14

ตอนที่ 14



 

 ว่างๆ ก็เปิดอินเทอร์เน็ตดูเสียมั่งนะคะ ว่าคนที่คุณไว้ใจน่ะ เขาไว้ใจได้จริงๆ หรือเปล่า

บราลีมองภาพหน้าปกนิตยสารเซเลบริตีฉบับล่าสุดด้วยหัวใจที่เต้นรัว ภาพนี้แม้จะไม่ชัดนัก แต่ถ้าใครรู้จักเธอ ก็จะต้องเดาได้แน่ๆ ว่าเป็นเธอ หนำซ้ำข้อความพาดหัวตัวเบ้อเร่อก็ยังชี้นำให้คนคล้อยตามและคิดถึงเธอได้ไม่ยากด้วย

‘แต่งงานไม่ทันไร อดีตดาราสาวก็แอบย่องหนีผัวแก่ไปหากิ๊กหนุ่ม’

“บอกแม่มาซิ ว่าไอ้ผู้ชายคนนี้มันเป็นใคร”

เสียงกราดเกรี้ยวของมารดาทำเอาบราลีถึงกับสะดุ้งเฮือก เธอเหลือบมองไปที่ผู้ชายบนหน้าปกนิตยสารอีกครั้ง ก่อนจะถอนใจออกมา

ไม่เพียงแต่รูปเธอเท่านั้นที่คนรู้จักจะมองออก รูปเขาก็เช่นกัน ใครที่รู้จักกวินก็ย่อมจะมองออกว่าเป็นเขา

“ว่าไงล่ะ” ลีลาวดีถามย้ำเสียงเขียว

บราลีเหลือบมองดวงตากร้าวของมารดา ก่อนจะเอ่ยอ้อมแอ้มเสียงเบาหวิว “แม่ไม่รู้จริงๆ หรือคะ”

“อย่ามาย้อนแม่นะ แม่ถามก็ตอบสิ”

หญิงสาวเหลือบมองคนรักอีกครั้ง ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ “วินไงค่ะ”

“นั่นไง” ลีลาวดีเอ่ยเสียงเข้ม “แกไปนัดเจอมันเหรอ”

“เปล่าค่ะ” เธอส่ายหน้า

“แล้วไปนั่งกินข้าวกันได้ยังไง”

“เขาคือ...นักเขียนคนโปรดของคุณอมรไงคะ”

“หา” หญิงสูงวัยอ้าปากค้าง ดวงตาจ้องมองมาที่เธออย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“เป็นไปได้ไง ก็นักเขียนคนนั้น...”

“แม่คะ” บราลีเอ่ยแทรกขึ้น “มันไม่มีอะไรอย่างที่ข่าวเขียนหรอกค่ะ ลีก็แค่รับรองเขาในฐานะแขกของคุณอมรเท่านั้น แม่ก็รู้ไม่ใช่หรือคะว่า วินเขา...บอกเลิกลีแล้ว”

“โอ๊ย...ใครมันจะไปรู้ ที่มันมาหาแกเนี่ย ก็อาจจะมารื้อฟื้นถ่านไฟเก่าก็ได้”

“วินเขาไม่ได้มาเองนะคะ คุณอมรเป็นคนเชิญเขามาต่างหาก”

“ก็เขาไม่รู้เรื่องแกกับมันนี่” ลีลาวดีสวนกลับอย่างไม่ลดลาวาศอกจนทำเอาบราลีถึงกับชะงัก “ถ้าเขารู้ มีหรือจะไม่คิด”

“ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ แม่เองไม่ใช่หรือคะที่บอกให้ลีเก็บทุกอย่างเอาไว้เป็นความลับ เมื่อก่อนลีเลยต้องหลบๆ ซ่อนๆ เวลานัดพบกับวินตลอด จนถึงวันนี้ก็ไม่เห็นมีใครขุดคุ้ยเรื่องวินขึ้นมานี่คะ”

“แกเลยคิดว่าจะหลบๆ ซ่อนๆ เจอกับมันอีกใช่ไหม”

