17

ตอนที่ 17



“คุณจะบ้าไปแล้วเหรอ กวินคำราม รีบปัดมือของเอกชัยออกด้วยความรังเกียจ ก่อนจะผุดลุกขึ้นแล้วเดินถอยห่างออกมาสองสามก้าว แต่ก็ชะงักหยุดอยู่เพียงแค่นั้น

คอลัมนิสต์หนุ่มยิ้มพราวอย่างรู้ดีว่าเขาจนตรอก เพราะหากออกไป ชนักที่ติดอยู่ที่หลังคงถูกเปิดเผยออกไปตามสื่อต่างๆ อย่างแน่นอน จึงรีบหยิบซองเอกสารแล้วลุกขึ้นเดินนวยนาดมาประชิดตัวเขา ใช้มุมแหลมของซองนั้นจิ้มที่หน้าอกของเขาเบาๆ

“หรือคุณอยากให้ภาพพวกนี้แพร่ออกไป”

“ไม่” นักเขียนหนุ่มตอบห้วนๆ พยายามเหวี่ยงมือคว้าซองนั้นมา แต่เอกชัยก็ไวพอ รีบดึงมันกลับไปซ่อนเอาไว้ด้านหลัง

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”

“ผมยินดีจ่ายเงินให้คุณในราคาที่เหมาะสม” กวินเอ่ยเสียงเข้ม

แต่เอกชัยกลับหัวเราะเยาะเขา “ว่ากันว่าอาชีพนักเขียนไส้แห้งไม่ใช่เหรอ แล้วนักเขียนอย่างคุณจะมีเงินมากพอมาซื้อภาพพวกนี้หรือไงคะ”

“คุณต้องการเท่าไหร่”

“อย่างต่ำๆ ก็ต้องสิบล้านละค่ะ” คอลัมนิสต์หนุ่มยิ้มเยาะ

“อะไรกัน นี่มันรีดไถกันชัดๆ” นักเขียนหนุ่มกัดฟันเอ่ย

“ก็แล้วแต่คุณจะคิด” เอกชัยยักไหล่ “รูปพวกนี้มันเกี่ยวข้องกับคนระดับเจ้าสาวหมื่นล้านเลยนะ แค่สิบล้านน่ะฉันถือว่าปรานีมากแล้วนะคะ”

“ผมไม่มีให้หรอกนะสิบล้านน่ะ!” เขาปฏิเสธเสียงลั่น

“แหม...ก็ฉันบอกแล้วไงล่ะคะว่า เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญตอนนี้” อีกฝ่ายยิ้มยั่วก่อนจะใช้ไหล่เบียดกระแซะแผ่นอกเขา “ถ้าเป็นคุณ เงินสิบล้านก็ไม่ต้องพูดถึง ฉันไม่เอาสักแดงเดียว”

“แต่ผมทำไม่ได้”

“ทำไม...เพราะฉันไม่ใช่ผู้หญิงงั้นเหรอ” เอกชัยเอ่ยถามเสียงเกรี้ยว “ฉันจะบอกให้นะ ฉันมีดีกว่าอีนังชะนีพวกนั้นตั้งหลายร้อยหลายพันเท่า รับรองได้ว่าพาคุณขึ้นสวรรค์จนไม่อยากจะลงมาเลยล่ะ”

“ไม่” กวินบอกปัดเสียงแข็ง “ถึงคุณเป็นผู้หญิงจริงๆ ผมก็ทำไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง เราไม่ได้รักกัน ไม่ใช่สามีภรรยากัน จะไปมีอะไรกันได้ยังไง”

“หัวโบราณ” คอลัมนิสต์หนุ่มเอ่ยเยาะ

“ยังไงก็เถอะ ผมให้คุณได้แค่เงินในจำนวนที่พอเหมาะเท่านั้น”

“แต่ฉันไม่ต้องการเศษเงินของคุณ” เอกชัยยังคงยืนยัน “คุณเลือกเอาก็แล้วกัน ระหว่างรูปพวกนี้ถูกเผยแพร่ออกไปกับการมีความสุขร่วมกันของเราสองคน”

