9

เกือบไปแล้ว

9

เกือบไปแล้ว

 

เพียงฟ้ามองดูเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์แล้วพบว่านี่มันห้าโมงกว่าแล้ว จากตอนแรกที่ตั้งใจว่าหลังจากคุยรายละเอียดเรื่องเคสใหม่ที่รับมาแล้ว จะแวะไปขอเจอกวินวัฒน์สักหน่อย แต่ดูจากเวลาตอนนี้...

“เลิกงานแล้วแน่เลย”

ใช่ว่ากวินวัฒน์ไม่ใส่ใจคนไข้ของเขาหรอกนะ อันที่จริงเมื่อวานนี้ แพทย์หนุ่มก็เข้าไปแจ้งผลการผ่าตัดกับคนป่วยและญาติแล้ว ตอนที่เพียงฟ้าไปเยี่ยม พี่สาวของน้ำผึ้งก็บอกว่าหมอพูดว่าเรียบร้อยดี แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอยากทราบรายละเอียดที่มากกว่านั้น

นั่นมันลูกตาคนเลยนะ คำว่า ‘ผ่าตัดเรียบร้อย’ อาจไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างโอเคก็ได้ ในเมื่อคืนนั้นเขาก็บอกเองว่ายังไม่ได้เอาเศษกระจกออกมา

“หรือต้องโทร. หาเขาจริงๆ”

หญิงสาวก้าวเข้าไปในลิฟต์ฝั่งที่จะขึ้นไปถึงตึกผู้ป่วยใน กำลังคิดอยู่ว่าพรุ่งนี้เช้าเธอควรจะโทร. ไปขอนัดเขาผ่านเคาน์เตอร์พยาบาลที่แผนกดีกว่าไหม ไม่ทันไร ประตูลิฟต์ก็เปิดออก แถมคนที่กำลังรอลิฟต์อยู่ก็เป็นคนที่ทำให้หญิงสาวถึงกับช็อกค้างไปเลย

เป็นอย่างนี้ตลอด...พอไปหาล่ะตามตัวไม่ได้ แต่บทจะเจอ ก็เจอตอนไม่ตั้งตัวทุกที

กวินวัฒน์เองก็ตกใจไม่แพ้กัน แม้ว่าเรื่องที่รู้มาเมื่อตอนบ่ายจะทำให้เขาพอเดาได้ว่าอาจจะมีโอกาสบังเอิญเจอเธอที่โรงพยาบาล แต่ก็ไม่คิดว่าความบังเอิญนั้นจะมาเร็วขนาดนี้ 

ความเงียบก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ หลังจากคนที่เข้ามาทีหลังกดชั้น แพทย์หนุ่มเลิกงานแล้วก็จริง แต่เขาตั้งใจจะแวะไปดูคนไข้ในวอร์ดที่ต้องผ่าตัดในวันพรุ่งนี้ ไม่คิดว่าจะได้เจอเธอ

ถ้าไม่นับสถานการณ์คับขันที่ทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้คิดเรื่องอื่นไปมากกว่าอาการของคนเจ็บแล้ว การเจอหน้ากันในภาวะปกติครั้งก่อนๆ เขาและเธอไม่เคยอยู่กันสองต่อสองเลย ถ้าไม่มีพยาบาลก็มีพนักงานเสิร์ฟที่ร้าน ไม่เหมือนกับตอนนี้ นอกจากจะไม่มีคนอื่นแล้ว ทั้งคู่ยังเหมือนถูกขังอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆ ด้วย

เจอแฟนเก่าในห้องตรวจว่าสุดๆ แล้วนะ แต่มาเจอในลิฟต์นี่...ยกให้ขึ้นแท่นไปเลย ที่สุดแห่งการหายใจไม่ทั่วท้อง

เพียงฟ้าพยายามหายใจให้เบาที่สุด ไม่กล้าแม้แต่จะชำเลืองมองว่าเขากดไปชั้นไหน ทั้งที่คิดว่าอยากถามอาการของน้ำผึ้ง แต่พออีกฝ่ายโผล่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว สมองเธอก็ว่างเปล่าไปหมดเสียนี่

