หวังเลย “ฉันคิดอยู่แล้วเชียว”

                “ก่อนจะเดือดร้อนเรื่องงานของฉัน เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะค่ะ” ชาร์ล็อตโพล่งออกไปด้วยความหงุดหงิด นี่เธอเพิ่งกินอิ่มไปหยกๆ ยายเอลลี่สุดสวาทขาดใจของโรรันยังทำให้เธอยั้วะได้ คนอะไรปากกรรไกรจริงๆ

                “อู้…” เหล่าพนักงานที่ยืนอยู่ต่างพากันร้อง คาดไม่ถึงว่าเด็กใหม่จะกล้าวัดฝีปากกับยายตัวแสบเบอร์หนึ่งของบริษัท แล้วยิ้มกริ่มมองหน้ากันคล้ายกำลังมีเรื่องสนุก

                “พูดงี้หมายความว่าไง” เอลลี่ถามเสียงเอาเรื่องอย่างไม่ยอมแพ้ เรื่องอะไรเธอจะต้องกลัวคำขู่ของนังเด็กฝึกงานไม่ได้เรื่องอย่างชาร์ล็อตด้วย “จะหาเรื่องฉันหรือ”

                “คนอย่างคุณน่ะฉันไม่จำเป็นต้องหาเรื่อง คุณก็สร้างเรื่องให้ตัวเองได้ทุกวันอยู่แล้วละค่ะ” ชาร์ล็อตเอ่ยออกไปอย่างไม่เกรงกลัว ชักจะเหลือทนที่จะให้เอลลี่โขกสับเธอทุกวันโดยไม่มีปากมีเสียงแล้วเหมือนกัน รุ่นพี่ก็รุ่นพี่เถอะ ลองมาด่าเธอบ่อยๆ เข้า เธอก็ด่ากลับได้เหมือนกัน “คุณไปทำอะไรไว้ล่ะคะ”

                “ฉันทำอะไร” เอลลี่ท้าทาย เธอไม่เคยทำอะไรผิดหรือทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนทั้งนั้นละ นังเด็กปากดี พูดจามั่วซั่ว

                “คุณเขียนข่าวด่าคุณแสนดีไม่ใช่หรือ” ชาร์ล็อตถามเป็นคำตอบ เลิกคิ้วมองหน้าเอลลี่ที่เซถอยหลังไป พร้อมๆ กับเหล่าคนดีที่พากันร้องฮื่อเมื่อนึกได้ “ระวังตัวเอาไว้เถอะ คุณแมทธิวเขาโกรธขนาดนั้น อีกไม่นานคนบางคนคงได้เดือดร้อนเพราะความไม่ยั้งคิดของตัวเอง!”

                ชาร์ล็อตโกหกโดยไม่รู้สึกผิด ไม่สนว่าตอนที่เธออยู่กับชายหนุ่มที่เธออ้างถึงนั้น แมทธิวจะอารมณ์ดีถึงขั้นหัวเราะออกมา แต่ใครจะสน ไม่มีใครอยู่ที่นั่นกับเธอสักหน่อย อย่างน้อยก็ยืมบารมีคุณแมทธิวมาใช้ขู่ยายปากกรรไกรเอลลี่สักหน่อยเถอะ

                “นี่แก…” ชาร์ล็อตยืนมองเอลลี่อ้าปากพะงาบๆ ด้วยความสะใจเพียงอึดใจเดียวแล้วเมินหน้าหนี เดินผ่านหญิงสาวที่กำลังตัวสั่นเพราะยำเกรงต่ออำนาจเงินของคนตระกูลเทรเวน เพื่อตรงไปหาเพื่อนของเธอซึ่งกำลังนั่งทำหน้าขะมักเขม้นกับงานบนโต๊ะ

                สงสัยงานจะสำคัญมาก ทั้งคอนเนอร์และโรรันถึงไม่ว่างมาดูสงครามระหว่างเธอกับเอลลี่ แถมหนนี้เธอยังชนะแบบสวยงามอีกต่างหาก

                “ทำอะไรกันอยู่น่ะ” ชาร์ล็อตเอ่ยปากถาม ยกสายกระเป๋าเป้ออกจากไหล่ก่อนจะทรุดนั่งบนโต๊ะทำงานแสนโล่ง “พวกแกไม่ทันดูฉันฉะกับยัยเอลลี่เลยเห็นมั้ย พลาดของเด็ดแล้วจะบอกให้”

                “กลับมาแล้วหรือชาร์ลี”​ แม้ปากคอนเนอร์จะถาม แต่มือของเขากลับง่วนอยู่กับคีย์บอร์ดไม่เลิกรา ปกติเห็นชอบอู้งานอย่างกับอะไรดี ทำไมวันนี้ถึงได้ขยันผิดหูผิดตา

                “ทำอะไรอยู่น่ะ ท่าทางเครียดเชียว” ชาร์ล็อตยื่นหน้าไปอ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคอนเนอร์ โดยมีโรรันนั่งอ่านเงียบๆ อยู่ข้างกัน ทว่าหน้าจอที่คล้ายกราฟหุ้นทำให้ชาร์ล็อตเบ้หน้า เกลียดเรื่องเศรษฐกิจเข้าไส้อย่าบอกใครเชียว “หุ้นหรือ”

                “ชู่! อย่าเอ็ดไปสิไอ้ชาร์ลี” คอนเนอร์ทำเสียงมีลับลมคมใน ชะเง้อคอมองผ่านคอกโต๊ะของเขาเพื่อตรวจดูว่าไม่มีใครได้ยินสิ่งที่ชาร์ล็อตเพิ่งพูดไป

                “อะไรเล่า” ชาร์ล็อตหน้าเหลอ ไม่รู้ตัวว่าเธอทำอะไรผิด

                “เบาๆ สิชาร์ลี” โรรันย้ำคำพูดที่บอกให้เธอเงียบอีกคน ก่อนจะเกาะเก้าอี้คอนเนอร์ที่นั่งอยู่ข้างหน้า แล้วยื่นปากมากระซิบข้างหูเพื่อนของเขาว่า “นี่เป็นหุ้นของฮอลลีวูดไทม์ คอนเนอร์กับฉันกำลังตรวจดูเพื่อความแน่ใจ”

                “ความแน่ใจเรื่องอะไรหรือ” ชาร์ล็อตถามอีก ก็บอกแล้วว่าเธอไม่ชอบเรื่องพวกนี้ ถ้าเธอจะโง่เรื่องนี้ก็ไม่แปลก

                “หุ้นของฮอลลีวูดไทม์กำลังเปลี่ยนมือ”

                “อะไรนะ!” ชาร์ล็อตตกใจกับสิ่งที่ได้ยินอยู่ครู่หนึ่งก่อนขมวดคิ้ว ความคิดชั่วร้ายโผล่มาในหัวสมองของเธออย่างรวดเร็ว นี่มันโอกาสทองที่เธอจะใช้ปฏิเสธแม่ที่บังคับให้เธอทำงานประจำชัดๆ ในที่สุดสวรรค์ก็โปรดเธอจนได้ ถึงจะปล่อยให้เธอทนทรมานอยู่ตั้งนานสองนานก็เถอะ แต่ยังไงซะชาร์ล็อตคนนี้ก็ให้อภัย เพราะเธอลืม แต่เอ๊ะ!