หญิงสาวนิ่งกับคำปรามาสของมารดา เพราะความจริงแล้วมันก็เป็นอย่างนั้น เธอยังลอบพบปะเขา ลอบไปเที่ยวกับเขาอยู่ ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือยแล้ว แม้กระทั่งเย็นนี้เธอก็ยังนัดดินเนอร์กับเขาอยู่เลย

“เมื่อก่อนแกไม่มีใคร มันก็พอจะทำได้ แต่ตอนนี้แกไม่ใช่ผู้หญิงโสดแล้วนะ แล้วไอ้นักข่าวสมัยนี้เนี่ย มันใช่ย่อยเสียที่ไหน ลองมีข่าวขึ้นหน้าหนังสือแบบนี้ รับรองอีกสองสามวันได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับวินออกมาแน่ๆ”

“มันไม่มีอะไรอย่างที่แม่คิดหรอกค่ะ” บราลีเอ่ยเสียงเบาหวิว เพราะเธอเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่า หากเรื่องไม่แดงขึ้นเสียก่อน ความสัมพันธ์ที่พังครืนของเธอกับกวินจะถูกรื้อฟื้นขึ้นมา และพัฒนาไปถึงขั้นไหนกัน

“ถ้าอย่างนั้น แม่ขอสั่งห้าม ไม่ให้ลีไปเจอมันอีก”

“แต่แม่คะ เขาเป็นแขกของคุณอมรนะคะ”

“แล้วไง” ลีลาวดีย้อนถาม “เป็นแขกของผัวแก แล้วแกจะไปเที่ยวกะหนุงกะหนิงกับมันที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้อย่างนั้นเหรอ”

“แม่คะ” บราลีเอ่ยเสียงแข็ง จนมารดาชะงัก

ลีลาวดีจ้องลูกสาวเขม็ง ก่อนจะสูดลมหายใจลึก กลั้นอารมณ์เอาไว้ภายในแล้วหันหน้าเมินไปทางอื่น “ให้ชมพู่ไปรับรองเขาแทน แม่ขอแค่นี้ ให้แม่ได้หรือเปล่า”

หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่กลับไม่รู้สึกว่าได้ผ่อนอารมณ์ที่แน่นอยู่เต็มอกออกได้เลยแม้แต่นิดเดียว ถึงตอนนี้เธอรู้แล้วว่า เธอยังรักกวินอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย แต่เหนือความรักอื่นใดก็คือความรักที่มีต่อมารดาผู้ให้กำเนิด ซึ่งไม่มีอะไรจะมาลบล้างหรือพรากมันออกไปจากใจของเธอได้ ฉะนั้นมีหรือที่เมื่อท่านขอร้องแล้วเธอจะไม่สนองตอบ

“ค่ะ” บราลีเอ่ยปนสะอื้น “ลีจะไม่ไปพบเขาอีก แม่สบายใจได้ค่ะ”

ดวงตาของลีลาวดีคลอไปด้วยน้ำใสๆ แววตาที่แข็งกร้าวเมื่อครู่กลับอ่อนลงและทอประกายแห่งความอารีออกมา ท่านยิ้มจางๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาวางบนหลังมือของเธอแล้วตบเบาๆ

“ทุกอย่างมันกำลังเป็นไปด้วยดี แม่ไม่อยากให้มีอะไรมาทำร้ายลูกอีก ลีเข้าใจแม่ใช่ไหม”

น้ำตาของบราลีไหลลงอาบแก้ม เธอกัดริมฝีปากล่างแน่น ก่อนจะพยักหน้าสะอึกสะอื้นเป็นเชิงตอบรับความหวังดีของท่าน และตั้งใจว่าจะทำให้ท่านสบายใจโดยการไม่ไปพบกวินอีก

กวินผิวปากไปพลาง จัดวางสิ่งต่างๆ ไปพลาง เขาวางจานสองใบลงบนแผ่นรองจานหน้าเก้าอี้สองตัว วางช้อนส้อมและมีดเอาไว้ข้างจาน ก่อนจะหยิบแจกันที่มีดอกไม้ซึ่งเขาถือวิสาสะไปเด็ดมาจากสวนของรีสอร์ตมาวางเอาไว้กลางโต๊ะ จากนั้นจึงถอยออกมาสองสามก้าวเพื่อมองดูทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นไปอย่างที่คิดหรือไม่

