10

ล้วงความลับ

10

ล้วงความลับ

 

ชั่วโมงกว่าแล้วที่กวินวัฒน์จอดรถอยู่ริมถนน สายตายังจับอยู่ที่ร้านอาหารชั้นล่างของตึกฝั่งตรงข้าม ที่เขาต้องมาจอดรถฝั่งนี้ เพราะบริเวณหน้าร้านมีพื้นที่ไม่กว้างมาก แค่พอให้รถยนต์แล่นเข้าไปจอดส่งผู้คนได้เท่านั้น

เวลาหลังเลิกงานเป็นช่วงเวลาที่คนเข้าออกร้านมากเป็นพิเศษ เท่าที่สังเกตดู ลูกค้าก็เป็นพนักงานบริษัทที่มากันเป็นกลุ่มหรือบ้างก็มาเป็นครอบครัว ทุกอย่างดูปกติดีราวกับเมื่อสองวันที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุร้ายขึ้น

ทั้งที่บอกตัวเองอยู่หลายรอบเรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นติดๆ กันให้ตำรวจตามรอยได้ง่าย ทว่าถึงอย่างนั้นกวินวัฒน์ก็อยากมาให้เห็นกับตา เมื่อวานตอนขับรถผ่านหลังเลิกงานเห็นว่าหน้าร้านปิดเงียบเลยเบาใจ แต่พอวันนี้เธอบอกว่ากลับมาเปิดปกติแล้ว เขาก็เอาใจออกห่างเรื่องนี้ไม่ได้เลย

แสงไฟในร้านดับลงไม่นาน พนักงานในร้านก็เริ่มทยอยออกมาทีละคนสองคน ไม่นานหญิงสาวสองคนสุดท้ายก็ตามออกมา 

กวินวัฒน์มองตามสาวร่างเพรียวที่แม้มองจากระยะไกลเขาก็รู้ว่าเป็นเธอ หญิงสาวเดินอ้อมเข้าไปที่ใต้ตึกซึ่งคือพื้นที่จอดรถ ไม่ถึงสิบนาที คนที่นั่งรออยู่ก็เห็นรถยุโรปคันสีขาวแล่นออกมา

“ก็ไม่เห็นมา” กวินวัฒน์พึมพำในเรื่องที่ยังติดใจสงสัยไม่หาย ขนาดเขาเป็นแค่อดีตคนรักยังวางใจเรื่องความปลอดภัยของเธอไม่ได้ แล้วคนที่เป็นถึงสามีของเธอทำไมถึงได้นิ่งนอนใจนัก เลิกงานแล้วก็น่าจะแวะมาดูสักหน่อยจะเป็นไรไป

หรือมาแล้วแต่เขาไม่เห็น...

ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะตอนที่เจอกับเพียงฟ้าในลิฟต์ เธอน่าจะกำลังไปเยี่ยมน้ำผึ้ง บวกลบเวลาคร่าวๆ แล้วก็คงมาถึงที่ร้านก่อนเขาได้ไม่นาน เขาก็ยังไม่เห็นผู้ชายคนนั้นโผล่มาที่นี่เลย

กวินวัฒน์คิดวกไปวนมา ก่อนที่จะได้สติรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ชายหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อย แล้วพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง

“เชี่ยเอ๊ยยย แล้วกูจะมาห่วงแทนผัวเขาทำไมเนี่ย เสือกฉิบหายเลยกู”

แม้จะย้ำเตือนตัวเองหลังจากประโยคนั้นว่าเขาไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องของเธอเกินจำเป็นแล้ว ทว่ากวินวัฒน์ก็เลี้ยวรถไปคนละทางกับทางกลับคอนโดของเขา ขับรถไปตามเส้นทางประมาณชั่วโมงครึ่ง เขาก็เลี้ยวเข้าอาณาเขตบ้านสองชั้นหลังหนึ่ง รถจอดสนิทในเวลาสี่ทุ่มพอดิบพอดี

ก้าวเข้าบ้านไปได้ไม่ถึงห้าก้าว หญิงวัยกลางคนร่างไม่อ้วนไม่ผอมก็ตรงเข้ามาหาด้วยหน้าตาแช่มชื่น กางแขนกอดรัดราวกับไม่เจอกันมาแสนนาน

