3

สปาเกตตี

3

สปาเกตตี

 

            “เป็นไง ทำงานมาอาทิตย์นึงแล้ว” ธันวาถามขณะวางจานอาหารมื้อกลางวันลงบนโต๊ะ ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามกับกวินวัฒน์

“ก็เฉยๆ เรื่อยๆ ว่าแต่มึงเหอะ กูทำงานมาเป็นอาทิตย์แล้ว เพิ่งจะได้เห็นหน้า”

ธันวาขยับแว่นทรงกลมของเขาแล้วยิ้มกว้าง “ช่วยไม่ได้นะ คนมันยุ่ง หมอคิวทองน่ะ มึงต้องทำใจ”

คนฟังเพียงกระตุกมุมปาก “ไม่เจอกันไม่กี่ปี เดี๋ยวนี้มึงขี้อวดเหมือนไอ้เป๋าแล้วเหรอ”

“อ้าวๆ ผมมาช้าหน่อยนี่พวกคุณจับกลุ่มนินทาผมเลยเหรอครับ” ปิติดึงเก้าอี้ตัวข้างๆ กวินวัฒน์ออก ยังไม่ทันได้นั่ง คนที่นั่งอยู่ก่อนก็เบรกไว้

“เดี๋ยว!” กวินวัฒน์ยกมือขึ้นห้าม กวาดตามองตั้งแต่ที่คาดผมหูมิกกี้เมาส์ ไล่ลงมาที่สร้อยลูกปัด ลามมาจนถึงกำไลสายรุ้งที่ข้อมือสองข้าง “แต่งตัวเหี้ยไรของมึงเนี่ย”

ธันวาที่เคยชินกับภาพนี้แล้วขำก๊ากให้หน้าตาที่บอกว่าเห็นตัวประหลาดของกวินวัฒน์ ทว่าคนโดนมองว่าประหลาดกลับไม่ทุกข์ร้อน

“กูเพิ่งลงมาจากวอร์ด[1] เด็ก มึงมาใหม่ไม่รู้หรอกว่าที่นั่นกูฮอตแค่ไหน ต่อให้หน้าหล่อๆ อย่างมึงก็สู้กูไม่ได้หรอกกาย”

กวินวัฒน์หัวเราะหึๆ ในลำคออย่างไม่สามารถหาคำมาพูดต่อได้ “ดีละ ที่กูไม่อยากฮอต”

“อ้าว แล้วไหนล่ะข้าวมึง” ธันวาเปลี่ยนไปถามคนมาใหม่เมื่อเห็นว่าปิตินั่งลงทั้งที่ไม่มีอาหารมาด้วย

“กูเบรกเมื่อกี้แล้ว นี่แวะมาเฉยๆ เพราะไอ้กายมันบอกกูว่า...” เอนตัวมากอดคอคนข้างๆ “เราจะนัดฉลองกัน”

“หา? กูเหรอ”

“อ้าว ก็มึงบอกตอนกูไปช่วยมึงจัดของที่ห้องไง มึงบอกว่ารออยู่พร้อมกันสามคนแล้วค่อยนัด”

“อ๋อ เออๆ” กวินวัฒน์พยักหน้าเออออไปในสิ่งที่เขาเกือบลืมไปแล้ว แถมตอนนี้ก็ยังมีเรื่องอื่นที่ติดอยู่ในหัวเขามากกว่า “กูได้ทุกวันแหละ ตอนเย็น”

“กูด้วยๆ เหลือแต่มึงแล้ว เอาไงธันย์”

“อืม งั้นอาทิตย์หน้าไหม อังคารไม่ก็พุธ แต่ขอไม่เอาร้านเหล้านะ กูต้องเข้าเช้าทุกวัน เดี๋ยวหน้าโทรม”

“อะไรว้าาา มึงอย่าห่วงหล่อได้ปะ” 

