8

ยังไม่ตาย

8

ยังไม่ตาย

 

เสียงนับเลขดังมาจากโต๊ะด้านในสุดของฝั่งขวาของร้าน ซึ่งตอนนี้บนโต๊ะเต็มไปด้วยถุงพลาสติกซึ่งใส่กล่องอาหารสำหรับส่งตามบ้าน แก้วเจ้าจอมกำลังเช็กว่าครบตามรายการแต่ละวันหรือไม่ ปกติแล้วที่ร้านจะส่งอาหารทุกวันตามบ้านที่ผูกปิ่นโตไว้ เรียกว่ารายรับส่วนใหญ่ของร้านมาจากอาหารเดลิเวอรีมากกว่าที่ขายหน้าร้านเสียอีก

มือที่ขยับชี้ไปตามคำพูดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงไปหาคนในครัว “เฟย์ ทำไมหายไปบ้านนึงล่ะ”

“บ้านคุณอรไปต่างจังหวัด งดรับสามวัน”

“อ้อ เค งั้นครบ” ว่าจบ กุ๊กหนุ่มที่ประจำอยู่ครัวเย็นก็ยกกระบะที่เต็มไปด้วยขวดแก้วเล็กๆ ซึ่งบรรจุเครื่องดื่มเอาไว้มาถึงตัวเชฟสาวพอดี “เอาใส่แยกตามถุงเลยนะกมล ส่วนสามขวดที่ไม่เอาเสาวรสของบ้านนี้นะ”

จัดรายการอาหารเสร็จ พนักงานส่งอาหารคนประจำก็ผลักประตูเข้ามาในร้านพอดี “โห วันนี้ร้านเปิดปกติแล้วเหรอครับเชฟแก้ว เร็วเหมือนกันนะครับ เมื่อวานผมมายังติดกระจกไม่เสร็จเลย”

“เปิดแล้วค่ะ ไม่เปิดไม่ได้ ต้องรีบหาเงินมาจ่ายค่าซ่อม” หญิงสาวยิ้มๆ คล้ายว่าพูดเล่น แต่อันที่จริงแล้วก็เรื่องจริง

“ร้านขายดีทุกวันขนาดนี้ เดี๋ยวก็ได้เงินคืนแล้วครับ”

เจ้าของร้านเพียงยิ้ม แล้วเปลี่ยนมาให้รายละเอียดเรื่องการจัดส่ง ก่อนพนักงานส่งของจะออกจากร้านไป แก้วเจ้าจอมถอนหายใจเฮือกใหญ่ที่งานประจำวันเสร็จไปหนึ่งอย่างด้วยความราบรื่น สองวันมานี้มีแต่เรื่องวุ่นวาย เมื่อวานก็ต้องปิดร้านเพื่อซ่อมแซม แต่ยังโชคดีที่ความเสียหายไม่เข้ามาถึงโซนครัว เลยยังสามารถส่งอาหารผูกปิ่นโตตามบ้านและเปิดเดลิเวอรีรายวันได้ปกติ

“เรียบร้อยดีใช่ไหม” เชฟสาวหันไปหาเชฟอีกคนที่เดินออกมาจากช่องทางเดิน ตอนนี้เพียงฟ้าไม่ได้สวมชุดเชฟเหมือนเธอแล้ว แต่เปลี่ยนมาสวมเสื้อโปโลสีเทาอ่อนที่ปักชื่อร้านอยู่ที่อก ยูนิฟอร์มเดียวกับพนักงานเสิร์ฟ

“เรียบร้อยดีแก ผ่านไปอีกหนึ่งงาน นี่แกจะไปรับเคสใหม่ที่โรงพยาบาลใช่ไหม”

“อื้ม แต่ว่าจะแวะไปเยี่ยมผึ้งก่อน”

“ดีๆ แก ฝากเยี่ยมด้วย ไม่ต้องรีบนะ เดี๋ยวฉันดูแลร้านเอง ช่วงบ่ายไม่ค่อยยุ่งหรอก เตรียมกลับมาหัวหมุนตอนเย็นได้เลย เอ้อ! เอาคุกกี้ธัญพืชกับเค้กแคร์รอตไปฝากผึ้งด้วยดีกว่า” คนที่พลังงานยังเหลือล้นเดินเร็วๆ ไปหยิบของที่ว่าจากครัวมา