“เพอร์เฟกต์” เขายิ้ม

อาหารเย็นมื้อนี้จะต้องเป็นมื้อที่ดีที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาแน่ๆ

นักเขียนหนุ่มยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา คะเนเอาว่าน่าจะได้เวลาที่บราลีจะมาแล้ว จึงกลับขึ้นบ้านแล้วจัดการอุ่นอาหารซึ่งสั่งให้ร้านอาหารของรีสอร์ตมาส่งตั้งแต่ชั่วโมงก่อน จากนั้นก็นำใส่จานและปิดฝาครอบสแตนเลสเอาไว้อย่างดี แล้วกลับลงไปที่สวน นั่งรอเวลาที่บราลีจะมาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

ทว่า...เมื่อเวลาผ่านไป รอยยิ้มของเขาก็เริ่มจะอ่อนล้าลงไปทุกวินาที จนกระทั่งในที่สุด สีหน้าของกวินก็เปลี่ยนจากความรื่นเริงไปเป็นความวิตกกังวลเมื่อเลยเวลานัดไปร่วมหนึ่งชั่วโมงแล้ว ทว่าบราลีก็ยังไม่ปรากฏตัวมาให้เห็นแม้แต่เงา

“เอ...ทำไมยังไม่มาอีก” เขางึมงำอย่างกระวนกระวาย ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเลขหมายของเธอ

แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่เขาเรียกไป

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

กวินลุกขึ้นเดินวนไปเวียนมาด้วยความกระวนกระวายใจ อยากจะไปหาที่บ้านแต่ก็กลัวว่าแม่ของเธอจะพบเห็นเข้า ก็เลยโทร.ไปที่ทำงาน แต่คนที่นั่นก็กลับบอกว่าเธอออกมาตั้งแต่เลิกงานแล้ว เลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรถึงได้พบเธอ

ระหว่างที่เขานั่งคิดด้วยความว้าวุ่น ก็มีเสียงหนึ่งแว่วดังมาจากทางหน้าบ้าน

“คุณวินครับ”

กวินรีบลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูจนพบว่า เจ้าของเสียงนั้นคือนายเข้ม คนขับรถของบราลีนั่นเอง

“สวัสดีครับ” สารถีหนุ่มยกมือไหว้ ก่อนจะยื่นซองจดหมายมาให้เขา “คุณลีฝากมาให้ครับ”

“ลี” เขาครางเบาๆ ก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยความใคร่รู้ “คุณลีอยู่ไหนหรือ นายเข้ม”

“อยู่ที่บ้านครับ”

“บ้าน” กวินทวนคำอย่างแปลกใจ

“ผมไปนะครับ เดี๋ยวต้องไปซื้อของให้คุณนายอีก” คนขับรถหนุ่มยกมือไหว้อีกครั้ง เมื่อเขาพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต นายเข้มจึงหันหลังให้เขาแล้วเดินกลับขึ้นรถ ขับออกไป

กวินมองดูซองจดหมายที่มีตรารีสอร์ตอยู่ตรงหัวมุมชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินกลับไปที่สวนหลังบ้านแล้วทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะซึ่งถูกจัดเอาไว้สำหรับดินเนอร์อันแสนโรแมนติก จากนั้นก็ค่อยๆ แกะซอง หยิบเอากระดาษที่พับอย่างเรียบร้อยออกมาคลี่ดู

‘ขอโทษ สำหรับมื้อเย็นวันนี้นะคะ’

นักเขียนหนุ่มเลิกคิ้ว ‘แค่นี้เองเหรอ’ เขาคิด ก่อนจะถอนหายใจแล้ววางจดหมายเอาไว้บนโต๊ะด้วยความรู้สึกผิดหวัง

เมื่อลมวูบหนึ่งพัดมา จดหมายซึ่งไม่มีอะไรเกาะยึดฉบับนั้นก็ปลิวไปจากโต๊ะ กวินจ้องมองมันลอยล่องไปตามแรงลมจนไปตกลงบนผิวน้ำ ก่อนจะเลื่อนไหลตามกระแสธารจนลับตาไป

