2

ตอนที่ 2


 

 วินาทีนี้แล้วสินะ ที่เขาจะต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า...

 บราลีไม่เคยถูกลบเลือนไปจากใจของเขาเลย ตลอดแปดปีที่ผ่านมา

กวินขับรถไปตามทางหลวงหมายเลข ๓๒๓ ด้วยจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความว้าวุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลายครั้งที่เขาเห็นเครื่องหมายกลับรถปรากฏเด่นหราอยู่ข้างทาง ก็นึกอยากจะหมุนพวงมาลัยกลับไปตามทิศทางของลูกศรที่โค้งงอนั้น มันทำให้เขาถึงกับนึกสงสัยว่าเขาตัดสินใจถูกหรือผิดกันแน่ที่รับงานนี้

แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่ได้กลับรถ รถแฮตช์แบ็กสัญชาติญี่ปุ่นของเขายังมุ่งหน้าต่อไปตามทางหลวงอย่างไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งได้ เขาระบายลมหายใจออกมาอย่างยอมจำนนต่อตัวเอง พลางนึกไปถึงคำถามของมารดาเมื่อวานนี้ขึ้นมา

‘คืนนี้ลองนอนทบทวนดู แล้วตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่าที่ไปหาหนูลีคราวนี้นี่ เพราะงานหรือเพราะ...หัวใจ’

หลังจากได้ยินคำถามนั้น กวินคิดทบทวนหาคำตอบอยู่เกือบตลอดคืนว่า การเดินทางในวันนี้เกิดขึ้นเพราะหน้าที่หรือเพราะหัวใจร่ำร้องกันแน่

แล้วในที่สุดเขาก็ได้พบคำตอบก่อนที่จะเข้าสู่ห้วงนิทราว่า...

เขายังรักบราลีอยู่ รักอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง รักอย่างที่ไม่มีใครมาแทนที่เธอได้ แม้เขาจะเป็นคนบอกเลิกเธอเองก็ตาม...

‘ไม่ได้นะคะวิน คุณจะมาบอกเลิกลีทางโทรศัพท์แบบนี้ไม่ได้นะคะ เราต้องคุยกัน’

‘ไม่...ทุกอย่างมันจบลงแล้วลี’

‘ทำไมคะ บอกเหตุผลมาสิ’

ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่กับคำถามที่ยังติดตรึงอยู่ในใจของเขาตลอดมา เขาชะลอรถจอดข้างทางอย่างนึกลังเลขึ้นมาอีกกับคำถามที่ว่า ถ้าเธอถามหาเหตุผลจากเขาอีก เขาจะตอบเธอว่าอย่างไร

กวินเอนศีรษะพิงพนัก เขาหลับตาลง นึกย้อนไปในวันแรกที่เจอเธอ

บราลีเป็นหญิงสาวที่สวยสดงดงามในสายตาเขา ใบหน้าของเธอหมดจด ริมฝีปากชมพูระเรื่อ พวงแก้มใสกระจ่าง และมีดวงตากลมโตที่ส่องประกายแห่งมนตร์เสน่ห์ออกมาระยิบระยับ เป็นมนตร์เสน่ห์ซึ่งไม่ว่าชายใดก็ตามที่ได้สบตาของเธอ ก็จะต้องมีอันตกหลุมรักเธออย่างแน่นอน

ไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเอง

กวินจำได้ว่า วันนั้นเป็นวันรับน้องปีหนึ่งของคณะครุศาสตร์ และบราลีถูกจับแยกจากกลุ่มเพื่อนของเธอมาอยู่กลุ่มเดียวกันกับเขา อะไรบางอย่างในดวงหน้าสวยหวานนั้นทำให้เขาตัดสินใจแนะนำตัวออกไป ทั้งๆ ที่เป็นคนขี้อายกับเรื่องพวกนี้ แต่เมื่อเธอมานั่งข้างๆ เขาแล้ว เขาจะปล่อยโอกาสทองนี้หลุดลอยไปได้อย่างไรกัน

‘หวัดดีครับ ผมชื่อกวินครับ’

เธอหันมามองเขา ก่อนจะยิ้มหวานให้ ‘หวัดดีค่ะ ฉันชื่อบราลี เรียกว่าลีเฉยๆ ก็ได้นะ แต่ห้ามเรียกว่า บรา เฉยๆ ก็แล้วกัน’