“เป๋า คือกูไม่ได้ห่วงหล่อ แต่กูอยู่แผนกผิวหนังและความงามครับ มึงจะให้กูหน้าเหี้ยมาเจอเคสไม่ได้”

“แต่นี่มันฉลองการกลับมาของเพื่อนกายเลยนะเว้ย”

“ไอ้กายมันไม่เห็นเป็นเดือดเป็นร้อนเลย”

กวินวัฒน์ขำเบาๆ ให้การต่อปากต่อคำที่ไม่ได้เห็นมานาน พอได้มาอยู่รวมกันแบบนี้ ความรู้สึกตอนสมัยเรียนคล้ายจะหวนกลับมาอย่างไรไม่รู้ 

“เออๆ เรื่องร้านไว้ทีหลังละกัน ตกลงเอาวันอังคารนะ” คนถูกพาดพิงถึงช่วยตัดบทให้ ไม่อย่างนั้นเสียงของทั้งสองคนนี้อาจจะดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่ารู้กันทั้งโซนอาหารก็เป็นได้

พอทุกคนตกลงปลงใจเลือกวันได้แล้ว ปิติก็หันไปท้วงคนข้างๆ เมื่อสังเกตบางอย่างได้ “อะไร เมื่อวานมึงก็กินสปาเกตตีไม่ใช่เหรอ วันนี้กินอีกละ ลิ้นยังไม่คุ้นชินอาหารไทยหรือไง”

กวินวัฒน์ขมวดคิ้ว นี่แหละคือเรื่องที่ติดอยู่ในหัวเขาไม่หาย ไหนๆ เพื่อนก็เปิดประเด็นมาแล้ว ลองถามความเห็นหน่อยละกัน

กล่องพลาสติกตรงหน้าถูกดันไปให้ปิติ “ไอ้เป๋า มึงชิมดิ๊ มึงว่าสปาเกตตีร้านนี้รสชาติเหมือนของแม่กูรึเปล่า”

ปิติหลุบตาลองมองสปาเกตตี ก่อนจะเหลือบไปมองธันวาเชิงปรึกษา ทั้งสองรู้ดีว่านี่เป็นสปาเกตตีจากร้านของเพียงฟ้า เพราะเห็นถุงพลาสติกที่วางอยู่บนโต๊ะ ไหนจะสติกเกอร์บนฝากล่องที่บอกชื่อร้านเอาไว้อย่างชัดเจน

แต่เพราะการจบความสัมพันธ์ด้วยเหตุผลที่คลุมเครือทำให้ปิติและธันวาไม่แน่ใจว่าระหว่างกวินวัฒน์กับอดีตคนรัก เรียกว่า ‘จบกันด้วยดี’ ได้ไหม รู้แต่เพียงว่าเพื่อนของพวกเขาเคยออกปากเอาไว้ว่าไม่ให้พูดถึงฝ่ายหญิงอีก 

“มึงคิดไปเองรึเปล่า” ธันวาช่วยแก้สถานการณ์ให้ “ร้านนี้กูก็เคยกิน ไม่เห็นจะเหมือน”

“เออจริง เนี่ย แค่สีเส้นก็ไม่เหมือนแล้ว”

“เส้นน่ะไม่เหมือนหรอก แต่กูว่ารสชาติน้ำซอสคือใช่เลย”

“มั่วๆ” ปิติส่ายหน้าดิ๊ก “มั่วใหญ่แล้ว สปาเกตตีที่แม่มึงเคยทำให้เรากินบ่อยๆ มันเป็นหมูสับนะ ของร้านนี้กูจำได้ว่าเป็นไก่สับ แค่นี้ก็ไม่เหมือนแล้ว”

“นั่นก็ใช่ ตอนแรกกูเลยคิดว่าอาจจะคิดไปเอง ก็เลยสั่งมากินทุกวันเลยเนี่ย ยิ่งกิน กูก็ว่ายิ่งใช่ ถึงเนื้อจะไม่เหมือน เส้นจะไม่เหมือน แต่มันมีอะไรสักอย่างที่เหมือน มันเป็นฟีลแบบรสที่คุ้นลิ้นน่ะมึงเข้าใจไหม”