เพียงฟ้ารับมาด้วยรอยยิ้มอย่างเหนื่อยๆ ตั้งแต่เกิดเรื่องเธอนอนไม่ค่อยหลับเลย “ดีเลย พี่สาวผึ้งมาอยู่เป็นเพื่อนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ถ้าผึ้งไม่กินก็ให้พี่สาวผึ้งกินแทนละกัน”

“เออจริง ไม่รู้ว่าหมอให้กินของแบบนี้ได้รึยัง แต่ก็เอาไปเผื่อพี่สาวด้วยนั่นแหละเนอะ” ว่าแล้วก็ก้าวไปใกล้ เอาศอกสะกิดเล็กน้อยแล้วกระซิบถาม “แล้วเมื่อวานหมอว่าไงบ้าง เขาผ่าตัดให้ตอนเช้าแล้วตอนบ่ายที่แกไปหาผึ้ง ได้เจอเขาไหม”

“เจอหมออีกคน เขามาพูดแค่เรื่องที่เช็กสมองแล้วไม่เป็นอะไร แต่ที่ผึ้งยังดูงงๆ เป็นผลมาจากการช็อกจากอุบัติเหตุมากกว่า สักพักจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนเรื่องแผลตามตัวก็เหมือนกัน”

มุมปากข้างหนึ่งของแก้วเจ้าจอมเหยียดขึ้นอย่างเอือมระอา “แล้วเรื่องตาล่ะ คุณหมอตาตัวดีของแกไปไหน”

เพียงฟ้าแยกเขี้ยวให้คำว่า ‘ของแก’ ที่ขัดใจ เล่าถึงตอนที่เธอไปถามหาเขากับพยาบาลที่แผนก

‘อ๋อ วันนี้อาจารย์กวินวัฒน์อยู่โออาร์[1] ค่ะ’

‘โออาร์?’

‘ค่ะ มีผ่าตัดทั้งวันเลย’

‘แล้ว...จะเจอได้ที่ไหนคะ’

‘อาจารย์เข้าโอพีดี[2] พรุ่งนี้นะคะ ต้องการลงชื่อนัดไว้เลยไหมคะ’

“ไม่รู้เลยว่าไปวันนี้จะได้เจอไหม” เพียงฟ้ากลอกตาอย่างเซ็งๆ ตอนไม่อยากเจอละโผล่มาให้เจอถึงที่ พอตอนอยากเจอแบบนี้...ตามตัวยากนัก

“ถ้าอย่างนั้นก็โทร. ไปสิเฟย์ เบอร์เขายังอยู่ที่แคชเชียร์ ยังไงมันก็ธุระนะ เขาคงไม่คิดมากหรอก”

คนฟังลังเล ก่อนจะส่ายหน้า “ยังก่อนดีกว่า ถึงเขาจะไม่คิดมาก แต่ฉันก็ไม่อยากให้เขามีเบอร์ฉันอยู่ดี”

ไม่รู้แหละ จริงๆ แล้วอีกฝ่ายอาจจะไม่สน ไม่แคร์เลยด้วยซ้ำว่าจะมีหรือไม่มีเบอร์ติดต่อเธอ แต่ในเมื่อตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่สานต่อความสัมพันธ์ในสถานะไหนกับเขาอีก เพราะฉะนั้นมันจึงดีกว่าที่เขาไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเธอตั้งแต่ต้น

“งั้นก็ตามใจ ว่าแต่... ถ้าได้เจอเขาจริงๆ แกไหวนะ” ครั้งนี้แก้วเจ้าจอมไม่ได้ถามเพื่อกระเซ้า ทว่าเธอเป็นห่วงความรู้สึกของเพื่อนจริงๆ

“ไม่ไหวก็ต้องไหว” เพียงฟ้ายิ้มใส่ดวงตากลมที่มองมาอย่างเป็นห่วง “มันยากแหละ แต่ฉันจะผ่านไปให้ได้”

ห้าปีมาแล้วนะที่ต้องอยู่กับความเจ็บหน่วงหัวใจแบบนี้ แต่เธอก็เข้มแข็งและผ่านมันมาได้ทุกวัน

ถ้าต้องทำร้ายหัวใจตัวเองด้วยการเจอหน้าเขาอีกสักครั้ง...จะเป็นไรไป

“ที่ผ่านมาฉันยังไม่ตายเลย...”