กวินหัวเราะ การแนะนำตัวแบบนั้นทำให้เขารู้สึกว่าเธอมีอารมณ์ขันเจืออยู่ไม่น้อย และเธอก็ไม่ได้ปิดตัวเองสำหรับเพื่อนใหม่ นั่นจึงทำให้เขากลายเป็นคู่หูของเธอในการร่วมกันฝ่าด่านอันหฤโหดต่างๆ ของรุ่นพี่จนเกือบทั้งวัน

มีคนเคยบอกเขาว่า สถานการณ์คับขันสามารถทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างหนุ่มสาวได้ เมื่อก่อนเขาไม่เคยเชื่อ แต่วันนั้นเขากลับนึกถึงมันขึ้นมาและหลงเชื่ออย่างสนิทใจ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่ได้ร้ายแรงอะไรนัก และถูกจัดฉากขึ้นมาหลอกๆ ด้วยน้ำมือของรุ่นพี่ที่ต้องการหยอกล้อรุ่นน้องก็ตาม

ในงานเลี้ยงตอนกลางคืน บราลีกลายเป็นดาวเด่นในงาน มีคนมาขอเธอเต้นรำมากมาย เขาได้แต่เฝ้ามองเธอมีความสุขอยู่บนฟลอร์เกือบทั้งคืนด้วยความขลาดเขลาซึ่งก่อตัวขึ้นมาเงียบๆ เสียอย่างนั้น จนกระทั่งเป็นเธอเองที่ปลีกตัวจากคู่เต้นคนสุดท้าย แล้วเดินตรงมาหาเขา

‘วินจะไม่ขอลีเต้นรำมั่งเหรอ’

เขาถึงกับอ้าปากค้างไปหลายวินาที ก่อนจะตอบคำถามเธอด้วยคำตอบที่โง่เง่าที่สุด ‘วะ...วินเต้นรำไม่เป็น’

บราลีหรี่ตามองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ ก่อนที่ในที่สุดจะยื่นมือออกมา ‘มา...ลีจะสอนให้’

เขาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง แต่ก็ยื่นมือออกไปจับมือเธอราวต้องมนตร์สะกด

ในวินาทีแรกที่สัมผัสมือของเธอ เขารู้ได้เลยว่านี่คือมือที่เขาไม่อาจปล่อยให้หลุดไปได้ คืนนั้นเขาจึงยึดมือของเธอเอาไว้อย่างนั้นตลอดทั้งงาน ท่ามกลางสายตาหมั่นไส้ของหนุ่มๆ ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นรุ่นเดียวกันหรือรุ่นพี่ก็ตาม

หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา เขาอาสาไปส่งเธอ ทั้งคู่นั่งแท็กซี่ไปจนถึงหน้าบ้านของหญิงสาว บ้าน...ที่ซึ่งเขาได้พบกับคำถามที่ไม่เคยคาดฝันว่าจะหลุดออกมาจากริมฝีปากแดงเรื่อน่าสัมผัสของเธอ

‘วินมีเบอร์ไหม’

กวินจำได้ว่าเขาหันไปมองเธอหน้าเหลอหลาจนเธอหัวเราะ

‘ไม่เอาเบอร์รองเท้านะ ท่าทางจะใหญ่น่าดู’

กวินยิ้มเจื่อน ก่อนจะหัวเราะออกมา แล้วบอกเบอร์โทรศัพท์ที่บ้านไปด้วยท่าทางเก้อเขิน

บราลีบันทึกเบอร์ของเขาเอาไว้ในโทรศัพท์มือถือของเธอ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามเขาด้วยสีหน้าสงสัย ‘เบอร์มือถือไม่มีเหรอ’

‘ไม่มี’ เขาส่ายหน้า ‘วินไม่มีตังค์ซื้อหรอก’

หญิงสาวย่นจมูก ก่อนจะก้มลงหยิบเศษกระดาษจากกระเป๋าสะพายขึ้นมาจดยุกยิกแล้วยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้เขา

‘อะ...เบอร์ลี’

กวินรับกระดาษแผ่นนั้นมาอย่างงุนงง มองเธอโบกมือให้แล้วหันไปเปิดประตูรั้ว ก่อนจะหายลับเข้าไปในบ้านไม้กึ่งปูนสองชั้นตรงหน้า...