                “แล้วใครล่ะที่เป็นคนมาซื้อหุ้นของฮอลลีวูดไทม์ คงรวยน่าดู ตกลงกันได้เร็วขนาดนี้” ชาร์ล็อตถามแล้วออกความเห็น เธอไม่ระแคะระคายมาก่อนเลยว่าฮอลลีวูดไทม์จะถูกซื้อ

                “จะใครอีกล่ะ ก็พวกเทรเวนไง” คอนเนอร์บอก “ในแอลเอนี้ไม่มีนักธุรกิจคนไหนอยากจับสื่อสิ่งพิมพ์อย่างฮอลลีวูดไทม์หรอก เพราะยิ่งแต่จะเพิ่มปัญหาให้พวกเขา เว้นแต่พวกเทรเวนที่ฮอลลีวูดไทม์เพิ่งยื่นขาไปตอแยด้วย จะพูดให้เจาะจงกว่านั้นก็คือเอลลี่กับเกร็กสันที่กล้าท้าทายบ้านเทรเวนด้วยการเขียนข่าวลูกสาวบ้านนั้นเสียๆ หายๆ”

                ชาร์ล็อตตาโต คิดย้อนไปถึงคำพูดของแมทธิวที่ว่า ‘เขาไม่ว่างมาเอาเรื่องคุณหรอก’ แล้วย่นคอ คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะหมายถึงเรื่องนี้

                “นายแมทธิวสุดที่รักของเธอคงโกรธน่าดู ซื้อฮอลลีวูดไทม์เร็วอย่างกับซื้อกาแฟแน่ะ” โรรันทำหน้าทำตาขนลุกขนพอง คิดอยู่ว่าถ้าเขารวยเท่า แมทธิว เทรเวน ขึ้นมาสักวันหนึ่ง เขาจะกว้านซื้อของที่อยากได้เร็วขนาดไหน “เห็นอย่างนั้น เชือดกันนิ่มๆ แบบไม่คิดจะสงสารเลยนะนายแมทธิวนี่”

                “แล้วนี่เราจะยังมีงานทำอยู่หรือเปล่า” คอนเนอร์ผละจากหน้าจอ เงยหน้ามองชาร์ล็อตอย่างรอคอย

                “มองฉันอย่างนั้นหมายความว่ายังไง” ชาร์ล็อตเลิ่กลั่ก เธอไม่มีคำตอบอะไรให้ใครทั้งนั้นละ “ฉันไม่รู้หรอก”

                “เธอเพิ่งไปเจอเขามาไม่ใช่หรือ เขาไม่ได้บอกอะไรเธอเลยหรือไง” โรรันตั้งข้อสังเกตอีกคน”หรือบอกว่าจะไล่เราออกให้หมดอะไรทำนองนั้น”

                “ไม่ เขาแค่บอกให้กลับมา เขาต้องไปทำธุระที่นิวยอร์ก เราไม่ได้คุยอะไรกันมาก” ชาร์ล็อตส่ายหัว ไม่ได้บอกเรื่องที่เธอให้เบอร์ติดต่อกับแมทธิวเพราะเห็นว่านั่นเป็นเรื่องไม่จำเป็น

                “เห็นทีฉันจะคงต้องหางานใหม่ไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว” คอนเนอร์บ่นกับตัวเองด้วยความเซ็ง กระแทกลมหายใจอย่างคิดไม่ตกเมื่อคิดถึงการแข่งขันในสังคมทุกวันนี้ “แต่ใครจะจ้างฉันวะ”

                “นายคิดว่าคุณแมทธิวเป็นคนซื้อหุ้นของฮอลลีวูดไทม์จริงๆ หรือ” ชาร์ล็อตกระซิบกระซาบ ระแวงว่าคนอื่นๆ จะมาได้ยินเรื่องนี้เข้าแล้วจะพลอยกลายเป็นเรื่องใหญ่

                “ไม่ชัวร์ แต่คิดว่าใช่”​ คอนเนอร์ยักไหล่ “แต่ไม่ว่าจะใคร ก็ทำให้เกร็กสันเต้นผางไปหาเจ้าของฮอลลีวูดไทม์แทบไม่ทันก็แล้วกัน เธอน่าจะได้เห็น หน้าเขาซีดอย่างกับศพ”

                “ขนาดนั้นเลยหรือ” ชาร์ล็อตหน้าเหยเก ถ้าคนที่ซื้อหุ้นของฮอลลีวูดไทม์เป็นแมทธิวจริงๆ เกร็กสันก็น่าเห็นใจที่ต้องมาเดือดร้อนแค่เพราะควบคุมลูกน้องไม่ได้

                “ไม่ใช่แค่เกร็กสันหรอกที่เดือดร้อน” โรรันเปรยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ถ้าฮอลลีวูดไทม์โดนเปลี่ยนเจ้าของ เราได้เดือดร้อนกันหมดนั่นแหละ”

                “อยากเป็นคนรวยอย่างคุณแมทธิวของเธอจังชาร์ลี” คอนเนอร์บิดขี้เกียจ ไม่เห็นประโยชน์ที่เขาจะไปกังวลเรื่องหุ้นของฮอลลีวูดไทม์ เพราะเขาก็ทำอะไรไม่ได้ “อยากรู้จริงๆ ว่าชีวิตคนรวยอย่างเขาจะดีแค่ไหน”

                “ฉันก็เหมือนกัน” โรรันถอนหายใจ คิดหาทางออกไว้ให้ตัวเองล่วงหน้าหากเขาโดนไล่ออก “ทั้งหล่อทั้งรวย ชีวิตใครจะดีเท่าเขาอีกนะ”

                “ฉันว่าเขาก็ต้องมีปัญหาของเขานั่นแหละ” ชาร์ล็อตย่นจมูก

                “ไม่มีปัญหาไหนที่เงินแก้ไขไม่ได้หรอกชาร์ลี เธอน่าจะรู้เรื่องนั้นดีนี่นา” คอนเนอร์เหล่มองหน้าเธอ พร้อมยิ้มกริ่มอย่างมีความหมาย