เป็นกวินวัฒน์ที่แอบชำเลืองมองชุดที่เธอสวมอยู่ แอบคิดว่าเวลามาพบลูกค้าที่เข้าร่วมโปรแกรมเธอแต่งตัวแบบนี้เองเหรอ จู่ๆ ก็อยากมองหน้าคนข้างๆ ให้ชัดกว่านี้ขึ้นมา

“ตาเธอเป็นยังไงบ้าง” ไม่รู้สมองส่วนไหนสั่งให้เขาเลือกคำถามนี้ ทั้งที่นี่ก็ผ่านมาเป็นสัปดาห์แล้ว อีกอย่างครั้งก่อนเขาก็เห็นว่าตาเธอหายเป็นปกติแล้ว แต่ก็ยังถามคำถามโง่ๆ นี้ออกไป

“ก็อย่างที่เห็น”

สิ้นประโยค แพทย์หนุ่มก็หันขวับไปหา และการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของคนข้างๆ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เพียงฟ้าที่ระวังตัวอยู่สะดุ้ง หันขวับไปมองเขาเหมือนกัน

“อะไร”

“ก็เห็นไม่ชัด เลยหันมาดู ไหนขอหมอดูหน่อย”

อดีตคนไข้เริ่มรู้สึกตอนนี้ว่าเขาชักกวนเธอแล้ว เธอเลยชกกลับบ้าง “หมออะไร เสื้อกาวน์ก็ไม่ใส่”

“อ้าว ก็หมอร้อนไง จะใส่เสื้อทำไมสองสามตัว”

เพียงฟ้าทำท่าจะเถียงกลับ แต่ก็ตัดสินใจเก็บคำพูดไว้ดีกว่า รู้ว่าเถียงไปก็เท่านั้น เธอหันหน้าหนีไปอีกทาง แต่แล้วสายตาก็ดันไปสะดุดกับภาพสะท้อนรางๆ บนประตูลิฟต์ ดูเหมือนว่าที่ข้อนิ้วของคนข้างตัวจะมีปลาสเตอร์พันเอาไว้ หญิงสาวเลยแอบเหลือบมองมือเขาให้แน่ใจ ก่อนจะพบว่ามันเป็นอย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ

‘ได้แผลมาตอนไหนนะ ตอนเถียงกันที่ร้านยังไม่เห็นมีเลย คงไม่ใช่จากเศษกระจกในร้านหรอกมั้ง’

ในขณะที่เพียงฟ้ากำลังลังเลว่าเธอควรจะถามเขาออกไปดีไหม แต่แล้วคนที่กวนเธอเมื่อครู่กลับเอ่ยขึ้นก่อน เขาถามเธอด้วยเสียงทุ้มที่สัมผัสได้ว่าจริงจัง

“ที่ร้านเป็นยังไงบ้าง”

หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย เกลียดที่สมองบอกว่ามีความเป็นห่วงเป็นใยในคำพูดนั้น ทำเอาหัวใจเธออ่อนยวบลงพลัน “ช่างมาซ่อมกระจกให้เมื่อวานแล้วแหละ วันนี้ก็เปิดขายปกติ แต่เมื่อวานทำแค่เดลิเวอรี”

“งั้นเมื่อวานก็คงไม่มีใครได้กินพาสตา” คนพูดรอให้เชฟสาวหันมองสบตา แล้วเขาค่อยพูดต่อ “สูตรของแม่ฉัน”

คิ้วคู่สวยของหญิงสาวกระตุก กวินวัฒน์ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาพอใจที่เธอออกอาการเช่นนั้น

“แบบนี้...เรียกว่าเชฟขโมยมารึเปล่า”

“ฉันไม่ได้ขโมยนะ ฉันขอแม่แล้ว”

คำตอบที่ไม่คาดคิดทำเอาคนฟังชะงัก เธอขออนุญาตจากแม่เขาแล้วอย่างนั้นเหรอ งั้นก็แปลว่าเพียงฟ้ายังติดต่อกับแม่เขาอยู่ใช่ไหม ทำไมเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย

“นี่เธอยัง...”

ติ๊ง!