“โอ้โห ลูกชายแม่ ไม่เห็นหน้าเป็นปี โตขึ้นเยอะเลยนะลูก”

คำทักทายที่เกินจริงทำเอาคนเป็นลูกเผลอทำเสียงขึ้นจมูก “หึ! เป็นเรื่องเป็นราว” พอแม่ผละจากเขา พี่สาวก็เดินมาสมทบพอดี ชายหนุ่มเลยหันไปถาม “นี่แม่ซ้อมไว้รึเปล่าเนี่ย”

“ซ้อมทุกวัน เพิ่งได้ใช้งานจริง”

ว่าแล้วเชียว...

“นี่ยังถือว่าแม่ได้ใช้เร็วนะเกี้ยว ตอนคิดบท แม่คิดเอาไว้ว่าคงจะไม่ได้เจอหน้าลูกชายสักปีได้”

กวินกานต์มองหน้าน้องชายที่โดนแม่เหน็บทุกประโยคแล้วอมยิ้มขำ 

“กายย้ายไปคอนโดยังไม่ถึงเดือนเลย แม่ก็เว่อร์ไป”

สิริกานต์สะบัดค้อนใส่ลูกชายให้รู้ว่าแม่ยังงอนเรื่องที่ดื้อดึงย้ายไปอยู่คอนโดไม่หาย ก่อนจะเปลี่ยนมาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบแทน “แล้วไปอยู่คนเดียวเป็นยังไงบ้างล่ะเรา หน้าเหนื่อยมาขนาดนี้ ทานข้าวมารึยัง”

คนที่พาตัวเองไปนั่งเฝ้าใครบางคนตั้งแต่ออกมาจากโรงพยาบาลส่ายหน้า ตอนนั้นมัวแต่คิดเรื่องเพียงฟ้าจนลืมมื้อเย็นไปเลย

"อ้าว สี่ทุ่มแล้วทำไมยังไม่ทานข้าวอีก" แม่เอ็ดเสียงแหลมขึ้น “ไม่หิวรึไง”

“หิวมาก”

คุณหมอร่างสูงโดนฟาดที่ต้นแขนไปหนึ่งที ก่อนคนเป็นแม่จะลากเขาไปนั่งที่ห้องกินข้าว เสียงเอะอะทำให้พ่อที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเดินออกมาดู 

“อ้าว กาย มีอะไรด่วนรึเปล่าทำไมกลับมาเวลานี้”

ลูกชายยังไม่ทันได้ตอบ แม่ที่หายไปจัดอาหารก็เดินกลับมาพร้อมพี่สาว จานข้าวผัดที่ทำง่ายๆ ถูกวางตรงหน้ากวินวัฒน์ ก่อนที่แม่เกือบทำให้เขาแทบจะสำลักตั้งแต่คำแรก

“ไม่มีเงินกินข้าวแล้วมั้งคะ ลูกชายคุณเนี่ย ถึงได้ซมซานกลับมาบ้านได้”

“โห แม่ ใช้คำว่าซมซานเลยเหรอ”

“ดูสภาพเถอะ ไม่เรียกว่าซมซานแล้วจะให้แม่เรียกว่าอะไร”

กวินวัฒน์หันไปหาพี่สาว ชี้หน้าตัวเองแล้วขยับปากถามแบบไม่ออกเสียง “หน้าเหี้ยเหรอ”

“ก็ประมาณนึง” 

ความจริงแล้วหน้าตาของกวินวัฒน์ไม่ได้ดูแย่ขนาดนั้น แม้จะมีร่องรอยความเหนื่อยล้าจากการทำงานบ้าง แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไร ที่กวินกานต์ตอบน้องชายไปอย่างนั้น เพราะระหว่างที่ไปช่วยแม่เตรียมอาหาร หญิงสาวได้ปรึกษากับแม่แล้วว่ากวินวัฒน์ต้องมีจุดประสงค์บางอย่างแน่ๆ ถึงได้กลับบ้านเอาเวลานี้ แถมพรุ่งนี้ก็ไม่ใช่วันหยุดของเขา คงมีความต้องการบางอย่างในใจที่เขาต้องทำในตอนนี้ และเธอกับแม่ก็ต้องง้างปากน้องชายตัวดีให้ได้