“คุณนี่ท่าจะพูดไม่รู้เรื่อง ผมไม่ได้มีรสนิยมแบบนั้น ยังไงก็ไม่ได้”

“ลองสักหน่อย...” เอกชัยใช้มือลูบไล้แผ่นอกของเขาอย่างปลุกเร้าอารมณ์ ก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้แล้วกระซิบแผ่ว “แล้วจะติดใจ”

“ไม่” กวินคำรามปฏิเสธอีกครั้ง ยกมือขึ้นดันหน้าคอลัมนิสต์หนุ่มจนหงาย เสียหลักล้มผลึ่งลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า

“อ๊าย…แกผลักฉัน” เอกชัยชี้หน้าเขาด้วยท่าทางโกรธจัด

“คุณมันนักข่าวไม่มีจรรยาบรรณ”

“ฉันไม่มีจรรยาบรรณตรงไหน” อีกฝ่ายลุกขึ้นมาเถียงแถด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “คุณต่างหากที่ทำผิดศีลข้อสาม เป็นชู้กับเมียของคนอื่น อย่างไหนมันจะหนักกว่ากันหือ”

“ผมไม่ได้เป็นชู้กับใคร”

“รูปพวกนี้เป็นพยานได้” คอลัมนิสต์หนุ่มโบกซองเอกสารในมือด้วยท่าทางขึงขัง

“มันไม่เป็นความจริง ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญ ผมอธิบายได้”

“ฉันไม่เชื่อ” เอกชัยส่ายหน้า

“แล้วคุณจะเอายังไง”

ชายหนุ่มเจ้าของห้องยักไหล่ “ฉันบอกคุณไปแล้ว ทางเดียวที่ฉันจะให้ของพวกนี้กับคุณคือการที่เรามีความสุขร่วมกัน หลังจากนั้นคุณจะไปสำเริงสำราญกับแม่นั่นถึงสวรรค์ชั้นไหนก็ตามใจคุณ ฉันจะไม่ขุดคุ้ย ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณสองคนอีกเลย”

“ผมบอกแล้วไง ผมกับผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรกัน” กวินตวาด พยายามไม่เอ่ยชื่อบราลีออกไปให้เธอเสื่อมเสีย

“ถ้าฉันเอารูปนี้ลง แล้วเขียนใส่สีตีไข่ไปสักหน่อยเหมือนที่ทำคราวที่แล้ว ใครมันจะไปเชื่อว่าคุณไม่มีอะไรกับเมียคนอื่นคะ” เอกชัยขู่เสียงเขียว

กวินกัดฟัน สองมือกำแน่นด้วยความรู้สึกอยากจะชกหน้าผู้ชายคนนี้เสียเหลือเกิน แต่เขาก็ทำไม่ได้ เพราะหลักฐานทั้งหมดอยู่ในซองนั้น มันเป็นหลักฐานที่จะมัดตัวเขากับบราลีเอาไว้ด้วยกัน เขาและเธอจะต้องถูกคนประณามก่นด่ากันอย่างแน่นอนหากภาพพวกนั้นถูกแพร่ออกไป แม้ว่ามันจะไม่มีอะไรเกินเลยไปอย่างที่เห็นในรูปก็ตาม

ลำพังเขาตัวคนเดียวยังไม่เท่าไหร่ แต่ชีวิตของบราลีคงจะพังครืนลงอีกครั้งอย่างไม่เป็นท่าแน่ๆ

“ว่าไงล่ะ”

นักเขียนหนุ่มเหลือบมองสุริยะด้วยสายตาขึ้งเคียด ก่อนจะชี้ไปที่ซองสีน้ำตาล “ผมจะรู้ได้อย่างไรว่า คุณจะไม่ก๊อบปี้รูปพวกนั้นเก็บเอาไว้แบล็กเมล์ผมอีก หรือบางทีถ้ามันแพร่ออกไป คุณก็อาจจะอ้างว่าคนที่ขายข่าวให้คุณก๊อบปี้ไปขายให้ที่อื่น ไม่เกี่ยวกับคุณ”