                ชาร์ล็อตจึงแยกเขี้ยวใส่เขาเป็นการตอบแทน “รู้ย่ะ รู้ดีเชียวละ”

 

                ชาร์ล็อตเกาหัวแกรกๆ ด้วยความยุ่งยากใจ หลังจากคิดทบทวนคำพูดที่เธอเตรียมมา เพื่อบอกแม่ของเธอว่าเธอจะไม่ทำงานประจำอีกต่อไปแล้วก็นึกกลัว รู้ดีว่าแม่ของเธอไม่ชอบให้เธอเดินทางขนาดไหน แต่ท่านก็น่าจะรู้ว่าเธอเองก็เกลียดการอยู่ที่เดิมนานๆ พอกัน

                แม่ควรจะเคารพการตัดสินใจของเธอได้แล้ว เฮ้อ วัยรุ่นเซ็ง

                หญิงสาวเดินคอตกเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ หรือจะพูดให้ถูกก็คือปราสาทขนาดเล็กที่ตั้งอยู่นอกเมืองแอลเอออกมาเล็กน้อยอย่างอืดอาด พยายามที่จะยืดเวลาเจอหน้าแม่ออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือบางดันบานประตูไม้หนักอึ้งนั้นให้เปิดออกอย่างทุลักทุเล ก่อนเสียงร้องชวนขนลุกจะทำให้เธอหรี่ตา จ้องมองตัวการที่ส่งเสียงทักเธอเขม็ง

                “เมี้ยว”

                “ไงทาบิต้า คุณนายหลุยอิซ่าของแกอยู่บ้านหรือเปล่า” ชาร์ล็อตทักศัตรูคู่อาฆาตที่นั่งรออยู่ตรงหน้าประตู เจ้าเหมียวทาบิต้าขู่ฟ่อใส่เธอทันทีที่เห็นหน้า ก่อนมันจะหมุนตัวเดินหนีไปทางอื่นราวกับรังเกียจที่จะคุยกับเธออย่างไรอย่างนั้น ชาร์ล็อตหรี่ตามองตามแมวของแม่เธอด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ เธอเองก็เกลียดมันไม่น้อยไปกว่าที่มันเกลียดเธอหรอก

                “ไอ้แมวอ้วน” ชาร์ล็อตบริภาษเจ้าแมวสีดำตัวเขื่องไล่หลัง

                “ฟ่อ!”

                “ลูกไม่ควรว่าทาบิต้าของแม่อย่างนั้นนะชาร์ล็อต วันนี้มันอารมณ์ไม่ดีเพราะแม่เอาหนูที่มันล่าได้ไปฝัง” เสียงตำหนิของหลุยอิซ่าดังมาจากชั้นบนของบ้าน แต่เมื่อชาร์ล็อตเงยหน้าขึ้นมอง เธอกลับไม่เห็นใคร

                “แมวของแม่เกลียดหนูตลอดเวลานั่นแหละค่ะ ไม่ใช่เพราะหนูของมันโดนฝังหรอก” ชาร์ล็อตย่นจมูก หย่อนกระเป๋าของเธอวางไว้บนเก้าอี้หน้าประตู ก้มลงถอดรองเท้าเปลี่ยนมาเป็นสวมรองเท้าในบ้าน ก่อนที่คุณนายหลุยอิซ่าจะโมโหเธออีกคน “แม่อยู่ไหนคะนั่น”

                “ข้างบนจ้ะ” คำบอกนั้นทำให้ชาร์ล็อตไต่บันไดหินเก่าครึของแม่เธอขึ้นไปชั้นบน

                อันที่จริงบ้านหลังใหญ่นี้จะเรียกว่าปราสาทก็คงไม่ผิดนัก แต่ก็เป็นปราสาทผีสิงสำหรับชาร์ล็อต เพราะนอกจากหลุยอิซ่าแม่ของเธอแล้ว ก็มีเพียงเจ้าทาบิต้าตัวอ้วนเท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่

                เมื่อเท้าเล็กก้าวขึ้นมาถึงชั้นบนของบ้านซึ่งเป็นห้องทำงานของแม่ ชาร์ล็อตก็ถอนหายใจยาว สีหน้าซังกะตาย มองกองหนังสือที่กองกันเป็นพะเนินสลับกับกองกระดาษซึ่งวางระเกะระกะเต็มทางเดิน “ต้นฉบับยังไม่เสร็จอีกหรือคะแม่” ถ้าห้องเป็นสภาพนี้แม่เธอคงอยู่ในช่วงเดตไลน์

                “ใกล้แล้วจ้ะ” หลุยอิซ่าตอบระหว่างพิมพ์ตัวหนังสือลงบนแป้นพิมพ์ ชะงักมือไปครู่หนึ่งเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่า “ลูกไม่ได้บอกแม่ว่าลูกจะมาบ้านวันนี้นี่”

                “แม่ทำงานไปเถอะค่ะ หนูรอได้” ชาร์ล็อตเอ่ยอย่างเข้าใจ มองแม่ก้มหน้ากลับไปเขียนงานต่ออย่างขะมักเขม้นเหมือนที่เห็นจนชินตาตั้งแต่เธอเป็นเด็ก แล้วเดินมานั่งรออยู่เงียบๆ ตรงมุมห้อง

                แม่ของเธอเป็นนักเขียนมาตั้งแต่เธอจำความได้ เพียงแต่ว่าช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ งานของแม่ถูกหยิบไปทำซีรีส์โทรทัศน์แถมยังดังเป็นพลุแตก จากนักเขียนที่แค่พอมีพอกิน หลุยอิซ่าจึงกลายเป็นเศรษฐีนีที่ร่ำรวยจนสามารถซื้อปราสาทได้ด้วยเงินของตัวเอง

                ชาร์ล็อตถอนหายใจ นั่งรอแม่ฆ่าเวลาด้วยการตามอ่านข่าวของคนตระกูลเทรเวนเพื่อเป็นการเก็บข้อมูลอยู่พักใหญ่ผ่านโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่แม่จะเรียก

                “สวัสดีจ้ะลูกรัก” หลุยอิซ่าลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน อ้าแขนมารอรับร่างบางของลูกสาวคนเดียวมากอดด้วยความคิดถึง

                “สวัสดีค่ะแม่” ชาร์ล็อตส่ายหัว เพิ่งตระหนักได้ว่าบ้านเธอนั้นผิดแปลกจากบ้านคนอื่นเพียงใด ก็ดูสิ เธอมาถึงบ้านตั้งนานแล้ว แต่เพิ่งได้พูดสวัสดีแล้วกอดทักทายกับแม่ “แม่สบายดีนะคะ”