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

กวินวัฒน์เงยหน้าจากมือถือขึ้นมองบานประตูห้องตรวจของเขาด้วยความสงสัยว่าทำไมพยาบาลถึงจะพาคนไข้เข้ามาทั้งที่ยังไม่หมดเวลาพักเที่ยงของเขา ทว่าคนที่โผล่หน้าเข้ามาหลังประตูถูกเปิดออกกลับไม่ใช่พยาบาล แต่เป็น...

“ฮัลโหลลล” นายแพทย์ที่แต่งตัวประหลาดที่สุดในโรงพยาบาลทักทายด้วยรอยยิ้มกว้างเกินปกติ ก่อนจะเอาตัวมานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกวินวัฒน์

“มาทำไม”

“โอ้โห ห้วน สั้น ไร้ความปรานี นี่ผมเพื่อนรักที่สุดในชีวิตของคุณเลยนะครับอาจารย์กวินวัฒน์”

“เหรอ กูเคยพูดอย่างนั้นตอนไหน”

“ไม่พูด แต่แค่มองตาผมก็รู้ใจ”

 “เหอะ!” ชายหนุ่มทำเสียงขึ้นจมูก แต่ไม่ต่อบทให้ อีกฝ่ายเลยเริ่มเข้าจุดประสงค์ของเขา

“โธ่กาย มึงอย่างอนกูดิ”

“ใครงอนมึง”

“ก็มึงไง ที่มึงพิมพ์ไปในกรุ๊ปแชตแบบนั้น” ปิติเอาสองมือทาบอก พลางทำหน้าน่าสงสาร “มันสะเทือนใจกูเลยนะ”

คนฟังรู้ว่าที่ปิติมาหาเขาถึงที่ก็เพราะเรื่องนี้ หลังจากที่สองวันก่อน เขาโยนระเบิดไปในแชตแบบนั้น กวินวัฒน์ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก แม้ว่าเพื่อนทั้งสองคนจะถามหาต้นสายปลายเหตุ ทว่าในวันรุ่งขึ้น เรื่องที่ร้านของเพียงฟ้าถูกก่อกวนและมีพนักงานได้รับบาดเจ็บถูกส่งมาที่โรงพยาบาลก็เริ่มเป็นที่รู้กันในหมู่เจ้าหน้าที่ ที่น่าแปลกใจคือดูเหมือนว่าเธอจะเป็นที่รู้จักของคนที่นี่ในฐานะเจ้าของร้าน Organic Kitchen นั่นยิ่งยืนยันว่าเพื่อนทั้งสองของเขาก็รู้มานานแล้วเหมือนกัน แต่ก็ทำเป็นไขสือตอนที่คุยกันคราวนั้น

“จริงๆ กูจะมาง้อมึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะ แต่ว่ามึงอยู่โออาร์ไง”

“แล้วมึงจะโกหกกูแต่แรกทำไม”

ปิติไหล่ตก “ก็มึงเป็นคนบอกเองว่าไม่ให้พวกกูพูดถึงเฟย์”

“แต่อันนี้กูถามไง พวกมึงก็ควรบอกไหม”

“อ้าว แล้วกูจะไปรู้ไหม ว่าอันไหนอยากให้พูดไม่อยากให้พูดอะ”

กวินวัฒน์ส่ายหน้า อันที่จริงเขาก็ไม่ได้โกรธหรอก แต่รู้สึกเซ็งๆ เพราะทั้งที่ข้อมูลอยู่ใต้จมูก แต่เขากลับต้องอ้อมไปตามหาเอาเสียไกล ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้แย่เสียทีเดียว เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้เห็นเพียงฟ้าตอนสวมชุดเชฟ 

ได้เห็นกับตาแล้วว่าความฝันของเธอเป็นจริง

“เออ ช่างเหอะ มึงกลับไปได้ละไป”

คนโดนไล่ทำหน้าบูด “อย่าเพิ่งไล่ดิ โธ่! ไม่เห็นหน้าตั้งหลายวันไม่คิดถึงกูหน่อยเหรอ”

“มึงจะออกไปได้ยัง” เจ้าของห้องเริ่มทำเสียงเข้ม รู้ตัวแล้วว่าเพื่อนเริ่มแกล้งกวนเขา

