7

ไม่กลับมา

7

ไม่กลับมา

 

เกือบเที่ยงคืนแล้วตอนที่กวินวัฒน์กลับถึงห้อง หลังจากแยกกับเพียงฟ้า เขาก็เข้าไปดูอาการคนเจ็บในห้องพักฟื้นอีกครั้ง ก่อนจะขึ้นไปที่ห้องทำงานของเขาในแผนกตา หู คอ จมูกที่ชั้น 5 ซึ่งเวลานั้นร้างผู้คน แพทย์หนุ่มจัดการเรื่องเอกสารต่างๆ อีกเล็กน้อย และเสร็จธุระในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

ตอนที่เขากลับลงมาที่ชั้น 1 และเดินผ่านจุดที่แยกกันกับเพียงฟ้า ชายหนุ่มก็เห็นว่าเธอไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว 

ที่ร้านน่าจะมีเรื่องที่ต้องทำอีกไม่น้อย

ความเป็นห่วงผุดขึ้นในใจตอนคิดถึงเรื่องนั้น อันที่จริงถ้าจะพูดให้ถูก มันเป็นความรู้สึกที่ยังตกค้างอยู่ตั้งแต่เกิดเรื่องแล้ว

กวินวัฒน์ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงานในห้องหนังสือ สมองยังขบคิดหลายเรื่องปะปนกัน อย่างแรก...เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเหตุการณ์เมื่อหัวค่ำไม่ใช่อุบัติเหตุ มันอุกอาจและชัดเจนมากว่าเป็นการตั้งใจมาก่อกวน

เพียงฟ้ามีศัตรูที่เกลียดกันถึงขั้นจ้องทำร้ายขนาดนี้เชียวเหรอ

อย่างเธอเนี่ยนะ...

ถ้าเป็นตอนสมัยที่รู้จักกันใหม่ๆ จริงอยู่ที่เพียงฟ้าเป็นหนึ่งในคนดังของมหาวิทยาลัย มีคนติดตามเธอในโซเชียลนับแสนก็ว่าได้ หญิงสาวแคร์เสมอว่าคนอื่นจะมองเธอยังไง จึงไม่แปลกถ้าจะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบเธอปะปนกันบ้าง ทว่านั่นมันก็เรื่องนานมาแล้ว ตั้งแต่มาคบกับเขา โลกที่มีผู้คนมากเกินจำเป็นของเธอก็เริ่มคัดกรองคนที่ไม่สำคัญกับชีวิตออกไป แคร์สายตาของคนไม่รู้จักให้น้อยลง ใส่ใจเฉพาะคนที่เธอรักและรักเธอเท่านั้น 

หรือจะเป็นศัตรูทางธุรกิจ...

คิ้วเข้มของแพทย์หนุ่มขมวดมุ่น ทั้งที่รู้ว่าต่อให้คิดจนหัวระเบิด เขาก็ไม่มีทางได้คำตอบของเรื่องที่สงสัย เพราะเขาเพิ่งกลับมาเจอเพียงฟ้านับครั้งได้ ไม่รู้ว่าตลอดห้าปีที่เลิกรากันไป ชีวิตเธอพบเจอกับอะไรมาบ้าง เท่าที่เห็นก็เปลี่ยนแปลงไปมากอยู่

ทั้งเรื่องาน ทั้งเรื่องคู่ชีวิต...

“เฮ้อออ แล้วจะไปยุ่งเรื่องเขาทำไม” ชายหนุ่มส่ายหน้าไล่ความคิด “ขี้เสือกตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยกู”

แม้จะเอ่ยราวกับหักใจเลิกสน แต่เอาเข้าจริง เขาก็ไม่อาจล้างเรื่องของเพียงฟ้าออกไปได้ เพราะนอกจากเรื่องที่ว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ยังคาใจเขาไม่หาย

เกิดเรื่องกับเพียงฟ้ามากมายขนาดนี้...ผู้ชายคนนั้นไม่เห็นโผล่หน้ามาเลย

ตั้งแต่ที่ร้านไปจนถึงที่โรงพยาบาล...จนกระทั่งเขาแยกกับเธอ สามีของเพียงฟ้าก็ไม่โผล่มาอยู่ข้างกายเธอเลยสักนิด

“ทำไมวะ...”

