ลีลาวดีตัดสินใจเดินออกจากห้องสมุดกลับไปที่ห้องอาหารซึ่งดวงกับเด็กรับใช้อีกคนยังคงยืนคอยอยู่ เนื่องจากเธอยังไม่ได้รับประทานยาตามที่บราลีกำชับ เธอเดินกลับไปนั่งที่เดิมท่ามกลางแววตางุนงงของแม่บ้านสูงวัย
“คุณจะรับข้าวต้มต่อไหมคะ”
“ไม่ละ” เธอโบกมือ “เอายามาทานเลย ฉันอิ่มแล้ว”
“ค่ะ” แม่บ้านดวงค้อมศีรษะก่อนจะเดินไปที่ตู้ยา หยิบยาราคาแพงบรรดามีจัดใส่แก้วเล็กๆ พร้อมกับน้ำดื่มวางลงบนถาด จากนั้นก็ยกมาวางตรงหน้าเจ้านาย
“ทานยาอย่างเดียวก็อิ่มแล้ว ว่าไหม” ลีลาวดีเอ่ยขณะหยิบแก้วใส่ยาขึ้นมาดู เธอถอนใจออกมาก่อนจะหันไปยิ้มให้แม่บ้าน “ดวงช่วยตักข้าวต้มใส่กล่องอาหารให้ฉันกล่องหนึ่งสิ”
“คุณจะเอาไปไหนคะ เมื่อเช้าคุณลีเธอเอาไปตั้งสองกล่องแล้วนะคะ”
“ว่าจะเอาไปให้นักเขียนคนโปรดของคุณอมรเสียหน่อย”
“อ๋อ ค่ะ” แม่บ้านรับคำ ก่อนจะปลีกตัวไปที่ห้องครัวเพื่อจัดการตามที่เจ้านายสั่ง
ลีลาวดีถอนใจออกมาอีกครั้ง ก่อนจะหยิบยาขึ้นมารับประทานทีละเม็ดจนหมด ถึงตอนนี้ท้องก็อิ่มจนแทบจุกทีเดียว เพราะยาที่หมอให้มานั้นเยอะแยะมากมายเหลือเกิน หลังจากนั้นไม่นานดวงก็นำกล่องอาหารสีสดใสมาวางบนโต๊ะ
“ขอบใจนะ” เธอบอก ก่อนจะเลื่อนถาดยาและแก้วน้ำเปล่าออกห่างตัว จากนั้นก็ลุกขึ้น
“คุณจะให้ฉันไปด้วยไหมคะ” แม่บ้านดวงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องหรอก” ลีลาวดีโบกมือ “บอกนายวงศ์ขับรถกอล์ฟพาฉันไปส่งก็พอ”
พูดจบก็เดินออกจากห้องอาหาร จากนั้นก็เดินตัดห้องโถงไปที่หน้าบ้าน ทอดสายตามองบ้านหลังเล็กริมน้ำด้วยหัวใจที่เต้นระรัว
หากสิ่งที่เธอคิดเป็นความจริง ชีวิตแต่งงานของลูกสาวอาจจะประสบปัญหาได้ และมันเป็นสิ่งที่เธอยอมไม่ได้อย่างเด็ดขาด บราลีผ่านอะไรที่เลวร้ายมามากแล้ว ตอนนี้ลูกมีชีวิตที่ดี มีคนที่รักอย่างจริงใจ แม้แต่คนที่คิดร้ายและเหยียบย่ำลูกสาวในห้วงเวลาแห่งความทุกข์ยากก็ยังหันมาญาติดีด้วย หลังจากกลายเป็นคุณนายหมื่นล้าน กลับมามีหน้ามีตาในสังคมอีกครั้ง
แต่ก่อนที่จะทำอะไรลงไป เธอจะต้องแน่ใจเสียก่อนว่านักเขียนที่อยู่ในบ้านหลังเล็กริมแม่น้ำคือ ‘กวิน อภิธาน’ จริงๆ
ลีลาวดียอมรับว่าเคยชื่นชอบผู้ชายคนนั้นไม่น้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เธอกลับเห็นว่าเขาไม่ดีพอสำหรับลูกสาวของเธอ เพราะบราลีเริ่มยกระดับฐานะกลายเป็นดาราสาวที่น่าจับตามอง การมีแฟนเป็นตัวเป็นตน และไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับวงการบันเทิงจึงเปรียบเสมือนขวากหนามบนเส้นทางที่จะพาลูกสาวของเธอไปสู่จุดสูงสุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ชายคนนั้นเป็นเพียงครูบ้านนอกเท่านั้น