วิวัฒน์นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามลูกชาย “คุณนี่ก็ ลูกมาก็บ่น ไม่มาก็บ่น”

ลูกชายพยักหน้าหงึกๆ แม่เลยรีบเบรกไว้

“ไม่ต้องมาให้ท้ายกันเลยนะ ก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าเงินเดือนไม่หมดก็คงไม่กลับบ้าน”

“โห เกี่ยวอะไร ตั้งแต่เริ่มงานมา กายยังไม่ได้เงินเดือนสักเดือนเลยแม่”

“แล้วเอาเงินที่ไหนไปดาวน์คอนโด”

กวินวัฒน์เหลือบไปมองพ่อเขา ก่อนจะยิ้มน้อยๆ “ก็เงินทุนที่เขาให้ตอนไปเรียนต่อไง เขาจ่ายทุกเดือนมันเลยขอเป็นสลิปเงินเดือนออกมาได้ ก็เอาอันนั้นแหละไปยื่นกู้มา”

“อยู่บ้านดีๆ ไม่ชอบ หาเรื่องอยากเป็นหนี้”

คนเป็นหนี้ไม่เถียง ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อจนวิวัฒน์ที่มองอยู่หลุดขำออกมา 

“พ่อก็อยากจะช่วยนะ แต่ทำอะไรกับแม่เขาไว้ ก็รับกรรมไปเองแล้วกัน” พูดแค่นั้นก็ลุกขึ้น “พ่อไปนอนดีกว่า แล้วก็อย่าบ่นลูกมากล่ะคุณ กายมันโตแล้ว”

“โตแต่ตัวละสิไม่ว่า”

วิวัฒน์หัวเราะร่าตอนเดินออกไปจากห้องกินข้าว รู้สึกชอบใจที่ได้ยินเสียงภรรยาเขาบ่นลูกชายเขา เหมือนความเคยชินที่หายไปนานกลับมาอย่างไรไม่รู้

กวินกานต์เหลือบไปสบตาแม่อย่างรู้ความหมาย ก่อนที่หญิงสาวจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมที่พ่อเพิ่งลุกไป สิริกานต์จึงเดินอ้อมไปนั่งเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างลูกชาย 

กวินวัฒน์เงยหน้าขึ้นมองพี่สาว ก่อนจะหันไปมองแม่ รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เหมือนกำลังถูกสแกนผ่านสายตาอยู่ กำลังจะเอ่ยถาม คนที่นั่งตรงข้ามเขาก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ทำงานเป็นไงบ้าง เข้าที่เข้าทางรึยัง”

“ก็เรื่อยๆ ไม่มีอะไรพิเศษ”

แม่กับลูกสาวสบตากันเชิงบอกว่า ‘มี’ แต่แค่ไม่รู้ว่า ‘มี’ ที่จุดไหน เลยต้องเริ่มตีวงให้แคบลงด้วยการเจาะจงไปที่ชีวิตประจำวันของผู้ต้องสงสัยก่อนเลย

“แล้วนี่ปกติแกกินข้าวยังไง ใครทำให้ หรือว่าทำกินเอง”

“โอ๊ย แค่ทำงานก็เหนื่อยแล้ว ก็ซื้อเอาแหละ ไม่ศูนย์อาหารที่โรงพยาบาล ก็ร้านแถวนั้น”

กวินกานต์ไม่ได้กลิ่นคำโกหกในประโยคเมื่อครู่ เลยค่อนข้างจะเชื่อว่าอีกฝ่ายพูดเรื่องจริง เลยส่งสัญญาณให้แม่รับไม้ต่อบ้าง

สิริกานต์ขยับตัวเล็กน้อย ปั้นหน้าเคร่งขรึม “แล้วที่คอนโดล่ะ ได้นอนคนเดียวรึเปล่า ที่หนีไปอยู่ข้างนอกนั่น ไม่ใช่ว่าแอบไปอยู่กับผู้หญิงนะ”

คนที่กำลังจะตักข้าวใส่ปากชะงัก มุมปากกระตุกขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ นี่แม่มีโมเมนต์หวงลูกชายด้วยเหรอ เมื่อก่อนเห็นคอยแต่วิ่งจับคู่ให้เขา

กวินวัฒน์หันไปหาคนถาม “แล้วแม่อยากให้มีไหมล่ะ”

เท่านั้น สิริกานต์ก็ตาเบิกโต “พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงกาย ลูกเต้าเหล่าใครบอกแม่มาเดี๋ยวนี้นะ!”