ธันวาเผลอปาดเหงื่อเล็กน้อย ทว่าก็ยังยืนยันเสียงแข็ง “มึงจะบอกว่าแม่มึงมาเปิดร้านอาหารงี้เหรอ”

“แม่กูเลี้ยงหมาอยู่บ้าน”

“ก็นั่นไง!!!” หมออีกสองคนประสานเสียงอย่างไว

“แต่นั่นยิ่งทำให้กูสงสัยไง ว่านอกจากแม่แล้ว ใครมันจะทำสปาเกตตีรสชาติแบบนี้อีก อีกอย่างนะ ในเมนูมันไม่ใช่ชื่อว่าสปาเกตตีซอสมะเขือเทศด้วย แต่ชื่อว่า ‘Mommy’s Secret Spaghetti’ เว้ย เนี่ย มึงจะไม่ให้กูสงสัยได้ไง”

คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเริ่มรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เลยส่งสายตาให้ปิติเดินเครื่องต่อ 

“ไหนๆ มันเหมือนขนาดนั้นเลยเหรอ เอามาชิมคำดิ๊ มาให้จารย์เป๋าพิสูจน์อีกที” ว่าแล้วก็จ้วงสปาเกตตีคำใหญ่ใส่ปาก แสร้งทำหน้าตาเหมือนกำลังพิจารณารสชาติอย่างตั้งอกตั้งใจ ทำเอาคนมองลุ้นในคำตอบไปด้วย

“เป็นไง” กวินวัฒน์ถามทันทีที่เห็นว่าเพื่อนกลืนลงคอหมด

“ก็...ไม่เหมือนนะ มันเหมือนจะเหมือน แต่มันไม่เหมือนหรอก มึงเชื่อกูเถอะ ตามหลักจิตวิทยาแล้ว มึงกำลังหลอกตัวเองว่าเหมือนไง ไม่ว่ากินกี่ครั้งมึงเลยบอกว่าเหมือน แต่ตามหลักความจริงแล้วมันไม่เหมือนหรอก มันไม่ใช่ มันไม่เหมือนเลย”

“หา? ยังไงนะ” คนรอคำตอบถึงกับต้องผูกคิ้วเมื่อโดนคำว่าเหมือนและไม่เหมือนยิงใส่รัวๆ 

“ไอ้เป๋ามันบอกว่าไม่เหมือน”

“อื้ม ไม่เหมือน มึงอะคิดมาก มันอาจจะเป็นสปาเกตตีสูตรลับของแม่ทุกสถาบันก็ได้ รสชาติมันเลยคล้ายๆ กันไรงี้”

“จริงดิ” ถึงเพื่อนทั้งสองจะยืนยันหนักแน่นเป็นเสียงเดียวกันขนาดนั้น ทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่คลายความสงสัย ดึงกล่องพลาสติกกลับมากินต่อเงียบๆ

ในขณะที่อีกสองคนแอบถอนหายใจ กว่าจะจบปัญหาอย่างเนียนๆ ได้ ก็เล่นเอาอกสั่นขวัญแขวนเหมือนกัน 

“แล้วตกลง อังคารนี้เราจะไปร้านไหนดี” เมื่อเห็นว่าคนขี้สงสัยเงียบไปแล้ว ธันวาเลยถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง จบเรื่องสปาเกตตีเสียที ทว่าเหตุการณ์กลับไม่ง่ายดายอย่างที่เขาคิดเมื่อกวินวัฒน์เงยหน้าขึ้นมา แล้วมองสบตาเพื่อนทีละคน ก่อนที่มุมปากข้างขวาของเขาจะยกขึ้นเล็กน้อย

“กูรู้ละ” เขาเขี่ยฝาพลาสติกที่มีสติกเกอร์ชื่อร้านไปกลางวง “ไปกินร้านนี้”

“เฮ้ยยย...”