                “จะสบายดีกว่านี้ถ้าลูกสาวหัวดื้อของแม่ยอมย้ายกลับมาอยู่บ้านกับแม่สักที”​ หลุยอิซ่าแกล้งพูดประชด คลายอ้อมกอดแล้วเดินผ่านกองหนังสือด้วยฝีเท้าเงียบกริบไม่ต่างจากเจ้าทาบิต้า เดินผ่านห้องใหญ่แต่ละห้องลงมาข้างล่าง โดยมีจุดหมายอยู่ที่ห้องโถงใหญ่

                “ห้องรูหนูของลูกมีดีอะไรนักนะ” เธอบ่น ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กสมัยนี้ถึงชอบอยู่ในห้องเล็กๆ แทนที่จะเป็นบ้านหลังใหญ่ มีพื้นที่กว้างขวางอย่างที่เธอชอบ

                “มันอยู่ใกล้ที่ทำงานหนูไงล่ะคะ” ชาร์ล็อตยิ้มยิงฟัน บอกเหตุผลที่เธอเลือกอยู่ ‘ห้องรูหนู’ มากกว่าปราสาทผีสิงแห่งนี้ของแม่

                “ลูกไม่ได้ทำงานสักหน่อย” หลุยอิซ่าหันกลับมาแค่หน้า เอ่ยดักคอลูกสาวอย่างรู้ทัน “ที่หนูไม่ย้ายมาเพราะหนูคิดจะหนีแม่ไปอยู่ที่อื่นอีกละสิ บอกแม่มาตามตรงนะชาร์ล็อต” เธอหรี่ตาจับผิดลูกสาว

                “แม่คะ” ชาร์ล็อตครางระโหย “เราคุยกันเรื่องนี้แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วแม่ก็สัญญาเองว่าถ้าหนูลองทำงานนี้แล้วไม่ชอบงานประจำพวกนี้จริงๆ แม่จะยอมตามใจหนู”

                “นี่ลูกจะทิ้งแม่ไปจริงๆ ด้วย” หลุยอิซ่ายกมือขึ้นแนบอก ทำตาโตคล้ายกำลังตกใจจนช็อก แล้วหมุนตัวสองรอบก่อนจะทรุดลงไปนั่งบนโซฟาใหญ่ คร่ำครวญด้วยน้ำเสียงอาลัย “ลูกทำไมใจร้ายกับแม่อย่างนี้นะชาร์ล็อต ลูกกลับมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงหกเดือน ก็จะทิ้งแม่ไปอีกแล้ว”

                “หนูโตแล้วนะคะแม่”​ ชาร์ล็อตกลอกตา ชินเสียแล้วที่แม่เธอชอบแสดงอะไรเกินจริง  “แล้วก็เลิกทำอย่างนี้สักที เราอยู่กันสองคนนะคะ ไม่มีใครมาเห็นหรอก”

                “อ้าวเหรอ” หลุยอิซ่าทำหน้าคล้ายนึกได้ เลิกแกล้งชาร์ล็อตปุบปับทันควัน แล้วเปลี่ยนมาเป็นแหวคนเป็นลูกเสียงแหลมแทน “แต่ลูกจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ! แม่อยากอยู่กับหนู”

                “แม่ก็ไปกับหนูสิคะ แม่ทำงานที่ไหนก็ได้อยู่แล้วนี่” ชาร์ล็อตเสนอทางออก

                “หนูก็รู้ว่าทาบิต้าเกลียดเครื่องบิน” หลุยอิซ่าชักสีหน้า มองชาร์ล็อตด้วยสายตาราวกับว่าหญิงสาวเป็นคนโง่เสียเต็มประดาที่กล้าลืมเรื่องแมวตัวโปรดของเธอลง “แล้วแม่ก็ทิ้งทาบิต้าไว้ที่นี่ไม่ได้”

                “งั้นแม่ก็ต้องปล่อยหนูไป”

                “นี่ลูกจะทิ้งแม่แก่ๆ คนนี้ของลูกไว้กลางป่ากลางเขาคนเดียว โดยไม่คิดจะหันมาใส่ใจเลยเหรอ” หลุยอิซ่ากลับมาโอดครวญอย่างสมบทบาทอีกครั้ง เมื่อชาร์ล็อตทำท่าว่าจะยืนกระต่ายขาเดียว ไม่ยอมกลับมาอยู่ที่แอลเอกับเธอเป็นการถาวร “จิตใจของลูกมันทำด้วยอะไรกันเนี่ย”

                “แล้วแม่มาอยู่กลางป่ากลางเขาแบบนี้ทำไมล่ะคะ” ชาร์ล็อตเสียงดังอย่างเหลืออด แม่เธอพูดอย่างนั้นได้ยังไง บ้านนี้ท่านก็เป็นคนตัดสินใจซื้อแล้วก็อยากมาอยู่เองแท้ๆ เชียว

                หลุยอิซ่าหยุดการร้องไห้จอมปลอม ก่อนส่งเสียงบอกชาร์ล็อตอย่างคนเอาแต่ใจ “อ๊ะ ก็แม่ชอบ”

                “แม่ขา หนูขอร้องละค่ะ คืนพาสปอร์ตให้หนูเถอะ หนูอยากกลับไปทำงานของหนูจะแย่แล้ว”

                “ไม่” หลุยอิซ่ายกมือกอดอก เมินหน้าหนีคนที่กำลังขอร้องเธอตาปรอย แล้วเชิดหน้าสูง “ห้ามหนูหนีแม่กับทาบิต้าไปไหนอีกทั้งนั้น แม่ไม่ยอมหรอก”

                “ทาบิต้ามันเกลียดหนูอย่างกับอะไรดี” ชาร์ล็อตบอก ชี้นิ้วไปยังเจ้าแมวดำตัวเขื่องที่เดินนวยนาดไปมารอบห้อง

                “เหลวไหล! ทาบิต้าน่ารักจะตาย ลูกนั่นแหละที่หาข้ออ้างหนีเราไป” หลุยอิซ่าหันขวับเมื่อได้ยินว่าลูกชายสุดหล่อของเธอโดนชาร์ล็อตปรักปรำ

                “ทำไมแม่ต้องเป็นอย่างนี้ทุกทีเลยคะ มีเหตุผลหน่อยสิคะแม่” ชาร์ล็อตโอด “แม่ก็รู้ว่าหนูติดแหง็กอยู่ที่บ้านผีสิงนี้กับแม่ไม่ได้ หนูอยู่ไม่ได้ หนูไม่ใช่แม่นะคะ”

                “บ้านแม่ไม่มีผีสักหน่อย” เจ้าของบ้านผีสิงย่นคอ เอ่ยเสียงแข็งเมื่อชาร์ล็อตว่าร้ายบ้านแสนรักของเธออีกอย่างแล้ว