เสียงลิฟต์มาถึงที่หมายดังขึ้นขัด เพียงฟ้าเลยรีบฉวยโอกาสนั้นพยักพเยิดให้เขาออกไปเพราะไม่อยากคุยเรื่องที่อาจจะโยงไปถึงวันเก่าๆ มากกว่านี้ กวินวัฒน์ทำท่ายึกยักเล็กน้อย แต่ก็ต้องหักใจก้าวออกมา พอเขาหันกลับไปมองตอนประตูกำลังปิด คนในลิฟต์ก็ขยับหลบจากช่องว่างที่กำลังแคบลง ให้ประตูบานหนึ่งบดบังเธอจากสายตาเขา 

คนตัวสูงยืนมองบานประตูลิฟต์ที่ปิดลงแล้วยกยิ้มอย่างเย้ยหยันตัวเองที่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากมองหน้าเขาขนาดไหน พลันคิดขึ้นมาว่า ต่อให้เขาได้คำตอบเรื่องที่ธันวากำลังไปสืบมาให้...แล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรืออย่างไร

เธอเกลียดเขายิ่งกว่าอะไร รู้หรือไม่ บางทีอาจไม่ต่างกัน

คนในลิฟต์เองก็ยังคงมองอยู่ที่บานประตูลิฟต์ เขาเดินออกไปแล้ว ทว่าคำพูดและความรู้สึกที่ว่าเขายังอยู่ตรงนี้เหมือนยังไม่หายไปไหน ไม่ต่างจากตอนที่เขาเลือกปล่อยมือเธอแล้วเดินจากไป ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา เธอยังคงเก็บไว้... 

ที่กล่องความทรงจำในหัวใจ เหมือนว่าเขาไม่เคยไปไหนเลย

เพียงฟ้ายกสองมือขึ้นแนบที่อกซ้าย หัวใจที่ยังเต้นรัวแรงบอกว่ากล่องความทรงจำของเธอกำลังถูกแง้มออก โชคดีเหลือเกินที่คนบนฟ้าไม่ใจร้ายเกินไป ช่วยหยุดทุกอย่างที่ถูกกักเก็บไว้ข้างในได้ทัน มันเลยยังไม่ฟุ้งไปไหน

“เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้วหัวใจ...เกือบไปแล้วจริงๆ”

 

คนหัวใจแกว่งพยายามบอกตัวเองซ้ำๆ ถึงจุดหมายของตัวเอง หลังจากที่เมื่อครู่ออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวผิดไปแล้วครั้งหนึ่ง “บ้าจริง สติเปิดเปิงไปหมด”

หญิงสาวเคาะประตูห้องพักผู้ป่วยตามมารยาท ก่อนจะผลักเข้าไป แล้วก็ต้องตกใจอีกรอบ เมื่อทอดมองไปตรงหน้า สายตาก็ไปปะทะกับชายร่างสูงในเสื้อเชิ้ตสีขาวซึ่งยืนค่อนมาทางปลายเตียงผู้ป่วย 

เพียงฟ้านิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะดึงสติ แล้วจ้ำอ้าวเข้าไปหา เอ่ยกับคนที่ยังหันหลังให้ “พี่ยุตมาทำอะไรคะ”

ชยุตค่อยๆ หมุนตัวกลับมาหาต้นเสียง ตกใจเล็กน้อยแต่เขาก็เก็บสีหน้าได้แนบเนียน แย้มริมฝีปากยิ้มให้อดีตภรรยาที่แม้ไม่เจอกันมาสักพักใหญ่แต่ก็ยังสวยไม่สร่าง “อ้าวเฟย์ ไหนบอกว่าวันนี้ยุ่งมาก พี่เลยมาเยี่ยมผึ้งให้แทน”

เชฟสาวยิ้ม นัยน์ตาบอกคนตรงหน้าชัดว่านี่คือการประชด “ขอบคุณพี่ยุตมากเลยนะคะ เพิ่งเลยเวลาเลิกงานมาไม่เท่าไหร่ พี่ยุตก็มาถึงที่นี่แล้ว ถึงกับต้องออกก่อนเวลาเพื่อเฟย์เลย”

“วันนี้ช่วงบ่ายมีแค่ประชุมน่ะ เลิกเร็วพี่ก็รีบมาเลย เรื่องของเฟย์สำคัญไม่แพ้งานของพี่อยู่แล้ว”

น้ำอ้อยพี่สาวของน้ำผึ้งฉีกยิ้มตามเมื่อมองคู่สามีภรรยาที่ดูรักใคร่หวานชื่น พอเห็นว่าการสนทนาของทั้งคู่เงียบลง หญิงสาวจึงเอ่ยบ้าง