แล้วปิติก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ ควักแผ่นพับใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “นี่! ดูซะก่อน กูมีของมาง้อมึงด้วย”

“อะไร”

จิตแพทย์หนุ่มเปิดกางแผ่นพับออกแล้วเลื่อนไปตรงหน้าเขา “ฟู้ด เทอราปี โปรแกรมนึงของโรงพยาบาล”

กวินวัฒน์หยิบแผ่นพับขึ้นมาอ่านรายละเอียด หูก็ฟังปิติพูดไปด้วย “มึงไม่สงสัยเหรอว่าทำไมหลายคนที่นี่ถึงรู้จักเฟย์ มันก็เพราะไอ้โปรแกรมนี้แหละ มันเป็นการรักษาทางเลือก คือใช้อาหารช่วยในการรักษา หลักการง่ายๆ ก็คือถ้ากินอาหารที่ดี ถูกกับร่างกายของแต่ละคน มันก็จะดีจากข้างในอะไรแบบนี้ ซึ่งร้านที่มาทำอาหารให้ก็คือร้านของเฟย์นี่แหละ”

ชายหนุ่มมองรูปถ่ายวงกลมสามวงเรียงกันเป็นภาพของบุคลากรที่รับผิดชอบในโปรแกรมนี้ และมีคำอธิบายใต้ภาพว่า วงกลมแรกคือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ตรวจหาว่าร่างกายของแต่ละคนเหมาะกับอาหารประเภทไหน วงกลมถัดมาคือนักกำหนดอาหารที่จะมาช่วยกำหนดว่าควรรับประทานในประมาณเท่าไร และวงกลมสุดท้ายคือเชฟ จะเป็นผู้คัดสรรวัตถุดิบที่ปราศจากสารตกค้างและปรุงออกมาให้มีรสชาติอร่อยในเมนูที่หลากหลาย

กวินวัฒน์มองรูปถ่ายหญิงสาวในวงกลมสุดท้ายแล้วเผลอยิ้ม

เป็นอีกครั้งที่เขาได้เห็นเพียงฟ้าในชุดเชฟ...สวยไม่ต่างจากวันนั้นเลย

“คนไข้มะเร็งส่วนใหญ่เขาก็จะซื้อคอร์สนี้กันทั้งนั้น เฟย์เลยต้องมารับเคสบ่อยๆ เพราะแต่ละคนกินอาหารได้ไม่เหมือนกัน ก็เลยเข้ามาที่นี่อยู่เรื่อยๆ”

“เจ้าหน้าที่หลายคนเลยรู้จักว่างั้น”

“ใช่ โดยเฉพาะที่ศูนย์มะเร็งอะนะ อ้อ แล้วก็ไม่ใช่แค่ผู้ป่วยมะเร็งหรอก ผู้ป่วยที่แอดมิตทั่วไปก็ซื้อคอร์สรายวันได้ อาหารที่ได้กินแต่ละมื้อตอนอยู่ที่โรงพยาบาลก็จะมาจากร้านเฟย์”

ฟังแล้วกวินวัฒน์รู้สึกว่าชีวิตของเพียงฟ้าอยู่ใกล้เขามาก ถ้าพูดให้เห็นภาพก็เรียกว่าวนเวียนผ่านกันไปมาก็ว่าได้ ถึงแผนกของเขากับศูนย์มะเร็งจะไม่ใกล้กันเท่าไร ทว่าก็ยังอยู่ในตึกเดียวกันอยู่ดี ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ ถ้าไม่นับครั้งแรกนั้น เขายังไม่เคยบังเอิญเจอเธอที่โรงพยาบาลเลยสักครั้ง

หากถามว่าเขาอยากเจอเธอไหม...กวินวัฒน์ตอบได้ยากในข้อนี้

ถ้าเอาคำตอบที่ตรงจากหัวใจเลยคือ ‘อยาก’ เขาอยากเจอหน้าเธอทุกวัน อยากได้ยินเสียงพูด เสียงหัวเราะ รอยยิ้มที่เคยมอบให้เขาเหมือนวันเก่า แต่เอาคำตอบที่คำนึงถึงความเป็นจริง 

...ใครจะอยากเจอผู้หญิงที่ทำให้หัวใจสั่นไหว ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเธอมีสามีแล้วกัน