                “บ้านแม่มันต่างจากบ้านผีสิงตรงไหนล่ะคะ” ชาร์ล็อตย้อนถาม โบกมือมาที่ตัวของหลุยอิซ่าแล้วว่า “ผู้หญิงที่เอาแต่สวมชุดดำ แมวก็ยังสีดำ บ้านเงียบอย่างกับสุสาน แถมแม่ยังชื่อโบราณขนาดนี้ นี่มันบ้านผีสิงในตำนานชัดๆ”

                “เรื่องชื่อของแม่ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้” หลุยอิซ่ายักคอ ทำปากบุ้ยใบ้คล้ายเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว “แต่ช่างหัวมันสิ”

                “แม่!” ชาร์ล็อตยกมือขึ้นทึ้งผม อยากจะตายไปเสียตรงนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด ทำไมเธอรู้สึกเหมือนแม่ของเธอไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด “เลิกทำแบบนี้สักทีเถอะค่ะ ยังไงหนูก็ต้องกลับไปอยู่ดี ฮอลลีวูดไทม์กำลังจะถูกเทกโอเวอร์”

                “โดยใครกัน” หลุยอิซ่าขมวดคิ้ว ไม่ยักรู้ว่าบริษัทสื่อที่เพื่อนของเธอเป็นเจ้าของกำลังจะถูกขายทอดตลาด

                “พวกเทรเวนค่ะ” ชาร์ล็อตเอ่ย แม้จะยังไม่มีการยืนยันใดๆ แต่เธอก็ต้องขอใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างก่อน

                “พวกคนรวยนิสัยแย่” หลุยอิซ่าเบ้หน้าหนัก ไม่ตั้งคำถามอีกเมื่อได้ยินว่าใครเป็นคนซื้อบริษัทของเพื่อนเธอ “เอาแต่ใจกันทั้งบ้าน แต่ดีที่คุณนายเทรเวนน่ารัก แม่เลยไม่เกลียด”

                “แม่…” ชาร์ล็อตเรียกแม่ เมื่อท่านทำท่าจะหลงประเด็น ลืมว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ “งานหนูค่ะ”

                “อ้อ ใช่สิ งานหนู” หลุยอิซ่ากลับมาทำหน้าเคร่ง ดึงตัวเองให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน “ว่าแต่ว่าพวกเทรเวนจะซื้อฮอลลีวูดไทม์ไปทำไมกัน พวกเขาเกลียดสื่ออย่างกับอะไรดี”

                “หนูเดาว่าคงเพราะคนในบริษัทดันไปเขียนข่าวว่าร้ายคุณแสนดี ลูกสาวคนเดียวของบ้านเทรเวนหนักไปหน่อยน่ะค่ะ”

                “อ่า แม่สาวสวยที่โดนปล้ำจูบบนเวทีงานวันนั้นอย่างงั้นใช่มั้ย” หลุยอิซ่าเอ่ย คิดไปถึงข่าวบันเทิงที่เธออ่านผ่านตาอยู่เมื่อวันก่อนแล้วพยักหน้า “เด็กคนนั้นเป็นลูกสาวของบ้านเทรเวนหรอกหรือนี่ ถึงว่า...สวยได้แม่”

                “เธอสวยมากค่ะ แล้วหนูก็ชอบเธอมากด้วย” ชาร์ล็อตว่าเสียงเบื่อ

                “แม่ก็ชอบเธอนะ” หลุยอิซ่าแย่งบอก คิ้วของเธอขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อชาร์ล็อตพูดว่าชอบคนคนเดียวกับเธอ ก่อนจะลดเสียงเบาเมื่อเอ่ยว่า “เธอสวย”

                “บ้านนี้ใครไม่หล่อไม่สวยกันบ้างล่ะคะแม่” ชาร์ล็อตทำหน้าซังกะตาย “นี่แม่เอาแต่เปลี่ยนเรื่องตลอดเลย พูดกันไม่จบสักทีเลยเห็นมั้ยคะเนี่ย” หญิงสาวท้วงแม่ตัวเองอย่างโกรธๆ แต่โกรธตัวเองมากกว่าที่หลงติดลมตามแม่ไปเสียได้ “หนูจะไม่ทำงานประจำ” เธอยืนยันเสียงแข็ง

                “ลูกไม่ต้องทำงานก็ได้” หลุยอิซ่าเอ่ยให้ชาร์ล็อตดีใจได้เสี้ยววินาที ก่อนตีหัวลูกสาวเธอหนักๆ ด้วยคำพูดที่ว่า “แต่ลูกก็ห้ามไปไหนทั้งนั้นด้วยเหมือนกัน”

                “อะไรนะคะ!” ชาร์ล็อตหน้าเหลอด้วยความตกใจ

                “แต่ถ้าลูกทำงานเป็นหลักเป็นแหล่ง แม่จะอนุญาตให้หนูพักร้อนได้สามเดือนครั้งหนึ่ง” หลุยอิซ่ายื่นข้อเสนอ

                “แต่นี่มันเกินสามเดือนมาแล้วนี่คะ” ​ชาร์ล็อตเถียง “ทำไมแม่ไม่ปล่อยให้หนูไปไหนสักที”

                “หนูไม่ได้ทำงานจริงๆ สักหน่อย”​ หลุยอิซ่าบอกอย่างรู้ทัน มองหน้าชาร์ล็อตแล้วโคลงหัว เบื่อหน่ายที่ชาร์ล็อตมักทำเป็นว่าการที่เธอชอบปลีกวิเวกนั้นหมายความว่าเธอไม่คบค้าสมาคมกับใคร “แม่รู้นะว่าถ้าบ้านเทรเวนไม่มาเทกโอเวอร์ฮอลลีวูดไทม์ ลูกก็คงจะร่อนไปร่อนมาจนเกร็กสันไล่ลูกออก แม่พูดถูกใช่มั้ยล่ะ”

                “รู้อย่างนี้แล้วแม่ก็ควรจะดีใจนะคะที่หนูไม่ทำให้เสียเครดิตนักเขียนคนดังของแม่” ชาร์ล็อตยิ้มแฉ่ง ไม่ได้เดือดร้อนที่แม่ของเธอจับได้ไล่ทันแผนการอันชาญฉลาดของเธอ แถมยังพูดอีกว่า “คุณแมทธิวนี่พ่อพระมาโปรดชัดๆ เลย”

                “ลูกนี่มันเจ้าเล่ห์ไม่มีใครเกิน” หลุยอิซ่ากัดฟันมองหน้าชาร์ล็อต มันเขี้ยวใบหน้าระริกระรี้ของคนเป็นลูกขึ้นมาตงิดๆ