“สวัสดีค่ะคุณเฟย์ จริงๆ ถ้าคุณเฟย์ยุ่งไม่ต้องลำบากเลยนะคะ อ้อยอยู่กับไอ้ผึ้งมันได้ แค่ห้องพักในโรงพยาบาลนี้ก็ดีกว่าห้องเช่าแคบๆ ของเราสองคนมากแล้วละค่ะคุณเฟย์”

“จริงค่ะพี่เฟย์ ที่ร้านน่าจะยุ่งกันมาก”

เพียงฟ้าเดินผ่านอดีตสามีของเธอไปส่งถุงขนมในมือให้น้ำอ้อย ก่อนจะก้าวไปจับมือคนป่วยที่ยังโดนปิดตาไว้ทั้งสองข้าง “ไม่เป็นไรเลยผึ้ง ร้านเราก็ไม่ได้ไกลจากที่นี่ ถ้ามาได้พี่ก็อยากมาดูให้เห็นกับตาตัวเองทุกวัน ว่าผึ้งดีขึ้นแล้วจริงๆ”

เสียงโทรศัพท์ของชยุตดังขึ้นในตอนนั้น เพียงฟ้าที่รู้สึกอึดอัดอยู่แล้วเมื่อมีเขามายืนอยู่ใกล้ๆ เลยรีบฉวยโอกาสนี้ไว้ “ดูเหมือนคุณพ่อเฟย์จะตามพี่ยุตไปทำงานที่พี่บอกเฟย์เมื่อวานแน่เลย พี่ยุตกลับก่อนได้เลยค่ะ ไว้เจอกันที่บ้าน”

ยิ้มหวานหยดโปรยตามไปให้เขา 

ไม่มีหรอกงานอะไรที่พ่อของเธอเคยพูด ไม่มีหรอกการพูดคุยระหว่างเธอกับเขาเมื่อวาน และก็ไม่มีอีกเหมือนกันเรื่องที่ว่าจะไปเจอกันที่บ้าน เธอกับเขาไม่ติดต่อกันมาสองเดือนได้แล้ว ที่เพียงฟ้าพูดไป...ไม่มีอะไรเป็นความจริงเลย

ตอแหลทั้งหมด...รอยยิ้มหวานหยดที่เธอมอบให้เขาก็เหมือนกัน

ชยุตหันไปพยักหน้าให้คนสนิทของเขาที่ยืนอยู่ชิดผนังห้องด้านหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยลากับทุกคนแล้วเดินออกไป ไม่ลืมทิ้งท้ายไว้ “อย่ากลับดึกมากนะเฟย์ พี่เป็นห่วง”

“ได้ค่าาา”...หึ! ขนลุกเลย

เพียงฟ้ารอให้เสียงประตูปิดลงก่อน พอหายใจโล่งขึ้นแล้ว เธอค่อยหันมาคุยกับน้ำอ้อย “วันนี้หมอมารึเปล่าคะ”

“มาค่ะคุณเฟย์ มาดูอาการตอนเช้า แล้วพยาบาลก็มาล้างแผลด้วย”

“แล้ว...คุณหมอที่ตรวจตาล่ะคะมาไหม”

“มาทีหลังนะคะ แต่ก็ตอนเช้าเหมือนกันค่ะ ตอนประมาณเกือบๆ เก้าโมงได้”

“เก้าโมงเหรอ มาเร็วจัง” หญิงสาวพึมพำ “ถึงว่าไม่เคยเจอเลย”

“อ้าว คุณเฟย์ยังไม่ได้เจอหมอตาเหรอคะ” น้ำอ้อยที่ได้ยินประโยคหลังพอดีทำหน้าฉงน “เห็นเมื่อวานบอกว่าจะไปหาที่แผนกนึกว่าได้คุยกันแล้ว”

“ยังเลยค่ะ หมอเขางานยุ่งมาก” เชฟสาวประชดอยู่ในทีทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ตรงนี้

ไม่รู้สิ พอคิดว่าเขางานยุ่งทีไร เธอเป็นต้องอยากประชดประชันทุกที คงเพราะนั่นเป็นเหตุผลที่เขาใช้บอกเลิกเธอละมั้ง ได้ยินทีไรก็เจ็บใจอยู่เรื่อย

