“ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?” ลีลาวดีเอ่ยถามเสียงกร้าว ก่อนจะโยนนิตยสารฉบับหนึ่งลงบนโต๊ะเตี้ย หน้าปกของนิตยสารฉบับนั้นเป็นรูปชายหญิงสองคนกำลังนั่งรับประทานอาหารกัน ถึงแม้จะไม่ชัดนักเพราะเป็นภาพที่ถ่ายย้อนแสง แต่บราลีมองปราดเดียวก็รู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นคือเธอ และผู้ชายคนนั้นก็คือ...กวิน
คำพูดของกวินทำเอาบราลีถึงกับสะอึก ร่างกายของเธอเหมือนถูกแช่แข็ง ดวงตาคล้ายกับจะถูกสะกดให้จ้องมองเขาด้วยความตะลึงพรึงเพริด
“ใช่ไหม...ลีกำลังหึง” กวินถามย้ำ
“ไม่” หญิงสาวโพล่งออกมาด้วยเสียงอันดัง แต่ถึงกระนั้นเขาก็จับกระแสเสียงแห่งความไม่แน่ใจที่สั่นนิดๆ ของเธอได้ “ฉันไม่ได้หึงคุณ แค่...เอ่อ...โกรธที่คุณหลอกฉัน”
กวินหัวเราะในลำคอกับการที่บราลีสลับสรรพนามกลับมาใช้ ฉัน กับ คุณ เพื่อสร้างระยะห่างระหว่างกัน การที่เขาเขียนและอ่านนิยายมาเยอะ ทำให้เขามั่นใจว่า นั่นเป็นการกลบเกลื่อนความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขาอย่างแน่นอน
“วินอธิบายได้นะ ถ้าลีต้องการฟัง” เขาเอ่ยเสียงเรียบแล้วรอดูท่าทีของเธออย่างสงบ
บราลีนิ่งไปสักพัก ก่อนจะสะบัดหน้าพรืดใส่เขา “คำอธิบายหรือ หึ...มันก็คงจะเป็นแต่คำโกหกซ้อนคำโกหกของคุณอีกนั้นแหละ”
“ยังไม่ทันฟังเลย รู้ได้ยังไงว่าวินจะโกหก” กวินค้านเสียงเข้มราวกับคุณครูดุนักเรียน
มันได้ผล สีหน้าของเธอบึ้งขึ้นมาทันที ก่อนจะโพล่งออกมาอย่างลืมตัว
“ไม่ต้องฟังก็รู้ ฉันเห็นกับตา ผู้หญิงคนนั้นแก้ผ้าอยู่ในบ้านของคุณตามลำพัง จะให้ฉันคิดยังไง”
“ก็ถ้าลีฟังวินอธิบาย...”
“ฉันไม่อยากฟัง” หญิงสาวโบกมือ “ฉันเชื่อสายตาตัวเอง สิ่งที่ตาเห็นมันถูกต้องเสมอ”
“บางครั้งอารมณ์บางอย่างก็ทำให้สิ่งที่เราเห็นถูกบิดเบือนได้ อย่างเช่น...ความหึงหวง”
“ฉันไม่ได้หึงคุณ” บราลีย้ำเสียงเข้ม หากหางเสียงกลับสั่นเล็กน้อย
“ไม่เอาน่า ลีเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่หรือ” กวินเอ่ยสวนกลับไปอย่างพยายามโน้มน้าวให้เธออ่อนลง
“สถานการณ์อะไร” เธอหันมามองเขาด้วยความสนใจ คิ้วเรียวโก่งขมวดมุ่น
“สถานการณ์ที่มีคนเข้าใจผิดลี เพราะพวกเขาเห็นลีอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ โดยที่ลีไม่มีทางได้พูด ได้อธิบายอะไรให้ใครฟังไงล่ะ”
“มันคนละเรื่องกัน” เธอย้อนเสียงเบาหวิว ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“วินว่ามันเรื่องเดียวกัน” เขาค้านด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ศาลให้โอกาสลีได้แก้ต่าง แล้วลีล่ะ ให้โอกาสวินได้แก้ต่างบ้างหรือเปล่า”
บราลีนิ่งงันไป สีหน้าเสี้ยวหนึ่งของเธอดูเข้ม หากดวงตาข้างนั้นกลับลดประกายแข็งกร้าวลง