“อืม เข้าใจแล้ว” กวินวัฒน์ตอบกลับสั้นๆ แล้วยื่นแผ่นพับคืนให้ปิติ

“อ้าว ไม่เก็บไว้ล่ะ”

แพทย์หนุ่มส่ายหน้า “ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม กูได้คำตอบเรื่องสปาเกตตีแล้วก็จบแค่นั้น”

ปิติมองเพื่อนนิ่งๆ ก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างหมดคำพูด “ตอนที่เลิกกันไหนมึงบอกว่าไม่ได้ทะเลาะอะไร มึงแค่ไม่มีเวลาให้ อยู่ไกลก็ห่างๆ กันไป เลยขอเลิกให้เป็นเรื่องเป็นราว ถ้าเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ก็ไม่เห็นต้องเย็นชาใส่เขาไหม”

“แล้วกูเย็นชาใส่เขาตรงไหน”

“ตรงที่เป็นมึงตอนนี้เลยกาย กูเซนส์ได้ว่ามึงเมินเฉยใส่เขา เรื่องมันผ่านมานานแล้ว เราก็โตๆ กันแล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นเพื่อนกันได้หรอกเหรอวะ เอาตามตรงนะเว้ย ตอนนี้กูก็เป็นทั้งเพื่อนมึง แล้วก็เพื่อนเฟย์ด้วย พอเพื่อนกูสองคนเข้าหน้ากันไม่ติด กูก็แอบอึดอัดนิดนึง”

“มึงเลยอยากให้กูเป็นเพื่อนกับเฟย์?”

ปิติยิ้มแฉ่ง “ถ้าได้ก็ดี”

“เหอะ! ถามผัวเขารึยัง ว่าอยากให้เมียมาเป็นเพื่อนกับกูไหม”

รอยยิ้มเมื่อครู่หุบฉับอย่างไว “เออว่ะ ลืมเรื่องนี้ไปเลย”

เสียงเคาะประตูห้องเบรกการสนทนาไว้เล็กน้อย ก่อนใครอีกคนจะเปิดประตูเข้ามา 

“อ้าว...เป๋า”

สองคนที่อยู่ในห้องมองธันวาที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับแผ่นพับใบหนึ่งในมือ กวินวัฒน์ถึงกับหลุดยิ้มขำ ไม่คิดว่าเพื่อนทั้งสองจะจริงกับข้อความที่เขาทิ้งไว้ในแชตขนาดนี้

“มึงมาช้าครับอาจารย์ธันวา ผมได้กู้ระเบิดที่เพื่อนเราโยนไว้ได้เรียบร้อยแล้ว”

“อะไรวะ กินข้าวเสร็จกูอุตส่าห์รีบมา”

“กูไถ่โทษแล้ว แต่โทษของมึงยังอยู่ธันย์” ปิติแกล้งลอยหน้าลอยตาใส่ 

ธันวาเลยเปลี่ยนเรื่อง หันไปถามกวินวัฒน์แทน “เออกาย เห็นที่อีอาร์[3] พูดกันว่าตอนเกิดเรื่องที่ร้านเฟย์ มึงอยู่ด้วยเหรอ”

กวินวัฒน์ไม่เคยบอกใครเรื่องนี้ แต่เพราะเขาเป็นคนปฐมพยาบาลให้น้ำผึ้งตอนที่รถฉุกเฉินของโรงพยาบาลไปถึง ก็ไม่แปลกที่คนอื่นจะรู้ไปด้วย ก็อย่างที่ปิติเพิ่งบอกว่าใครหลายคนในโรงพยาบาลนี้ก็รู้จักเพียงฟ้า

“อืม” รับสั้นๆ ก่อนจะยกมือให้ดูข้อนิ้วชี้ที่เผลอโดนกระจกบาดตอนไปดูอาการคนเจ็บ “กระจกแม่งคมฉิบหาย บางด้วย ตอนแตกเสียงดังลั่นร้านเลย”