เมื่อกี้เจอกันก็ไม่ทันได้ถาม คุยแต่เรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้ เพียงฟ้านึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ แต่ก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียเรื่องการรักษาของน้ำผึ้งก็ใช่ว่าจะคุยกันจบได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่ในลิฟต์

“งั้นถ้าพรุ่งนี้คุณหมอมาตรวจอีก อ้อยจะบอกหมอไว้ให้ไหมคะว่าคุณเฟย์อยากเจอ”

“ไม่ต้องค่ะ!” เพียงฟ้าเผลอโพล่งออกไปจนน้ำอ้อยผงะ ก่อนจะยิ้มเชิงขอโทษให้ “เอ่อ เกรงใจหมอเขา พอดีเฟย์ยังไม่แน่ใจน่ะค่ะว่าพรุ่งนี้จะสะดวกมาตอนไหน ยังไงเดี๋ยวเฟย์โทร. นัดที่แผนกเองดีกว่า”

“อะ...เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” น้ำอ้อยยิ้มให้อย่างงงงวยกับอาการแปลกๆ ของเพียงฟ้า 

เจ้าตัวเลยขยับขึ้นนั่งบนเตียง ตบหลังมือคนป่วยที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่เบาๆ “เราล่ะผึ้ง หายตกใจแล้วรึยัง”

“ผึ้งโอเคแล้วพี่เฟย์ พี่เฟย์ไม่ต้องเป็นห่วงผึ้งนะคะ ผึ้งเป็นห่วงพี่เฟย์มากกว่าที่ต้องเทียวไปเทียวมา”

“พี่ไม่เหนื่อยเลย พี่ต้องมารับเคสใหม่ที่โรงพยาบาลอยู่แล้ว ทุกคนที่ร้านเป็นห่วงผึ้งมากนะรู้ไหม แก้วฝากขนมมาด้วย”

คนป่วยยิ้ม “งั้นฝากไปบอกทุกคนด้วยนะคะว่าผึ้งโอเค ขอบคุณมากๆ เลยที่เป็นห่วงผึ้ง ผึ้งจะรีบหาย ป่านนี้หนูนาคงเหงาปาก ไม่มีเพื่อนคุยแล้ว”

“ใช่ อีกนิดจะคุยกับกำแพงอยู่แล้วนะ”

น้ำผึ้งหัวเราะร่า เพียงฟ้าค่อยยิ้มออกมาได้หน่อย แต่คงจะยิ้มได้เต็มที่กว่านี้ ถ้าได้คุยรายละเอียดกับคุณหมอตัวดี อยากฟังคำยืนยันจากปากเขาว่าดวงตาของน้ำผึ้งจะกลับมาเป็นปกติแน่นอน แต่เขาเล่นมาตรวจคนไข้ในช่วงเวลาที่ร้านเธอกำลังยุ่ง คงปลีกตัวมารอเจอเขาเวลานั้นไม่ได้ แถมน้ำอ้อยก็ไม่เคยถ่ายทอดให้เธอเป็นเรื่องเป็นราวได้เลยว่าหมอพูดว่าอะไรบ้าง

“เอ้อ พี่เฟย์คะ คุณหมอที่เขาผ่าตัดตาให้ผึ้ง ใช่คนที่ไปกินที่ร้านวันเกิดเรื่องรึเปล่าคะ”

เพียงฟ้าชะงักไปเล็กน้อย เพราะตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้น ดวงตาของน้ำผึ้งก็ถูกปิดไว้ตลอดเวลา แถมน้ำอ้อยคนที่เจอหมอทุกวันก็ไม่ได้อยู่ที่ร้านวันนั้นนี่ แล้วน้ำผึ้งรู้ได้อย่างไร

“ใครบอกผึ้ง”

คนป่วยยิ้ม “ผึ้งจำเสียงได้ค่ะ ตอนที่ผึ้งนอนอยู่ที่พื้น ผึ้งกลัวมากเลยนะคะ แต่มันเจ็บร้าวไปทั้งตัวจนขยับไม่ไหว เหมือนจะหลับไปทุกที ตอนนั้นผึ้งได้ยินเสียงผู้ชายมาพูดใกล้ๆ ว่า ‘ไม่ต้องกลัวนะ ไม่เป็นไร ผมเป็นหมอ หมออยู่ตรงนี้นะครับ อย่าเพิ่งขยับตัวนะ รถพยาบาลกำลังมาแล้ว”