“ไม่มีใครมีข่าวนี้แน่นอน” เอกชัยแสยะยิ้มอย่างลำพองใจ “เพราะฉันเป็นคนที่จัดการเรื่องนี้ทั้งหมดด้วยตัวเอง”

กวินขมวดคิ้วมุ่นกับคำพูดนั้น “คุณหมายความว่ายังไง”

“ก็ทั้งเด็กเอย ลูกบอลเอย งูปลอมเอย ถ้าคุณจำได้ มันของฉันทั้งหมด”

ชายหนุ่มเบิกตากว้าง นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่น้ำตกเอราวัณขึ้นมา ที่แท้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันเป็นการจัดฉากให้ดูเหมือนว่าเขากับบราลีลอบคบชู้กัน

“คุณนี่มันเลวจริงๆ”

เอกชัยหัวเราะร่า “ฉันอยากให้คุณรู้ไว้ ความโกรธเกรี้ยวของคุณมันจะได้ช่วยเพิ่มพลังรักอันรุนแรงให้เราไงคะ”

“คุณจัดฉากเพื่อถ่ายรูปแบล็กเมล์ผม” กวินชี้หน้าอย่างกราดเกรี้ยว

“ตอนแรกก็ว่าจะเอามาลงคอลัมน์ตัวเองเฉยๆ แต่เห็นคุณถอดเสื้อว่ายน้ำแล้วก็เกิดเปลี่ยนใจ ข่าวฉาวในวงการน่ะมันมีเยอะแยะ แต่ถึงไม่มี ฉันก็สร้างเรื่องขึ้นมาเองได้โดยไม่ต้องใช้พื้นฐานความจริงสักนิด ฉันมันนักปั้นน้ำเป็นตัวอยู่แล้ว ทำมาหลายครั้งจนชำนาญ ทำลายชื่อเสียงดารามาก็เยอะ เสี้ยมดาราให้ตีกันมาก็แยะ แค่ดาราสาวตกกระป๋องคนเดียว ไม่เหลือบ่ากว่าแรงฉันหรอกค่ะ แต่ผู้ชายอย่างคุณ มันหายาก ไม่ตกถึงท้องฉันมานานแล้ว” เอกชัยเอ่ยก่อนจะแลบลิ้นเลียปากแผล็บๆ

คำพูดเหล่านั้นทำให้กวินคิดว่า ผู้ชายคนนี้จะต้องมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรซ่อนเอาไว้อีกหลายชั้นแน่ๆ หากเขายอมพลีร่างกายให้ ก็ไม่แน่ว่าจะโดนทรยศหักหลังอีก โชคดีที่เขาก็เขียนและหาข้อมูลเกี่ยวกับอาชญากรรมประเภทนี้บ่อยๆ ในนิยายของตัวเอง ประกอบกับตอนที่วางสายจากบราลีเมื่อครู่ เขาเหลือบไปเห็นแอพพลิเคชั่นหนึ่งในหน้าจอโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนของเขาเข้า จึงคิดว่าควรเตรียมตัวรับมือคนประเภทนี้เอาไว้ในระดับหนึ่งจะดีกว่า ไม่คิดว่าจะได้ใช้จริงๆ

แต่จะใช้ได้ผลเหมือนในนิยายหรือไม่ ก็คงจะต้องลองดูกันสักตั้ง

“ว่าไงคะ”

กวินยิ้มเหี้ยมเกรียม ก่อนจะดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วสัมผัสหน้าจอให้ไพ่ใบสุดท้ายเผยโฉมออกมา จากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์ออกไปสุดแขนเพื่อให้สุริยะได้ยินเสียงจากแอพพลิเคชั่นนั้นอย่างถนัดชัดเจน

เมื่อคอลัมนิสต์หนุ่มหัวใจสาวได้ยินเสียงการสนทนาของเขากับตัวเองก็ถึงกับตะลึง โดยเฉพาะประโยคที่ว่า...

“ถ้าฉันเอารูปนี้ลง แล้วเขียนใส่สีตีไข่ไปสักหน่อยเหมือนที่ทำคราวที่แล้ว ใครมันจะไปเชื่อว่าคุณไม่มีอะไรกับเมียคนอื่นคะ”

และ...