กวินวัฒน์เลื่อนเก้าอี้ให้เข้าใกล้โต๊ะทำงานมากขึ้น ก่อนจะขยับเมาส์ให้หน้าจอแล็ปท็อปสว่างขึ้นมา ลงมือค้นหาข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์เพื่อยืนยันความคิดในหัว

“ตึก J.W. Tower ก็เป็นของตระกูลจรรยาวรรธน์นี่ เกิดเรื่องขนาดนี้ไม่มาหาเมียเลย? ได้เหรอวะ”

ชายหนุ่มจำนามสกุลนี้ได้แม่น แม้เขาจะเคยเห็นบนเว็บไซต์ข่าวออนไลน์แค่ครั้งเดียว แต่มันก็เป็นข่าวการแต่งงานระหว่างเพียงฟ้ากับชยุต

...แค่ครั้งเดียวก็ลืมไม่ลงแล้ว

“หรือว่าเฟย์ไม่บอกเอง” ข้อกังขาใหม่ผุดตามมา 

ถ้าไม่นับตอนที่เขาเข้าไปดูอาการคนเจ็บในห้องฉุกเฉิน กวินวัฒน์ก็อยู่กับเพียงฟ้าตลอดเวลา เขาไม่เห็นว่าเธอจะโทร. บอกสามีหรือแม้แต่พิมพ์ข้อความส่งไปหาก็ไม่ หญิงสาวเหมือนพยายามต่อสู้กับความหวาดกลัวในใจด้วยตัวคนเดียวด้วยซ้ำ

เขายังจำความรู้สึกตอนจับมือของเธอได้ สองมือเล็กๆ ของเพียงฟ้าเย็บเฉียบ ใจของเธอหวาดหวั่นขนาดที่เขารับรู้ถึงแรงสั่นของมือน้อยๆ นั้นได้เลยด้วยซ้ำ หญิงสาวพยายามควบคุมความหวาดหวั่นที่มีมากจนเกินกำลัง มากถึงขั้นที่คนนั่งข้างๆ อย่างเขารับรู้ความอ่อนไหวของเธอได้ ถึงต้องยื่นมือไปจับเพื่อเป็นหลักให้เธอไว้ ห่วงว่าจะฝืนร่างกายจนล้มเจ็บไปอีกคน

หากเป็นตอนที่กวินวัฒน์ยังอยู่ในสถานะคนรัก เวลามีเรื่องร้อนใจหรือสถานการณ์คับขัน คนแรกที่เพียงฟ้าจะโทร. หาคือเขา เพราะฉะนั้นเหตุการณ์วันนี้ คนที่หญิงสาวน่าจะโทร. มากที่สุดก็ควรจะเป็นสามีของเธอไม่ใช่หรือ

‘ไม่เป็นไร ฉันเรียกแท็กซี่กลับเองสะดวกกว่า’

คำตอบของเธอตอนที่เขาบอกให้โทร. หาคนที่บ้านวนกลับมาในความคิด

“ขนาดมารับยังไม่ให้มา...นั่นมันก็เวลาเลิกงานแล้วด้วยนะ” นิ้วชี้สากถูคางไปมาอย่างใช้ความคิด “แปลกๆ”

ชายหนุ่มไม่อยากจะคิดในทางที่ร้ายต่อหญิงสาว ทว่าก็ยอมรับว่าผู้หญิงที่เขารู้จักคนนั้นมีพฤติกรรมที่แปลกไป แต่ก็ไม่ผิดหรอก ตอนนี้เธอโตขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่ใช่หญิงสาวที่เพิ่งเรียนจบแล้วเริ่มทำงาน ทว่าเป็นถึงเชฟสาวที่ดูแลพนักงานทั้งร้าน เธออาจจะคิดว่าสามารถแก้สถานการณ์ด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องเรียกสามีมาก็ได้

“ยังไงเขาก็กลับไปคุยกันที่บ้านได้” พูดเองแล้วก็เจ็บจี๊ดที่อกซ้ายเหมือนเพิ่งเอามีดแทงตัวเองไปหมาดๆ

กวินวัฒน์ปัดเรื่องนี้ทิ้ง แล้วเปลี่ยนมาหาข้อมูลเรื่องร้านอาหารเพิ่มเติม แล้วก็พบว่าเพียงฟ้าไม่ได้เป็นแค่เชฟ แต่เธอยังเป็นเจ้าของร่วมกับแก้วเจ้าจอมผู้เป็นเพื่อนสนิท ภาพวันเปิดร้านปรากฏขึ้นบนหน้าเว็บไซต์หนึ่ง ในภาพมีครอบครัวของเธอร่วมเฟรม และหนึ่งในนั้นคือสามีของเธอ

ผู้ชายสวมสูทสีเข้มท่าทางภูมิฐานคนนั้นยืนอยู่ใกล้เพียงฟ้าแทบจะทุกรูป ในภาพเหล่านั้นเขาได้เห็นรอยยิ้มแห่งความสุขของเธออยู่ในทุกภาพ

ก่อนกลับมาเมืองไทย กวินวัฒน์เคยคิดว่าตอนนี้เธออาจจะเป็นเชฟในร้านโรงแรมหรูสักแห่ง แต่ที่เขาอยากเห็นมากที่สุดคือความฝันที่เธอเคยบอกเอาไว้...