                “ก็หนูลูกแม่ไงคะ” ชาร์ล็อตยิ้มกว้างกว่าเดิม เมินเฉยที่โดนหลุยอิซ่าพูดประชดประชัน

                “เอาละจ้ะลูกสาวสุดที่รักของแม่” หลุยอิซ่าตบมือเสียงดัง ผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยแล้วสรุปอย่างเอาแต่ใจว่า “ตกลงตามนี้ ลูกจะทำงานของลูกต่อไปเรื่อยๆ”

                “หนูไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย” ชาร์ล็อตท้วง

                “แต่แม่เข้าใจอย่างนั้น เพราะแม่พอใจ” คราวนี้เป็นหลุยอิซ่าที่ยิ้มกวนประสาทลูกสาว

                “แล้วถ้าบริษัทโดนปิดล่ะคะ หนูยังจะต้องจะทำงานอยู่อีกมั้ย” ชาร์ล็อตอิดออดเพราะไม่อยากแพ้

                “แม่ก็จะฝากให้หนูไปทำงานกับเพื่อนแม่ทุกคนจนหนูยอมแพ้ไปเองยังไงล่ะจ๊ะ” หลุยอิซ่าเฉลย แต่ชาร์ล็อตกลับไม่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก หน้าเล็กบูดบึ้งแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร คงเพราะเธอรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น “ไปเตรียมตัวซะลูก เราจะไปทานข้าวเย็นกันในเมือง”

                “แม่จะทิ้งบ้านผีสิงของแม่เพื่อไปทานข้าวในเมืองหรือคะ นี่มันวันอะไรอย่างนั้นหรือ”​ ชาร์ล็อตทำตาโต เธอเองก็เล่นละครเก่งไม่แพ้หลุยอิซ่าแม่ของเธอหรอก

                “จ้ะ เพราะวันนี้จะไม่มีแม่บ้านเข้ามาทำอาหาร” หลุยอิซ่าบอกเหตุผลที่ทำให้เธอจากบ้านอันแสนรักนี้ไป นักเขียนคนดังเดินผ่านลูกสาวที่ยืนทำหน้าซังกะตายใส่เธอขึ้นไปชั้นบน เพื่อทำงานต่อระหว่างรอให้ชาร์ล็อตเตรียมตัว แต่ก็ไม่ลืมเอ่ยมาตามลมด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะว่า “แล้วก็อีกครั้งนะจ๊ะชาร์ล็อต บ้านแม่ไม่ใช่บ้านผีสิง คุณแม่ขอเตือน”

               

                เทรเวนแกรนด์ สาขานิวยอร์ก

                “สวัสดีครับคุณแมทธิว” พนักงานในโรงแรมเอ่ยทักทายรองผู้บริหารของโรงแรมในเครือเทรเวนแกรนด์ทั้งหมดด้วยความเคารพ เมื่อร่างสูงของแมทธิวก้าวผ่านประตูโรงแรมเข้ามา ชายหนุ่มมีเพียงกระเป๋าเดินทางใบเล็กติดตัวมาด้วย เขาจึงบอกปัดพนักงานยกกระเป๋าที่ทำท่าว่าจะเข้ามาช่วยถือ

                “ไม่เป็นไรครับ” แมทธิวยกมือห้าม ทำให้พนักงานที่ทำท่าจะมาแย่งกระเป๋าเดินทางชะงักไป พี่ชายคนโตในบรรดาสามพี่น้องเทรเวนเดินตรงไปที่รีเซปชันเพื่อจัดการเปิดห้องพักของตน ไม่ใช้สิทธิ์พักฟรีด้วยเหตุผลที่ว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวถ้าไม่ลืมจะเอาบิลไปเบิกกับคุณพ่อเอง” ชายหนุ่มบอกด้วยรอยยิ้มสุภาพ รับคีย์การ์ดห้องมาแล้วเดินขึ้นลิฟต์ไป โดยไม่แม้แต่จะอนุญาตให้ผู้จัดการเข้าไปดูแล อำนวยความสะดวกให้

 

                คุณหมอหนุ่มไขห้องพักเข้าไป ถอนหายใจเมื่อในที่สุดเขาก็ได้อยู่เพียงลำพังสักที ใบหน้าอ่อนโยนของแมทธิวกลายเป็นเหนื่อยล้าทันทีที่เขาปิดล็อกประตูห้อง แมทธิววางกระเป๋าลงบนเตียงนอนก่อนจะทิ้งตัวตามลงไปแล้วก็ผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยเพราะอดนอนมาหลายวัน

                ร่างสูงนอนยาวเหยียดอยู่บนที่นอนไม่ไหวติงในห้องพักสุดหรูของเทรเวนแกรนด์ สมกับความเหนื่อยที่เขาฝ่าฟันปัญหามาตัวคนเดียวตั้งแต่วันที่สเตฟานเสียชีวิต เงียบสงัดอยู่อย่างนั้นเกือบสี่ชั่วโมงกว่าแมทธิวจะตื่นนอนอีกครั้ง

                แมทธิวขยี้ตา เลือกที่จะโทร. ลงไปจองโต๊ะอาหารไว้ก่อนที่เขาจะไปอาบน้ำ เพราะตอนเย็นเช่นนี้ปกติแล้วห้องอาหารของเทรเวนแกรนด์จะถูกจองจนเกือบเต็มทุกวัน “สวัสดีครับ ผมจะจองโต๊ะอาหารเย็นหน่อย” ชายหนุ่มพูดสายระหว่างสาละวนถอดเสื้อออกจากตัว

                “กี่โมงคะ” พนักงานด้านล่างถามข้อมูล ไม่ปฏิบัติกับท่านรองประธานพิเศษกว่าที่บริการกับแขกของโรงแรมท่านอื่นๆ  เพราะรู้ดีว่าท่านรองประธานนั้นไม่ชอบ และเขายังมีนโยบายให้พนักงานของโรงแรมทุกคน ในโรงแรมทุกสาขาถือคติในการทำงานอย่างเดียวกันคือ บริการลูกค้าด้วยการบริการแบบเดียวกันเพื่อความเสมอภาค แม้จะเป็นดารานักร้องหรือนักการเมืองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับการบริการพิเศษต่างจากลูกค้าคนอื่นๆ

                “สองทุ่ม” แมทธิวเหลือบมองนาฬิกาบนข้อมือแล้วบอก คำนวณเวลาในการอาบน้ำของตนแล้วเอ่ยว่า “จองเป็นที่นั่งตรงบาร์ที่ห้องอาหารญี่ปุ่นเหมือนเดิมนะ”

                “ไม่จองโต๊ะอาหารแล้วหรือคะ” พนักงานโรงแรมทวงถาม

                “ไม่ละ” แมทธิวไม่บอกเหตุผลว่าอะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจ

                “ได้ค่ะ หนึ่งท่านนะคะ”