“ข่าวฉาวในวงการน่ะมันมีเยอะแยะ แต่ถึงไม่มี ฉันก็สร้างเรื่องขึ้นมาเองได้โดยไม่ต้องใช้พื้นฐานความจริงสักนิด ฉันมันนักปั้นน้ำเป็นตัวอยู่แล้ว ทำมาหลายครั้งจนชำนาญ ทำลายชื่อเสียงดารามาก็เยอะ เสี้ยมดาราให้ตีกันมาก็แยะ แค่ดาราสาวตกกระป๋องคนเดียว ไม่เหลือบ่ากว่าแรงฉันหรอกค่ะ...”

เอกชัยถึงกับเต้นผางอย่างคาดไม่ถึงว่าเขาจะมาไม้นี้

“แกอัดเสียงเอาไว้”

กวินยิ้มอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า “ถ้าผมเอาคลิปเสียงนี้ไปแจ้งความ ผมสามารถดำเนินคดีโทษฐานข่มขู่กรรโชกทรัพย์กับคุณได้เลยนะ และที่สำคัญ ถ้าคลิปนี้แพร่ออกไป ผมรับรองได้ว่าอาชีพปั้นน้ำเป็นตัวของคุณจบเห่แน่”

“เอามานะ” เจ้าของเสียงในคลิปกรีดร้อง เอื้อมมือจะคว้าโทรศัพท์ไปจากเขา แต่กวินก็ไวพอที่จะดึงมันหนีแล้วเก็บลงกระเป๋ากางเกงเพื่อความปลอดภัย

“ผมขอซองนั่น” กวินเอ่ยเสียงเข้มแล้วแบมือ

“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกจะไม่เอาคลิปนั้นไปเปิดเผย”

นักเขียนหนุ่มยิ้มเยาะ “คนอย่างคุณอะนะ ปล่อยไปก็รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน แต่ผมจะถือซะว่านี่เป็นข้อแลกเปลี่ยน ผมจะเก็บคลิปนี้เอาไว้กับตัว ไม่เผยแพร่ออกไป ตราบใดที่รูปของผมกับบราลีไม่ถูกเผยแพร่ออกไปเช่นกัน”

“ฉันจะแน่ใจได้ยังไง”

“เราไม่มีใครแน่ใจใครได้หรอก...จริงไหม”

เอกชัยจ้องเขาเขม็งด้วยท่าทางขึ้งเคียด ก่อนจะเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา

“ก็ได้”

ซองน้ำตาลถูกปาใส่เขา กวินรีบตะครุบรูปถ่ายและแผ่นซีดีทั้งหมดมาแล้วกอดเอาไว้แน่น จากนั้นก็เอื้อมมือไปด้านหลังควานหาลูกบิดประตูก่อนจะหมุนดังแกร็กโดยไม่ละสายตาจากชายอสรพิษที่พร้อมจะแว้งกัดเขาทุกเมื่อ

“มันไม่จบแค่นี้หรอกนะ คุณเปลวเทียน” คอลัมนิสต์หนุ่มไม่วายคำรามขู่ฟ่อๆ

แต่กวินไม่สนใจคำขู่นั้น เขาได้ของที่ต้องการมาแล้ว แม้จะไม่แน่ใจนักว่าเป็นทั้งหมดที่เอกชัยมีอยู่ก็ตาม

เมื่อประตูเปิดออก นักเขียนหนุ่มจึงรีบวิ่งไปที่โถงลิฟต์ เขากดปุ่มรัวเรียกมัน เมื่อประตูเปิดออกจึงรีบเข้าไปในห้องโดยสารแล้วรัวปุ่มอีกครั้งให้ประตูลิฟต์ปิดแล้วพาเขาลงไปที่ชั้นล่างด้วยความร้อนใจ ก่อนจะขึ้นรถขับออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะกลับมาเหยียบย่างที่นี่อีกเลย