‘ถ้าเรียนจบเชฟจริงๆ คิดไว้หรือยังว่าจะทำอะไรต่อ’

คนอยากเป็นเชฟอมยิ้ม แล้วพยักหน้าอย่างมั่นใจ ‘แน่นอนว่าแพลนเอาไว้แล้ว’

‘ว่า?’

‘ฉันอยากเปิดร้านอาหาร’

‘โอ้วววว’ กวินวัฒน์ยิ้มกว้างตามเจ้าของดวงตาวิบวับ ‘อาหารแบบไหน อิตาลี? ญี่ปุ่นไหม หรือว่าฟิวชันก็ฮิตใช้ได้’

เพียงฟ้ายื่นหน้าเข้าไปใกล้แฟนหนุ่มแล้วส่ายหน้าไปมา ‘ฉันอยากเปิดร้านอาหารสุขภาพ’

‘หา?’ คำตอบที่ไม่คิดว่าจะได้ยินทำเอาคนฟังหลุดเสียง ‘ทำไมอะ เทรนด์อาหารแนวนี้กำลังมาเหรอ’

‘เปล่าหรอก ฉันก็แค่คิดว่า...ถ้าคนกินอาหารสุขภาพแล้วช่วยให้สุขภาพดี หมอก็จะทำงานน้อยลงใช่ไหม’ มือเล็กๆ ข้างหนึ่งยื่นไปแนบใบหน้าเหนื่อยล้าของเขา ‘...ฉันอยากให้คนเป็นหมอได้พักบ้าง’

คนฟังถึงกับพูดไม่ออกไปหลายอึดใจ ก่อนจะกางสองแขนออก ‘ไหน มาให้คนเป็นหมอกอดให้ชื่นใจหน่อยซิ’

ไม่คิดว่าความฝันนั้นจะยังไม่เปลี่ยน แถมเธอยังทำมันสำเร็จแล้วด้วย

ดีใจด้วยจริงๆ...

ชายหนุ่มยังจำวันที่เธอเปิดประตูห้องตรวจเข้ามาได้ ไม่ทันได้เตรียมใจเลยว่าจะได้พบอดีตคนรักในวันนั้น กวินวัฒน์เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ นับว่าเร็วกว่าที่คิดไว้มาก 

วินาทีแรกที่สายตาสอดประสานกัน หัวใจของเขาก็เหมือนถูกบีบรัดจากสายตาคู่นั้น มันเด่นชัดในความรู้สึกว่าคิดถึงเธอมากแค่ไหน แม้ว่าจะต้องปั้นหน้าราวกับไม่เป็นไร แต่ภายในใจ...มันดึงความโหยหาช่วงเวลาเก่าๆ กลับมาในคราวเดียว

แค่เห็นหน้าเธอ เขาก็แทบห้ามใจตัวเองไม่ไหว แต่นี่ยังต้องมองตาอีก...เกลียดการเป็นจักษุแพทย์ที่สุดก็วันนั้นละ

ตอนที่ได้สบดวงตาสีน้ำตาลที่เขาชอบมองมากที่สุดคู่นั้น เสี้ยวอึดใจหนึ่งคล้ายว่ามันดึงให้เขากลับไปอยู่ในภาพความฝัน หลงลืมความเป็นจริงไปชั่วขณะ ภาพที่เคยวาดฝันเอาไว้ว่าเราจะแต่งงาน สร้างครอบครัวด้วยกันหวนคืนกลับมาอีกครั้ง แต่การเบนสายตาหนีของเธอก็ดึงเขากลับมายังโลกความจริง...ความจริงที่ว่าเธอแต่งงานแล้ว  

                วันนี้ผู้หญิงในหัวใจเขาคนนี้...เป็นของคนอื่นไปแล้ว

แค่รู้ว่าเธอแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น เขายังเจ็บปวดใจได้ขนาดนี้ ถ้าอีกหน่อยเขาได้เห็นว่าเธอมีลูกน้อยที่น่ารักอย่างที่เคยวาดฝันไว้ด้วยกัน...