“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

เขาพึมพำกับตัวเองด้วยความเศร้าซึม ทว่าเมื่อโทรศัพท์มือถือของเขาแผดเสียงดังขึ้น กวินจึงรีบหยิบโทรศัพท์มาดูอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของใคร

กวินปล่อยมันดังอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกดรับโทรศัพท์ หยิบมันขึ้นมาแนบหู

“ไอ้เวร ไอ้ทองคำเปลว มึงหลอกกู”

“ถึงกับขึ้นกูมึงเลยเรอะ” เขาฝืนหัวเราะ หากบราลีไม่ผิดนัดเขา ก็คงจะหัวเราะได้เต็มปากเต็มคำกว่านี้ เพราะรู้ดีว่า เพื่อนนักเขียนคนนี้โทร.มาต่อว่าเขาเรื่องอะไร

“เออสิวะ ไม่ว่างแล้วเสือกให้น้องกุ๊บกิ๊บมาแทนทำไมวะ”

“ก็ติดธุระนี่หว่า เสียดายค่าตั๋ว” กวินโกหก อยากจะหัวเราะใส่แต่กลับไม่รู้สึกขำพอที่จะส่งเสียงรื่นเริงออกมาได้ ทั้งที่หากเป็นเวลาปรกติเขาคงได้หัวเราะงอหายกับความเดือนร้อนของเพื่อนมากกว่านี้แล้ว

“เอาน่า ฝากน้องเขาหน่อยก็แล้วกัน ไหนๆ ก็ซื้อตั๋วแล้ว”

“เบี้ยวเอาดื้อๆ แบบนี้ ค่าตั๋วฉันเก็บที่นายนะเว้ย”

“ก็ได้ๆ” เขาตอบรับอย่างตัดความรำคาญ ก่อนจะวางสายไปแล้ววางโทรศัพท์มือถือเอาไว้บนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยากเหมือนเดิม

แต่แล้วเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าก็ปลุกหัวใจของเขาให้เต้นอย่างมีชีวิตชีวาอีกครั้ง ทว่าก็เพียงแค่ชั่ววินาทีเดียวอีกแล้ว เพราะเมื่อเห็นชื่อที่หน้าจอก็ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวังที่ไม่ใช่เบอร์ของบราลี

“สวัสดีครับ...พี่ท็อป” เขากรอกเสียงลงไปเมื่อกดรับสายล่าสุด

“เปลว...เปลวเห็นเซเลบริตีฉบับล่าสุดหรือยัง”

“ยะ...ยังเลยครับ ทำไมหรือครับ”

“มีข่าวเปลวกับคุณบราลีน่ะสิ”

“อะไรนะครับ” เขาเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน นึกหวั่นใจไปถึงตอนที่กอดเธอในน้ำที่น้ำตกเอราวัณขึ้นมาราวกับนั่นเป็นชนักที่ติดหลังเขาอยู่

“เซเลบริตีเขาเอารูปเปลวกับบราลีกำลังทานข้าวกันริมแม่น้ำ พาดหัวตัวเบ้อเร่อเลยว่า ‘แต่งงานไม่ทันไร อดีตดาราสาวก็แอบย่องหนีผัวแก่ไปหากิ๊กหนุ่ม’ น่ะ พี่อ่านปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเขาหมายถึงใคร”

“เป็นภาพทานข้าวกันเฉยๆ ใช่ไหมครับ” กวินเอ่ยถามให้แน่ใจว่าไม่มีภาพอื่นแน่ๆ

“ใช่จ้ะ...ภาพมันไม่ค่อยชัดหรอกนะ มันย้อนแสง แต่พี่ดูก็รู้ว่าเป็นเปลวแน่ๆ ส่วนผู้หญิง ใครเห็นก็พอจะเดาออกแหละ ยิ่งเจอข้อความพาดหัวแบบนั้นนะ ยิ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นคุณบราลีแน่ๆ”

“คงมีคนแอบถ่ายไปมั้งครับ”

“แสดงว่าเป็นเปลวกับคุณบราลีจริงๆ ละสิ”