“คุณมีอะไรจะแก้ตัวล่ะ”
“มันไม่ใช่การแก้ตัวนะ มันคือความจริงต่างหาก” กวินยิ้มกับชัยชนะเล็กๆ นี้
“พูดมาสิ ฉันจะตัดสินเองว่าควรเชื่อหรือเปล่า”
ชายหนุ่มนิ่งไปอีกชั่วครู่เพื่อให้เธอได้สงบอารมณ์ลงอีกสักนิด จะได้ฟังเขาอย่างมีสติ ก่อนจะเอ่ยอธิบายออกไปตามความเป็นจริง
“ผู้หญิงคนนั้นชื่อกุ๊บกิ๊บ เป็นแฟนคลับของตาเบบูญ่า เพื่อนนักเขียนที่วินบอกลีไปเมื่อวันก่อนไงล่ะ บังเอิญเจ้าตาเบบูญ่ามันมีธุระด่วน ต้องกลับกรุงเทพฯ ก็เลยฝากฝังกุ๊บกิ๊บให้วินดูแล แล้วเมื่อวานตอนวินไปเอาเครื่องปิ้งบาร์บิคิวที่ตึกใหญ่ กุ๊บกิ๊บเขาก็ทำซอสเลอะเสื้อ เลยเข้าไปล้างในห้องน้ำ ทำให้ต้องเอาเสื้อคลุมอาบน้ำของรีสอร์ตมาสวมแทน วินคิดว่าลีคงไปเห็นตอนนั้นเข้า ก็เลยเข้าใจผิด”
หญิงสาวแบะปากอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “ช่างบังเอิญได้เป็นเรื่องเป็นราวดีเหลือเกินนะ...คุณนักเขียนใหญ่”
เขาหัวเราะเบาๆ กับคำกระทบกระเทียบของเธอ “ถ้าลีไม่เชื่อ วินจะให้กุ๊บกิ๊บมายืนยันกับลีเอง...ดีไหม”
กวินเอ่ยอย่างนึกหวั่นใจเหมือนกันว่า ถ้าหากบราลีต้องการ แฟนคลับตัวป่วนจะยอมมาเป็นพยานแก้ต่างให้หรือเปล่า เพราะถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมกุ๊บกิ๊บถึงโกหกว่าบราลีไม่ได้ไปหาเขาที่บ้านพักเมื่อเย็นวาน
“วินรับรองได้ว่าสิ่งที่วินพูดเป็นความจริง” เขาเอ่ยพร้อมกับชูสามนิ้วขึ้นมา “และไม่มีอะไรระหว่างวินกับกุ๊บกิ๊บอย่างที่ลีเข้าใจผิดด้วย”
“แล้วปาร์ตี้เมื่อคืนล่ะ”
กวินหัวเราะเบาๆ “ลีรู้ได้ยังไง”
หญิงสาวอึ้ง “เอ่อ...แหม...เสียงดังขนาดนั้น ห้องของลีอยู่ใกล้กับที่พักของวินนี่”
ชายหนุ่มยักไหล่ “กุ๊บกิ๊บเขาเสียดายของ ก็เลยชวนเพื่อนมาปาร์ตี้กัน ผู้ชายก็มีนะ ไม่ได้มีแต่สาวๆ”
“วินก็เลยร่วมวงด้วยใช่ไหมล่ะ”
“แหม ก็ทำไงได้ล่ะ มันเป็นมีทแอนด์กรี๊ดของวินนี่นา ก็ต้องอยู่เป็นประธานในพิธีสักหน่อย แต่วินรับรองได้ว่า วินกับกุ๊บกิ๊บไม่มีอะไรกันแน่ๆ รายนั้นน่ะ คลั่งบู่บู๊เอามากๆ เลยนะ”
“บู่บู๊” หญิงสาวทวนคำด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มหัวเราะ “เป็นฉายาที่กุ๊บกิ๊บเขาตั้งให้ตาเบบูญ่าน่ะ เห็นไหมล่ะ เขากะหนุงกะหนิงกันขนาดไหน”
“ลีควรจะเชื่อวินใช่ไหม” บราลีเอ่ยถามเมินๆ
กวินยิ้มแป้น “ถ้าลียังรู้สึกกับวินเหมือนเมื่อก่อน วินเชื่อว่าลีรู้ว่าควรจะเชื่อวินไหม”
“เชอะ” หญิงสาวเบือนหน้าหนี “ทำเป็นพูดวกวน”
“เชื่อไหมล่ะ” เขาถามย้ำ
“ความจริงวินจะมีอะไรกับใคร มันก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับลีนี่” เธอตอบเฉไฉ
“ตกลงเชื่อไหมล่ะ”