                “ครับ” แมทธิวย้ำ แล้วรอฟังการทวนการจองของเขาอีกครั้งก่อนตัดสาย ร่างสูงที่สวมกางเกงยีนเอวต่ำ เดินอวดแผงอกเพื่อไปหยิบเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางออกมา คิ้วหนาเลิกขึ้นสูงอย่างแปลกใจเมื่อเห็นว่าในกระเป๋าเดินทางของเขานั้นมีรูปภาพสีซีดเซียวพับครึ่งซ่อนอยู่ข้างใน

                มุมปากหนากระตุกเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนเมื่อเขาหยิบมันขึ้นมาคลี่ดู รูปถ่ายวันงานเลี้ยงจบการศึกษาสมัยม.ปลายของเขายังดูตลกไม่เปลี่ยน เพราะมันเป็นรูปที่ถูกถ่ายด้วยความบังเอิญ และไม่มีใครสักคนเลยที่อยู่ในภาพมีเวลาตั้งตัวก่อนจะโดนถ่าย มันเลยชวนให้เขาคิดถึงเรื่องราววันนั้นได้มากกว่ารูปถ่ายใบอื่น

                คิดถึงคนที่ยิ้มแป้นอยู่ในรูป คิดถึงเขาตอนที่เป็นผู้ชายธรรมดาๆ ในโรงเรียน คิดถึงทุกอย่าง คิดถึงมากจริงๆ

                “ตัวไม่โตขึ้นเลย” แมทธิวละเมอออกมา นิ้วโป้งลูบตรงรูปหญิงสาวในภาพพร้อมหลุดยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาสงสัยว่าชาร์ล็อตไม่ได้สูงขึ้นอย่างที่เขาคิดจริงๆ หรือว่าเป็นเขาที่ตัวโตกว่าคนปกติเลยทำให้เขาคิดว่าชาร์ล็อตยังตัวเล็กเท่าเดิม

                ถ้าเปรียบเทียบกับคนในบ้านเทรเวนจริงๆ แล้ว แมทธิวก็ต้องยอมรับว่าเขาเองนี่ละที่ตัวโตที่สุดในบ้าน โตกว่าพ่อเคลวินของเขาเสียอีก หรือบางทีอาจจะเพราะวิลเลี่ยมนั้นอายุห่างจากเขาพอควรเลยเป็นเรื่องยากที่จะเปรียบเทียบเรื่องขนาดตัวกันได้ แมทธิวใช้เวลาเพ่งมองรูปถ่ายในมืออยู่อีกครู่ใหญ่กว่าที่เขาจะตัดใจวางมันลงบนเตียงแล้วหยิบเสื้อผ้าเข้าไปในห้องน้ำ

               

                เมื่อถึงเวลาที่เขาจองโต๊ะไว้แมทธิวก็ลงไปข้างล่าง พยายามทำตัวเป็นลูกค้าที่มาใช้บริการโรงแรมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ถึงแม้เขาจะพยายามอย่างไรก็ถาม เหล่าลูกค้าคนอื่นๆ ของโรงแรมก็จำเขาได้ แถมยังกระซิบกระซาบกันต่อหน้าต่อตาเขาอีก   “นั่นคุณแมทธิวหรือเปล่านะ” เสียงหนึ่งกระซิบถามเพื่อน “เขาหล่อจัง ดูสิเธอ”

                “ใช่หรือเปล่า” เพื่อนที่มาด้วยกันเอ่ยอย่างไม่แน่ใจ เพ่งมองหน้าคร้ามนานจนเชฟที่ยืนให้บริการลูกค้าอยู่อีกฝั่งของบาร์อาหาร กระซิบถามแมทธิวด้วยความเป็นห่วง

                “อยากจะย้ายไปห้องอาหารหรือเปล่าครับคุณแมทธิว” เชฟหนุ่มชาวเอเชียถาม รู้ดีว่าเจ้านายของเขาคนนี้รักความเป็นส่วนตัวมากๆ “เดี๋ยวผมบอกพนักงานให้เตรียมห้องอาหารให้”

                “ไม่ต้องหรอก ซุย”​ แมทธิวส่ายหัวปฏิเสธ ถึงเขาจะไม่ชอบให้คนซุบซิบเรื่องเขามาก แต่เขาเองก็ไม่ชอบที่จะนั่งกินข้าวในห้องใหญ่คนเดียว “เดี๋ยวเขาก็เลิกพูดกันไปเอง”

                “อย่างนั้นก็ได้ครับ” ซุยพยักหน้า ก้มหน้าจัดการอาหารให้ชายหนุ่มอย่างตั้งอกตั้งใจ และโชคดีที่วันนี้ที่นั่งตรงบาร์นั้นมีลูกค้าเพียงคนเดียวก็คือท่านรองผู้บริหารคนนี้ เชฟจึงสามารถพูดคุยกับแมทธิวได้อย่างสะดวกใจ “การเดินทางเป็นไปได้ด้วยดีนะครับ”

                “ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ” แมทธิวถอนหายใจ พักนี้เขาไปๆ มาๆ บ่อยจนเชฟที่โรงแรมจำได้แล้วหรือนี่ “วุ่นวาย เหนื่อย แล้วก็น่าเบื่อ”

                “ทุกอย่างเรียบร้อยนะครับ” เชฟหนุ่มถาม ครั้งนี้ถามด้วยความเป็นเพื่อน แม้แมทธิวจะเป็นถึงรองประธาน แต่บางเวลาชายหนุ่มก็วางตัวเข้าถึงง่ายจนน่าแปลกใจ ยิ่งเขามานั่งรับประทานอาหารตรงนี้เกือบทุกครั้งที่มาทำธุระที่นิวยอร์ก ทำให้ซุยมีความกล้าที่จะถามเรื่องส่วนตัวกับแมทธิว

                “ใช่ ตอนนี้ยังเรียบร้อยอยู่” แมทธิวถอนหายใจยาว มองอาหารจานโปรดที่ซุยวางลงตรงหน้าอย่างอาลัย ขนาดอาหารน่ารับประทานขนาดนี้เขายังไม่รู้สึกอยากกินมันสักนิด สงสัยบริเจ็ตคงวางยาพิษเขาด้วยคำด่าของเธอแน่ๆ

                “อย่างนั้นก็ดีแล้วนี่ครับ” ซุยออกความเห็น “แล้วทำไมคุณยังทำหน้าเหมือนทุกข์ใจอยู่อีกล่ะ”

                “ไม่รู้สิ” แมทธิวยักไหล่ ตอบตามความรู้สึกจริงๆ ของเขา “ทั้งๆ ที่ผมควรจะมีความสุขแท้ๆ แต่มันเหมือนหวานอมขมกลืน” คุณหมอหนุ่มหน้าเครียด “แถมเธอยังกลับมาที่นี่แล้วด้วย ผมควรจะมีความสุขมากกว่าใครสิ จริงมั้ย”