“ผมยังไม่เห็นครับ แต่ผมเคยไปทานข้าวกับคุณลีที่ร้านริมน้ำจริงๆ” กวินยอมรับตามตรง “แต่เราแค่ทานข้าวกันนะครับ ไม่ได้มีอะไรอย่างที่พาดหัวหรอก”

“โอ๊ย...ระดับยายแจ็คกี้ จอมทะลวงลำไส้เซเลบน่ะ แค่นี้ก็เต้าข่าวได้เป็นวรรคเป็นเวรแล้วละ”

“แล้ว...ผมควรทำอย่างไรดีครับ”

“อืม” พลอยพธูทำเสียงในลำคออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มเสียงนัก “คงไม่ต้องทำอะไรมั้ง ถ้าแค่นั้นจริงๆ คงจะต่อความยาวสาวความยืดไปอีกไม่ได้ไกลหรอก”

เหตุผลของบรรณาธิการสาวใหญ่ทำให้กวินถึงกับสะอึก เพราะมีชนักอันใหญ่ติดหลังอยู่ หากนักข่าวที่ชื่อแจ็คกี้ทะลวงลำไส้เซเลบอะไรนั่น สามารถเก็บภาพเขากับบราลีที่น้ำตกได้ละก็ มันก็คงจะเป็นข่าวใหญ่ที่สะเทือนวงการมากอย่างแน่นอน

“ถ้าอย่างนั้นแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะลองฝากเพื่อนนักข่าวที่รู้จักเช็กอีกทีว่ายายแจ็คกี้อะไรนั่นจะเล่นข่าวไปทางไหน แล้วพี่จะส่งข่าวให้นะ”

“ขอบคุณมากครับพี่ท็อป”

“ไม่เป็นไรๆ” ดารณีนุชเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่คลายความวิตกกังวลลง ก่อนจะวางสายไป

กวินวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอีกครั้งด้วยความรู้สึกว้าวุ่น เพราะแม้บรรณาธิการของเขาจะบอกว่าเรื่องคงไม่ใหญ่ไปกว่านี้ แต่เขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า แท้จริงแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น

แต่เขาก็คงทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากรออย่างที่พลอยพธูบอก กวินได้แต่ภาวนาในใจว่าเหตุการณ์ที่น้ำตกเอราวัณวันก่อนนั้น จะไม่มีคนจับภาพที่เขากับเธอแนบชิดกันแบบถึงเนื้อถึงหนังได้

ไม่อย่างนั้น...ประเด็นมันคงจะใหญ่กว่าการที่ดาราสาวนัดกิ๊กหนุ่มรับประทานอาหารอย่างแน่นอน

“เจ๊ครับ”

“อะไรยะ” เอกชัยหันไปมองลูกน้องหนุ่มอย่างขัดใจที่โดนขัดจังหวะการคัดสรรรูปภาพสำหรับลงในคอลัมน์สาวไส้ไฮโซของนิตยสารเซเลบริตีฉบับต่อไป

“ทำไมเจ๊ไม่เอารูปที่มันจั๋งๆ กว่านี้ลงปกล่ะครับ ผมว่าถ้าเอารูปที่น้ำตกลง นิตยสารเราขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่ๆ”

“ไอ้นี่ ไม่รู้เรื่องแล้วทำเป็นสู่รู้” คอลัมนิสต์หนุ่มหัวใจสาวตบกะโหลกลูกน้องอย่างนึกหมั่นไส้แกมรำคาญ

“โอ๊ย...เจ็บนะเจ๊”

“ดี จะได้หายโง่ไงล่ะ” เอกชัยจีบปากจีบคอ “ปล่อยข่าวมันต้องปล่อยทีละนิด ดูท่าทางของคนเป็นข่าวว่าเขาจะโต้แย้งยังไง ถ้าปากแข็งบ่ายเบี่ยง หาว่าหน้าเหมือนหรือไม่ใช่ตัวเอง เราก็เอาไอ้รูปที่เห็นจะจะกระแทกซ้ำเข้าไปให้มันหน้าหงาย กลืนน้ำลายตัวเองไม่ทันไงล่ะยะ”

ปาปารัซซีหนุ่มทำหน้าเหมือนหลอดไฟที่ถูกกดสวิตช์ให้เปล่งแสงสว่างขึ้นมา “โห...เจ๊นี่แจ๋วว่ะ”