 

บ่ายสามโมงเป็นช่วงเวลาที่พนักงานของร้าน Organic Kitchen จะได้พัก อันที่จริงเรียกว่าทำงานกึ่งๆ พักมากกว่า เพราะทุกคนมีเวลาเบรกของตัวเองหนึ่งชั่วโมงอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าช่วงบ่ายแก่ๆ แบบนี้เป็นช่วงที่ร้านไม่ค่อยยุ่ง พนักงานในครัวจะช่วยกันเตรียมของสำหรับใช้ประกอบอาหารในวันพรุ่งนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งรีบเหมือนตอนรับออร์เดอร์ลูกค้า ส่วนพนักงานหน้าร้านก็จะคอยเช็กความสะอาดไปพลางๆ ขณะรอรับลูกค้าด้วย

“รายการที่ต้องพอร์ชัน[2] เพิ่มตามนี้เลยนะดา” เพียงฟ้ายื่นกระดาษโน้ตสีขาวให้รดา กุ๊กครัวร้อนคนล่าสุดของร้าน แต่ถึงจะล่าสุดก็ทำงานที่นี่มาเกือบปีแล้วเหมือนกัน “อย่าลืมลงวันที่หน้ากล่องด้วยนะ จะได้รู้ว่าเชลฟ์ไลฟ์[3] มันกี่วันแล้ว”

“ได้ค่ะเชฟ เดี๋ยวดาจะทำให้เนี้ยบไม่มีที่ติเลย” กุ๊กสาวยิ้มเต็มแก้ม 

สำหรับรดาแล้ว เธอไม่ได้เรียนจบด้านการทำอาหารมาโดยตรง แต่เคยเป็นลูกมือของแม่ครัวในร้านอาหารตามสั่งมาก่อน พอร้านถูกปิดเพราะโดนไล่ที่ รดาเลยพลอยตกงานไปด้วย โชคดีที่หญิงสาวรู้จักกับแจ่มจันทร์ หรือที่รดาเรียกว่า ‘น้าแจง’ แม่บ้านประจำตัวของเพียงฟ้า เพราะเคยเจอกันแถวบ้านอดีตสามีของเจ้านายสาวอยู่บ่อยๆ น้าแจงเลยแนะนำให้เธอลองมาสมัครงานที่นี่ 

ในทีแรกรดาแทบไม่คาดหวัง เพราะตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้าน แค่สถานที่ก็หรูหราต่างจากร้านอาหารตามสั่งข้างทางที่เธอเคยทำงานมาลิบลับ แต่พอเพียงฟ้าให้เธอลองทำอาหารไม่กี่อย่าง ผิดบ้างถูกบ้างตามประสบการณ์ที่เจ้านายเก่าเคยสอนมา ว่าที่เจ้านายใหม่ก็ตอบตกลงรับเธอเข้าเป็นพนักงานในวันนั้นเลย

‘เชฟรับหนูเข้าทำงานจริงๆ เหรอคะ’ รดาถามย้ำอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

เพียงฟ้ากลับยิ้มระคนขำ ‘ใช่สิ ทำไมล่ะ’

‘ก็หนูทำไม่ได้ตั้งหลายอย่าง’

‘มันสอนกันได้ ฉันก็ไม่ได้เป็นเชฟมาตั้งแต่เกิดเหมือนกัน’

และเพราะด้วยเหตุนี้รดาเลยเป็นกุ๊กสาวที่อายุน้อยที่สุดในทีมครัวร้อน แถมยังเป็นกุ๊กที่มีเชฟเฟย์เป็นไอดอล อะไรที่เชฟสั่ง รับรองว่ารดาจะไม่ให้พลาดเลยแม้แต่นิดเดียว

“ส่วนอันนี้เป็นรายการที่ต้องเตรียมของอาหารผูกปิ่นโตวันพรุ่งนี้นะ ฝากเอกด้วย” เชฟสาวยื่นกระดาษอีกใบให้เอกภพ 

“ครับเชฟ”

สั่งงานคร่าวๆ เสร็จเพียงฟ้าก็เดินออกจากครัวมา ยังคงได้ยินเสียงคนในครัวดังมาให้ได้ยิน 

“เดี๋ยวเสร็จแล้วดาไปช่วยนะพี่เอก”

“เอ้อ!”