เพียงฟ้าเผลอยิ้มตามคนเล่า เธอเข้าใจความรู้สึกตอนนั้นของน้ำผึ้งดี ความอุ่นใจที่ได้รับคงไม่ต่างจากตอนที่เขาปลอบโยนเธอจากเหตุการณ์เดียวกัน 

“พี่เฟย์รู้ไหม ผึ้งจำเสียงเขาได้แม่นเลยนะคะ พอตอนหมอมาเมื่อเช้านี้ ผึ้งได้ยินเสียงเขาอีกครั้ง ผึ้งว่าต้องใช่แน่ๆ แต่เขามาเร็วไปเร็วเลยยังไม่มีโอกาสได้ถาม ตกลงว่าใช่จริงๆ ไหมคะ”

คนถูกถามพยักหน้าซ้ำๆ ทั้งที่น้ำผึ้งไม่เห็น “ใช่จ้ะผึ้ง เป็นหมอคนนั้นแหละ...ชื่อว่าหมอกวินวัฒน์”

“คุณหมอกวินวัฒน์” น้ำผึ้งทวนชื่อเขาซ้ำแล้วยิ้มกว้างอย่างชื่นชม “ผึ้งจะรอวันที่ได้เห็นหน้าคุณหมออีกครั้งค่ะ”

“พี่ก็อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ เหมือนกัน”

เสียงโทรศัพท์ของเพียงฟ้าดังขึ้นหยุดการสนทนาเอาไว้ มองชื่อบนหน้าจอแล้วหญิงสาวก็พอจะเดาได้ว่าปลายสายโทร. มาด้วยเรื่องอะไร เธอจึงขอตัวกลับก่อน เดินออกมาจากห้องพักได้ระยะหนึ่งแล้วจึงโทร. กลับไปหาสายที่ตัดไป

“ว่าไงคะพี่ฟอร์ส” 

คนที่โทร. มาเมื่อครู่คือพิภพภัทร พี่ชายแท้ๆ ของเธอเอง

“ว่าไงอะไรล่ะ ร้านโดนไปขนาดนั้นไม่เห็นบอกพี่บ้างเลย นี่ถ้าเพื่อนไม่ส่งรูปที่มีคนแชร์ในทวิตเตอร์มา พี่ก็คงไม่รู้”

เพียงฟ้าชะงักเท้าที่กำลังเดินไปทางลิฟต์ เพราะสายตาไปสะดุดอยู่กับคนที่นั่งรออยู่ที่โซฟา...นึกว่ากลับไปแล้วนะเนี่ย

“ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ก็น่าจะมาจากสาเหตุเดิม เฟย์เห็นว่าเดี๋ยวก็คงเคลียร์เรื่องได้ เลยไม่ได้โทร. ไปบอก ไม่อยากให้ตกใจกัน”

“เมื่อเช้านี้พี่ก็เพิ่งคุยกับชยุตที่บริษัท ชยุตบอกว่าจะดูแลให้เหมือนเดิม พี่ค่อยเบาใจหน่อย”

หญิงสาวหยุดยืนมองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา เขาเองก็มองมาทางนี้ เธอเริ่มเข้าใจเหตุผลแล้วว่าชยุตมาถึงที่นี่ทำไม

สาวร่างเล็กก้าวตรงเข้าไปหาเขา ก่อนจะกรอกเสียงไปด้วย “พี่ยุตก็อยู่กับเฟย์ตอนนี้ค่ะ พี่ฟอร์สไม่ต้องห่วงนะคะ พี่ยุตเขาเก่งจะตาย เขาจัดการได้หมดนั่นแหละค่ะ”

ชยุตยกยิ้ม เขารู้ว่าคนตรงหน้ากำลังประชดอยู่ ทว่ามันก็เป็นการประชดที่เขาพอใจในผลลัพธ์ 