หัวใจเขาคงไม่เหลือชิ้นดี

สมน้ำหน้าตัวเองแล้วที่วันนั้นเขาตัดสินใจแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ กวินวัฒน์ก็คงตัดสินใจแบบเดิม เพราะอย่างน้อยในวันนี้เขาก็ได้เห็นรอยยิ้มของเธอในวันที่พาความฝันไปถึงเป้าหมาย มีครอบครัวและคนที่รักร่วมยินดีด้วย

ชายหนุ่มทอดสายตามองภาพหญิงสาวบนหน้าจอเนิ่นนาน ก่อนจะยิ้มสุขระคนเศร้าให้ “เธอมีความสุขดีใช่ไหมเฟย์”

 

Reselda Medical Hospital เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีการรักษา ตั้งอยู่ใกล้กับย่านธุรกิจ เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่ได้รับการไว้วางใจจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อาจเพราะชื่อ ‘รีเซลดา’ แปลว่า ‘ผู้รักษา’ จึงช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้โรงพยาบาลไม่น้อย คงมีแค่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเท่านั้นที่พอจะรู้ว่า คำว่า ‘รีเซลดา’ ถูกเลือกมาตั้งเพราะใกล้เคียงกับคำว่า ‘ลีศิรดานนท์’ อันเป็นนามสกุลของเจ้าของนั่นเอง

“ขยับหน้าเข้ามาอีกนิดครับ เอาคางวางตรงแท่นได้เลย ลืมตาไว้นะครับ” แพทย์หนุ่มเอ่ยกับคนไข้ของเขาโดยที่ยังส่องกล้องตรวจตาอยู่ มองอยู่ครู่เดียวก็ถอยตัวออกมา “เอาหน้าออกได้ครับ”

คนไข้สาวที่มาพบหมอเป็นครั้งที่สองมองแพทย์เจ้าของไข้ของเธอที่หมุนเก้าอี้เฉียงหลบกล้องตรวจที่ตั้งไว้ไปเล็กน้อย แล้วเริ่มก้มลงเขียนบันทึกรายงานผลการรักษา เอ่ยกับเธอไปด้วย 

“ตายังมีอาการอักเสบอยู่นะครับ แต่ก็ดีขึ้นกว่าคราวที่แล้ว” กวินวัฒน์เงยหน้าขึ้นมองคนไข้ เมื่อรู้สึกว่าเธอมองมาอย่างตั้งใจ เขาจึงมองเข้าไปในดวงตาของเธอเพื่อความแน่ใจอีกรอบ “รู้สึกว่าคราวก่อนหมอได้บอกด้วยใช่ไหมครับว่าให้หยุดใส่คอนแทกต์เลนส์ไปก่อน”

“บอกค่ะ แต่บัวเห็นว่าคุณหมอบอกว่าเยื่อบุตาอักเสบคือตรงตาขาว แต่เราใส่คอนแทกต์เลนส์ที่ตาดำนะคะ ก็น่าจะพอใส่ได้”

แพทย์หนุ่มยิ้มไร้ความรู้สึกให้คนไข้ที่รู้ดีกว่าหมอ “แต่มันก็เลยออกมาตรงตาขาวนะครับ และยังไงการใส่คอนแทกต์เลนส์ก็มีผลให้ดวงตาระคายเคือง”

“ก็นิดเดียวเองค่ะคุณหมอ อีกอย่างบัวใส่แค่ตอนออกนอกบ้าน ถ้าอยู่ในบ้านบัวก็ใส่แว่นอย่างที่คุณหมอแนะนำเลย”

“แล้วออกจากบ้านบ่อยไหมครับ”

“ทุกวันค่ะ” พอเห็นคิ้วเข้มของหมอกระตุก คนไข้สาวเลยรีบแก้ตัว “ยกเว้นเสาร์-อาทิตย์ค่ะคุณหมอ”

รอยยิ้มแสนหวานที่ส่งตามมาไม่ได้ทำให้คนเป็นหมอแสดงสีหน้าอะไรไปมากกว่านิ่งเฉย กวินวัฒน์ถือว่าเขาบอกในสิ่งที่เธอควรทำแล้ว ที่เหลือเป็นดุลพินิจของเจ้าตัวเอง 

“แบบนั้นมันจะหายช้าหน่อยนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ออฟฟิศบัวอยู่ใกล้ บัวมาหาคุณหมอบ่อยๆ ได้ นายไม่ว่า”

แม้แต่พยาบาลวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างหลังหมอยังรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดนั้น ทว่าแพทย์หนุ่มกลับเมินเฉย ทำหน้าที่ของเขาต่อ