กวิน อภิธาน ไม่มีอะไรเทียบมหาเศรษฐีอย่าง อมร จตุรงค์สกุล เจ้าพ่อวงการอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทยซึ่งเป็นสามีของบราลีอย่างถูกต้องตามกฎหมายเลยสักนิด
ความรักของแม่ทำให้เธอใช้ไม้เท้าค้ำไปขึ้นรถกอล์ฟจนได้ นายวงศ์คนสนิทที่ลูกเขยมอบหมายให้ดูแลเธอเป็นพิเศษ เป็นคนขับรถพาเธอลงไปตามทางลาดที่ทอดตัวไปสู่บ้านน้อยหลังงาม แม้อากาศยามสายจะร้อนสักเท่าไรก็ตาม แต่ไม่ได้ร้อนไปกว่าใจของเธอตอนนี้เลย
เมื่อรถกอล์ฟจอดที่หน้าบ้านหลังเล็ก ลีลาวดีก็ลงจากรถและหันไปสั่งให้นายวงศ์รออยู่บนรถ จากนั้นก็เดินโขยกเขยกจนถึงหน้าบ้าน
ประตูและหน้าต่างกระจกทุกบานถูกม่านสีเข้มปิดเอาไว้จนไม่สามารถมองเห็นภายในได้ เธอไม่แน่ใจว่ามีใครอยู่หรือเปล่า แขกของอมรอาจจะออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เหมือนคนอื่นแล้วก็ได้
ลีลาวดีตัดสินใจเอื้อมมือไปจับห่วงเคาะประตูช้าๆ เธอยืนนิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเคาะห่วงนั้นกับแป้นทองเหลืองจนเกิดเสียงดังก้อง ครั้งแรกไม่มีเสียงตอบรับ เธอจึงคิดว่าอาจไม่มีคนอยู่ แต่ก็ลองเคาะอีกครั้งด้วยแรงที่เพิ่มขึ้น
“ครับ”
คราวนี้เสียงชายหนุ่มดังแว่วมาจากภายในด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย ต่อมาเธอได้ยินเสียงคนเดินมาใกล้ประตู
ม่านถูกแหวกออกเล็กน้อย แสงสะท้อนบนกระจกทำให้เธอไม่เห็นใบหน้าของชายที่อยู่ภายในนั้น แต่เขาคงเห็นเธอ จึงปลดล็อกแล้วค่อยๆ แง้มประตูจนสามารถเห็นนักเขียนหนุ่มซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของลูกเขยได้อย่างถนัดตา
ลีลาวดีขมวดคิ้วมุ่น มองชายหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งด้วยความแปลกใจ ดวงตาของเขากลมโตส่อแววดุไม่น้อย ริมฝีปากรูปกระจับไม่แพ้ผู้หญิง ต่างตรงที่ปากเขาเหมือนกระจับตัวใหญ่เท่านั้น ผมเผ้าของเขาค่อนข้างยุ่งเหยิง สีหน้าเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนและหงุดหงิดจากการนอนไม่พอ
แต่รายละเอียดอื่นใดของนักเขียนซึ่งเป็นที่โปรดปรานของลูกเขยก็ไม่สำคัญเท่ากับ เขาไม่ใช่ กวิน อภิธาน อย่างที่เธอหวั่นเกรง
“สวัสดีครับคุณป้า” ชายหนุ่มฝืนฉีกยิ้ม
ลีลาวดีสะดุ้ง “เอ่อ...สวัสดีจ้ะ”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“คุณ...เอ่อ...เป็นนักเขียนหรือเปล่า”
“ครับ” เขาพยักหน้าหงึกๆ “จะมาขอลายเซ็นหรือครับคุณป้า”
“อะ...อ๋อ...ไม่ใช่หรอกจ้ะ” ลีลาวดีส่ายหน้า ก่อนจะแนะนำตัวเองด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ฉันเป็นแม่ยายของคุณอมร เจ้าของรีสอร์ตน่ะจ้ะ”
“อ๋อ” ชายหนุ่มอ้าปากหวอ ก่อนจะรีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “สวัสดีครับคุณแม่”