เสียงแตรรถบรรทุกที่แผดดังทำให้กวินสะดุ้งตื่นจากภวังค์แห่งความหลัง เขาหันไปมองตามเสียงก็พบว่าเป็นเสียงแตรของรถบรรทุกสินค้าที่เพิ่งแล่นผ่านไป ซึ่งส่งเสียงเตือนไม่ให้รถยนต์คันหนึ่งออกจากซอยข้างหน้า

ชายหนุ่มถอนใจอีกครั้ง ก่อนจะดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนตัวโปรด จากนั้นก็ล้วงนิ้วเข้าไปในช่องเก็บของแล้วดึงซองพลาสติกเล็กๆ ออกมาดู

ในซองนั้นมีรูปถ่ายของเขากับบราลีอยู่ ด้านหลังเป็นกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ที่บราลีมอบให้เขาในวันนั้น มันยังคงถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี เฉกเช่นเดียวกับความรักของเขาที่มีต่อเธอ ซึ่งยังคงถูกเก็บเอาไว้ในหัวใจของเขาเสมอมา

แม้ว่าเขาจะเป็นคนบอกเลิกเธอเองก็ตาม

หลายปีหลังจากที่เขาบอกเลิกเธอ กวินติดตามข่าวคราวของเธอเสมอ เขารู้สึกมีความสุขที่ได้เห็นเธอประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ชื่อของบราลีฮอตฮิตติดตลาด ความสามารถของเธอทำให้เธอได้รับรางวัลดารานำหญิงหลายต่อหลายเวที แต่ก็อีกหลายครั้งเช่นกันที่การตามข่าวของเธอทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด เพราะดาราสาวสวยที่มีความสามารถอย่างเธอ คงไม่พ้นต้องมีข่าวกับหนุ่มๆ ในวงการ หนังสือบันเทิงหลายฉบับลงข่าวเธอกับพระเอกหนุ่มสองสามคน บางครั้งก็เป็นดาวร้าย หรือแม้แต่พวกหนุ่มไฮโซทั้งหลายก็ตาม มันทำให้เขาเจ็บปวด แม้จะได้ยินคำสัมภาษณ์จากปากของเธอเองว่า ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับคนพวกนั้นเลยก็ตาม แต่ด้วยความรักและความหวงแหนที่ยังคงมีอยู่เต็มหัวใจ มันก็ทำให้เขาอดคิดมากไม่ได้ 

จนกระทั่งในที่สุด ชีวิตของเธอก็ดิ่งลงเหว หลังจากตำรวจเข้าทลายปาร์ตี้ยาอีในสถานบันเทิงแห่งหนึ่งซึ่งเธอมีส่วนร่วมด้วย

ข่าวนั้นถูกละเลงสีเสียจนเละ โดยเฉพาะคอลัมน์สาวไส้ไฮโซของเจ๊แจ๊กกี้ที่อัดข่าวนี้อย่างหนักราวกับเคยแค้นเคืองกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน ทำเอาเขาเองก็อดคิดไปวูบหนึ่งไม่ได้ว่า วงการมายาคงทำให้สาวน้อยผู้สดใสร่าเริงของเขาเปลี่ยนไปแล้ว

หากเขาไม่ใช่คนที่รู้จักเธอดีที่สุดตลอดระยะเวลาห้าปีที่คบกันแล้วละก็ เขาก็คงจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ตราหน้าเธอว่าเป็นผู้หญิงเหลวแหลกไปด้วย

ตอนนั้นเขาตัดสินใจอยู่นานกว่าจะหยิบโทรศัพท์มาโทร.หาเธอ หวังจะขอโทษเธอและให้กำลังใจเธอต่อปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่ประดังประเดเข้ามา แต่หมายเลขนั้นกลับไม่มีสัญญาณตอบรับ ไม่ว่าเขาจะเพียรพยายามกระหน่ำโทร.สักกี่ครั้งก็ตาม

เธอปิดเครื่องเป็นระยะเวลายาวนาน ดาราสาวผู้ฉาวโฉ่หายตัวเข้ากลีบเมฆ ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหน และกำลังทำอะไร จนกระทั่งวันหนึ่ง ฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงกลางใจของเขา เมื่อหนังสือพิมพ์ทุกฉบับของเมืองไทยพาดหัวข่าวตัวโตว่า...

อดีตเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิงประกาศหมั้นกับเจ้าสัวอมร

กวินจำได้ว่าข่าวนั้นทำให้เขาช็อกไปหลายวัน กว่าจะตั้งตัวได้ติดก็เล่นเอาเกือบจะส่งต้นฉบับเรื่องระห่ำรักท้าโลกันตร์ไม่ทันทีเดียว

ตอนนี้บราลีเปลี่ยนสถานภาพจากคนโสด กลายมาเป็นศรีภรรยาของเจ้าสัวแห่งวงการรีสอร์ตและโรงแรมทั่วไทยไปเสียแล้ว หลังจากทั้งคู่เข้าสู่ประตูวิวาห์ไปอย่างยิ่งใหญ่อลังการที่โรงแรมชื่อดังของเจ้าสัวเอง

นักเขียนหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง เขาเก็บเบอร์โทรศัพท์เก่าของบราลีกลับที่เดิม แล้วโยนกระเป๋าสตางค์ไปไว้บนเบาะข้างๆ ก่อนจะเหลือบมองกระจกมองข้าง เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงขับรถออกจากริมถนนแล้วมุ่งหน้าสู่จุดหมายต่อไป

บราลีเดินกระวนกระวายไม่เป็นอันทำอะไรอยู่ภายในห้องรับแขกใหญ่ของบ้าน เธอรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยกับการมาอย่างไม่คาดหวังของกวินในวันนี้

แน่นอน...เขาต้องรู้แน่ว่ากำลังจะมาสัมภาษณ์ใคร เพราะใบหน้าและชื่อของเธอปรากฏหราอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ส่วนเขานั้นอยู่ในมุมมืดที่เธอไม่สามารถเห็นได้ หากเมื่อวานเธอไม่ได้พลิกไปดูที่ปกหลังของหนังสือที่เขาแต่งขึ้นมา

ทำไมเขาถึงทำอย่างนี้ เขากล้ามาเผชิญหน้ากับเธอได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เป็นคนบอกเลิกความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นลงเมื่อหลายปีก่อนโดยไม่บอกเหตุผลเธอสักคำ

“คนใจร้าย” หญิงสาวหลุดปากออกไปอย่างเผลอตัว

“ใครคะ” คำถามของแม่บ้านสูงวัยทำให้บราลีสะอึก

“เอ่อ...ไม่มีอะไรค่ะ” เธอปฏิเสธสีหน้าเจื่อน “ป้าดวงมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“อ๋อ...ป้าจะมาบอกว่าบ้านพักริมน้ำที่คุณลีสั่งให้ทำความสะอาด เสร็จเรียบร้อยแล้วน่ะค่ะ”

หญิงสาวยิ้ม พยักหน้า “ขอบใจค่ะ”

“ค่ะ” แม่บ้านสูงวัยค้อมศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินออกไปจากห้อง

บราลีถอนหายใจแล้วเดินไปที่ระเบียง เท้าแขนทั้งสองข้างกับราวไม้สีขาว สายตาทอดยาวไปยังบ้านพักหลังเล็กที่อยู่ติดริมแม่น้ำแควด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

“วินคงลืมทุกอย่างหมดแล้ว ถึงได้มาหาลีแบบนี้ใช่ไหม”

คำถามนั้นทำให้เธอหน้างอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ดวงตางามวาวโรจน์ หัวใจเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

กวินทำได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เธอไม่เคยลืมวันเวลาที่มีกันและกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว แต่เขากลับลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยร่วมทำกันมาด้วยความรักอันเปี่ยมล้น

หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย่อหยิ่ง ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อออกหนึ่งเม็ดจนล็อกเกตสีเงินสลักลวดลายละเอียดยิบปรากฏเด่นหราอยู่เหนือเนินอกขาวผ่องของเธอ

บราลีแกะตะขอ ดึงสร้อยออกมาจากลำคอระหงแล้วถือเอาไว้ในมือ มันทำให้เธออดคิดถึงวันเกิดปีแรกที่มีเขาอยู่เคียงข้างไม่ได้ วันนั้นเขาให้มันเป็นของขวัญกับเธอ

‘วินเห็นมันที่ตลาดสะพานพุทธ สวยดี แต่ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไรหรอกนะ’ กวินเอ่ยด้วยท่าทางเก้อเขินหลังจากเธอแกะห่อของขวัญออก