เพียงฟ้าคุยต่ออีกไม่กี่ประโยคก็วางสายไป ความสัมพันธ์ของเธอกับครอบครัวไม่ได้แน่นแฟ้นเหมือนครอบครัวอื่น เพราะเธอไม่ได้อยู่ในตำแหน่งลูกรัก ไม่ได้เป็นตัวเต็งของตระกูลที่จะขึ้นแท่นหัวเรือใหญ่ของบริษัทในอนาคต ชีวิตของหญิงสาวมีค่ามากที่สุดก็คงเป็นตอนที่พ่อกับแม่ใช้เธอเป็นเครื่องมือเชื่อมความสัมพันธ์ทางธุรกิจ คงมีเพียงพี่ชายที่ยังห่วงใยความเป็นไปของเธออยู่บ้าง ขนาดว่าเธอเก็บข้าวของออกจากบ้านที่ใช้เป็นเรือนหอมาเป็นปีๆ ครอบครัวเธอยังไม่มีใครรู้เลย

“นี่ใช่ไหมคะที่พี่ยุตต้องการ” เพียงฟ้าถามหลังจากวางสายจากพิภพภัทรแล้ว “เฟย์จัดการให้เรียบร้อยแล้วนะคะ ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครระแคะระคาย จริงๆ ไม่จำเป็นต้องมาถึงนี่ก็ได้”

ชยุตลุกขึ้นยืน หมายจะใช้ร่างกายที่สูงกว่าข่มขวัญ “ก็ไม่แน่หรอก ขนาดตอนส่งดอกไม้ไป เฟย์ยังเพิกเฉยเลย น่าจะลงไอจีให้เนียนซะบ้าง”

เพียงฟ้าทำเสียงขึ้นจมูก “ไม่มีใครสนใจเฟย์ขนาดนั้นหรอกค่ะพี่ยุตก็รู้ดี ถ้าพ่อกับแม่เอาใจใส่เฟย์ขนาดนั้น ท่านรู้ไปตั้งแต่วันที่เฟย์ก้าวออกมาจากบ้านพี่แล้วละค่ะ”

หญิงสาวพูดไม่ผิด และนั่นคือข้อดีที่ชยุตหยิบมาใช้ประโยชน์ในการปกปิดการแตกหักความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา ทว่านั่นก็ยังไม่เพียงพอกับสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการ

“ต้นเดือนหน้าจะมีงานฉลองวันเกิดของคุณอาสุเทพ พี่อยากให้เฟย์ไปร่วมงานกับพี่ด้วย”

สุเทพคือหนึ่งในพนักงานตำแหน่งสูงของบริษัท การพาเพียงฟ้าไปร่วมงานก็เหมือนการย้ำความเป็นสามีภรรยาของทั้งคู่ต่อหน้าคนอื่น ที่ชยุตต้องการอย่างนั้น เพราะอีกไม่กี่เดือนบริษัทจะเปิดโพรเจกต์ใหม่ เขาต้องการได้รับคะแนนโหวตจากผู้บริหารระดับสูงทั้งหลายให้เป็นผู้รับผิดชอบหลักของงานนี้ 

ซึ่งแน่นอนว่าสุเทพคือหนึ่งในนั้น การแสดงให้คนอื่นเห็นว่าสถาบันครอบครัวของเขากับลูกสาวเจ้าของบริษัทยังดำเนินไปได้ด้วยดี จะช่วยให้คะแนนเสียงของสุเทพและผู้ร่วมงานอีกหลายๆ คนเอนเอียงมาทางเขาอย่างแน่นอน

“นั่นไม่ได้รวมอยู่ในข้อตกลงของเรานะคะ พี่ยุตไม่ให้เฟย์บอกเรื่องนี้กับคนอื่น เฟย์ก็ทำให้พี่ยุตแล้ว เรื่องการไปออกงานอะไร เฟย์คงทำให้ไม่ได้หรอกค่ะ”

เพียงฟ้ากำลังจะก้าวหนีออกมา ทว่าเขาก็โพล่งดักไว้ “พี่จะช่วยจัดการเรื่องร้านให้”

เจ้าของร้านนิ่งคิดทบทวนข้อเสนอที่เขายื่นให้ อันที่จริงเรื่องที่ร้านของเธอถูกก่อกวนเมื่อสองวันก่อนนั้นไม่ใช่ครั้งแรก ตอนเปิดร้านได้ใหม่ๆ ก็เคยมีคนร้ายมาปาหินใส่กระจกหน้าร้านแบบนี้ครั้งหนึ่งแล้ว ทว่าครั้งนั้นความเสียหายไม่ได้มากเท่านี้ อาจด้วยเพราะแรงเหวี่ยงของก้อนหินไม่มากเท่ากับแรงที่ไม้เบสบอลฟาดเข้ามา ไหนจะบวกความเร็วของรถจักรยานยนต์เข้าไปอีก แรงปะทะเลยมากขึ้น สร้างความเสียหายมากเป็นเท่าทวีคูณ อีกอย่างครั้งก่อน เหตุเกิดตอนดึกที่ร้านปิดไปแล้ว เลยไม่มีใครเป็นอะไร