เจ้าของร้านยิ้มให้บรรยากาศที่คุ้นเคย ทีมเวิร์กคือความสนุกอย่างหนึ่งของการทำครัว ยิ่งตอนที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือจนผ่านช่วงยุ่งๆ ไปได้ กลับมาดูผลงานของตัวเองแล้วแสนจะภูมิใจ ถ้าไม่มีทีมเวิร์กที่ดี งานครัวคงเป็นงานหนักกว่านี้มาก 

“กลับก่อนนะครับเชฟ” สมหมายที่เดินลงมาจากห้องแต่งตัวที่ชั้นสองร้องทัก วันนี้เขาเข้างานเป็นกะเช้าคือตอนหกโมง เลยเลิกงานตอนบ่ายสาม

เพียงฟ้าหลุดจากความคิดก่อนจะโบกมือให้ “กลับดีๆ นะคะพี่หมาย เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”

สมหมายพยักหน้ารับก่อนจะยื่นหน้าไปหาแก้วเจ้าจอมที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์ “กลับก่อนนะครับเชฟแก้ว”

“ค่ะ สวัสดีค่ะพี่หมาย”

เพียงฟ้าโผล่จากช่องทางเดินที่เชื่อมระหว่างหน้าร้านกับครัวมาพอดีตอนที่แก้วเจ้าจอมพูดจบ ตอนนี้ไม่มีลูกค้าในร้านเชฟสองคนเลยเดินออกมาพักข้างนอกได้ เพียงฟ้าหยิบแก้วเก็บความเย็นของตัวเองที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์แล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวประจำของทั้งสอง ก่อนที่แก้วเจ้าจอมจะเดินตามมาพร้อมกับแฟ้มเอกสาร

“อะ รายการเดลิเวอรีของอาทิตย์ที่แล้วที่แกบอกว่าอยากดู” ว่าจบก็นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ถามอย่างสนอกสนใจ “ทำไมอยู่ดีๆ อยากดูล่ะ”

คนถูกถามยังไม่ตอบทันที แต่ดึงกระดาษที่เขียนสรุปรายการของสัปดาห์ที่แล้วออกมา เธอจำได้ว่าตอนนั้นเพื่อนพูดถึงคนที่สั่งสปาเกตตีให้ไปส่งที่โรงพยาบาล 

“แก มันดูตรงไหนนะว่าใครเป็นคนสั่งอะ”

“อ๋อ อันนั้นน่าจะต้องดูที่รายการรวมที่พรินต์ออกมาเลย มันจะมีชื่อแอกเคานต์ด้วย” แก้วเจ้าจอมที่รับผิดชอบเรื่องนี้อธิบาย ก่อนจะดึงเอกสารที่ว่าออกมาแล้วขยายความต่อ “เนี่ย ตรงนี้คือชื่อคนสั่ง แต่เราไม่รู้ชื่อจริงๆ เขาหรอกนะ มันจะขึ้นตามชื่อแอกเคานต์ที่เขาตั้ง ส่วนถ้าจะดูว่าไปส่งที่ไหนก็ดูตรงนี้ คือของเราเป็นอาหารที่ต้องให้ความสำคัญเรื่องระยะเวลาใช่ไหม เราก็จะขอดูปลายทางกับระยะเวลาในการเดินทางคร่าวๆ ได้ เพื่อที่เราจะแพ็กอาหารสด หรือเครื่องดื่มให้ไม่เสียของน่ะ”