“ไม่” บราลีปฏิเสธเสียงแข็ง “การไต่สวนต้องมีพยานหลายปาก ต้องมีพยานวัตถุ แค่ลมปากของผู้ต้องหาน่ะ ไม่ทำให้การแก้ต่างมีน้ำหนักขึ้นมาหรอกนะ เอาไว้ให้วินหาพยานมามากกว่านี้ ลีอาจจะเชื่อ”
เขาหัวเราะ “นี่ลีเป็นนักกฎหมายตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ขึ้นโรงขึ้นศาลบ่อยๆ ก็เป็นเองแหละ”
ชายหนุ่มยิ้มพราว เพราะถึงเธอจะเอ่ยปากว่าไม่เชื่อ แต่ท่าทีและการพูดล้อเล่นแบบนั้นก็ทำให้เขาซึ่งเคยสนิทกับเธอรู้ว่าเธอโอนอ่อนผ่อนตามเขาแล้ว
“หมดเรื่องแล้วใช่ไหม ลีจะได้ทำงานต่อ”
“ยัง”
“มีอะไรอีกล่ะคะ คุณนักเขียน”
“เย็นนี้ลีว่างไหมล่ะ”
“ทำไมคะ”
กวินยิ้มพราว “วินว่าจะแก้ตัวเรื่องเมื่อวานสักหน่อย เย็นนี้ไปทานข้าวด้วยกันนะ เพื่อเป็นการไถ่โทษที่ทำให้ลีเข้าใจผิด เย็นนี้วินจะเลี้ยงอาหารแสนอร่อยลีไง”
เธอก้มลงมองดูงานกองโต ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเรียบ “ลีไม่แน่ใจ”
“เอาน่า หลังเลิกงานก็ได้”
หญิงสาวนิ่งคิด ก่อนจะเอ่ยถามออกมาอย่างลังเล “วิน...จะทำอะไรเลี้ยงลีล่ะ”
“ไม่ทำแล้ว” ชายหนุ่มโบกมืออย่างรู้สึกเข็ดกับการเก็บล้าง “วินว่าจะสั่งอาหารจากห้องอาหารนี่แหละ แล้วไปจัดโต๊ะดินเนอร์กันริมแม่น้ำ...ดีไหม”
“ลี...เอ่อ...”
“อย่าปฏิเสธวินเลยนะ” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับมือของเธอ
บราลีถึงกับสะดุ้ง เธอขืนมือจะดึงกลับ แต่เมื่อเขายืนยันหนักแน่นด้วยการรั้งมือเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วปล่อยให้มือของตัวเองสงบนิ่งอยู่ในมือของเขา
“นะ” กวินถามย้ำ
หญิงสาวมองเขาอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ก็ได้ค่ะ”
นักเขียนหนุ่มยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นแล้วโน้มตัวลงไปพร้อมกับดึงมือของเธอขึ้นมาจุมพิตแผ่วเบา
กลิ่นหอมเตะจมูกทำให้เขาแทบคลั่ง
บราลีสะดุ้งเฮือกกับการกระทำแบบจู่โจมของเขา ใบหน้างามแดงเรื่อขึ้นจนชวนให้ใจอยากใช้ริมฝีปากสัมผัสสักครั้งว่ามันจะหอมยวนฆานมากกว่าหลังมือของเธอแค่ไหน
“วินทำอะไรน่ะ” เธอร้องด้วยความตกใจเมื่อได้สติ รีบชักมือกลับเข้าหาตัวแล้วกุมมันเอาไว้ด้วยอีกมือหนึ่งที่กลางหน้าอก
“จุมพิตแบบ...เพื่อนไง”
“อย่าทำอย่างนี้อีกนะ ใครมาเห็นเข้ามันจะไม่ดี” บราลีเอ็ดเขาเสียงเบาหวิว
“วินไปนะ” เขาเอ่ยลาอย่างไม่นำพาต่อการต่อว่าของเธอ
บราลีพยักหน้า เขาเห็นเธออมยิ้มก่อนที่จะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น รอยยิ้มนั้น แม้จะเป็นเพียงชั่ววินาทีเดียว แต่มันก็ทำให้เขาถึงกับเป็นสุขใจอย่างประหลาด
ชายหนุ่มยิ้มแก้มแทบปริ ก่อนจะหันหลังให้เธอแล้วเดินออกจากห้องทำงาน กลับไปยังรถส่วนตัวแล้วขับกลับบ้านพักด้วยหัวใจพองโต