เอกชัยแบะปาก “ไม่แจ๋วจะอยู่ยั้งยืนยง ทำคอลัมน์สาวไส้ไฮโซมาจนถึงป่านนี้หรือยะ”

ชายหนุ่มยิ้มแฉ่ง “แล้วนี่เจ๊เลือกรูปที่จะลงปกต่อไปหรือยังครับ บก.ให้มาเร่งแล้ว”

“ได้แล้ว” เอกชัยยักคิ้วแล้วหยิบรูปใบหนึ่งซึ่งเป็นรูปที่บราลีอยู่ในอ้อมกอดชายหนุ่มนิรนามคนนั้นที่ร้านอาหารขึ้นมา

ลูกน้องหนุ่มเอื้อมมือจะมาหยิบรูปไป แต่เอกชัยกลับชักรูปกลับให้ชายหนุ่มเก้อ

“อะไรอีกล่ะเจ๊”

“ก่อนที่คอลัมน์ฉันจะขึ้นแท่นพิมพ์ ฉันอยากรู้ก่อนว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร” เอกชัยวางรูปใบนั้นลง ก่อนจะหยิบรูปเดี่ยวของชายหนุ่มนิรนามขึ้นมาโบกไปมา “หล่อนไปสืบให้ฉันหน่อยสิ”

“สืบทำไมล่ะครับ”

“อีนี่ โง่เป็นบัวเต่าถุย” คอลัมนิสต์ส่ายหน้า “ตัวละครสำคัญแบบนี้ ปล่อยให้นิรนามต่อไปนานๆ ได้ยังไงกันยะ มันต้องเผยแพล็มๆ สักหน่อย คนอ่านเขาจะได้อยากติดตาม”

“อ๋อ...ครับ” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะยกนิ้วโป้งให้ “เจ๊นี่ยอดเหี้-จริงๆ”

“อะไรนะ”

“ยอดเยี่ยมครับ ยอดเยี่ยม” เขายกนิ้วโป้งอีกนิ้วขึ้นมาคู่กันพร้อมกับยิ้มแหยๆ

“ตะกี้มึงไม่ได้ด่ากูใช่ไหม” เอกชัยเท้าสะเอวทำท่าขึงขัง

“เจ๊หูฝาด”

คอลัมนิสต์ชี้นิ้วใส่ลูกน้อง “อย่าให้จับได้นะ ไป...ไปได้แล้ว รีบไปสืบมา”

“ครับๆ” ชายหนุ่มพยักหน้าปลกๆ ก่อนจะหยิบรูปที่เขาเลือกให้ แล้ววิ่งปรู๊ดไปอย่างรวดเร็ว

เอกชัยส่ายหน้าอย่างระอาอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงมองภาพที่เหลือซึ่งเกลื่อนอยู่บนโต๊ะ แล้วหยิบรูปอีกใบหนึ่งขึ้นมาดูพร้อมกับเผยยิ้มอย่างพึงใจเมื่อเห็นรูปของบุรุษนิรนามที่เปลือยเปล่าท่อนบน มัดกล้ามที่ไม่ใหญ่จนเกินงามและไม่เล็กจนน่าเกลียดนั้นเรียกประกายระยิบระยับจากดวงตาของเขาได้เป็นอย่างดี

ชายหนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ พลางใช้นิ้วเขี่ยมัดกล้ามในภาพนั้นเล่นๆ

“ถ้าฉันรู้ว่าคุณเป็นใคร การต่อรองเพื่อความสุขของสองเราก็จะได้ง่ายขึ้นด้วยไงล่ะ”

สำหรับอมรแล้ว ไม่มีสิ่งไหนที่จะทำให้เขาผ่อนคลายความตึงเครียดจากการเจรจาต่อรองเกี่ยวกับธุรกิจได้ดีไปกว่าการได้แช่น้ำร้อนออนเซ็นเลย