ลูกชายระเบิดหัวเราะในทันที “เพิ่งกลับมายังไม่ถึงเดือนเลย กายจะเอาใครที่ไหนมาอยู่ด้วยล่ะแม่”

“แน่นะ”

“ถ้ามีผู้หญิงจริง ไม่กลับมาบ้านสภาพหิวโหยแบบนี้หรอกค่ะแม่” กวินกานต์ออกความเห็น

“อืม ก็จริง” ผู้เป็นแม่คล้อยตาม ก่อนจะถามลูกชายเสียงจริงจัง “แม่หาให้เอาไหม”

“โอยยย พักก่อนแม่”

“พักอะไร ปีหน้าก็สามสิบสองแล้วนะกาย กว่าจะเริ่มคบกัน กว่าจะใช้เวลาเรียนรู้กันอีก แม่ว่าเดี๋ยวมันจะไม่ทันการ”

กวินวัฒน์ไม่เถียง แต่ชี้ไปที่ฝั่งตรงข้าม “คนโน้นแก่กว่ากายอีก แม่หาให้พี่เกี้ยวก่อนเลย”

“ฉันมีแฟนแล้วย่ะ!”

“เฮ้ย! จริงดิ ตอนไหน ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“แล้วแกกลับมาเมืองไทยบ้างไหมล่ะ”

พอเถียงไม่ได้ คนน้องเลยหันไปหาแม่แทน “นี่ไงแม่ ให้พี่เกี้ยวแต่งก่อนเลย”

“แฟนพี่เขาเป็นผู้หญิง เขาแค่อยากดูแลกันไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมาโบ้ยให้พี่เขาหรอก แม่พูดถึงเรื่องเราอยู่ แฟนเก่าเราเขาก็แต่งงานแต่งการไปตั้งนานแล้ว แม่ก็อยากเห็นลูกแม่แต่งบ้าง”

เพราะสิริกานต์รู้ว่าคนที่เป็นฝ่ายถอยห่างจากความสัมพันธ์ครั้งก่อนคือลูกชายของเธอ คนเป็นแม่เลยกล้ายกประเด็นคนรักเก่าขึ้นมา เพราะคิดว่ามันก็น่าจะนานเกินพอที่จะไม่รู้สึกอะไรแล้ว

ทว่าเปล่าเลย กวินวัฒน์ถึงกับสะอึกไปตอนได้ยินแม่พูดถึงการแต่งงานของเพียงฟ้า รู้สึกเหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงลงที่อกทุกครั้งที่มีคนพูดถึงเรื่องนี้

“เอาไว้ก่อนนะแม่ ให้ชีวิตกายเข้าที่เข้าทางกว่านี้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน” ชายหนุ่มบอกปัดๆ ไป ก่อนจะค่อยๆ ปรับสีหน้า และไหนๆ แม่ก็เปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว เขาเลยดึงเข้าจุดประสงค์ที่กลับมาบ้านเสียเลย

“เออแม่ ที่ร้านเฟย์...มีสปาเกตตีสูตรของแม่ขายด้วยนะ”

“อ้อใช่” เจ้าของสูตรตอบรับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยิ้มภูมิใจ “แต่หนูเฟย์ปรับใหม่นิดหน่อยนี่นา อร่อยกว่าของแม่เยอะเลย สมกับเป็นเชฟจริงๆ”

“นี่แม่เคยกินด้วยเหรอ”

“เคยสิ หนูเฟย์ทำให้ชิมตั้งแต่ตอนที่แม่ไปวันเปิดร้านแล้ว แล้วแม่ก็เคยไปร้านเขาอีกสองครั้งนะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ไปหรอก กายก็รู้ว่าแถวนั้นรถติด”