ทว่า...ยังไม่ทันจะจอดรถสนิทดี สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวร่างเล็กนั่งกอดเข่าจุมปุ๊กอยู่ที่หน้าบ้าน อารมณ์รื่นเริงจึงพลันมลายหายไปในทันที
“พี่เปลวเทียน” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นโบกมือหยอยๆ เมื่อได้ยินเสียงรถของเขา
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถ โบกมือให้เธออย่างจำนนใจ
“กุ๊บกิ๊บ...ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ล่ะจ๊ะ ลืมอะไรไว้หรือเปล่า”
เจ้าหล่อนยิ้มแป้น “ไม่ได้ลืมค่ะ ว่าจะมาช่วยพี่เปลวเทียนเก็บของน่ะค่ะ”
“อ้อ” กวินยิ้มเจื่อน “ไม่เป็นไรหรอก พี่จัดการหมดแล้วละ”
“อ้าว” หญิงสาวครางอย่างผิดหวัง “เกรงใจจังเลย มาทำเลอะเทอะแล้วยังไม่ช่วยเก็บอีก”
“อย่าคิดมากเลย” เขาปลอบ ก่อนจะจ้องมองใบหน้าของเธอพร้อมกับยกมือขึ้นเกาคางอย่างนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“หน้าหนูมีอะไรติดหรือเปล่าคะ”
“เปล่าๆ จ้ะ” กวินโบกไม้โบกมือ “พี่แค่กำลังคิดว่า กุ๊บกิ๊บอาจจะช่วยอะไรบางอย่างแทนได้น่ะ”
“อะไรคะ” หญิงสาวร้องถามด้วยความสนใจ
“พี่เพิ่งนึกได้ว่า เย็นนี้พี่มีนัดกับบู่บู๊ว่าจะไปดูละครเวทีเรื่องวิมานเมฆาน่ะ”
“นัดกับพี่บู่บู๊...ไปดูละครเวที” กุ๊บกิ๊บเบิกตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อได้ยินชื่อนักเขียนคนโปรด
“อือ...แต่บังเอิญธุระยังไม่เสร็จนี่สิ” กวินทำเป็นคิด นึกกระหยิ่มใจที่เห็นสาวเจ้าทำท่าเหมือนรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ก่อนจะเอ่ยถามออกไป “กุ๊บกิ๊บไปดูละครกับบู่บู๊แทนพี่ได้ไหมล่ะ”
“ได้สิคะ” หญิงสาวรีบตอบทันทีด้วยท่าทางลิงโลด
“กุ๊บกิ๊บว่างหรือเปล่า พี่เกรงใจ”
“ว่างค่ะว่าง” เธอตอบอย่างรวดเร็วโดยที่เขายังถามไม่จบประโยคด้วยซ้ำ
“อืม” กวินครางเบาๆ แล้วทำทียกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “จะทันไหมเนี่ย”
“ทันสิคะ กรุงเทพฯ-เมืองกาญจน์แค่นี้เอง” หญิงสาวยิ้มแป้นจนตาหยี
“เอ้า งั้นพี่จะโทร.ไปบอกบู่บู๊นะ กุ๊บกิ๊บรีบกลับกรุงเทพฯ ก็แล้วกัน แต่อย่าขับรถเร็วนะ เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ”
“ได้ค่ะได้” แฟนคลับสาวรับคำ ก่อนจะโผเข้ากอดเขาอย่างถึงเนื้อถึงตัว
“เอ่อ...ปะ...ปล่อยก่อนเถอะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“ฮั่นแน่” หญิงสาวเดาะนิ้วใส่เขาหลังจากผละออกตามคำร้องขอ “กลัวคุณบราลีมาเห็นละสิ”
“มะ...ไม่ใช่อย่างนั้น” เขายกมือขึ้นโบกเป็นพัลวัน
กุ๊บกิ๊บทำหน้าเบ้ “พี่เปลวเทียนอย่าไปหลงกลยายนั่นเด็ดขาดนะคะ เห็นสวยๆ อย่างนั้นน่ะ ร้ายนักเชียว”
กวินเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ดูเหมือนเหตุผลที่กุ๊บกิ๊บปิดบังเรื่องที่บราลีมาหาเขาเมื่อเย็นวานนั้นจะเผยออกมาแล้ว