‘สำหรับลี ค่าของมันไม่ได้อยู่ที่ราคาหรอก มันอยู่ที่คนให้มากกว่าว่ามีความจริงใจขนาดไหน’ เธอจิ้มนิ้วที่หน้าอกข้างซ้ายของเขา

‘วินจริงใจกับลีนะ วินจะไม่ทำให้ลีเสียใจเด็ดขาด’

หญิงสาวแยกเขี้ยวเมื่อนึกถึงคำพูดประโยคนั้นขึ้นมา

“เฮอะ...มันก็เป็นแค่เพียงลมปากของผู้ชายสินะ” เธอพร่ำบอกตัวเอง ก่อนจะก้มลงมองล็อกเกตที่ภายในมีรูปของเธอกับเขาด้วยความรู้สึกเสียใจที่เก็บมันเอาไว้กับตัวตลอดเวลา ทั้งๆ ที่คนให้มันมานั้นไม่ได้คิดถึงเธอเลยแม้แต่วินาทีที่เธอต้องการเขามากที่สุด

บราลีกำล็อกเกตแน่น ก่อนจะหันหลังให้สายน้ำธรรมชาติแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องโถง เธอดิ่งตรงไปที่ห้องนอนของตัวเอง ทรุดตัวลงนั่งหน้าตู้เตี้ยข้างหัวเตียง ดึงลิ้นชักออกมาแล้วหยิบกล่องเก็บเครื่องประดับมาใส่รหัสเปิดออก หลังจากนั้นก็แบมือดูล็อกเกตอันนั้นอีกครั้งอย่างลังเล

ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเก็บมันเอาไว้ในกล่องแล้วเก็บกล่องกลับเข้าไปในลิ้นชัก ฝังความทรงจำทั้งมวลเกี่ยวกับกวินเอาไว้ให้ลึกที่สุด แม้มันจะยากมากก็ตามที

กวินขับรถเข้าไปจอดภายในลานจอดรถของรีสอร์ตหรูริมแม่น้ำแคว เขานั่งตั้งสติหลังพวงมาลัยอยู่นานหลายนาที ก่อนจะรวบรวมความกล้าเปิดประตูรถออกไปยืนมองอาคารหลังใหญ่ที่ดูเหมือนจะทำให้ตัวเขาเล็กลงไปถนัดตา

“เอาวะ...ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้วนี่หว่า” เขาบอกกับตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าไปในอาคารหลังนั้น

เมื่อมาถึงห้องโถงกลางซึ่งถูกจัดให้เป็นส่วนต้อนรับ พนักงานสาวสวยคนหนึ่งก็ยิ้มให้เขาพร้อมกับยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

“สวัสดีค่ะ ฟ้าอมรรีสอร์ตยินดีต้อนรับค่ะ”

“สวัสดีครับ ผมกวินครับ เป็นแขกของคุณอมร” เขาแนะนำตัวเอง

“อ๋อ...พี่เปลวเทียน” หญิงสาวเอ่ยอย่างนึกได้ ก่อนจะสะอึกเมื่อนึกขึ้นได้อีกว่าเผลอตัวตีสนิทแขกของรีสอร์ตด้วยความดีใจเช่นนั้น “อุ๊ย...ขอโทษค่ะ คุณกวิน”

เขายิ้มเก้อๆ “ไม่เป็นไรครับ ทำตัวตามสบายเถอะ”

เธอยิ้มแฉ่งพร้อมกับหัวเราะคิกคักเมื่อเขาอนุญาต

“แหม...ตัวจริงหล่อกว่ารูปที่ติดเอาไว้ในหนังสือเยอะเลยนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

พนักงานสาวยิ้มให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะหยิบเอาทะเบียนประวัติผู้เข้าพักมาวางบนเคาน์เตอร์

“กรอกประวัติตามระเบียบแล้วเซ็นชื่อนิดหน่อยนะคะ”

“ครับ” กวินพยักหน้ารับ หยิบปากกาที่รีสอร์ตเตรียมไว้ให้มาเขียนประวัติของตัวเองลงไป ก่อนจะเซ็นกำกับด้านล่างของเอกสารแล้วยื่นให้เธอ

หญิงสาวรับมันไปเก็บในลิ้นชักอย่างดี จากนั้นก็หยิบหนังสือนิยายเล่มล่าสุดของเขามายื่นให้เขาพร้อมรอยยิ้มพริ้มเพรา

“อันนี้ขอลายเซ็นเป็นการส่วนตัวค่ะ”