เธอยกกล่องอาหารขึ้นมาให้เขาดู “พอดีที่บ้านทำข้าวต้มกระดูกหมูน่ะ ฉันเลยเอามาฝาก”
นักเขียนหนุ่มยิ้มแป้น รีบรับกล่องอาหารนั้นไปทันทีพร้อมยกมือไหว้ปลกๆ “โหย ขอบคุณคุณแม่มากเลยครับ กำลังหิวอยู่พอดี”
“ปกตินอนตื่นสายหรือจ๊ะ”
“เพิ่งจะนอนต่างหากครับ” เขาหัวเราะ
ลีลาวดีพยักหน้า เข้าใจว่าพวกนักเขียนคงจะชอบทำงานตอนกลางคืนแล้วนอนตอนเช้า เพราะมีสมาธิกับความเงียบสงัดของราตรีกาลมากกว่า หรือไม่ก็คงไปเที่ยวกลางคืนมาแล้วเพิ่งกลับตอนรุ่งสาง เพราะดูจากบุคลิกก็น่าจะเป็นคนเจ้าสำราญไม่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ทานเสียก่อนนะ แล้วค่อยนอนต่อ ข้าวต้มยังร้อนๆ อยู่ ทานเสร็จแล้วก็วางกล่องเอาไว้แถวนี้แหละ เดี๋ยวฉันจะให้เด็กมาเก็บเอง”
“แหม...ขอบคุณคุณแม่จริงๆ เลยครับ มีบริการพิเศษแบบนี้ รับรองวันหลังผมจะมาพักอีกแน่ๆ ครับ”
“จ้า” ลีลาวดีเอ่ยยิ้มแย้ม ก่อนจะเผยอปากเพื่อถามรายละเอียดอะไรมากกว่านี้ แต่เห็นนักเขียนหนุ่มหาวก็หยุดความตั้งใจนั้นลง
เมื่อชายหนุ่มหาวเสร็จ ก็มองเธอด้วยดวงตาแดงก่ำเหมือนรอว่าเธอจะพูดอะไร น้ำตาเล็ดที่หัวตาเป็นผลพวงจากอาการหาวเมื่อครู่
“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ คุณจะได้พักผ่อน” เธอเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ เพราะไหนๆ เขาก็ไม่ใช่กวินแล้ว จะรบกวนเขาอีกก็ดูกระไรอยู่
“ครับ” เขายกมือไหว้เธออีกครั้ง “สวัสดีครับ”
ลีลาวดีพยักหน้า ก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินจากมาด้วยความโล่งอกที่นักเขียนซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของลูกเขยนั้น ไม่ใช่ กวิน ชายหนุ่มซึ่งเคยมีรักผูกพันกับลูกสาวของเธอมาก่อน
การตื่นมาทำอาหารซึ่งร้างราไปนานของลูกสาวนั้น อาจเป็นการนึกครึ้มอกครึ้มใจเรื่องอื่นก็ได้ และการที่บราลีตักข้าวต้มสองกล่อง ก็คงจะนำไปรับประทานที่ออฟฟิศเป็นอาหารเช้าและกลางวันอย่างที่แม่บ้านดวงบอกจริงๆ
ยิ่งเมื่อเธอได้เห็นหน้านักเขียนหนุ่มคนนั้นแล้ว ก็ยิ่งเป็นการการันตีว่า กวิน อภิธาน จะไม่หวนกลับมารบกวนบราลีอีก หลังจากต้องเลิกร้างกันไปนานถึงแปดปีแล้ว
“ใครมาวะ กัปปะ” กวินเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำในจังหวะเดียวกับที่ฟ้าคราม เพื่อนนักเขียนร่วมสำนักพิมพ์เดียวกับเขาเดินมาจากประตูหน้าบ้านพร้อมกล่องอาหารคุ้นตาในมือ
“ไอ้บ้า เดี๋ยวก็ขว้างด้วยกล่องข้าวน้อยฆ่าเพื่อนเลย” ฟ้าครามยกของในมือขึ้น “บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าล้อนามสกุล”
เขาหัวเราะ “เออๆ ว่าแต่ใครมาล่ะ”
“คุณแม่ของคุณบราลีน่ะ”
กวินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “คุณแม่?”