เช้าวันรุ่งขึ้น กวินขับรถออกจากบ้านมุ่งหน้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี เขาไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าไปเหมือนคราวก่อน เพราะคิดว่าจะไปเพียงแค่สัมภาษณ์คุณอมรเท่านั้น เมื่อเสร็จแล้วก็จะกลับ เนื่องจากไม่อยากจะอยู่ในที่ซึ่งอบอวลไปด้วยความรักของบราลีกับสามีจนเป็นที่น่าอึดอัดสำหรับตัวเอง

ไม่ถึงสิบนาฬิกา เขาก็มาถึงรีสอร์ต หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้วจึงเข้าสู่อาคารกลางและตรงไปยังฝ่ายต้อนรับทันที

“อ้าว พี่วิน” ชมพู่ร้องทักขึ้นเมื่อเห็นเขา “มาหาคุณอมรใช่ไหมคะ”

“ครับ” เขาพยักหน้าตอบ “คุณอมรอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ”

“ไม่อยู่ค่ะ ยังไม่เข้ามาเลย อยู่แต่คุณลีค่ะ เธอมาตั้งแต่เช้าแล้ว” หญิงสาวตอบยืดยาวแล้วตบท้ายด้วยคำถามที่ทำให้เขาคิดหนัก “พี่วินจะพบคุณลีก่อนไหมคะ”

กวินยืนอ้ำอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ เพราะใจหนึ่งก็อยากจะพบบราลีโดยไม่มีสามีของเธออยู่เคียงข้าง แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกว่าจะต้องระวังตัว เพราะเจ้าของเธอกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ได้ห่างไกลกันเหมือนเมื่อสัปดาห์ก่อน ทว่าระหว่างที่เขาลังเลอยู่นั้นเอง ชมพู่ก็ถือวิสาสะตัดสินใจให้เขาอย่างรวดเร็ว

“เดี๋ยวชมต่อสายคุณลีให้นะคะ”

ชายหนุ่มสะอึก ก่อนจะตอบอึกอักออกไปอย่างเผลอตัว “คะ...ครับ”

ชมพู่ยิ้ม แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาบราลี เธอพยักหน้าอยู่สองสามครั้งก่อนจะวางสายไปแล้วเดินออกจากเคาน์เตอร์ผายมือจะนำทางไปห้องทำงานของบราลี ทว่ากลับมีนักท่องเที่ยวเดินมาติดต่อห้องพักเสียก่อน กวินจึงส่งยิ้มให้พนักงานต้อนรับสาว

“ทำงานก่อนเถอะ เดี๋ยวผมเดินไปเองได้”

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าแล้วรีบกลับไปประจำตำแหน่งด้วยท่าทางแข็งขัน

กวินหันหลังให้เธอ ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องทำงานของบราลีที่เคยมาหลายครั้งแล้ว เขาเคาะประตูสองสามครั้ง เมื่อเจ้าของห้องส่งเสียงเชื้อเชิญ เขาก็เปิดประตูเข้าไปภายใน

“สวัสดีค่ะ” บราลียิ้มให้เขา

“สวัสดีครับ” เขาตอบกลับเสียงเข้ม รู้สึกได้ถึงความห่างเหินในคำทักทายระหว่างกันเหมือนในวันแรกที่เขาพบเธอที่บ้านพักริมน้ำจนอดรู้สึกเสียใจไม่ได้

“ขอจัดการเอกสารพวกนี้แป๊บนะคะ เดี๋ยวจะพาไปหาคุณอมรที่บ้าน”

“ตามสบายครับ” กวินผายมือให้เธอ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ แล้วมองเธอด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์

บราลีจัดการกับงานที่ติดพันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะจัดเก็บโต๊ะให้เรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา ทว่าเมื่อเห็นสายตาของเขา เธอก็ถึงกับชะงักแล้วรีบผินหน้ามองไปทางหน้าต่าง กลบเกลื่อนแววตาตกตะลึงเมื่อครู่ให้พ้นจากสายตาของเขา ทว่าแก้มที่แดงเรื่อขึ้นไม่ช่วยอะไรเธอได้เลยสักนิด

“ช่วงที่วินไม่อยู่ ลีสบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม”