การประชุมกับผู้ร่วมทุนกิจการรีสอร์ตที่เกาะโอไดบะในวันนี้นั้นประสบผลสำเร็จอย่างดี หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จกับการร่วมทุนสร้างโรงแรมในโอซากาไปเมื่อวันก่อน ตอนนี้โครงการที่จะต้องมาทำที่ญี่ปุ่นเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างแล้ว มันจึงถึงเวลาที่เขาจะให้รางวัลกับตัวเองบ้าง

หลังจากรับพลังจากธรรมชาติจนเต็มเปี่ยมแล้ว อมรก็แต่งตัวออกจากส่วนอาบน้ำรวมของผู้ชายเพื่อที่จะออกสู่ห้องโถงรวมเพื่อกลับโรงแรมที่พัก

ทว่ากลับต้องชะงักเมื่อเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินควงคู่กันเข้ามา ซึ่งอีกฝ่ายเองก็ดูเหมือนจะตกใจเช่นเดียวกันที่เห็นเขาที่นี่

ฝ่ายหญิงนั้นมองดูผิวเผินเหมือนกับสาวอายุไม่เกินสามสิบ แต่อมรรู้ดีว่าอายุของเธอนั้นเกินกว่าใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นถึงสิบปีด้วยกัน นั่นเพราะเธอคือ ปานวาด พิชญา เจ้าแม่แห่งวงการสปาและสถาบันเสริมความงามของประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นอดีตภรรยาที่เขาสุดแสนจะรักมากนั่นเอง

ส่วนฝ่ายชายนั้น เป็นหนุ่มรูปร่างล่ำสันและมีใบหน้าที่งดงามราวกับเทพบุตรกรีก ท่าทางจะอายุเกินยี่สิบมาได้ไม่เท่าไหร่ แต่ถึงกระนั้นก็คงจะช่ำชองในลีลารัก และมีดีมากพอที่จะทำให้ครอบครัวอันมีความสุขของเขาต้องแตกสลายลงได้อย่างฉับพลัน

อมรจำได้ดีถึงวันนั้น วันที่เขาแอบย่องไปหาภรรยาที่ร้านสปาของเธอ หมายจะชวนเธอออกไปดินเนอร์กันให้มีความสุขหลังจากทำงานหนักมาตลอดสัปดาห์ ทว่าเขากลับพบเธอกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับชายหนุ่มคนนั้น

มันเป็นภาพที่เขาจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด...

“คุณอมร” ปานวาดเอ่ยทักเขาด้วยน้ำเสียงตกใจ

“คุณปานวาด” เขาทักตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา หากแฝงเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดล้ำลึก ก่อนจะเหลือบมองไปที่ชายหนุ่มข้างกายเธอด้วยแววตาขึ้งเคียด เด็กหนุ่มคนนั้นสะดุ้งเฮือก รีบค้อมศีรษะเคารพเขาแล้วเบือนหน้าหลบสายตาแข็งกร้าวของเขาไปทางอื่น พร้อมกับผละจากอ้อมแขนของสาวใหญ่ข้างกายด้วยท่าทางกริ่งเกรง

“ได้ยินว่าการร่วมทุนกับสองบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นประสบความสำเร็จ” เธอเอ่ยก่อนจะค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “ยินดีด้วยนะคะ”

“ขอบใจ” อมรเอ่ยเมินๆ ก่อนจะเหลือบมองไปที่ชู้รักของอดีตภรรยาอีกครั้งแล้วแสยะยิ้ม หัวเราะในลำคอเบาๆ “มาฮันนีมูนเหรอ”

ปานวาดหน้าตึงขึ้นมาทันที “เปล่าค่ะ ฉันมาทำงาน”

“ก็เลยหอบงานจากกรุงเทพฯ มาทำนอกเวลาด้วยงั้นสิ”

“คุณอมร” หญิงสาวเสียงเข้มขึ้นด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะเหลียวซ้ายแลขวาอย่างนึกขึ้นได้ จึงลดเสียงลงให้ได้ยินกันเพียงสามคน “มันไม่ได้มีอะไรอย่างที่คุณคิด ถ้าคุณจะฟังฉันอธิบายบ้าง เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้”

“ไม่จำเป็น” เขาโบกมือ “สิ่งที่ฉันเห็น มันอธิบายทุกอย่างแล้ว”

“ความจริงกับสิ่งที่เห็นมันอาจตรงข้ามกัน”

อมรหัวเราะหยัน ก่อนจะกัดฟันกระซิบลอดไรฟันออกมา “เห็นเมียตัวเองกอดจูบกับผู้ชายคราวลูก จะให้ฉันคิดเป็นอย่างอื่นหรือไง”

“ก็ถ้าคุณไม่หุนหันและฟังฉันบ้าง...”