“เออ” ฟ้าครามพยักหน้า “มาถามว่าฉันเป็นนักเขียนหรือเปล่า”
“หา...แล้วนายบอกไปว่าไง” เขาร้องถามด้วยความตกใจ
“ก็บอกว่าเป็นน่ะสิ ก็ฉันเป็นนักเขียนจริงๆ นี่หว่า ทำไมต้องตกใจแบบนั้นด้วยวะ”
“มะ...ไม่มีอะไร” กวินโบกมือเอ่ยละล่ำละลัก ก่อนจะเป่าปากออกมาอย่างโล่งใจ และแน่ใจว่าลีลาวดีคงยังไม่รู้ว่าเขาคือนักเขียนคนโปรดของอมรเหมือนที่บราลีบอกเมื่อเช้านี้ เพราะไม่กล้าบอกมารดาว่าเขามาอยู่ที่นี่ เธอกลัวว่ามารดาจะระแวงเรื่องความสัมพันธ์เก่าก่อนจะทำลายชีวิตครอบครัวของเธอในตอนนี้
“เอาข้าวต้มมาให้ด้วยนะ” ฟ้าครามยกกล่องอาหารขึ้นมาโชว์ “นายกินข้าวเช้าแล้วใช่ไหม กล่องนี้ฉันขอก็แล้วกัน”
“เอาสิ”
“ลาภปาก” นักเขียนมาดเซอร์ยกนิ้วลูบริมฝีปาก ก่อนจะวางกล่องนั้นหลังตู้เย็น “ขอฉี่ก่อน เดี๋ยวออกมากิน”
ว่าแล้วก็รีบเดินไปที่ห้องน้ำซึ่งเขาเพิ่งจะออกมา ก่อนจะผงะแล้วเดินบีบจมูกบ่นพึมพำออกมาอย่างรวดเร็ว “หือ...ไอ้เปลว กินอะไรเข้าไปวะ กลิ่นถึงได้ตลบอบอวลแบบนี้”
“เว่อร์น่า” เขาส่ายหน้าหัวเราะ
“เว่อร์ที่ไหน เหม็นฉิบหาย” ฟ้าครามทำหน้าแหย ก่อนทำท่าจะเดินออกไปข้างนอกทั้งที่เพิ่งจะกลับเข้ามา
“แล้วนั่นจะไปไหนล่ะ”
“ไปฉี่ใต้ต้นไม้สิวะ ได้บรรยากาศกว่าเข้าไปทนกลิ่นไส้เน่าของนาย”
กวินหัวเราะกับท่าทางตลกขบขันของเพื่อน ไม่นานฟ้าครามก็หายวับไป เขาจึงเบือนสายตาไปที่หลังตู้เย็น มองกล่องอาหารคุ้นตาด้วยความสงสัยว่า ทำไมลีลาวดีถึงได้ใจดี นำอาหารมาให้นักท่องเที่ยวด้วยตัวเองแบบนี้
หรือเธออาจจะระแคะระคายเรื่องที่เขามาที่นี่
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงเมื่อคิดถึงมารดาของบราลี เธอเป็นผู้หญิงเก่ง หาเลี้ยงลูกสาวคนเดียวมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต รับจ้างทำงานทุกอย่างเท่าที่ร่างกายบอบบางจะทำไหว เนื่องจากสามีชาวอเมริกันของเธอเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุอันไม่คาดฝันเมื่อหลายปีก่อน
เมื่อกวินไปมาหาสู่บราลีที่บ้าน เขามักจะพบสีหน้ายิ้มแย้มและความอารีอารอบของลีลาวดีเสมอ แต่หลังจากที่บราลีมีชื่อเสียงโด่งดังแล้ว การไปมาหาสู่ของเขากลับทำให้บรรยากาศภายในบ้านอบอุ่นหลังนั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงทีละน้อย สีหน้าที่เคยยิ้มแย้มของลีลาวดีเวลาเจอเขาเริ่มกลายเป็นเฉยชา จนกระทั่งถึงกับมึนตึงในระยะหลังๆ
ตอนแรกเขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มารู้เอาภายหลังจากปากของลีลาวดีว่า แท้จริงแล้วก็คือเธอต้องการให้ลูกสาวกลายเป็นดาว ก้าวถึงจุดสูงสุดของอาชีพ และไม่ต้องการให้มีเรื่องด่างพร้อยใดๆ มาทำลายศรัทธาที่แฟนๆ มีต่อบราลีได้
‘คุณแม่อยากให้ผมเลิกกับลี...หรือครับ’
‘ใช่...ยายลีควรจะมีคนรักที่สมน้ำสมเนื้อ สมหน้าตาความเป็นซูเปอร์สตาร์ ไม่ใช่ครูบ้านนอกอย่างเธอ’
เสียงของลีลาวดีในวันนั้น ราวกับคมมีดบาดลึกลงมาในหัวใจของเขา และทิ้งรอยเอาไว้เป็นแผลลึกจนถึงทุกวันนี้
แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้เขาตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ไปบอกเลิกบราลี เพราะคำพูดของลีลาวดีเป็นแค่ตัวเร่งปฏิกิริยาในใจที่สั่งสมมานานเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เด่นชัดขึ้นเท่านั้น
การมองดูบราลีลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้าทำให้เขานึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง และเริ่มรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงแค่มนุษย์เดินดินธรรมดาที่เอาแต่แหงนมองดูดาว อยากจะครอบครองความสุกสกาวนั้นใจจะขาด แต่ก็ไม่สามารถเอื้อมมือไปถึงได้
ความสัมพันธ์ของเราในช่วงนั้นต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไม่สามารถพบกันอย่างเปิดเผยเหมือนตอนที่เธอยังไม่ได้เป็นดารา ยิ่งเธอมีชื่อเสียงเพิ่มพูนขึ้น เขาก็ยิ่งถูกเก็บซ่อนจากสังคมมากขึ้นเท่านั้น สิ่งเหล่านั้นจึงนำพาความคิดที่ว่า เขาไม่คู่ควรกับเธอเลยสักนิดเดียว
กวินยกหูโทรศัพท์ต่อหน้าลีลาวดี เขาโทร. บอกเลิกบราลีโดยไม่ให้เหตุผลกับเธอ เพื่อให้เธอเดินทางไปสู่ฝั่งฝันได้สำเร็จ
‘หวังว่าการมาพูดคุยกับเธอในวันนี้ของฉัน จะไม่ล่วงรู้ถึงหูยายลีนะ’
คำพูดประโยคนั้นของลีลาวดีคล้ายแม่กุญแจที่เก็บล็อกเหตุผลที่เขาบอกเลิกบราลีเอาไว้ในซอกหลืบของหัวใจ ไม่อาจบอกเธอได้แม้เธอจะคาดคั้นถามเขาเท่าไรก็ตาม
เสียงของฟ้าครามดึงเขากลับสู่ปัจจุบันอีกครั้ง นักเขียนหนุ่มมาดเซอร์กลับเข้ามาในบ้าน ดิ่งตรงไปที่หลังตู้เย็นแล้วหยิบชามออกมาเทข้าวต้มกระดูกหมูเห็ดหอมกลิ่นยวนใจ
“แล้วนี่นายจะบอกฉันได้หรือยัง ว่าทำไมมาถึงที่นี่ได้” กวินเอ่ยถามคำถามเดียวกับเมื่อช่วงเช้า ตอนที่เห็นฟ้าครามเดินเข้ามาในบ้าน
นักเขียนหนุ่มมาดเซอร์มาที่นี่หลังจากบราลีออกไปทำงานไม่ถึงชั่วโมง เขาถามหาเหตุผลของการปรากฏตัวของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ เพราะเพื่อนหนุ่มบ่นว่าง่วง ขอนอนสักตื่นก่อนแล้วจะมาคุยกับเขา