ครั้งนั้น ตำรวจจับคนร้ายได้ด้วยข้อมูลจากกล้องวงจรปิดของตึก ผู้จ้างวานก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเจ้าของเดิมที่เคยเช่าพื้นที่ก่อนหน้าเธอ เขาสารภาพว่าโกรธที่ถูกบีบให้ออกเพราะลูกสะใภ้ของเจ้าของตึกต้องการจะใช้พื้นที่นี้ 

เพียงฟ้าถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เพราะตอนที่เธอกำลังหาทำเลสำหรับเปิดร้านอาหาร ชยุตเป็นคนเสนอพื้นที่ตรงนั้นให้ บอกว่าคนเช่าเดิมหมดสัญญาและจะย้ายออกพอดี

พอเธอไปถามเขา ก็ได้ความว่า ‘คนเช่าเก่าทำผิดสัญญาเอง เอาอย่างนี้ละกัน เดี๋ยวพี่จัดการให้’

หลังจากนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้ตามเรื่องต่อว่าเขาไปเคลียร์กับทางนั้นอย่างไร รู้แต่ว่าสุดท้ายเรื่องก็จบ และไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำเดิมอีกเลย จนกระทั่งเมื่อสองวันที่ผ่านมา

จริงสิ ทำไมจู่ๆ ผู้เช่าเก่าถึงกลับมาทำแบบนี้อีกนะ ผ่านมาเป็นปีๆ แล้วแท้ๆ มีเรื่องอะไรให้เขาโกรธอีกอย่างนั้นหรือหญิงสาวคิด ลังเลว่าควรจะรับข้อเสนอจากชยุตดีไหม เขาจะช่วยให้เธอจบปัญหานี้ได้ แต่เธอก็ไม่อยากมีเรื่องให้ต้องเข้าไปพัวพันอะไรกับเขาอีกแล้ว 

“เฟย์จัดการเองดีกว่าค่ะ ยังไงตอนนี้ทางตำรวจก็ตามเรื่องให้เฟย์อยู่แล้ว” นี่คือการตัดสินใจของเพียงฟ้า ก็ถ้าเขาจัดการปัญหาครั้งก่อนได้ดี ครั้งที่สองนี้ก็ไม่น่าเกิดขึ้น “ถ้าพี่ยุตหมดธุระแล้ว เฟย์ขอตัวก่อนนะคะ ทิ้งร้านมาหลายชั่วโมงแล้ว เชฟไม่อยู่ร้านนานๆ มันไม่ค่อยดี”

หญิงสาวไม่รอฟังคำตอบ เดินแยกออกมาโดยไม่มีการทิ้งท้ายอย่างรักษามารยาทด้วยคำว่า ‘แล้วเจอกันนะคะ’ หรืออะไรทำนองนั้น เพราะเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมาทำให้เธอรู้แล้วว่า ชีวิตนี้ควรเจอผู้ชายอย่างเขาให้น้อยที่สุด

ชยุตยิ้มเหยียดให้คู่สนทนาที่เดินห่างออกไป “ปากดีนัก กูอดทนกับมึงมาตั้งนาน คิดเหรอว่ากูจะปล่อยมึงไปง่ายๆ มึงยังมีประโยชน์กับกูอีกเยอะ คอยดูต่อไปก็แล้วกัน”

สิ้นคำนั้น ชายฉกรรจ์ที่ยืนไม่ห่างก็ก้าวเข้าไปกระซิบ “แล้วเรื่องผู้หญิงในห้องนั้นเอายังไงต่อดีครับคุณชยุต”

คนถูกถามหันไปมองทางห้องพักผู้ป่วย “รอให้มันเปิดตาได้ก่อน ค่อยกลับมาเช็กใหม่ว่ามันเห็นหน้ามึงรึเปล่า”

“ได้ครับนาย”

 

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น