เขายิ้มอย่างยินดี เพราะไม่เคยปฏิเสธการให้ลายเซ็นกับแฟนๆ เลยสักครั้งเดียว

“เซ็นให้ใครดีครับ”

“ชมพู่ค่ะ” เธอตอบ

กวินก้มลงเซ็นชื่อลงไปในหนังสือให้เธอ ก่อนจะยื่นมันคืนให้เธอพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ยักรู้ว่ามีแฟนหนังสือเป็นผู้หญิงสวยน่ารักแบบนี้ด้วยนะครับ”

หญิงสาวยิ้มแป้นเมื่อถูกนักเขียนในดวงใจชม “ตอนแรกก็ไม่ชอบอ่านแนวนี้หรอกค่ะ แต่พอเผลอหยิบมาอ่านแล้วก็วางไม่ลง ต้องไปตามไล่อ่านของพี่ทุกเล่มเลยละค่ะ อยู่ที่บ้านเป็นตั้งๆ เลย เพิ่งรู้ว่าพี่จะมาเมื่อเช้านี้เอง ไม่งั้นหอบมาให้เซ็นแล้ว ดีนะที่พกเล่มนี้มาอ่านด้วย เพราะยังอ่านไม่จบ”

“ผมยังอยู่ที่นี่อีกหลายวัน ถ้ายังไงหอบมาให้เซ็นได้นะครับ”

“จริงนะคะ” พนักงานสาวร้องถามด้วยความตื่นเต้น

“ครับ”

“ดีใจจังเลย” เธอปรบมือแปะๆ ก่อนจะหันไปหยิบกุญแจพร้อมกับคีย์การ์ดยื่นให้เขา “พี่ขับรถมาใช่ไหมคะ”

“ใช่ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถลงเนินไปจนสุดทางนะคะ บ้านพักของพี่จะอยู่หลังสุดท้ายติดริมน้ำพอดีค่ะ”

“ขอบคุณครับ” เขาค้อมศีรษะให้เธอ ก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินกลับไปที่รถ จากนั้นก็ขับไปตามทางซึ่งขนาบไปด้วยสวนสวยจนกระทั่งถึงถนนเลียบแม่น้ำ สามารถมองเห็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กกะทัดรัดตรงสุดทางได้ถนัดตา จึงขับรถเลี้ยวเข้าไปจอดบริเวณหน้าบ้านซึ่งร่มรื่นไปด้วยร่มเงาของลีลาวดีที่ออกดอกเต็มต้นไปหมด

กวินนำกระเป๋าเดินทางสำหรับหนึ่งสัปดาห์ลงจากหลังรถแล้วใช้กุญแจเปิดบ้านพัก นำคีย์การ์ดไปเสียบกับคีย์บอกซ์เพื่อให้ระบบไฟฟ้าภายในทำงาน จากนั้นก็หิ้วกระเป๋าเข้าไปวางไว้หน้าตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่

“ตบแต่งสวยดีแฮะ” เขาเอ่ย ก่อนจะเริ่มเดินสำรวจดูที่พักของตัวเองอย่างละเอียด

ภายในบ้านหลังนี้เป็นห้องโล่ง มีหน้าต่างเปิดรับลมโดยรอบ ผนังด้านซ้ายมือมีโต๊ะทำงานตั้งอยู่พร้อมกับเทียนหอมที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วห้อง ผนังด้านขวาเป็นที่นั่งเล่นเหมาะสำหรับเอนหลังอ่านหนังสือไม่หยอก ขณะที่กลางห้องนั้นเป็นเตียงควีนไซซ์ขนาดห้าฟุต หัวเตียงเป็นฉากกั้นใหญ่แข็งแรงมีภาพวาดลายกนกที่อ่อนช้อยงดงามประดับอยู่ เบื้องหลังฉากนั้นเป็นตู้เสื้อผ้า ตรงข้ามตู้มีประตูเปิดออกสู่ระเบียงที่ติดกับแม่น้ำแควใหญ่บานหนึ่ง กับประตูห้องน้ำแบบเปิดโล่งพร้อมให้ผู้เข้าพักได้อาบน้ำพร้อมกับดื่มด่ำไปกับธรรมชาติกันเลยทีเดียว