“ไม่” เขาตวาดแทรกขึ้น “ฉันไม่ฟังคำโกหกจากคนที่ฉันไว้ใจที่สุด เพราะภาพที่เห็นมันก็ทำให้ฉันเจ็บปวดมากพอแล้ว ฉันจะไม่ฆ่าตัวตายด้วยการฟังคำโกหกจากเธออีก”

“แต่ฉันก็ยังอยากได้โอกาสที่จะอธิบาย” ปานวาดยืนยันน้ำตาคลอ

“โอกาสมันหมดไปแล้ว...ปานวาด” อมรเอ่ยเสียงเครียด “ฉันมีคนที่ไว้ใจได้มาอยู่เป็นเพื่อนแทนเธอแล้ว”

“แม่บราลีอะไรนั่นหรือคะ”

“ใช่” ชายสูงวัยพยักหน้า

“คุณรู้ได้อย่างไรว่าไว้ใจเธอได้” ปานวาดเอ่ยเสียงสั่นด้วยความโกรธผสมกับความเสียใจ “ป่านนี้แม่นั่นอาจจะกำลังกะหนุงกะหนิงกับผู้ชายคนอื่นก็ได้ ผู้หญิงหิวเงินที่ทั้งสาวทั้งสวยแบบนั้นน่ะ”

“หยุดนะ” อมรตวาดพร้อมกับชี้หน้าเธอ

“หรือไม่จริง” เธอขึ้นเสียงอย่างไม่เกรงกลัวเขา

“ฉันบอกให้หยุด” เขาคำราม หากเธอก็ยังไม่เชื่อฟัง

“นอกจากเงินแล้ว คุณมีอะไรที่ผู้ชายควรให้กับผู้หญิงสาวสวยอย่างนั้นได้บ้างล่ะ”

อมรกำหมัดแน่น กรามขบกันจนเป็นสันนูนปูดโปน เพื่อพยายามสงบอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน เพราะเขาไม่ต้องการทำร้ายผู้หญิง และไม่ต้องการมีเรื่องมีราวในที่สาธารณะเช่นนี้

“เพราะอย่างนี้ใช่ไหม เธอถึงได้...” เขาเหลือบมองไปยังเด็กหนุ่มที่แย่งภรรยาของเขาไปด้วยอะไรๆ ของผู้ชายที่เธอเอ่ยถึงเมื่อครู่

“ฉันบอกแล้วไงล่ะว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็น”

เสียงที่ดังของเธอกับเขาทำให้ผู้จัดการสถานที่ต้องเดินเข้ามาหาแล้วเอ่ยถามถึงสถานการณ์อย่างสุภาพ อมรรู้ดีว่านั่นเป็นการห้ามปรามการส่งเสียงดังอยู่ในที เพราะสถานที่ระดับห้าดาวเช่นนี้คงจะไม่ปล่อยให้ใครมายืนทะเลาะเบาะแว้งกัน ทำลายบรรยากาศและรบกวนแขกเหรื่อคนอื่นให้เสียชื่อเสียงอย่างแน่นอน

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้มีความสุขนะ” อมรอวยพรเสียงเข้มอย่างไม่จริงใจ หลังจากพูดให้ผู้จัดการโรงแรมสบายใจว่าจะไม่เกิดเรื่องราวอะไรขึ้นแน่

“ขอให้คุณมีความสุขเช่นกันค่ะ” ปานวาดอวยพรกลับเสียงแข็ง

ชายสูงวัยแสยะยิ้มเหยียดๆ ก่อนจะหันหลังให้เธอกับชู้รัก ทว่าก่อนที่จะเดินจากมา หญิงสาวก็เอ่ยคำทิ้งท้ายจนเขาถึงกับสะอึก

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น