“ยังไงหรือจ๊ะ”
“อ้าว พี่ไม่เคยได้ยินข่าวเหรอ ที่แม่นั่นเป็นแม่เล้าส่งเด็กให้เสี่ยน่ะ แล้วที่โดนจับได้ที่ผับก็เพราะกำลังจะส่งมอบเด็กกัน ดีที่โดนตำรวจจับได้เสียก่อนนะ”
“เอ่อ...นั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิดนะ” กวินเอ่ยแก้ตัวให้คนรัก “พี่ได้ยินมาว่า ศาลตัดสินว่าคุณบราลีไม่ผิดแล้วไม่ใช่เหรอ เหตุการณ์ที่ผับนั่นเธอเป็นเหยื่อต่างหาก”
“โอ๊ย...มีเงินก็ทำให้ดำเป็นขาวได้ทั้งนั้นแหละค่ะ นี่เขาว่ากันว่าที่รอดมาได้เนี่ยก็เพราะบารมีของตาแก่ตัณหากลับอย่างอีตาอมรนั่นแหละ ถึงได้ยอมแต่งงานด้วยไงคะ คนแก่คราวพ่อแบบนั้นน่ะ”
กวินยอมรับว่ารู้สึกไม่พอใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่จะโทษกุ๊บกิ๊บก็คงจะไม่ได้ เพราะเธอเองก็คงจะเป็นกระต่ายตัวหนึ่งซึ่งอยู่ร่วมกับกระต่ายตัวอื่นในคอกใหญ่อย่างโซเชียลเน็ตเวิร์กซึ่งกำลังครองโลกอยู่ทุกวันนี้ เมื่อมีใครสักคนโยนอะไรลงไป กระต่ายก็พากันตื่นตูมด้วยความหวาดกลัว ยิ่งตัวที่อยู่ไกลจากปัญหา เมื่อเห็นเพื่อนพ้องแตกตื่นมาก็พากันวิ่งหนีอย่างไม่ได้ใช้สติคิดไตร่ตรองให้ดี หนำซ้ำยังชักชวนคนอื่นให้วิ่งตามอีก ทั้งที่ไม่รู้จริงๆ ว่าปัญหามันคืออะไรกันแน่
“นี่ก็คงตั้งใจมายั่วพี่เปลวเทียนแหละ” เจ้าหล่อนยังคงพูดต่อไม่หยุด “หล่อล่ำอย่างพี่น่ะ เป้าหมายของพวกนี้เลยแหละ”
ชายหนุ่มพยายามสงบใจแล้วยิ้มเจื่อนให้เธอ ก่อนจะวกกลับเข้าเรื่องที่ข้องใจอยู่ เพราะขืนแก้ตัวไป คนเสพข่าวด้านเดียวอย่างกุ๊บกิ๊บก็คงจะไม่ฟัง และหาเรื่องแย้งเขาแน่ๆ
“แล้วกุ๊บกิ๊บรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าคุณบราลีจะมายั่วพี่น่ะ”
“อ่า...” หญิงสาวอ้าปากค้าง ก่อนจะหัวเราะแหะๆ “กิ๊บเดาเอาค่ะ เอ่อ...กิ๊บว่ากิ๊บกลับไปเก็บของที่โรงแรมก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันไปดูละครเวที”
“พี่ไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ” กุ๊บกิ๊บรีบโบกมือ คงกลัวว่าเขาจะคาดคั้นเอาคำตอบเมื่อครู่ นั่นทำให้เขามั่นใจว่าเธอโกหกเขาเรื่องที่บราลีมาหาเขาเมื่อวานจริงๆ และเหตุผลหลักก็คือไม่ชอบหน้าดาราสาวผู้ฉาวโฉ่นั่นเอง
“ทำไมล่ะ”
“เกรงใจค่ะ” เธอบอกอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนจะโบกมือลาแล้วรีบวิ่งหายวับไปอย่างรวดเร็ว
“ยายจอมป่วนเอ๊ย” กวินส่ายหน้า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดปุ่มโทร.ออก เมื่อปลายสายรับแล้วจึงกรอกเสียงลงไป
“เฮ้ย...กัปปะ”
“ไอ้บ้า บอกว่าอย่าเรียกแบบนี้”
เขาหัวเราะ “เออๆ...เรียกบู่บู๊ได้หรือเปล่าวะ”
“ไอ้นี่ ไปฟังยายกุ๊บกิ๊บมาละสิ” ฟ้าครามโวย ก่อนจะเอ่ยถามกลับราวกับกำลังยุ่งอยู่กับอะไรบางอย่าง “โทร.มามีอะไรวะ”