หญิงสาวถอนใจ ก่อนจะตอบออกมาสั้นๆ

“ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น วันนี้วิน...เอ่อ...ใช้คำว่า ‘ผม’ จะดีกว่ามั้ง เดี๋ยวเกิดไปหลุดปากต่อหน้าคุณอมร จะเข้าใจผิดไปกันใหญ่”

“ก็ดีค่ะ” เธอกล่าวโดยไม่มองหน้าเขา

กวินถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างปลดปลง “ถ้าอย่างนั้น ผมจะรบกวนคุณบราลีกับ...สามี เพียงครู่เดียว แล้วก็จะขับรถกลับกรุงเทพฯ เลย”

“อ้าว ทำไมล่ะคะ” คราวนี้เธอหันมามองหน้าเขา

“ผมคิดว่าจะถามรายละเอียดกับคุณอมรแค่สองสามอย่างเท่านั้น”

สีหน้าของบราลีสลดลง เธอผินหน้าไปทางหน้าต่างอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณเถอะค่ะ”

ชายหนุ่มมองเธออย่างพินิจ ความรู้สึกมากมายเกิดขึ้นกับจิตใจของเขา หากไม่เกรงใจใคร เขาคงจะคว้าเธอมากอดเอาไว้แล้วบอกรักเธอ ขอร้องเธอให้หนีไปกับเขา

แต่เขาก็ทำไม่ได้

บราลีทอดเวลาไปชั่วครู่ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วผายมือไปทางประตู “เชิญค่ะ ฉันจะพาคุณไปที่บ้าน คุณอมรอยากจะคุยกับคุณที่ห้องสมุด”

“แล้ว...คุณแม่ล่ะ” เขาเอ่ยถามอย่างลังเล

“คุณอมรอยู่ด้วย คุณแม่คงไม่ว่าอะไร”

กวินพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินตามเธอไปห่างๆ บราลีนำเขาไปขึ้นรถกอล์ฟของเธอซึ่งวันนี้มีสารถีเป็นนายเข้ม เมื่อเขาขยับขึ้นนั่งข้างๆ เธอ นายเข้มก็ติดเครื่องยนต์แล้วขับออกจากลานจอดของอาคารหลังใหญ่ แล่นไปตามถนนภายในรีสอร์ต จนกระทั่งเกือบจะถึงทางแยกระหว่างบ้านหลังใหญ่ของเธอและบ้านหลังเล็กที่เขาเคยมาพักอาศัยอยู่ช่วงหนึ่ง

“ชักคิดถึงบ้านหลังนั้นเสียแล้วสิ” เขากระซิบเบาๆ

“หลังที่คุณพักหรือคะ” เธอย้อนถาม เขาพยักหน้าตอบ “ทำไมไม่พักอยู่นี่สักสองสามวันล่ะคะ บางทีสมองอาจจะแล่นกว่านั่งเขียนที่กรุงเทพฯ”

“หรือบางที อาจเขียนอะไรไม่ได้เลย”

หญิงสาวนิ่งงัน เขารู้สึกเหมือนรถกระตุกเล็กน้อย แต่ก็เป็นเพียงชั่ววินาทีเดียว เพราะหลังจากนั้นนายเข้มก็หมุนพวงมาลัยเลี้ยวขึ้นเนินไป เพียงชั่วอึดใจรถกอล์ฟคันเล็กก็แล่นมาจอดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ซึ่งมีแม่บ้านคนเดิมมาคอยยืนรอต้อนรับอยู่

“คุณพี่ลงมาหรือยังคะ ป้าดวง”

“คุณท่านรออยู่ที่ห้องสมุดแล้วค่ะ”

“โอเคค่ะ” เธอยิ้มแล้วผายมือมาทางเขา “ขอกาแฟให้คุณกวินสักแก้วนะคะ”

“ได้ค่ะ” หญิงสูงวัยยิ้มตอบ แล้วหายลับเข้าไปในบ้าน

“เชิญค่ะ” บราลีเอ่ยกับเขา ก่อนจะเดินนำไปยังห้องสมุดที่เขาเคยเหยียบย่างมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อเธอเปิดประตูบานใหญ่เข้าไป กวินมองไปรอบๆ ห้องก็พบว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม เว้นก็แต่วันนี้ที่โต๊ะอ่านหนังสือตัวนั้น มีเจ้าของห้องนี้นั่งอยู่กับกองหนังสือเต็มโต๊ะ