เพียงฟ้ารูดนิ้วไล่ดูตามชื่อแอกเคานต์ที่สั่งอาหารเข้ามา ก่อนจะไปหยุดลงที่ชื่อ ‘Gwinwt’ แล้วกลั้นใจเลื่อนไปดูรายการอาหารที่ออร์เดอร์เข้ามา

เป็นอย่างที่หญิงสาวคิด แอกเคานต์นี้ก็เป็นชื่อเดียวกับที่กวินวัฒน์เคยใช้เป็นชื่อไลน์ ซึ่งมันย่อมาจากชื่อจริงของเขา และตอนนี้ก็น่าจะยังใช้แบบเดิมอยู่ ส่วนเมนูที่สั่งเข้ามาทุกครั้งคือเครื่องดื่มหนึ่งอย่างกับ... 

“Mommy Secret’s Spaghetti” แก้วเจ้าจอมเอ่ยชื่อเมนูที่ปลายนิ้วของเพียงฟ้าหยุดอยู่ตรงนั้น “คนนี้แหละ ที่ฉันบอกแกว่าเขาสั่งสปาเกตตีไปที่โรงพยาบาลทุกวัน เมื่อวานก็ยังสั่งนะ”

Mommy Secret’s Spaghetti เป็นเมนูซิกเนเจอร์อย่างหนึ่งของร้าน เพราะชื่อเมนูแปลว่า ‘สปาเกตตีสูตรลับของแม่’ ในรายการเมนูจะไม่ได้บอกว่าเป็นสปาเกตตีแบบไหน บอกเพียงว่ามีส่วนผสมของอะไรบ้าง มีแคลอรีเท่าไรเท่านั้น เป็นลูกเล่นอย่างหนึ่งให้ลูกค้าได้ลุ้นเอาเองว่าอาหารที่จะมาเสิร์ฟตรงหน้าคืออะไร เมนูนี้จึงนับว่าเป็นจานยอดฮิตอันดับต้นๆ ของร้านเลยก็ว่าได้ 

“ก็รู้แล้วนี่ว่าเป็นสปาเกตตีโบโลเนส จะสั่งทำไมทุกวัน”

แก้วเจ้าจอมทำหน้าฉงนหน่อยๆ ก่อนจะขำออกมาที่จู่ๆ เพียงฟ้าก็พูดราวกับว่ากำลังเอ็ดลูกค้าอย่างนั้น “ครั้งแรกเขาอาจจะอยากรู้ว่าเป็นอะไร แต่พอกินแล้วติดใจเลยสั่งเรื่อยๆ ก็ได้”

เชฟสาวมองที่ชื่อคนสั่งอย่างครุ่นคิด ตอนที่สั่งครั้งแรกน่ะใช่ แต่ครั้งต่อๆ มา เธอไม่รู้เหมือนกันว่ากวินวัฒน์มีเหตุผลอะไรถึงทำอย่างนั้น หรือเขาจะรู้ว่าร้านนี้เป็นร้านของเธอ จริงๆ ก็รู้ได้ไม่ยากหรอก เพราะที่โรงพยาบาลก็มีแผ่นพับของร้านเธอวางอยู่หลายจุด แต่ถึงรู้แล้วยังไง มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องสั่งเมนูนี้จากร้านของเธอทุกวันอยู่ดี

“ทำไปทำไมเนี่ย” 

“หา? เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ” แก้วเจ้าจอมทวนถามเมื่อได้ยินแค่เสียงงึมๆ งำๆ

“เปล่า ฉันแค่พูดไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” 

คนถามพยักหน้า แต่ก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะตั้งแต่คืนที่เพียงฟ้าสารภาพว่าได้เจอกับแฟนเก่าที่ยังลืมไม่ได้ ต่อมอยากรู้ความเป็นไปของแก้วเจ้าจอมก็ทำงานทันที ปกติเธอไม่ใช่พวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านหรอกนะ แต่เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ถึงเพียงฟ้าจะเคยชมผู้ชายคนอื่นต่อหน้าเธอหลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะตกหลุมรักใครเลยสักคน พอแก้วเจ้าจอมมาได้ยินว่าเพื่อนรักผู้ชายคนหนึ่งมานานมากขนาดนี้ แถมยังเพิ่งเจอกัน มีหรือที่เธอจะไม่อยากรู้ว่าเรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