กวินวัฒน์คิดอย่างพิจารณา ดูเหมือนว่าคนรอบตัวเขาจะยังรับรู้ความเป็นไปของเพียงฟ้าอยู่ตลอด ทั้งปิติทั้งธันวา ไหนจะแม่เขาเองด้วย คงมีแต่เขาเท่านั้นที่ตัดขาดกันไปเลย

กวินกานต์มองคนที่เคี้ยวข้าวไป หน้าตาก็ดูเหมือนคิดอะไรอยู่ไปด้วย ทั้งที่ก็ไม่ได้คุยเรื่องจริงจังอะไร จึงเอ่ยถาม “แกเคยกินแล้วเหรอ”

“ยังหรอก” ชายหนุ่มโกหกหน้าตาย ไม่อยากให้อีกฝ่ายถามอะไรเพิ่ม

“งั้นว่างๆ ก็ลองไปชิมดูสิว่าเหมือนของแม่จริงรึเปล่า” 

กวินวัฒน์ไม่แน่ใจว่าพี่สาวเขามีจุดประสงค์อะไรถึงพูดแบบนั้น ระแคะระคาย หรือแค่พูดไปเพราะเห็นว่าเป็นคนเคยรู้จักกัน

“อืม เอาไว้ถ้าว่างนะ” ชายหนุ่มยังคงปั้นหน้านิ่ง ยกน้ำขึ้นดื่มเพื่อกลบเกลื่อนพิรุธ ก่อนจะเกือบทำน้ำพุ่งตอนแม่เขาเอ่ยว่า

“อยู่ใกล้ๆ ก็กดสั่งผ่านแอปอะไรนั่นสิ สั่งมาเผื่อแม่ด้วยนะกาย แม่ไม่ได้ทานฝีมือหนูเฟย์มานานแล้วเหมือนกัน”

“เดี๋ยวนี้เขาไม่เดลิเวอรีเมนูพาสตาแล้วแม่ ขายแค่ที่ร้านแค่นั้น” ลูกชายรีบปฏิเสธ ก่อนจะรู้ตัวว่าพลาดท่า

“ไหนบอกไม่เคยไป แล้วรู้ได้ไงว่าเขาไม่ให้สั่งผ่านแอปแล้ว ได้คุยกันเหรอ”

“เปล้า ก็...ได้ยินคนที่โรงพยาบาลพูดกัน”

กวินกานต์เลื่อนสายตาไปสานสบกับผู้เป็นแม่ พอจะเดาได้เลาๆ แล้วว่าคนปากแข็งน่าจะมาด้วยเรื่องนี้ ทว่าก็ยังแกล้งเออออไป

“อ๋อ คนที่โรงพยาบาลพูดกันนี่เอง”

“อืม” รับคำเนียนๆ ไป แล้วใช้จังหวะนั้นหยิบจานแล้วลุกขึ้น ตั้งใจว่าจะหนีออกจากวงสนทนานี้ ทว่าพอแยกออกมาไม่ทันจะพ้นห้องกินข้าว เสียงพี่สาวเขาก็ดังตามมา

“เขาไม่เดลิเวอรีพาสตาแล้ว แถมแกก็ไม่เคยไปกินที่ร้าน แล้วรู้ได้ไงว่าเป็นสปาเกตตีสูตรของแม่”

การเคลื่อนไหวของคนเก็บความลับสะดุด ก่อนจะเอ่ยตอบโดยไม่หันไปหาคนถาม “ไอ้เป๋ามันพูด มันเล่าให้ฟัง”

คนเป็นแม่ที่เริ่มแน่ชัดแล้วว่านั่นเป็นคำโกหกถึงกับส่ายหน้า เตือนสติลูกชาย “เขาแต่งงานแล้วนะกาย”

คนฟังกดนิ้วโป้งลงกับจานราวกับจะกดความรู้สึกตัวเองไว้ แล้วยิ้มอย่างขมขื่นให้ความว่างเปล่าตรงหน้า 

“กายรู้ครับแม่”

รีวิวผู้อ่าน

0 ผู้รีวิว

จัดเรียงตาม

ความคิดเห็น