กวินจึงปล่อยให้เพื่อนนอนบนเตียง แล้วหอบคอมพิวเตอร์ไปนั่งทำงานที่ระเบียงหลังบ้าน
ฟ้าครามยักไหล่ “ไม่มีอะไร แค่แวะมาหาเพื่อนดื่มเหล้า”
“นี่อย่าบอกนะว่า นายขับรถมาตั้งร้อยกว่ากิโลฯ เพื่อมาดื่มเหล้ากับฉันเนี่ยนะ”
“เออสิวะ ไม่ได้หรือไง บรรยากาศดีจะตาย”
กวินมองเพื่อนอย่างไม่แน่ใจ “ได้สิ ว่าแต่มีเรื่องกลุ้มใจอะไรหรือเปล่า ถ่อมาถึงนี่มันน่าสงสัยว่ะ”
“ไม่มี้” ฟ้าครามทำเสียงสูงอย่างมีพิรุธ “อยากดื่มเหล้าเฉยๆ ก็เลยคิดถึงนาย”
เมื่อฟ้าครามยืนยันอย่างนั้น กวินก็ไม่อยากเซ้าซี้อะไร เพราะรู้นิสัยของเพื่อนดีว่า ถึงจะปากพล่อยบ้างเป็นบางครั้ง แต่สำหรับเรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับ แม้จะเอาคีมเหล็กมาง้างปาก คนอย่างฟ้าครามก็คงไม่พูดออกมา
จึงปล่อยให้เหตุผลที่แท้จริงของการมาปรากฏตัวของฟ้าครามนั้น เป็นความลับซึ่งมีเพียงคนที่อ่านใจเขาได้และตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้
“หอมว่ะ ท่าทางจะอร่อย” ฟ้าครามเอ่ยกลบเกลื่อน ก่อนจะถือชามเดินออกไปที่ระเบียงหลังบ้าน
กวินส่ายหน้าแล้วเดินตามออกไปทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม มองดูเพื่อนนักเขียนรับประทานอาหารฝีมือบราลีอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความรู้สึกปลื้มใจแทนคนทำ
“เป็นไงมั่ง เขียนไปถึงไหนแล้วล่ะ” ฟ้าครามเอ่ยถามหลังจากกลืนเห็ดหอมชิ้นใหญ่ลงคอ
“ก็วางโครงเรื่องได้หมดแล้วละ เหลือเก็บข้อมูลอะไรบางอย่างจากลี...” กวินชะงักไป ฟ้าครามเองก็พลอยเงยหน้าขึ้นมองเขากับการเรียกชื่ออย่างใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนั้น เขาส่งยิ้มเจื่อนให้เพื่อน “เอ่อ คุณบราลีน่ะ”
“เออ แล้วไง”
“แล้วก็รอสัมภาษณ์คุณอมรหลังจากเขากลับจากญี่ปุ่น จากนั้นค่อยเขียนจริงๆ จังๆ อีกที”
“คืบหน้าดีนี่หว่า”
“แล้วนายล่ะ เห็นว่ามีโพรเจกต์ใหม่กับน้องๆ ไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว”
ฟ้าครามทำหน้าเบ้ “ยังไม่ได้เริ่มเลย”
“อ้าว ทำไมวะ”
“ยังไม่มีอารมณ์อยากเขียนว่ะ” หนุ่มมาดเซอร์ส่ายหน้า
“แล้วจะทันเหรอ”
“เอาน่า ระดับฟ้าครามแล้ว ต่อให้เหลือสิบห้าวันสุดท้ายก็ทัน เขียนแบบนอนสตอบไม่หลับไม่นอนก็เคยมาแล้ว นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“ให้มันจริงเถอะ ถ้านายทำไม่เสร็จ รับรองพี่ท็อปเอานายตายแน่ๆ”