“อ้าว คุณเปลวเทียน” ชายสูงวัยเอ่ยทักทายเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“สวัสดีครับคุณอมร” เขายกมือไหว้ตามอาวุโส

เจ้าของคฤหาสน์หลังงามรับไหว้ก่อนจะผายมือไปที่เก้าอี้ว่างเปล่า “เชิญนั่งๆ”

กวินทรุดตัวลงนั่งตามคำเชื้อเชิญ สายตามองดูหนังสือของตัวเองที่ถูกจัดเรียงรายไว้บนโต๊ะด้วยความแปลกใจ

“ผมเอามาดูลายเซ็นน่ะ”

“อ๋อ...ครับ” เขาพยักหน้า “ผมเซ็นให้หมดทุกเล่มแล้ว แต่เห็นว่าที่บ้านหลังอื่นก็ยังมีอีกใช่ไหมครับ”

“ใช่ๆ แต่ไม่รบกวนหรอกนะ แค่ชุดเดียวก็พอแล้ว” เจ้าสัวใหญ่ตอบร่าเริง ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มบนสุดขึ้นมา “แล้วก็นี่ เล่มล่าสุด ผมซื้อไปอ่านที่ญี่ปุ่นด้วย สนุกจริงๆ เซ็นให้หน่อยสิ”

“ได้ครับ” กวินรับหนังสือเล่มนั้นมาแล้วดึงปากกามาเซ็นให้อย่างใส่ใจก่อนจะคืนกลับให้เจ้าของ

“ทีนี้ก็ครบเซต” อมรเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

คำพูดและท่าทางของชายสูงวัยที่เต็มไปด้วยความชื่นชอบเขา ทำเอากวินรู้สึกผิดขึ้นมาที่คิดกับบราลีไปในเชิงชู้สาวอย่างหักห้ามใจเอาไว้ไม่ได้

“เอาละ เรามาเริ่มสัมภาษณ์กันดีกว่า”

“เอ่อ...” บราลีเอ่ยแทรกขึ้น เมื่อเขากับอมรหันไปมอง เธอก็ยิ้มให้ “ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ยังมีงานค้างอยู่อีกเยอะเลย”

“อ้าว ไม่นั่งด้วยกันก่อนเหรอ” เจ้าของบ้านเอ่ยถาม

“ไม่ละค่ะ” เธอส่ายหน้า “ฉันว่าจะได้ไปดูในครัว ให้เขาเตรียมอาหารให้คุณพี่กับคุณเปลวเทียนด้วยคะ”

“เอ่อ...ก็ดีนะ” ชายสูงวัยยิ้มแล้วหันมาหากวิน “คุณเปลวเทียนทานอาหารกลางวันด้วยกันนะ”

“ได้ครับ” เขาพยักหน้ารับตามมารยาท

“โอเค” อมรยิ้มแล้วหันกลับไปหาภรรยา “หนูลีไปจัดการตามนั้นเถอะ ได้เวลาแล้วก็ให้คนมาเรียกแล้วกัน”

“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ

กวินเห็นเธอเหลือบมองมาทางเขาแวบหนึ่ง แต่มันก็เป็นแค่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวจริงๆ ที่หากเขาหรืออมรไม่จับตาดูอยู่ก็ไม่มีวันได้เห็น ทำให้เขาเองก็ไม่แน่ใจว่า สายตางามคู่นั้นตั้งใจมองมาทางเขาหรือเปล่า หรือเขาเป็นเพียงทางผ่านของสายตาเธอไปที่สามีเท่านั้น

เมื่อบราลีหันหลังให้แล้วเดินไปที่ประตู นักเขียนหนุ่มก็ได้แต่ทอดสายตามองตามไปอย่างนึกเสียดาย

เสียดาย…ที่ครั้งนั้นเขาปล่อยให้เธอหลุดมือไป เพียงเพราะคิดว่าเธออยู่สูงเกินเอื้อมสำหรับเขา

 
 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น