“เป็นไงล่ะ อยากไปตามหาความลับเรื่องสปาเกตตีดีนักไง ได้ของแถมเลย” ปิติขยี้ซ้ำ

“เจ้าของตึกนี่เก็บเรื่องเงียบมากเลยนะ ไม่มีข่าวในเน็ตเลย มีแค่คนลงรูปตามโซเชียลนิดหน่อย แต่ไม่มีเว็บไหน เพจไหนหยิบมาพูดถึงเลย น่าจะจ่ายหนักเหมือนกัน ก็อย่างว่าละนะ ร้านลูกสะใภ้เขานี่”

ปิติหันขวับไปแยกเขี้ยวใส่ธันวาที่เผลอพูดคำว่า ‘ลูกสะใภ้’ ซึ่งเป็นการย้ำสถานภาพของเพียงฟ้าขึ้นมา ทว่าแทนที่กวินวัฒน์จะเพิกเฉย เขากลับหยิบประเด็นนี้มาพูดต่อ

“พวกมึงว่ามันแปลกๆ ไหม ที่เมื่อวาน...ผู้ชายคนนั้นไม่โผล่มาเลย”

คนฟังสองคนเหลือบมองตากันอย่างไม่แน่ใจในคำถาม ก่อนที่ปิติจะเป็นคนลองเสี่ยงโยนหินไปก่อน “ผู้ชายคนนั้นที่มึงว่านี่หมายถึง...เอ่อ...คนที่แต่งงานกับเฟย์น่ะเหรอ”

เขาพยายามเลี่ยงโดยไม่ใช้คำว่า ‘สามี’ ทว่าก็รู้สึกว่าไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไร

“อือ...ไม่เห็นมาดูที่ร้าน ที่โรงพยาบาลก็ไม่มานะ เฟย์ไม่โทร. บอกด้วย”

“อาจจะยังวุ่นๆ อยู่ก็ได้” ธันวาแสดงความเห็นกลางๆ

“เออ นั่นดิ มึงอย่าไปคิดอะไรเยอะเลยกาย ถามจริงเหอะ อเมริกาสอนให้มึงเป็นมนุษย์ขี้สงสัยเหรอ ตั้งแต่กลับมานี่มึงสงสัยนั่นนี่ไม่หยุดเลยนะ”

“อยากพูดว่าเสือกก็พูดเถอะขนาดนี้แล้ว” ธันวาว่า

ปิติอมยิ้ม ส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่กล้าอะ”

กวินวัฒน์เพียงถอนหายใจ แต่ไม่ต่อความ ก็รู้แหละว่าต่อให้รู้ไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา อย่างไรเสียมันก็เป็นเรื่องในครอบครัวของเธอ เพียงแต่เขาแค่คิดว่าในเมื่อผู้ชายคนนั้นแต่งงานกับเธอแล้ว เขาก็ควรมาดูแลเธอในสถานการณ์เลวร้ายแบบนั้นหน่อย ถึงอดีตคนรักอย่างเขาจะรู้สึกได้ว่าเพียงฟ้าเติบโตขึ้นจากวันเก่าแล้ว แต่ก็ใช่ว่าเธอควรจะเผชิญเรื่องหนักหนาคนเดียว

ไม่อย่างนั้นจะแต่งงานกันไปทำไม...ถ้าเขาไม่มาอยู่ข้างๆ เธอ

กวินวัฒน์ไม่ทันได้ตอบหรือแย้งอะไรเพื่อน เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน คิ้วเข้มขมวดมุ่นมองเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกชื่อบนหน้าจอด้วยความสงสัย

ปิติเลยชะโงกหน้ามาดู “อะไรวะ มาทำงานไม่ถึงเดือน นี่มึงแจกเบอร์สาวๆ แล้วเหรอ”

“เพ้อเจ้อน่ะ” ว่าเสร็จก็กดรับสาย ก่อนคิ้วที่ขมวดจะค่อยๆ คลายลงเมื่อรู้ว่าปลายสายเป็นใคร “ครับๆ ได้ครับ ผมได้แค่ช่วงเย็น โอเคครับ”

ระหว่างที่คนหนึ่งกำลังพูดโทรศัพท์ อีกสองคนก็มองหน้ากัน แล้วก็เป็นปิติที่ขยับปากพูดโดยไม่ออกเสียง “นัดเดตด้วย แล้วมาหาว่ากูเพ้อเจ้อ”