หลังจากเดินสำรวจจนถ้วนทั่วแล้ว นักเขียนหนุ่มก็หยิบของออกจากกระเป๋าไปจัดเรียงเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า นำของบางส่วนไปไว้ในห้องน้ำ จากนั้นจึงค่อยเปิดประตูออกสู่ระเบียงริมน้ำ

ที่ระเบียงมีเก้าอี้สีวอลนัตสองตัววางขนาบโต๊ะเตี้ยอยู่ชิดริมผนัง ซึ่งสามารถนั่งชมวิวแม่น้ำที่มีสะพานข้ามแม่น้ำแควอันลือชื่อประดับอยู่ได้ตลอดทั้งวัน

กวินเดินไปทรุดตัวลงนั่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก รอให้ปลายสายรับแล้วจึงกรอกเสียงลงไปอย่างสุภาพ

“สวัสดีครับแม่”

“ถึงแล้วหรือวิน”

“ครับ เพิ่งมาถึง เลยโทร.มาบอกแม่ จะได้ไม่เป็นห่วงน่ะครับ”

“ดีแล้วจ้ะ” มารดาของเขาทอดเสียงลงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยถามออกมาอีกคำถามหนึ่ง “เจอหนูลีหรือยัง”

กวินชะงัก ก่อนจะหัวเราะกลบเกลื่อน “ยังครับ แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ยังไงก็ต้องได้เจอแน่ เพราะผมมาสัมภาษณ์เธอไงครับ”

ปลายสายเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกด้วยความเป็นห่วง “วินรู้ตัวแล้วใช่ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่”

แต่ละคำถามของมารดาทำให้เขาสะอึกได้ทุกครั้ง กวินลอบถอนหายใจ ก่อนจะกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์อีกครั้ง “ครับแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”

“งั้นแม่ก็ขออวยพรให้วินประสบความสำเร็จในสิ่งที่คาดหวังเอาไว้ในใจนะ”

ชายหนุ่มลอบถอนใจเบาๆ อีกครั้ง “ขอบคุณครับแม่”

เมื่อวางสายจากมารดา นักเขียนหนุ่มก็วางโทรศัพท์เอาไว้บนโต๊ะข้างตัว ก่อนจะเอนหลังพิงพนักแล้วยกเท้าขึ้นพาดราวระเบียงด้วยท่าทางผ่อนคลาย...

แต่หัวใจกลับรู้สึกโหวงเหวงชอบกล

กวินถอนใจ แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ก่อนที่คำถามเดิมๆ จะผุดขึ้นเมื่อสมองว่างเปล่า เป็นคำถามที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นมาด้วยความหวั่นไหว นั่นคือคำถามที่ว่า...

เขาจะพูดอะไรกับเธอเป็นประโยคแรก หลังจากไม่ได้พบกันนานขนาดนี้

“บ้าจริง” กวินสบถกับตัวเองก่อนจะยกมือขึ้นยีผมราวกับว่ามันจะสามารถขับไล่ความคิดว้าวุ่นออกไปจากหัวสมองได้

ก๊อกๆๆ

เสียงห่วงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความสับสนของจิตใจ เขาหันไปมองตามสัญชาตญาณ แต่ไม่อาจเห็นได้เพราะมีตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ขวางกั้นอยู่ กวินจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้น่าสบายแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง ก่อนจะเดินอ้อมตู้เสื้อผ้าไปที่หน้าห้อง

ทว่า...เมื่อเห็นคนที่เคาะห่วงประตูยืนอยู่เบื้องหลังประตูกระจกบานใหญ่ เขาก็ถึงกับชะงักนิ่งไป ดวงตาของเขาเบิกโพลงเมื่อแน่ใจแล้วว่าใช่เธอจริงๆ

“ลี” นักเขียนหนุ่มครางออกมาเบาๆ หัวใจเต้นโครมคราม

บราลีเองก็ดูจะชะงักไปเหมือนกันที่เห็นเขา เกิดความเงียบงันระหว่างกัน ไม่มีใครเคลื่อนไหว ไม่...แม้แต่จะกะพริบตา

สำหรับเขามันเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ ก่อนจะหมุนย้อนกลับพาให้ความทรงจำอันแสนสุขหลั่งไหลเข้าสู่สมองของเขาราวกับหนังฉายซ้ำ กระทั่งถึงวันที่เขาเจ็บปวดหัวใจเป็นที่สุดด้วยการบอกลาเธอทั้งๆ ที่ยังรักและหวังดีต่อเธอเสมอ

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น