แม้ว่าคืนนั้นเพียงฟ้าจะลงรายละเอียดแค่ว่าเขาเป็นคุณหมอที่เธอต้องตรวจด้วยเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นอีกแล้ว

‘ก็แค่นั้นแหละแก ไม่มีอะไรหรอก’

‘ไม่มีอะไรได้ไง นี่มันเป็นโอกาสของแกแล้วเฟย์ แกรักเขาอยู่ แล้วแกก็โสดแล้ว รออะไร go ahead!’

‘ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงทำไปแล้ว แต่สำหรับตอนนี้ กับผู้ชายคนนี้’ เพียงฟ้าถอนหายใจราวกับหมดแรง ‘ฉันคงไม่ทำอะไรแบบนั้นแล้วละแก กว่าที่ฉันจะได้รักกับเขาตอนนั้น ฉันทำไปมากพอแล้ว แล้วความรักครั้งนั้น มันก็จบที่เขาเป็นคนปล่อยมือ เป็นคนเลือกเดินออกไปจากชีวิตฉัน หนำซ้ำยังปิดประตูทุกบานใส่ฉันอีก ถ้าคนที่ยังติดอยู่กับความรักครั้งนั้นมีแค่ฉัน...ฉันก็คงไม่ไปอ้อนวอนขอความรักจากเขาหรอก ให้จัดการกับความรู้สึกตัวเองคงง่ายกว่า อะไรที่จบไปแล้ว ต่อให้ยังรักแค่ไหน มันก็เป็นเรื่องที่จบไปแล้วอยู่ดี’

ถึงคำพูดจะบอกว่าเธอยอมรับเรื่องทุกอย่างได้หมดแล้ว แต่น้ำเสียงที่สั่นเครือกับน้ำใสๆ ที่ไหลลงจากดวงตาทั้งสองข้างของเพียงฟ้าก็บอกคนฟังได้ดีเช่นกันว่าการยอมรับครั้งนี้ไม่ได้มาพร้อมกับการเยียวยาหัวใจเลย เพื่อนของเธอไม่เคยปล่อยมือจากความรักครั้งนั้นได้เลย

“แล้วนี่ตกลงแกขอดูรายการเดลิเวอรีไปทำไม”

“แก้ว แกจำได้ไหมที่ฉันเคยพูดว่าจะไม่ให้ส่งพาสตาแล้ว”

“อื้ม แกบอกว่ากินพาสตาที่ร้านกับเดลิเวอรีมันต่างกัน”

“ใช่ ทั้งหน้าตาของอาหาร ความนุ่มของเส้น ความเข้ากันได้ดีของน้ำซอสกับเส้น แล้วยิ่งถ้าลูกค้าเอาไปเวฟอีก” เชฟสาวส่ายหน้า “หมดกัน รสชาติเพี้ยนพอดี”

“แต่ตอนนั้นเราสรุปกันว่าคนยังสั่งเดลิเวอรีพาสตาเยอะพอสมควร อีกอย่าง Mommy Secret’s Spaghetti ก็เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน ถ้าสั่งเมนูนี้ไม่ได้ มันก็ยังไงๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ” แก้วเจ้าจอมดึงเหตุผลเมื่อคราวก่อนขึ้นมา

“อืม แต่ตอนนี้ฉันกำลังคิดว่าถ้าเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน ก็ให้สั่งได้แค่ที่ร้านน่าจะโอเคกว่าไหม” เพียงฟ้ายกอีกเหตุผลหนึ่งขึ้นมาอ้าง จริงๆ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เธอคิด แต่เหตุผลที่แท้จริงคือ... เธอไม่อยากให้ผู้ชายคนนั้นสั่งเมนูนี้ไปกินแล้วมากกว่า