“กลัวก็ทำแล้วดิ” ฟ้าครามไหวไหล่อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะยกชามข้าวต้มขึ้นซดจนเกลี้ยง “อร่อยจริงๆ ว่ะ มื้อเย็นสงสัยต้องไปตีสนิทฝากท้องสักหน่อยแล้ว”
“ไอ้บ้า เดี๋ยวเขาก็หาว่าเห็นแก่กินหรอก” กวินเอ่ยอย่างร้อนตัว เพราะหากนักเขียนนามตาเบบูญ่าคนนี้เผลอพูดอะไรออกไป หรือดันไปรู้เรื่องอดีตของเขากับบราลีเข้าคงจะยุ่งทีเดียว
“พูดเล่นโว้ย ใครจะหน้าด้านไปขอข้าวเขากินแบบนั้น” ฟ้าครามเอ่ยพลางลุกขึ้นแล้วถือชามเดินกลับเข้าไปในบ้าน
กวินเป่าปากออกมาด้วยความโล่งใจ ก่อนจะเอนหลังทอดสายตามองสายน้ำที่ไหลเอื่อยตรงหน้าด้วยความรู้สึกกังวลหลายอย่าง รวมทั้งเรื่องการปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันของลีลาวดีในเช้าวันนี้ด้วย
ฟ้าครามกลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับเบียร์สองกระป๋อง เขาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม พาดขากับราวระเบียงด้วยท่าทางสบาย ก่อนจะยื่นเบียร์ให้กวินหนึ่งกระป๋อง
“อะไรวะ ดื่มแต่เช้าเลยนะ” กวินรับมาวางไว้ข้างเครื่องคอมพิวเตอร์
“เช้าที่ไหน สิบโมงกว่าแล้ว” ฟ้าครามเอ่ยพร้อมกับยกกระป๋องเบียร์ขึ้นซด “ดื่มหมดกระป๋องจะได้กลับเข้าไปนอนหลับสบาย”
“นี่ยังจะนอนอีกเหรอ”
“เออ” นักเขียนหนุ่มพยักหน้า “เดี๋ยวบ่ายๆ ค่อยไปหาที่เที่ยว ว่างไหมล่ะ”
“ไม่อะ” กวินส่ายหน้า “นัดคุณบราลีเอาไว้ว่าจะไปน้ำตกเอราวัณว่ะ”
“เฮ้ย!”
เสียงร้องของฟ้าครามทำให้เขาสะอึก ก่อนจะหันไปยิ้มเจื่อนๆ แล้วแก้ตัวกับเพื่อน
“เอ่อ...พอดีว่าน้ำตกเอราวัณเป็นที่แห่งความหลังของคุณบราลีกับคุณอมรน่ะ ฉันอยากไปดูสถานที่จริง คุณบราลีเลยอาสาพาไป”
“อ๋อ” ฟ้าครามพยักหน้า “ไปด้วยดิ”
“อย่าเลย” กวินรีบโบกมือ
“อ้าว ทำไมวะ” นักเขียนหนุ่มมาดเซอร์เอ่ยถามอย่างไม่พอใจนัก
“ฉัน...เอ่อ...เกรงใจคุณบราลีเขาว่ะ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย” ฟ้าครามเอื้อมมือมาดันไหล่ของเขา “อยากไปเที่ยวกับสาวสวยสองต่อสองอะดิ”
“มะ...ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันแค่เกรงใจเขา แค่ให้ที่พักฟรี ดูแลพาไปโน่นไปนี่ก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว ยังจะพานายไปเพิ่มภาระให้เขาอีก”
“เออๆๆ ไม่ต้องพูดหรอก” นักเขียนนามตาเบบูญ่าโบกมือ “เรื่องของนายละกัน แต่ระวังหน่อยนะโว้ย เขามี ผอสระอัวแล้ว เดี๋ยวคุณอมรกลับมาเอาปืนไล่ยิงนาย ฉันไม่ช่วยนะโว้ย”
“ไม่มีอะไรแบบนั้นหรอกน่า”
ฟ้าครามยักไหล่ “ก็ดี จะได้นอนนานๆ หน่อย เมื่อคืนไม่ได้นอนเลย ง่วงฉิบหาย”