                “เธอ?” ซุยวางมีดที่กำลังแล่ปลาลง หน้าตี๋ของเขาครุ่นคิดถึง ‘เธอ’ ของแมทธิวในความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ “บล็อกเกอร์นักเดินทางของคุณน่ะหรือ เธอกลับมาอเมริกาแล้วหรือครับ”

                “ใช่ กลับมาตั้งนานแล้ว” แมทธิวเอ่ยเสียงขึ้นจมูกด้วยความเซ็ง “แต่คนของผมพลาดไป ผมเลยไม่รู้เรื่อง พอมารู้ก็ดันรู้ตอนที่เกิดเรื่องวุ่นวายพวกนี้อีกเนี่ยสิ น่าเจ็บใจจริงๆ”

                “เธอยังเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ” ซุยยิ้ม ยินดีกับคุณแมทธิวที่ในที่สุดคนที่เขาเฝ้ารักมานานหลายปีก็กลับมาสักที “แล้วคุณไปเจอเธอหรือยัง”

                “เจอกันหลายครั้งแล้วละ”​ แมทธิวตอบเสียงห้วน ตักอาหารเข้าปากอย่างกระแทกกระทั้น ดูท่าว่าเขาจะเจ็บใจอย่างที่ปากว่าจริงๆ “เธอก็เหมือนเดิมนั่นแหละ”

                “นั่นมันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วนี่ครับ”

                “ผมยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรเลยซุย ได้พูดกับเธอแค่สองครั้งเอง คุณก็รู้ว่าผมขี้ขลาดขนาดไหน” แมทธิวบ่น

                “ของอย่างนี้ต้องใจเย็นๆ นะครับ เกิดผลีผลามแล้วเธอตกใจขึ้นมา เรื่องมันจะยิ่งแย่”

                “ผมไม่รู้จริงๆ นะว่าต้องทำยังไงให้เรื่องมันดี” แมทธิวสารภาพ เจ็บใจตัวเองยิ่งกว่าเดิมเมื่อนึกว่าหากเขาได้ความเจ้าชู้ของวิลเลี่ยมมาสักครึ่ง เขาคงไม่ต้องมานั่งเครียดอยู่อย่างนี้ “กับอีแค่เริ่มต้นคุยกับเธอดีๆ ผมยังทำไม่ได้เลย ผมเหมือนจะหัวใจวายทุกครั้งที่ผมเจอหน้าเธอ ผม...”

                “คุณบอกว่าเธอเป็นคนอัธยาศัยดีนี่ครับ เธอน่าจะชวนคุยได้ไม่ยากนะ”

                “เธอน่ะชวนคุยไม่ยาก แต่ผมต่างหากที่คุยไม่ได้เรื่อง” นี่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในชีวิตแมทธิว ปัญหาเดียวที่เขาไม่เคยจัดการได้เลยแม้จะใช้เวลานานขนาดไหนก็ตาม “คุณเข้าใจหรือเปล่าว่าผมทำให้เรื่องมันพังทุกครั้ง ผมตวาดเธอเวลาเธอทำตัวขัดตา หรือแค่เธอพูดอะไรขัดหูผม ผมก็ลืมตัวเสียงดังทุกที แล้วอย่างนี้ผู้หญิงที่ไหนจะชอบ”

                ซุยอยากจะบอกแมทธิวว่า ‘ผู้หญิงที่ไหนก็ชอบครับ ผู้ชายอย่างคุณน่ะ’ แต่เขาก็ไม่กล้าพอ จึงทำได้เพียงถอนหายใจด้วยความปลงตกตามแมทธิว “เธอบอกว่าเธอไม่ชอบคุณหรือครับ”

                “เธอไม่จำเป็นต้องบอกหรอก เธอกลัวผมอย่างกับอะไรดี” แมทธิวว่า ยังจำสายตาที่ชาร์ล็อตมองเขาได้ไม่ลืม แต่ซุยกลับย่นหน้าใส่เขา เหมือนเขาทำผิดร้ายแรงก่อนเอ่ยถามง่ายๆ ว่า

                “ใครที่ไม่กลัวบ้านคุณบ้างครับ ผมยังกลัวเลย ถึงตอนที่ผมจะยังไม่ได้เป็นพนักงานของเทรเวนแกรนด์เองก็เถอะ พวกคุณน่ากลัวกันมากเลย”

                “ขอบใจที่บอกนะซุย” แมทธิวเหลือบตามองหน้าซุยด้วยสายตาขุ่นขวาง “ผมมีกำลังใจขึ้นมากเลย”

                “ผมว่าถ้าเธอรู้จักคุณจริงๆ แล้ว ไม่มีทางที่เธอจะไม่ชอบคุณหรอกครับ” ซุยเอ่ยด้วยความจริงใจ ตลอดระยะเวลาที่เขาทำงานที่โรงแรมเทรเวนแกรนด์แห่งนี้ เขาบอกได้เลยว่า แมทธิว เทรเวน เป็นคนที่จิตใจดีคนหนึ่งทีเดียว “เว้นแต่เธอจะเกลียดที่คุณหล่อเกินไป”

                แมทธิวอ้าปากค้าง สีหน้าตกใจสุดขีด มองหน้าซุยที่เพิ่งใช้คำพูดเรียบง่ายฟาดเข้าที่หัวเขา ก็เพราะไอ้เรื่องความหล่อที่ใครๆ ต่างพากันสรรเสริญเขาไม่หยุดนี่ละที่เป็นปัญหาใหญ่

                หล่อเกินไป สมบูรณ์แบบเกินไปนี่ละที่เป็นปัญหา ทำไมทุกคนไม่เข้าใจบ้างนะว่ายายตัวเล็กนั่นน่ะเป็นคนตรรกะเพี้ยน!

                “อย่าบอกนะครับว่าเธอไม่ชอบคนหล่ออย่างคุณน่ะ” ซุยถามเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของแมทธิว ก่อนกลายเป็นเขาที่อ้าปากค้างบ้างอีกคน “ไม่จริงน่า นี่มันบ้าชัดๆ เลย”

                “บ้าสุดๆ” แมทธิวพูดหน้าตาย ตักอาหารในจานคำสุดท้ายเข้าปากแล้วย้ำด้วยเสียงเข้มจัดว่า “ยายผู้หญิงคนนี้ทั้งบ้า ทั้งเพี้ยน ผมรักเธอไปได้ยังไงตั้งมากมายขนาดนี้นะ บ้าจริงเลยๆ ให้ตายเถอะ!”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น