ธันวาส่ายหน้า รู้สึกว่าเพื่อนสองคนของเขาเป็นอะไรที่ต่างกันสุดขั้วจริงๆ ชายหนุ่มหันไปดึงเก้าอี้สตูลที่ริมผนังมานั่ง พอหันกลับมาร่วมวงกวินวัฒน์ก็กดวางสายพอดี และสีหน้าข้องใจบางอย่างของคนเพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จก็ทำให้คิ้วของธันวาผูกกันตามไปด้วย

“มีอะไรวะกาย ทำไมทำหน้าแบบนั้น”

“ใครโทร. มาวะ”

“ตำรวจโทร. มา บอกว่าอยากให้ช่วยไปให้ปากคำเรื่องร้านของเฟย์หน่อย”

“ก็ไม่มีอะไรนี่ แล้วมึงทำหน้าแบบนั้นทำไม”

กวินวัฒน์เลื่อนสายตาไปมองธันวา “ตำรวจพูดว่า คดีของคุณเพียงฟ้า...ถิรดากุล”

ดวงตาหลังเลนส์แว่นของธันวาเบิกกว้าง เข้าใจในสิ่งที่กวินวัฒน์คิดอยู่ในทันที ทว่าใครอีกคนกลับยังไม่รู้เรื่อง

“อะไรอะ มองตากับแบบนี้หมายความว่าไง มึงสองคนแอบมีอะไรลึกซึ้งกันเหรอ”

ธันวาเหลือบตาขึ้นมองเพดาน ก่อนจะเอาแผ่นพับในมือฟาดหัวเพื่อนไปหนึ่งที “ถิรดากุลเป็นนามสกุลเฟย์ก่อนแต่งงานเว้ย แต่งงานแล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนไปใช้นามสกุลผัวสิ เนี่ย...” ชายหนุ่มพลิกเปิดแผ่นพับในมือ แล้วชี้ไปที่ใต้รูปภาพของเชฟสาว “ขนาดในนี้ยังเขียนว่า เพียงฟ้า จรรยาวรรธน์เลย ถ้าจะบอกว่าแต่งงานแล้วไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลคงไม่ใช่”

“งั้นถ้าตำรวจโทร. มาเพราะคดีเมื่อสองวันก่อน แปลว่าอัปเดตสุดคือกลับไปใช้นามสกุลเดิมแล้ว เฮ้ย!” ปิติตบโต๊ะ “แหม่งๆ อย่างที่มึงว่าจริงด้วยว่ะ”

“หรือว่าหย่าแล้ว แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้นะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นต้องมีคนพูดถึง ต้องเป็นข่าวไปแล้วดิ เป็นไปได้สูงว่าจะแค่หย่าเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจเฉยๆ คุณชยุตอาจจะวางแผนลงทุนอะไรสักอย่างก็ได้ เลยหย่ากับเฟย์ไว้ก่อน เพราะถ้าล้ม จะได้ไม่ล้มไปทั้งคู่” 

แม้ธันวาจะพูดเองแย้งเอง ทว่ากวินวัฒน์ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกการคาดเดานั้นทำให้ใจเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ คิดอย่างหนักว่าจะหาคำตอบของเรื่องนี้ได้อย่างไร ถ้าจะให้ไปถามเธอตรงๆ แล้วหากคำตอบคือเธอกับเขายังรักกันดีอยู่ล่ะ มันจะไม่เป็นการเสียมารยาทไปหน่อยเหรอ

ขณะที่สมองของกวินวัฒน์กำลังขบคิดอย่างหนัก ธันวาก็ยื่นมือมาตบบ่าเขา

“เอางี้! เดี๋ยวกูไปสืบมาให้เอง”

“สืบจากไหนวะ” ปิติทำหน้างง เพราะขนาดเขาที่คิดว่าเจอเพียงฟ้าบ่อยกว่าธันวายังคิดไม่ออกว่าจะถามเธอท่าไหนให้แนบเนียน ทำไมอีกคนถึงได้กล้าอาสา 

ธันวารวบแขนขึ้นกอดอก แล้วยิ้มอย่างมั่นใจ “รอดูอภินิหารปลายเข็มของกูก็แล้วกัน”


[1] โออาร์ (OR) Operating Room ห้องผ่าตัด

[2] โอพีดี (OPD) Out Patient Department แผนกผู้ป่วยนอก

[3] อีอาร์ (ER) Emergency Room ห้องฉุกเฉิน


รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น