“งั้นก็เฝ้าห้องให้ด้วยแล้วกันนะ”
“เออ...เดี๋ยวฉันเฝ้าห้องให้ เผื่อคุณแม่ของคุณบราลีเอาของอร่อยๆ มาให้อีก” ฟ้าครามทำท่าลูบปากอย่างเจ้าเล่ห์ ซึ่งทำให้กวินนึกอะไรขึ้นมาได้
“นี่กัปปะ”
“เอาอีกละ บอกว่าอย่าล้อนามสกุล เดี๋ยวปั้ดเหนี่ยว” นักเขียนหนุ่มมาดเซอร์เงื้อมือ
“ขอโทษๆ” กวินรีบยกมือป้องปากแล้วหัวเราะ
“มีอะไรว่ามา”
“ถ้าแม่ของคุณบราลีมาอีก นายช่วยอะไรฉันอย่างได้ปะ”
“อะไรวะ”
“ไม่มีอะไรมาก” กวินยืดอก ทำท่าเคร่งขรึม “แค่บอกว่านายคือเปลวเทียนเท่านั้น”
ฟ้าครามเลิกคิ้ว สีหน้างุนงง “ให้ฉันเป็นนายเหรอ...ทำไมวะ”
“เออน่า แต่ถ้าเขาไม่ถามก็ไม่ต้องบอก”
“ไม่เอา” ชายหนุ่มโบกมือ “ไม่ชอบโกหกแบบไม่มีเหตุผล”
“โธ่ นึกว่าช่วยๆ กัน” เขาเว้าวอน
“ไม่” ฟ้าครามปฏิเสธเสียงแข็ง “จนกว่านายจะบอกว่าทำไมต้องทำแบบนั้น”
“คือ...เอ่อ...” กวินเกาศีรษะแกรกๆ ความจริงเขาอยากจะยืดเวลาและตักตวงความสุขที่ได้อยู่ใกล้กับบราลีออกไปอีกหน่อยเท่านั้น เพราะถ้าขืนลีลาวดีรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ รับรองได้ว่าเธอจะต้องพยายามกีดกัน หรือไม่ก็หาทางทำให้เขาไม่อาจอยู่ใกล้ชิดบราลีอย่างมีอิสระแน่ๆ
“ว่าไง”
“เอ่อ...คุณบราลีบอกฉันวันก่อนว่า แม่ของเธอดูละครที่สร้างจากเรื่องของฉันแล้วบ่นตลอด นัยว่าอยากมาบ่นกับคนเขียนด้วย ฉันไม่อยากนอยด์ว่ะ กำลังเขียนเรื่องใหม่ด้วย”
“อะไรวะ บทละครมันเปลี่ยนบทประพันธ์ของนายไปตั้งเยอะ นายก็อธิบายให้เขาฟังสิ”
“ขี้เกียจว่ะ ถ้าร้อยคนถาม ฉันต้องตอบร้อยทีเลยเหรอ”
ฟ้าครามมีท่าทีลังเล แต่ก็ยังพยายามแย้งออกมาอีก “ตะกี้ฉันไม่เห็นแม่ของคุณบราลีบ่นอะไรเลยนะ ท่าทางจะคิดว่าฉันเป็นนายด้วยมั้ง”
“ก็...เอ่อ...คงเห็นนายเพิ่งตื่นมั้ง” กวินอ้างออกไปอย่างที่คิดได้ “นายลองคิดดูสิ เป็นถึงแม่ยายเจ้าของรีสอร์ต ทำไมถึงยกข้าวต้มมาให้ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากมาเจอนักเขียนน่ะ”
“เออ จริงว่ะ” ฟ้าครามยกมือขึ้นเกาคางอย่างคล้อยตาม
“เห็นไหมล่ะ” กวินดีดนิ้วดังเปาะ หลังจากโน้มน้าวเพื่อนให้ใจอ่อนได้
นักเขียนหนุ่มมาดเซอร์ทำปากเบ้ “จะให้ฉันฟังแฟนละครของนายบ่นแทน...ว่างั้น”
“ช่วยได้ไหมล่ะ เดี๋ยวกลับจากน้ำตกเอราวัณ จะหอบเบียร์มาสักลัง คืนนี้จะได้ซดกันทั้งคืนไปเลย”
ฟ้าครามแลบลิ้นเลียปากแผลบๆ “น่าสน”
“ตกลงใช่ไหม”
ชายหนุ่มนามปากกาตาเบบูญ่านั่งนิ่ง ก่อนจะชูกระป๋องเบียร์ขึ้น
“โอเค”
ความคิดเห็น |
---|