“คงต้องทานยาแก้อักเสบต่อเนื่องจากคราวก่อนนะครับ แล้วสัปดาห์หน้าค่อยมาดูอีกที หมอหวังว่าคนไข้จะดูแลดวงตาของตัวเองได้ดีนะครับ”

กวินวัฒน์หันหน้าเข้าจอคอมพิวเตอร์อีกรอบ กดพิมพ์รายการยาให้คนไข้ วางสีหน้าเรียบเฉยทั้งที่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังกวาดสายตามองเขา ไม่ทันไรเธอก็เอ่ยออกมา

“คุณหมอคะ ต้องทานยาทุกวันเลยรึเปล่า”

“ต่อเนื่องทุกวันครับ”

“แต่บางวันบัวก็ลืมเหมือนกัน ทำยังไงดีล่ะคะ”

ชายหนุ่มหันไปหาคู่สนทนา การลืมกินยาในบางมื้อเป็นเรื่องที่พบเจอได้ปกติอยู่แล้ว “ถ้าลืมมื้อไหนก็ทานในมื้อถัดไปได้เลยครับ ทานให้หมดตามที่หมอให้ไปก็พอ”

พอหันกลับมายังไม่ทันจะพิมพ์ต่อ เธอก็ว่า “คุณหมอโทร. เตือนบัวหน่อยไม่ได้เหรอคะ เราก็เจอกันมาสองครั้งแล้ว ไม่ใช่คนแปลกหน้าอะไร”

มุมปากข้างหนึ่งของเขายกขึ้น ยังไม่เอ่ยอะไรในทันที ปล่อยเวลาเล็กน้อยให้เธอลุ้น ก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบ “หมอก็อยากจะช่วยนะครับ แต่ติดที่ว่า...” แพทย์หนุ่มหันกลับไปสบตาเธอแล้วยิ้มให้ “แฟนหมอดุมาก”

คนที่กำลังยิ้มรับถึงกับหุบยิ้มลงฉับ พอดีกับที่หมอเจ้าของไข้เธอว่า “วันนี้เรียบร้อย อย่าลืมทานยาให้ครบนะครับ”

เธอสะบัดค้อนทิ้งท้าย ก่อนจะเปิดประตูห้องตรวจออกไป 

เสียงหัวเราะคิกๆ ดังเบาๆ มาจากข้างหลัง ก่อนที่พยาบาลผู้ร่วมเหตุการณ์จะว่าขึ้น “หน้าจ๋อยไปเลยนะคะ ผู้หญิงสมัยนี้นี่รุกเก่งกันเสียจริงๆ”

“เธออาจจะแค่หยอกเล่นก็ได้ครับ”

“พี่ดูหน้าแล้วไม่เล่นหรอกค่ะ ว่าแต่อาจารย์เถอะ ไปบอกเธอแบบนั้นไม่กลัวเป็นข่าวลือในโรงพยาบาลเหรอคะ”

“ก็รู้กันอยู่แค่นี้ ใครจะเอาที่ไหนไปลือได้ ถ้าพี่ไม่ไปบอกคนอื่น”

“ว้าย พี่ไม่พูดหรอกค่ะ พี่นี่รอลุ้นอยู่ทุกวันว่าเมื่อไหร่อาจารย์กวินวัฒน์จะมีแฟนกับเขาบ้าง ที่ผ่านมาก็เห็นตั้งกำแพงใส่ผู้หญิงที่พูดทำนองนี้ทุกคนเลย”

คนฟังยิ้มขำให้ “ทำไมครับ กลัวผมไม่มีใครเอาเหรอ”

“กลัวจะไม่เอาใครเลยมากกว่าน่ะสิคะ ไม่ได้นะคะ รูปหล่อแบบนี้น่าเสียดายแย่”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้าคนไหนพิเศษ เดี๋ยวผมเปิดประตูกำแพงให้เขาเข้ามาเลยเป็นไง” ชายหนุ่มพูดทีเล่นทีจริง ทว่าคนฟังกลับทำเสียงกระซิบ

“แล้ว ‘เปิดประตูให้’ ของอาจารย์นี่แบบไหนคะ เผื่อว่าพี่อยู่ในห้องตรวจด้วยพี่จะได้ช่วย”

คราวนี้กวินวัฒน์ขำที่คู่สนทนาจริงจังมากกว่าที่เขาคิด ก่อนจะนึกทวนคำถามที่ค้างอยู่ แล้วเอ่ยตอบไป “ก็คงแบบที่...บอกไปว่า...ผมเข้าทุกวัน” หันไปยิ้มจางๆ ให้คนตั้งใจฟัง “แต่น่าเสียดายนะครับ...ที่เธอไม่กลับมา”

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น