ก็เล่นสั่งทุกวัน มันน่าสงสัยไหมล่ะ

แก้วเจ้าจอมกอดอก เอนตัวพิงพนักด้านหลัง มองคนตรงหน้าอย่างครุ่นคิด อันที่จริงการถอดบางเมนูออกจากรายการเดลิเวอรีไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะทั้งร้านมีเมนูที่ทำจากเส้นพาสตาแค่ห้ารายการ แต่ที่หญิงสาวยังคงไม่เอ่ยตอบรับในทันที เพราะอยากรู้ว่าเพื่อนมีเหตุผลแอบแฝงนอกเหนือจากนี้ไหม

“แกแน่ใจนะว่าที่จะตัดออกไม่ใช่เพราะเหตุผลส่วนตัว”

“เหตุผลส่วนตัวของเชฟ ที่กลัวว่าอาหารที่ถึงมือลูกค้าจะดีไม่สมกับราคาที่จ่าย โอเคนะคะ?”

เชฟอีกคนหรี่ตามอง “แน่ใจ?”

“แน่สิ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่เราคุยกันเรื่องนี้”

“แล้วถ้าอย่างนั้นแกขอดูรายการเดลิเวอรีทำไม”

“ก็...ดูเพื่อเช็กให้แน่ใจ ว่ามีคนสั่งเมนูพาสตาเยอะแค่ไหน” เพียงฟ้าตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย เก็บพิรุธด้วยการแสร้งทำเป็นเก็บเอกสารตรงหน้าเข้าแฟ้มไปด้วย “ดูแล้วก็คิดว่าคงไม่กระทบกับรายรับหรอก ถ้าไม่ขายพาสตา ลูกค้าก็เปลี่ยนไปสั่งอย่างอื่นได้”

“งั้นก็ตามใจแก แกรับผิดชอบครัวร้อน ฉันให้แกตัดสินใจ”

 “เค! งั้นตามนั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป จะปิดขายเมนูพาสตาทั้งหมดทางเดลิเวอรี” 

เชฟครัวร้อนยิ้มอย่างพอใจที่บรรลุจุดประสงค์โดยไม่หลุดเหตุผลที่แท้จริงให้เพื่อนรู้ ก่อนจะรวบแฟ้มขึ้นกอด แล้วเดินเอาไปเก็บที่ตู้หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ยังไม่ทันจะได้ปิดบานประตูตู้ หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนมีคนมายืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะได้ยินเสียงแก้วเจ้าจอมกระซิบด้วยน้ำเสียงติดแซวหน่อยๆ

“แค่จะถอดเมนูพาสตาออก ไม่รู้ทำไม...เพื่อนฉันต้องอยากรู้ชื่อคนสั่งด้วยก็ไม่รู้เนอะ” คนโดนล้อหันขวับไปทำตาโตใส่ ในขณะที่คนล้อยิ้มกว้างให้ “ไม่ถามต่อก็ได้ แต่บอกไว้เลยว่า... ไม่เนียน!”

“หืยยย ไอ้แก้ววว”


[1] วอร์ด (Ward) คือ ตึกผู้ป่วยใน

[2] พอร์ชัน (Portion) คือ การชั่งตวง ตัดแบ่งวัตถุดิบออกเป็นสัดส่วนตามน้ำหนักหรือปริมาณที่กำหนดไว้ เพื่อให้ง่ายต่อการประกอบอาหารแต่ละครั้ง

[3] เชลฟ์ไลฟ์ (Shelf Life) คือ ช่วงระยะเวลาที่อาหารอยู่ในภาชนะและการเก็บรักษาในภาวะที่กำหนด แล้วคงคุณภาพและความปลอดภัยของอาหารให้อยู่ในระดับที่กำหนดได้


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น