“เย็นนี้ไปดู วิมานเมฆา ด้วยกันหน่อยสิ”
“อารมณ์ไหน มาชวนไปดูละครเวที”
“เอาน่า อยากดู อยากคลายเครียดด้วย เขียนอะไรไม่ออกเลยตั้งแต่เจอยายกุ๊บกิ๊บจอมป่วน ว่างไหมล่ะเย็นนี้”
“ก็ไม่มีอะไรนะ”
“งั้นไปซื้อตั๋วให้ด้วยแล้วกันนะ เดี๋ยวจะรีบขับรถกลับ”
“รอบไหน”
“มันมีรอบเดียวโว้ย”
“เออๆ...เดี๋ยวไปจองให้”
“เออ...เย็นนี้เจอกัน บาย” กวินเอ่ย ก่อนจะวางสายแล้วหัวเราะคิกคักกับตัวเอง เพราะเพียงเท่านี้เขาก็แน่ใจได้ว่า กุ๊บกิ๊บจะไม่มาป่วนดินเนอร์ของเขาแน่ๆ แถมยังยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ได้แก้เผ็ดฟ้าครามที่ทำให้ชีวิตเมื่อเย็นวานของเขาวุ่นวายอีกด้วย
“ไอ้กัปปะ นายรับช่วงความป่วนต่อไปละกันนะ เย็นนี้ฉันขอปรับความเข้าใจกับบราลีสักหน่อย”
ผ่านไปหลายชั่วโมง บราลีวางงานทั้งหมดลงด้วยความโล่งใจที่จะได้ไปดินเนอร์กับกวินอย่างที่ไม่มีอะไรให้คาใจ ก่อนจะอมยิ้มแล้วดึงมือข้างที่มีรอยประทับจูบของกวินขึ้นมากุมเอาไว้กลางอก
“ก็อาการที่ลีแสดงออกมานี่ ไม่ได้หมายความว่าลี ‘หึง’ วินหรอกหรือ”
เสียงของกวินผุดขึ้นในสมองของบราลี หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ เธอยอมรับกับตัวเองว่า ครั้งแรกที่เห็นผู้หญิงคนนั้นแทบเปลือยอยู่ในบ้านพักของเขา ความรู้สึกไม่พอใจก็พลุ่งพล่านอยู่ภายในอก และเธอก็รู้ดีว่า นั่นเป็นอาการของความ ‘หึงหวง’ อย่างที่กวินพูดจริงๆ
ความจริงเรื่องตาเบบูญ่าอะไรนั่น เธอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ตั้งแต่มารดาของเธอบอกเธอเมื่อคืนแล้วว่ามีผู้ชายอีกคนอยู่ในบ้านพักของเขา และท่านก็เข้าใจว่าผู้ชายคนนั้นเป็นนักเขียนคนโปรดของอมร แต่ที่เธอโกรธเขาก็เพราะอยากให้เขาอธิบายเรื่องที่มีผู้หญิงกึ่งเปลือยอยู่ในบ้านนั่นต่างหาก
ครั้นเมื่อเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น สติของบราลีก็ถูกดึงกลับคืนสู่โลกของความเป็นจริง ก่อนจะร้องถามออกไปด้วยความสงสัย “ใครคะ”
“แม่เอง”
เสียงที่ดังสะท้อนกลับมาทำเอาบราลีถึงกับรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูทันที รู้สึกหวั่นใจอะไรบางอย่างกับการมาถึงของมารดา เพราะท่านไม่ค่อยจะเหยียบย่างมาที่สำนักงานบ่อยนัก ยิ่งเมื่อเปิดประตูแล้วเห็นผู้เป็นแม่มีสีหน้าเครียดจัด ก็ทำเอาเธอถึงกับกังวลว่า คงจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
ลีลาวดีจ้องเธอเขม็ง ก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง “ปิดประตู”
“ค่ะๆ” เธอรับคำแล้วทำตาม ก่อนจะประคองมารดาไปนั่งที่ชุดรับแขกน่าสบาย “มีอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมหน้าซีเรียสอย่างนั้น”
ความคิดเห็น |
---|